****************กลเม็ดเด็ดพรายรัก...ตอนที่ 2*************
|
|
ตอนที่ 2 สบันงาแทบอยากจะเขวี้ยงหนังสือเล่มหนาลงกับพื้น เมื่อเธอพยายามจะเปิดดูแต่ละหน้าให้แน่ใจอีกครั้ง ว่ามันไม่ใช่สมุดบันทึกหรือนิทานหลอกเด็ก แต่จนแล้วจนรอด ก็ไม่ปรากฏตัวหนังสือในหน้าถัดไป
“ชั้นต้องกลับไปหาเธอแน่ ตามที่เธอบอก ยายเด็กบ้า”
แน่ล่ะ! หนังสือจอมปลอมอย่างนี้ เธอต้องกลับไปเอาเรื่องเด็กหญิงคนขายเสียหน่อย‘วันหยุดอาทิตย์หน้าเจอกัน’ เสียงเธอรอดไรฟันผ่านความคิดออกมา
เมื่อคิดดังนั้น เธอจึงล้มตัวลงนอน
ทันทีที่หลับตา...ในขณะที่จิตใต้สำนึกกำลังจมดิ่งไปสู่ห้วงนิทรารมย์ สบันงารู้สึกเคลิ้มเหมือนกึ่งหลับกึ่งตื่น
ในความมืดของดวงความคิดเธอนั้น.....
เปิดเปลือกตามาก็พบว่าตัวเอง กำลังนั่งง่วนอยู่กับการตรวจตรากองเอกสารที่เจ้านายวางไว้ให้เธอกองสูงเท่าภูเขา
เธอกำลังนั่งอ่านรายละเอียดของชิ้นงานที่ชื่อ โครงการเมืองมหานคร เปิดไปอ่านตารางรายชื่อทีมผู้ร่วมงานระดับโลกแต่ละท่าน แล้วตาก็ลุกวาว เพราะรายชื่อเหล่านั้นล้วนเป็นคนมีชื่อเสียงในแวดวงการเมืองหลายท่าน เปิดไปยังหน้าถัดไปมีทั้งรูปแบบลักษณะของงาน ที่แจ้งถึงรายละเอียดการออกแบบอาคาร ที่มีดีไซน์เสมือนถูกโอบล้อมด้วยริบบิ้นสามมิติ หรือพิกเซล มุมมองและพื้นที่ใช้สอยเปิดกว้างแบบ 360 องศา...เธอนึกชื่นชมผลงานชิ้นนี้ ของเจ้านายเธอยิ่งนัก มันอธิบายข้อมูลได้ละเอียดชัดแจ้ง แม้นว่าข้อมูลที่ยาวเหยียดนั้นต่อให้มีเป็นหลายเล่มกองรวมกัน แต่สบันงาก็ตรวจตราทุกเม็ดให้สมกับตำแหน่งเลขาหน้าใหม่ไฟแรง ที่เจ้านายมักจะเรียกขานจนติดปาก
เมื่ออ่านรายละเอียดข้อมูลจนถึงบรรทัดสุดท้าย สบันงาก็ต้องสะดุ้งเฮือกกับลายเซ็นที่ไม่คุ้นตา ตรงรายชื่อรองกรรมการผู้จัดการ ซึ่งเป็นตำแหน่งของเจ้านายเธอ
ลายเซ็นตัวขอไข่ขยุกขยุยไม่ได้น่าสนใจเท่ากับ ชื่อตัวบรรจงที่พิมพ์ไว้ในวงเล็บว่า...
...เข้มขาล บันลือรักษ์...
จะไม่ให้สบันงานึกอุทานได้อย่างไร ในเมื่อเจ้านายคนที่เอากองเอกสารนี้มาให้เธอในตอนเช้า แล้วมีตำแหน่งตรงกับลายเซ็นของรองกรรมการผู้จัดการชื่อ ประสิทธิ์ เทียมเศวต
ยังไม่ทันที่สบันงาจะหายสงสัย..เสียงประตูหน้าห้องก็เปิดออก พร้อมกับชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง อายุประมาณสามสิบต้นๆ สูงราวร้อยแปดสิบเศษจากการคำนวณทางสายตา กำลังก้าวฉับๆมายืนประจันหน้าโต๊ะทำงานของเธอ เธอเองก็จ้องตาเขากลับ นัยน์ตามันฟ้องว่ามีเครื่องหมายคำถามซ่อนอยู่
‘คุณคือใคร?’
ในขณะที่เธอกำลังงุนงง ตั้งตัวไม่ติด ก็ได้คำตอบไขกระจ่างจากเสียงเรียกของพรฤดี เลขานุการสาวใหญ่ ที่นั่งอยู่หน้าห้องกรรมการผู้จัดการฝ่ายการตลาด เธอกำลังก้าวเท้าตามเข้ามาหยุดยืนเฉียงชายหนุ่มตรงหน้า พร้อมกับเรียกชื่อของเขาออกมาชัดเจนว่า ‘คุณเข้มขาลต้องการรับกาแฟเพิ่มสักถ้วยไหมคะ’
ผู้ชายตรงหน้าเธอเป็นใครกัน? ชื่อที่คุณพรฤดีเรียกถึงได้ตรงกับตำแหน่งในแฟ้มเอกสารของเธอ
หญิงสาวขยี้ตาถี่ๆ แล้วหลับตาปี๋ ก่อนจะลืมตาขึ้น...
...ภาพที่เธอเห็นเมื่อสักครู่มันคืออะไรกันนะ...
มันแยกไม่ออกระหว่างความจริงกับความฝัน แต่เมื่อลุกขึ้นสำรวจตัวเอง ก็พบว่ายังคงอยู่ในชุดนอนบนเตียงนุ่มอุ่นที่ห้อง เอามือตบไปที่หมอนนอนหนุน มันก็ยังยุบไปตามรอยมือ เธอจึงมั่นใจว่า...มันเป็นแค่ความฝัน...
.............................................
สบันงาแอบหาวหวอดๆ เมื่อมือหนึ่งยกถ้วยกาแฟขึ้น วันนี้เธอมาถึงออฟฟิศตั้งแต่ยังไม่ทันเจ็ดโมงเช้า เดินหาวมาตลอดทางตั้งแต่ชั้นล่างเมื่อเดินเข้ามาในตึก ยิ้มทักทายพนักงานรักษาความปลอดภัย จนกระทั่งขึ้นลิฟท์มาชั้นที่สิบ ซึ่งตั้งเป็นออฟฟิศของบริษัทอสังหาริมทรัพย์แห่งนี้ ชื่อว่า ‘บันลือรักษ์มหานคร’
ตอนเลื่อนประตู เธอเหลือบมองตัวอักษรนูนหนาสีตะกั่วเงิน ที่ติดชิดฝาผนังอยู่เหนือประตูทางเข้า “บันลือรักษ์เหรอเนี่ย”
สบันงาพึ่งจะย้ายเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศแห่งนี้เพียงสามสัปดาห์ มันน่าแปลกที่เธอกลับไม่เคยสังเกตหรือว่าสะดุดหูซักนิดกับชื่อบริษัท เหมือนเธอจะลืมมันง่ายดายว่าเธอทำงานอยู่ที่บริษัทไหน
เธอจะไม่นึกแปลกใจเลย ถ้าบังเอิญชื่อบริษัทที่เธอทำอยู่ มันดันไปตรงกับนามสกุลนายคนนั้น...เข้มขาล...ผู้ชายที่มาปรากฏตัวอยู่ในฝันของเธอ
สบันงาวางถ้วยกาแฟลง เมื่อดื่มไปจนพร่องถ้วย กาแฟไม่ได้ช่วยให้เธอหายง่วงเลยสักนิด
บรรยากาศภายในออฟฟิศยังคงเงียบเหงา ไม่มีผู้ร่วมงานคนไหนโผล่มาซักคน เพราะมันยังคงเช้าเกินไป
เธอจึงฟุบหน้าลงกับโต๊ะทำงาน กะว่าจะแอบงีบสักประเดี๋ยว
เพียงแค่คิดว่าจะนอน ศีรษะมันก็รู้สึกหนักอึ้งขึ้นมา คล้ายแรงโน้มถ่วงของโลกมันดึงดูดให้หน้าเธอฟุบลงไปยังท่อนแขนที่วางพาดไว้บนโต๊ะไปก่อนหน้าแล้ว
ความง่วงงุนทำให้เธอหลับสนิท
เธอลืมตาขึ้นมาอีกที เมื่อมีเสียงเคาะโต๊ะเบาๆสองสามที
“นี่คุณ...กี่โมงกี่ยามแล้ว ทำไมมานอนเวลาทำงาน” เสียงคนพูดฟังแล้วน่าเกรงขามต่างกับใบหน้าผู้พูดยิ่งนัก
เมื่อสติยามตื่นกลับเข้าร่าง สบันงาพลิกดูนาฬิกาข้อมือ ก็ต้องสะดุ้งโหยง สาบานได้...เธอหลับไปแค่งีบเดียวจริงๆ ต่างกับเวลาตอนนี้ งีบเดียวของเธอทั้งเข็มสั้นเข็มยาวมันพร้อมใจกันชี้ไปที่เลขแปด บอกเวลาแปดโมงสี่สิบนาที
สายตาของผู้ปลุกกำลังดุแกมตำหนิ แต่มันก็ไม่น่าอับอายเท่ากับ สายตาของผู้คนในออฟฟิศที่ต่างจ้องมองเธอเป็นตาเดียว แถมบางคนยังแอบนินทาสนุกปาก
‘ไม่มีใครคิดจะปลุกชั้นเลยรึไงนะ มีแต่เพื่อนร่วมงานดีๆทั้งนั้น’ เธอนึกพาลไปยังเพื่อนร่วมงานที่แล้งน้ำใจ แต่แล้วความคิดของเธอ ก็เหมือนจะทำให้ชายตรงหน้ารับรู้ได้
“มันไม่ใช่เวลาที่คุณจะมามองหาคนผิด ที่ไม่มีใครปลุกคุณ” เขาส่ายหน้าเล็กน้อย
“ล้างหน้าล้างตา แล้วเข้าไปพบผมในห้องทำงานด้วย” เขาพูดจบแล้วหมุนตัวกลับแล้วเดินตัวตรงหลังยืดคอตั้ง หน้านิ่งเข้าห้องทำงาน
ห้องทำงานที่มีป้ายตำแหน่งติดผนังว่า ‘รองกรรมการผู้จัดการบริษัท’
เอ๊ะ! แล้วชายคนนั้นเดินเข้าห้องเจ้านายของเธอทำไม
เขาเป็นใครกัน...ไม่เห็นคุ้นหน้า...มาถึงก็ยืนปั้นหน้าดุตำหนิเธอ
“ไม่รีบตามเข้าไปในห้องล่ะ...น้องมิ้นท์”
พรฤดี เลขาฯสาวใหญ่ ผู้ที่ชอบทำตัวหวังดีกับผู้อื่น รีบเสนอหน้าบอกเธอ...แต่ก็นึกขอบคุณเธอที่ทำให้รู้ว่า ผู้ชายคนที่เธอกำลังตั้งคำถามว่าเขาเป็นใคร...มันกระจ่างขึ้น
“ทำหน้างงอย่างนี้ แปลว่าน้องมิ้นท์ยังไม่ทราบเรื่อง”
“เรื่องอะไรกันคะ พี่ฤดี” คิ้วเรียวยาวสองข้างหนีบเข้าชิดกัน
“ก็ผู้ชายที่เรียกน้องมิ้นท์เข้าไปพบในห้องน่ะสิคะ เป็นรองกรรมการผู้จัดการของบริษัทคนใหม่ ที่มาแทนคุณประสิทธิ์ เจ้านายสายตรงของคุณมิ้นท์น่ะสิคะ”
“มาแทนคุณประสิทธิ์เหรอคะ” สบันงาทวนคำ
นี่เธอคงเป็นเลขาฯที่ไม่เอาถ่าน แม้กระทั่งการเปลี่ยนแปลงเจ้านายอย่างกะทันหัน เธอกลับตกข่าวไปเสียดื้อๆ มันนับเป็นความบกพร่องในหน้าที่ด้วยรึเปล่า
“พี่ก็ไม่รู้นะว่าเรื่องมันเป็นยังไง” พรฤดีเอามือป้องปากทำเสียงกระซิบกระซาบ
“แต่แหล่งข่าวต้นตอที่น่าเชื่อถือได้ พึ่งส่งข้อมูลลับบอกพี่เมื่อเช้านี้เอง รู้แต่ว่าคุณประสิทธิ์ถูกเชิญออก ไม่รู้ว่าเกี่ยวพันกับประชาสัมพันธ์คนใหม่รึเปล่านะคะเนี่ย”
พรฤดีสาธยายอย่างผู้หวังดีต่อ “น้องแก้มป่องคนสวยไงคะ” เธอบอกชื่อเมื่อเห็นหญิงสาวผู้ฟังทำหน้างง ว่าประชาสัมพันธ์คนนั้นเป็นใคร
“แล้วไปเกี่ยวอะไรกับน้องแก้มล่ะพี่ฤดี” สบันงาทำหน้ายื่นเหมือนอยากรู้
“เดี๋ยวว่างตอนเที่ยง เราค่อยมาคุยกัน”
เรื่องของชาวบ้านชาวออฟฟิศ ไม่มีข้อมูลไหนที่เป็นความลับสำหรับพรฤดี จอมกระจายข่าว
“แล้วอีกเรื่องที่พี่ต้องพูด ก็คือ น้องมิ้นท์อย่าคิดว่าไม่มีใครมาปลุกน้องนะคะ...พี่ฤดีเรียกน้องตั้งหลายที แต่ก็ไม่ยอมตื่นเองนะ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนปลุกยาก”
สบันงาทำหน้าแหย ปั้นหน้าไม่ถูก...เธอรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้สำรวจเสื้อผ้าหน้าผม หยิบกระจกบานจิ๋วจากกระเป๋าสะพาย ออกมาส่องซ้ายขวาบนใบหน้า เมื่อเห็นว่ายังดูดีอยู่ เธอรีบเดินจ้ำอ้าวเข้าไปพบเจ้านายคนใหม่ แต่นึกขึ้นได้จึงเอี้ยวตัวไปถามพรฤดีอีกครั้ง
“เจ้านายชื่ออะไรคะ พี่ฤดี”
พรฤดีเอามือป้องปากก่อนจะเอ่ยชื่อชายคนนั้นเบาๆ
“คุณขาลค่ะ...ชื่อจริงชื่อเข้มขาล”
สบันงาทำหน้าไม่ถูก เมื่อได้ยินชื่อชายคนนั้น แม้มันจะเบามากเมื่อฟัง แต่มันกลับดังมากเมื่อชื่อนั้นมันไปตรงกับในฝันของเธออีกแล้ว
มันอะไรกันเนี่ย!
สบันงาผลักบานประตูห้องทำงานเข้าไป เดินค้อมศีรษะเข้าไปในห้อง ก็เห็นเขากำลังนั่งจ้องหน้าเธออยู่ก่อนแล้ว
เข้มขาลเป็นหนุ่มโสด หน้าตาค่อนข้างดี บุคลิกภูมิฐาน กระฉับกระเฉงคล่องแคล่วผมรองทรงตัดสูง ด้านข้างและหลังเกรียนไถ ข้างบนจับเจลใส่จนตั้ง รับกับใบหน้าคมเข้มสมกับชื่อ ตาโตที่ดุดันเหมือนกับกำลังโกรธ กลับแฝงไปด้วยความอบอุ่นประหลาด คิ้วเข้มดำสนิทเหมือนกำลังเป็นฝ่ายตั้งคำถามมากกว่าคำพูดเสียอีก
“สวัสดีค่ะ ดิฉันชื่อสบันงาค่ะ เรียกสั้นๆว่ามิ้นท์” เธอเริ่มแนะนำตัวก่อน
“เรื่องนั้นผมทราบแล้ว” น้ำเสียงเขายังคงราบเรียบ
“คุณทราบรึยังว่าผมจะมานั่งโต๊ะทำงานแทนคุณประสิทธิ์”
“พึ่งทราบค่ะ”
“พอดี...” สบันงาทำท่าจะพูดต่อ แต่เข้มขาลก็ขัดขึ้น
“พอดีผมมากะทันหันไปหน่อย คุณอาจจะตั้งตัวไม่ทัน...แต่ต่อไปนี้ ผมอาจจะต้องอาศัยการช่วยงานจากคุณ เพราะฉะนั้น ถ้าคุณมิ้นท์มีปัญหาอะไรในการทำงาน หรือมีข้อสงสัยใดๆเกี่ยวกับตัวผม ขอให้มาปรึกษาผมโดยตรง...ไม่ต้องไปสอบถามจากคนอื่น” พูดจบสายตาเขาคมกริบเหมือนกำลังตำหนิเธอ
สบันงายิ้มรับประโยคคล้ายคำเตือนของเขา...แต่ยิ้มไม่ออก
ท้ายประโยคของเขาทำเอาสีหน้าเธอเจื่อนไปนิดหนึ่ง เมื่อเหลือบตามองหน้าตาเขายังคงนิ่งเหมือนเดิม ดังนั้นสบันงาจึงได้แต่พยายามทำสีหน้าให้เป็นปกติ
เธอหอบแฟ้มเอกสารการเปิดตัวโครงการ ‘เมืองมหานคร’ โครงการใหม่ของบริษัทหนึ่งกองใหญ่ออกไปด้วย ตามคำสั่งของผู้เป็นเจ้านายคนใหม่
เมื่อเธอวางเอกสารทั้งกองไว้บนโต๊ะ พรฤดีก็รีบวิ่งปรู๊ด เหมือนมาตามข่าว
“เป็นยังไงบ้างคะน้องมิ้นท์”
“ก็ไม่มีอะไรนี่คะ” เธอยักไหล่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“แต่...พี่ได้ยินกิตติศัพท์มา ว่าคุณเข้มแกสุดเฮี้ยบเลยนะคะ ก่อนที่แกจะมานั่งคุมในตำแหน่งนี้ แกเป็นคนคุมบริษัท ‘บันลือกิจ’ บริษัทลูกในเครือของบริษัทนี้อีกทีล่ะค่ะ...อยู่ถัดไปอีกสองชั้นของตึกนี้แหละ”
พรฤดีหัวเราะคิกคักก่อนจะพูดต่อ “ที่สำคัญ หล่ออย่างเนี้ย แต่ยังเป็นโสดอยู่เลยนะน้องมิ้นท์...ข่าวนี้พึ่งส่งตรงมาถึงหูพี่เลย”
แล้วจะบอกเธอทำไม...ว่าเขายังเป็นโสด
“เดี๋ยวเราค่อยคุยกันตอนพักทานข้าวกลางวันดีกว่าค่ะ พี่ฤดี”
สบันงารีบตัดบท เมื่อเห็นจ้านายหนุ่ม เปิดประตูโผล่หน้าออกมาจากห้อง
พรฤดีรีบเดินกลับไปยังโต๊ะทำงานของตัวเอง
“เดี๋ยวกลางวันคุณไปทานข้าวกับผมนะ ผมมีธุระจะคุยด้วย”
เข้มขาลมาหยุดยืนข้างโต๊ะทำงานของเธอ แล้วก็พูดคล้ายออกคำสั่ง พอพูดจบเขาก็เบี่ยงตัวหลบชิดเข้าข้างโต๊ะด้านใน เพื่อหลีกทางให้หญิงสาวฝ่ายประชาสัมพันธ์ คนที่พรฤดีเอ่ยชื่อทิ้งไว้เป็นปริศนาของการลาออกกะทันหันของคุณประสิทธิ์ เจ้านายเธอซึ่งกลายเป็นอดีตเจ้านายไปเสียแล้ว
เข้มขาลทำตัวลีบเล็ก เพื่อจะหลีกทางให้ กิรดา เขาหันมามองสบันงาอีกครั้ง แล้วจึงย้ำ “คุณอย่าลืมนะ...เที่ยงตรง ผมชอบคนตรงต่อเวลา”
แล้วเขาก็หันไปจ้องหญิงสาวอีกคนที่มาใหม่...ในแวบเดียวของประกายตาชายหนุ่มหากใครได้จ้องไป อาจจะรู้สึกคล้ายเทียนไขที่ละลายเพราะเปลวเทียนไหวไปมา เหมือนกับที่จู่ๆตัวของกิรดาก็รู้สึก
กิรดา เหมือนได้กลิ่นโคโลญจน์ หรือน้ำหอมอะไรบางอย่าง ที่กรุ่นกลิ่นละมุน เย็นหอมสะอาดจางๆ มาจากกลิ่นกายของชายหนุ่มที่กำลังเดินจากไป
กิรดาเผลอยืนมองตามหลังเขาไปโดยไม่รู้ตัว และก็ต้องสะดุ้งเมื่อจู่ๆสบันงาที่กำลังยืนมองสายตาของกิรดา พูดทักด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“มีธุระอะไรกับพี่คะ น้องแก้ม”
“คะ...”
กิรดาตื่นจากภวังค์ก่อนจะยิ้มรับ ชะโงกหน้าเข้าไปใกล้สบันงา
“แก้มมีเรื่องจะปรึกษาพี่มิ้นท์ค่ะ”
สบันงายังคงประหลาดใจ ทั้งเรื่องของเข้มขาล ที่จู่ๆก็นึกครึ้มมาชวนเธอไปทานอาหารกลางวันโดยพูดชวนแกมบังคับ...เวลาพักเที่ยงก็น่าจะเป็นเวลาส่วนตัวของเธอไม่ใช่เหรอ...นี่จะเอาเรื่องงานมาอ้าง...เธอนึกแล้วให้หงุดหงิด เพราะอยากจะไปสนทนาเรื่องจุกจิกตามประสา ผู้หญิงกับพี่พรฤดีมากกว่า
...สงสัยเรื่องการนินทาชาวออฟฟิศ คงต้องพักไว้ก่อน...
แต่ถึงยังไง แม้พรฤดี จะไม่ได้คุยกับเธอ แต่เธอก็เชื่อว่าพรฤดีก็คงจะหาคนมาสุมหัวจับกลุ่มนินทาคนอื่นได้ไม่ยาก
แม้สบันงาจะไม่ใช่คนที่ชอบนินทาคนอื่นเหมือนพรฤดี แต่ชั่วโมงนี้มันมีคำถามซึ่งเป็นปริศนาคาใจเธออยู่หลายประเด็น และคิดว่าพรฤดีคงให้คำตอบกับเธอได้
แต่เรื่องนั้นก็ยังไม่ปัจจุบันทันด่วน เท่ากับที่ตอนนี้ กิรดา สาวน้อยร่างเล็ก ไว้ผมยาวตรงประบ่า ตานั้นหยีเล็ก แก้มป่องสมกับชื่อ กำลังยิ้มโชว์เหล็กดัดฟัน พลางเขย่าแขนเธออย่างเร่งเร้า “ไปคุยกันตอนนี้เลยค่ะ พี่มิ้นท์”
“แล้วงานของพี่ล่ะคะน้องแก้ม” สบันงาแอบรั้งตัวไว้กับขอบโต๊ะ ทำท่ากึ่งลำบากใจ เผื่อกิรดาจะรับรู้ได้...แต่เปล่าเลย เธอยังคงกระเง้ากระงอดและทอดสายตาอ้อนวอน จนสบันงาใจอ่อน
“แป๊บเดียวนะคะ น้องแก้ม เดี๋ยวพี่จะโดนเจ้านายบ่น”
สบันงาเดินตามกิรดาไปโดยง่าย
พ้นประตูหน้าบริษัท บริเวณมุมอับที่มีชุดโซฟาวางไว้ริมหน้าต่างทางโค้งลงบันได กิรดาจึงรั้งมือคู่สนทนานั่งลงบนโซฟา ที่ตอนนี้มีเพียงสองสาวนั่งจ้องหน้ากันไปมา
“มีเรื่องอะไรจะปรึกษาพี่ก็พูดมาเลยค่ะ น้องแก้ม”
จริงๆแล้วตั้งแต่สบันงา เริ่มงานที่นี่ เธอก็ไม่รู้ตัวว่าสนิทสนมกับกิรดาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ด้วยจังหวะการเริ่มงานที่ไล่เลี่ยกันเพียงไม่กี่วัน ตัวกิรดาเองนั้นก็มีสายเลือดนักประชาสัมพันธ์เต็มขั้น เธอทั้งสองคนจึงเริ่มคุยกันคุ้นเคยและถูกคอ
แต่คงไม่มีใครล่วงรู้ ว่าวันข้างหน้าเธอสองคนจะไม่มองหน้ากัน...
“แก้มไม่รู้จะไปปรึกษาใคร...มองเห็นแต่พี่มิ้นท์คนเดียว”
สบันงากำลังคิดว่าปัญหาของเด็กสาววัยรุ่น ที่พึ่งจบปริญญาตรีหมาดๆ หน้าตาจิ้มลิ้มอย่างกิรดา จะมีอะไรมากไปกว่าเรื่องของแฟน
แล้วมันก็เป็นจริงดังคาด เมื่อเรื่องที่เธอมาขอคำปรึกษา เป็นเรื่องของผู้ชาย...ผู้ชายที่ไม่ได้มาจีบเธอหวังคบหาดั่งแฟน...ผู้ชายที่คิดเพียงจะล่อหลอกหวังเรื่องอย่างว่า...ผู้ชายที่มีอายุมากกว่าเธอรุ่นราวคราวพ่อ...ผู้ชายที่มีภรรยาจดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมาย...ผู้ชายที่มีลูกน้อยกำลังอยู่ในวัยเรียน...และผู้ชายคนนั้นก็เคยเป็นเจ้านายเก่าของสบันงานั่นเอง
...คุณประสิทธิ์ ที่พึ่งถูกเชิญออก...
สบันงาไม่อยากจะเชื่อว่าข่าวจากสายตรงที่พรฤดี หมายมั่นข้อมูลมานั้นมันจะเป็นเรื่องจริง...ฉะนั้นปัญหาคาใจในเรื่องที่เธอต้องการถามจากพรฤดี ก็เป็นอันว่า เธอได้รับคำตอบจากปากของผู้ถูกนินทาแล้วหนึ่งข้อ
แต่ก็ยังเหลือคำถามอีกหลายข้อรอไขความกระจ่าง...
“แล้วแก้มจะให้พี่ช่วยยังไงล่ะ” สบันงาพลอยมีสีหน้าวิตกกังวลใจไปด้วย เมื่อได้รู้ความเป็นไปเป็นมาในการออกกะทันหันของเจ้านายเก่า
แล้วเธอก็ต้องถลึงตาใส่สาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มทันที ที่ได้ยินสิ่งที่กิรดากำลังขอร้อง
“แก้มไม่อยากให้คุณประสิทธิ์เข้ามาวอแวกับแก้มอีก” เธอนิ่งและก้มหน้าอย่างขวยเขิน ก่อนจะพูดต่อ “แก้มคิดว่า...แก้มจะต้องมีใครซักคน มาเป็นแฟนแก้ม...คุณประสิทธิ์เค้าจะได้เลิกมายุ่งกับแก้มซักที”
เธอนิ่งฟังแล้วก็แอบลุ้นว่าสิ่งที่กิรดาคิดนั้นก็เข้าท่าดี ถ้าไม่บังเอิญได้ยินชื่อของผู้ชายคนหนึ่งที่กิรดาคิดจะเลือกเขามาเป็นแฟน
“แก้มคิดว่าคงไม่มีใครเหมาะที่จะเป็นผู้ชายคนนั้นเท่ากับ...”
แล้วกิรดาก็ยิ้มหวาน มันหวานซะจนสบันงาเริ่มหวั่นหวาดหวั่น
“แก้มชอบคุณเข้มขาลค่ะ...อยากให้พี่มิ้นท์ช่วยเป็นแม่สื่อให้หน่อย”
นั่นไง...ชื่อที่เธอไม่อยากได้ยิน
ตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว ที่ได้หนังสือกลเม็ดบ้าบอคอแตก มาจากตลาดนัดจตุจักร ชื่อของเข้มขาลก็มาปรากฏทั้งในมโนภาพ ทั้งในฝัน ทั้งในความเป็นจริง เหมือนมันคอยวนเวียนตามหลอกหลอนเธอทั้งวัน
แล้วไหนจะมื้อเที่ยงนี้อีกล่ะ...
เธอนึกรำคาญชื่อของนายเข้มขาลนี้จับใจ
...........................................
| จากคุณ |
:
บุรามฉัตร
|
| เขียนเมื่อ |
:
15 ก.ย. 53 18:24:21
|
|
|
|