ความคิดเห็นที่ 1 |
ราตรีที่ 27
คืนไร้จันทร์ [1/4]
หลงวนเวียนในความคิดคำนึง
ดวงจิตตราตรึงในความสับสน
วาสนาฤๅสำคัญเท่าหนึ่งใจคน
ห่างฤๅใกล้...เหตุใดไม่จรจาก
ยามวิกาลดึกสงัด ม่านราตรีขับเน้นหมู่ดาริกาทอแสงพะพราวพร่าง
ก่อนคืนจันทร์ผ่านมาเยือน กว่าครึ่งของวังหลวงล้วนปกครองด้วยความมืดมิดและแสงสลัวจากหมู่โคมประทีป ความน่าเกรงขามหาได้ลดทอน ประกายทรงอำนาจยังฉายชัด
ร่างปราดเปรียวสีดำสายหนึ่งผละจากหมู่แมกไม้ก้าวกระโดดเหนือหมู่หลังคากระเบื้องที่เห็นเป็นเงาตะคุ่ม ท่วงท่าว่องไวพลิ้วไหวประดุจวิหคเหิน อาศัยเร้นกายในเงามืดข้ามผ่านกำแพงอาณาเขตจากที่แห่งหนึ่งไปยังแห่งหนึ่ง เพียงมินานจึงมาถึงขอบกำแพงสูงอันเป็นด่านประตูสู่เขตพระราชฐานชั้นใน
ดวงตาแวววามภายใต้ผ้าคลุมหน้าสีดำทอดตามองไกล คาดหวังเหลือแสนภายในนั้นจักต้องมี ใครบางคน ถูกซุกซ่อนอยู่เป็นแน่ หาไม่แล้วย่อมต้องมีเบาะแส
คิดพลางสูดลมหายใจเข้าลึก รวบรวมทุกความกล้าเผชิญหน้าไม่หวั่นไหว ขอเพียงแฝงเร้นไปได้ย่อมมีหนทาง
บุกรุกยามวิกาล ย่อมมิใช่วิถีแห่งผู้กล้า
ปลายเท้ายังมิทันขยับ หากอุปสรรคอันใหญ่หลวงกลับมาเยือนเสียแล้ว!
ชายหนุ่มร่างสูงแกร่งในชุดตัวยาวสีดำก้าวเดินออกจากเงามืด เสี้ยวหน้าที่เห็นเลือนลางละม้ายรูปสลักเทพพิทักษ์ ทุกย่างก้าวเงียบสงบไร้สำเนียงมีผลให้ผู้บุกรุกชะงักงันอย่างหายใจผิดจังหวะอยู่บ้าง
มือสังหารในชุดดำมิดชิดแข็งเกร็งกายขึ้นเล็กน้อย ความแวดระวังทบทวีขึ้นทุกอณู อยู่หรือตายหาได้หวั่นเกรงเท่าความตั้งใจมั่นที่จักต้องทำให้สำเร็จอย่างลุล่วง!
อวี้เสวียนหรี่ตามองผู้บุกรุกร่างเล็กกว่าอย่างคาดประเมิน นัยน์ตาสีเทาเปล่งรังสีการปกป้องอันไม่ยอมให้ใครก็ตามจักล่วงละเมิด ก่อนหน้านี้ที่เขาออกมาลาดตระเวน เสียงแผ่วเบาสัมผัสใบไม้และผิวกระเบื้องหลังคาที่พลันได้ยินจึงเป็นเหตุให้ติดตามค้นหามาถึงที่นี่
ผู้ใดกัน? ริมฝีปากบางเฉียบเอ่ยถามเย็นชา การคุ้มกันในวังหลวงจัดว่าเข้มงวดแน่นหนานัก สามารถลอบแฝงเข้ามาได้ย่อมมีฝีมือไม่น้อย ฉะนั้นหาได้ดูแคลน
เป็นดังคาด... มือสังหารลึกลับมักมิใคร่ให้คำตอบ
ร่างในชุดสีดำมิดชิดก้าวถอยหลังช้าๆ สองตาเหลือบมองซ้ายขวาเสาะหาลู่ทางหนี บุรุษตรงหน้าต้องเป็นยอดฝีมือผู้พิทักษ์วังหลวงอย่างไม่ต้องสงสัย การปะทะโดยตรงย่อมมิใช่เรื่องง่าย ในเมื่อสิ่งที่ตั้งใจหวังยังมิสิ้นสุดก็หาได้เห็นควรทิ้งชีวิต
ถอยหนึ่งก้าว เรือนกายตระหง่านดั่งขุนเขาขยับก้าวตามหนึ่งก้าว ไอปราณแข็งแกร่งที่แผ่ออกมาแม้มิได้แฝงนัยยะคุกคามทว่ามิใช่ให้หลบหนี ยิ่งล่าถอยขอบเขตพันธนาการยิ่งแคบกระชั้นจนมองไม่เห็นช่องว่าง
ชั่วพริบตา! มือสังหารในชุดดำตัดสินใจคว้ากริชเล็กข้างเอวพุ่งเข้าใส่อวี้เสวียนอย่างไม่ลังเล!
กริชแหลมคมกรีดอากาศเป็นเสียงวีดหวิว เปิดฉากโจมตีก่อนอย่างไร้น้ำใจ อวี้เสวียนเบี่ยงตัวหลบวูบ เกร็งฝ่ามือข้างหนึ่งเป็นเสมือนดาบยกต้านรับคมอาวุธอย่างรวดเร็ว จากนั้น... บนหลังคากระเบื้องเหนือกำแพงวังสูงจึงปรากฏภาพการปะทะรุนแรงจากสองพลังยุทธ์เกิดเป็นภาพวูบไหว
ผู้บุกรุกใช้ร่างกายที่เบากว่าบุกโจมตีร่างสูงหนาทั้งบนและล่างอย่างไม่ยั้ง ผลัดกันรุกและรับไปอีกหลายกระบวนท่า ครู่หนึ่งจึงใช้จังหวะที่อีกฝ่ายตั้งรับล้วงเอาหนึ่งในอาวุธลับขว้างลงสู่พื้นบังเกิดเป็นหมอกควันพิษแล้วฉวยโอกาสหลบหนี
มิคาดว่าในจังหวะนั้น ฝ่ามือแข็งแรงของอวี้เสวียนซัดปราณพิษเข้าใส่อย่างตามติดเช่นกัน!
มือสังหารในชุดดำเซถลาอย่างเสียการควบคุมไปเล็กน้อย ทว่ายังว่องไวพอที่จะอาศัยหมอกควันขาวที่โพยพุ่งกินเขตกว้างพุ่งตัวหลบเร้นหายลับไปในเงามืดประดุจวิหคราตรีที่ยากจักตามรอย...
เมื่อหมอกควันพิษเจือจาง เบื้องหลังของอวี้เสวียนจึงปรากฏเงาร่างสีดำที่พุ่งเข้ามาเป็นเส้นสายยืนอยู่สามร่าง เพียงพิศการแต่งกายอันรัดกุมจึงบอกยศตำแหน่งทหารพิทักษ์พระราชวังยามวิกาลอย่างชัดเจน
หนึ่งในนั้นเอ่ยถาม ให้ตามต่อไหมขอรับ
ตาม คำสั่งสั้นๆ จากใบหน้าเรียบเฉย อวี้เสวียนถอนหายใจเล็กน้อยแล้วกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชา
สั่งการลงไป เพลานี้มือสังหารที่ฝ่าบาททรงต้องการตัวยังอยู่ในวัง ให้ค้นหาและจับเป็นมาให้ได้ มันเพิ่งโดนฝ่ามือน้ำแข็งทมิฬของข้าไป บาดเจ็บเช่นนั้นคงไปไม่ได้ไกลนักหรอก
ทหารพิทักษ์วังหลวงทั้งหมดรับคำก่อนจะแยกย้ายรวดเร็ว ทิ้งให้คืนไร้จันทร์ในค่ำนี้ผ่านไปอย่างเงียบสงบอีกครั้ง
อีกมุมหนึ่งของวังหลวงยามวิกาล...
ม่านราตรีประดับดาวแจ่มจรัสยังฉายชัด ทั่วทั้งบรรยากาศครอบครองความมืดมิด พื้นแผ่นดินเห็นหมู่แมกไม้หนาทึบเป็นเงาตะคุ่ม และห่างออกไปราวสามจ้าง ผิวน้ำวาววับในสระบัวสะท้อนความเงียบสงัดอยู่เฉกนั้น
เงาร่างสีดำสายหนึ่งที่ไม่ทราบว่ามาจากที่ใดพุ่งลงมายืนอยู่บนพื้นหญ้า เพ่งพิศให้ดีจึงเห็นเป็นร่างแบบบางในชุดสีดำมิดชิดปกปิดตลอดตัว ใบหน้าที่เห็นเพียงดวงตาแวววามกวาดมองเสาะหาจุดหมาย ครู่หนึ่งจึงพาทั้งเรือนกายมาหลบเร้นอยู่ในโคนพุ่มไม้สูงที่มีใบดกหนาจนปิดบังทุกอณูจากภายนอก
เมื่อวางร่างนั่งลงกับพื้นได้ จึงได้ยินเสียงแค่นในลำคอดังอั้กพร้อมกับรสฝาดของเลือดที่พุ่งขึ้นมาจากภายใน มือข้างหนึ่งกระชากผ้าคลุมหน้าออกเพื่อปิดกั้นเสียงสำลักเป็นระยะอย่างทุลักทะเล มืออีกข้างยันไว้กับพื้นหญ้าเพื่อมิให้ร่างกายซวนเซไปกว่านี้
นับแต่แรก... พิษพลังปราณที่ถูกซัดเข้ามาบริเวณช่องท้องสร้างความเจ็บปวดให้ไม่น้อย ทว่ายังฝืนใจรวบรั้งพลังวัตรภายในต่อต้านไว้ชั่วคราว สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนั้นคือการหลบหนีฉะนั้นจึงมิใส่ใจถึงอาการบอบช้ำภายใน
เอี้ยนหงส์หอบหายใจจนสั่นสะท้าน เส้นผมดำขลับยาวสยายรุ่ยร่ายระใบหน้าและแผ่นหลัง เลือดพิษสีดำหยดไหลจากขอบปากจนเป็นวงกว้างบนพื้นหญ้า เมื่อทุเลาลงจึงรีบควานหายาเม็ดรักษาอาการบาดเจ็บกลืนกินเข้าไป
อานุภาพยาแม้มิได้มีสรรพคุณช่วยถอนพิษหากก็ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดให้หายไปทีละน้อย ครู่หนึ่งจึงค่อยโคจรพลังภายในเพื่อขับไล่ปราณพิษ ทว่า... ก็ทำได้เพียงควบคุมอาการมิให้ย่ำแย่ไปกว่านี้
เอี้ยนหงส์ทรุดกายนอนแผ่กับพื้น หอบหายใจเหนื่อยอ่อน รีมฝีปากบางขยับผิวปากเสียงแว่วหวิวเป็นทำนองสั้นๆ ผ่านไปมินาน... นกพิราบตัวหนึ่งก็รีบบินแจ้นฝ่าความมืดมิดรายรอบตรงเข้ามาหา
นกตัวนั้นถูกฝึกมาเป็นอย่างดี ทั้งยังแสนรู้อย่างยิ่ง จะกลางวันหรือกลางคืนก็ล้วนแล้วแต่ปฏิบัติตามคำสั่งนาย และเมื่อมาถึงมันก็รีบใช้หัวน้อยๆ ถูไถกับแก้มของเอี้ยนหงส์เบาๆ
เสี่ยวฮุย[1] มาแล้วหรือ...? เสียงเรียกแผ่วระโหยแล้วอดคลี่ยิ้มบางๆ ไม่ได้เมื่อเสี่ยวฮุยใช้ขาข้างหนึ่งที่มีกระดาษขนาดเล็กมากผูกติดมาด้วยสะกิดผิวแก้มอย่างรู้งาน
เอี้ยนหงส์ยังคงลุกไม่ขึ้น จึงใช้มือข้างหนึ่งเอื้อมคว้ากระดาษใบน้อยนั้นมาเก็บไว้ในอกเสื้ออย่างช้าๆ ไม่ได้สนใจเสี่ยวฮุยที่รีบโฉบไปบนลำตัวใช้จะงอยปากจิกมือข้างนั้นเบาๆ ด้วยต้องการให้นายสาวรีบดูจดหมายลับที่หัวหน้าสำนักก๊วนชิงหลวนส่งมาให้
ถึงไม่เปิดดู ข้าก็รู้อยู่แล้วว่าท่านเจ้าสำนักต้องการให้ข้าล้มเลิกความคิดที่จะช่วยพี่เยี่ยเหยียนออกมาให้ได้... เอี้ยนหงส์ยิ้มขมขื่นพลางปิดเปลือกตาลงช้าๆ
หรือไม่ก็... ให้ข้ารีบฆ่าพี่เยี่ยเหยียนทิ้งซะ
มาถึงขั้นนี้ ความเจ็บทางกายจึงมิสำคัญเท่าความเจ็บทางใจ นักฆ่าแห่งก๊วนชิงหลวนล้วนถูกชุบเลี้ยงมาเพื่อเป็นมือสังหารที่ต้องปฏิบัติทุกอย่างตามคำสั่งของผู้เป็นนายเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องมีความคิดเป็นของตัวเองและไม่จำเป็นต้องมีความรู้สึกผูกพันในหมู่ศิษย์ จะอยู่หรือตายล้วนถูกกำหนดมาแต่ต้น!
การที่ท่านเจ้าสำนักยังคงรออยู่ที่นอกวังด้วยอาจจะยังเห็นประโยชน์ของนางก็นับว่าปราณีมากแล้ว เรื่องที่เยี่ยเหยียนถูกจับได้แม้จะมิได้มีการออกข่าว หากก็เชื่อได้ว่าภายในจักรวรรดิต้าหลงเจี๋ยย่อมเพิ่มกำลังตรวจค้นทุกจุดในเมืองหลวงเพื่อค้นหา ผู้ร่วมขบวนการที่เหลือ อย่างไม่ต้องสงสัย
ยิ่งช้าเท่าใดกลุ่มมือสังหารจากต้าหลู่เหลียงย่อมมีอันตรายมากขึ้นเท่านั้น หากทว่า... เอี้ยนหงส์ก็ไม่อาจตัดใจเลือกหนทางใดทางหนึ่งตามอย่างข้างต้นได้
เมื่อไม่เห็นนายสาวแยแส เสี่ยวฮุยจึงหมดความอดทน มันขยับปีกบินโฉบไปนั่งซุกอยู่ข้างแก้มของเอี้ยนหงส์ ดวงตาแววใสจ้องมองใบหน้าที่ปิดเปลือกตาสนิทอย่างไม่เข้าใจ
เอี้ยนหงส์มิได้เอ่ยคำใดอีก อาการเจ็บปวดภายในยังส่งผลให้หายใจขัด กระนั้นทั้งร่างกายกลับหนักอึ้งลงทุกที ความมืดในราตรีคิมหันต์ที่มองเห็นภายใต้เปลือกตางอนงามก็ดูจะเข้มข้นมากขึ้นเสียจนทำให้ง่วงงุน
ก่อนที่สติจะเลือนหายหลุดลอยไปกับค่ำคืนไร้จันทร์ สิ่งที่ย้ำเตือนเข้ามาในห้วงความคิดสุดท้ายของเอี้ยนหงส์นั่นคือ...
เสี่ยวจง เจ้านกพิราบส่งข่าวของพี่เยี่ยเหยียน ข้าจะต้อง...พึ่งพาเจ้าแล้ว...
=== มีต่อค่ะ === [1]เสี่ยวฮุย = เทาน้อย มาจากคำว่า ฮุยเซ่อ ที่แปลว่าสีเทาค่ะ
แก้ไขเมื่อ 08 ก.ย. 53 22:04:49
จากคุณ |
:
WriterZZ (นู๋ครีมสด)
|
เขียนเมื่อ |
:
8 ก.ย. 53 21:36:12
|
|
|
|