*************กลเม็ดเด็ดพรายรัก...ตอนที่ 4***************
|
|
ตอนที่ 4
ตั้งแต่เวลาช่วงสี่โมงเย็น ตามถนนหนทางที่แน่นเอี้ยดไปด้วยรถยนต์ แต่ละคันก็ต่างเร่งรีบเพื่อจะเดินทางกลับไปยังที่พักของตนเอง...ไม่เว้นแม้แต่ผู้คน ที่เบียดเสียดอยู่ตามป้ายรถเมล์ต่างก็ยืนรอบ้าง นั่งรอบ้าง รอเพื่อจะขึ้นไปยืนแออัดอยู่บนรถเมล์ในแต่ละคัน
แต่สำหรับสบันงา...นับว่าเป็นความโชคดี ที่ไม่ต้องฝ่าการจราจรติดขัดแบบนั้น เพราะการเดินทางของเธอเป็นไปอย่างสบาย เมื่อเธอเลือกที่จะไปกลับด้วยรถไฟฟ้า แค่สองป้ายรถไฟฟ้าเท่านั้น
เธอกลับมาถึงห้องเพียงครึ่งชั่วโมง หลังออกจากออฟฟิศเมื่อตอนห้าโมงเย็น กลับมา ถึงก็ล้มตัวลงนอนบนเตียง ทั้งชุดทงานอย่างนั้น เพียงแต่ถอดเสื้อคลุมสีสดตัวนอกพาดไว้กับเก้าอี้ แล้วดึงชายเสื้อที่สอดอยู่ภายในกระโปรง...เธอนอนหลับตาเพียงคิดว่าจะพักสายตาเท่านั้น แต่เมื่อหัวถึงหมอน ก็ไม่รู้ตัวว่าม่อยหลับไปด้วยความเพลียตอนไหน
ทันทีที่ดวงความคิดกำลังเริ่มหลับใหล ภาพของเข้มขาลก็ลอยล่องปรากฏ มารบกวนจิตใจเธอแม้ในยามหลับ...
ในมิติที่เธอกำลังครึ่งหลับครึ่งตื่น...เธอก็พบว่าตัวเองกำลังยืนกอดอกปั้นหน้าถมึนทึงอย่างที่ตัวเธอเองแน่ใจ ว่าชาตินี้เธอยังไม่เคยตีหน้ายักษ์แบบนั้นกับใคร...และเมื่อเขาคนนั้นหันหน้ามา เธอก็หยิบสิ่งของที่เธอคิดว่าใกล้มือที่สุด มาเป็นอาวุธทำร้ายชายตรงหน้า ทั้งแจกันดอกไม้ ทั้งกรอบรูป ทั้งกองนิตยสารที่วางทับซ้อนอยู่หลายเล่ม ล้วนถูกเธอหยิบมันขึ้นมาขว้างใส่ ไปที่ลำตัวและใบหน้าของชายหนุ่ม แม้มันจะถูกบ้าง ไม่ถูกบ้าง เพราะสองมือของเขาที่ยกขึ้นมาปัดป้องตนเอง
สักประเดี๋ยว ท่าทางโกรธเกรี้ยวสุดแสนจะบรรยายในตัวเธอ ก็ยิ่งเพิ่มหนักขึ้นเมื่อชายคนนั้นเข้ามาประชิดร่างเธอไว้ และบีบข้อมือของเธอไว้ทั้งสองข้าง เขากำไว้แน่นจนเธอยากที่จะแกะออก...และในที่สุดเธอก็หมดแรงที่จะโวยวาย ต่อต้าน
มีเพียงเสียงร้องไห้คร่ำครวญเป็นระยะ สลับกับเสียงสะอื้น
สบันงากำลังนอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง หัวคิ้วย่นเข้าหากันจนเป็นร่องลึกเรียงเป็นเส้น เปลือกตายังปิดสนิทแต่คล้ายกำลังกดหัวตาลงหน่วงไว้ทั้งสองข้าง มือทั้งสองข้างเผลอกำผ้าปูเตียงไว้แน่น มีเหงื่อผุดเม็ดจนเปียกชื้น
แล้วเธอก็ต้องสะดุ้งสุดตัว ผุดลุกขึ้นเมื่อภาพในฝัน ระหว่างที่เธอกำลังอ่อนแรงเพราะชายคนนั้นกำลังนอนกดทับไปบนร่างของเธอ จมูกโด่งคมสันกำลังไล้ไปที่ใบหน้าเรียวซีกข้างแก้ม ริมฝีปากสากสั่นกำลังเลื่อนต่ำลงมาหยุด...หยุดอยู่ที่ริมฝีปากเธอ จนเธอต้องเม้มปากสนิทก่อนจะกรีดร้องเสียงแผดลั่นไปทั่วสถานที่แห่งนั้น
สบันงากางสองมือตบกระพุ้งแก้มสลับไปมา คล้ายเรียกสติ...ก่อนจะสำรวจร่างกายตนเองว่ายังอยู่ดี ไม่มีสึกหรอ...
เธอใช้นิ้วมือลูบปากตัวเองไปมา...อย่างกับว่าภาพเมื่อสักครู่มันเกิดขึ้นจริง
นั่นเท่ากับว่าชายคนนั้นมาขโมยจูบแรกของเธอไป...แม้มันยังจะเป็นรอยจูบครึ่งๆกลางๆ...ถึงแม้มันจะเป็นแค่ภาพแห่งความฝันก็ตาม
อายุที่ยังคงเดินหน้าไม่หยุด...ซึ่งสวนทางกับเรื่อง ‘พรรค์นั้น’ สำหรับคนอ่อนประสบการณ์อย่างเธอ ยังไม่เคยได้รับการเริ่มต้นจากชายใด...แต่จู่ๆก็เก็บมาฝันเป็นตุเป็นตะ
มันช่างน่าขันยิ่งนัก...หรือว่าเธอกำลังหมกมุ่นเรื่องของเข้มขาลมากเกินไป
เมื่อนึกถึงชื่อเข้มขาล หน้านั้นก็ลอยมาปรากฏเด่นชัด มันเป็นใบหน้าเดียวกันกับผู้ชายในฝันเมื่อสักครู่ แม้มันจะเห็นเป็นรางๆ แต่เธอก็จำมันได้ดี
สบันงาลุกขึ้นไปเปิดสวิตซ์ไฟนีออนกลางห้อง ก็พบว่าหมอนหนุน หมอนข้างสองสามใบรวมทั้งผ้านวมลงไปกองอยู่ที่พื้น...เธอจึงก้มตัวลงไปเก็บหมอนขึ้นมาปัดฝุ่นป้าบ ก่อนจะโยนไปไว้ที่เดิม...แล้วก็พบว่าหนังสือเล่มหนาปกแข็งสีน้ำตาลยับเยิน ก็ลงไปกองรวมอยู่กับพื้นเช่นกัน
เหมือนมีมนต์สะกด ให้เธอก้มลงไปเก็บมันขึ้นมา แล้วนั่งลงบนขอบเตียงด้านหนึ่ง ก่อนจะพลิกเปิดเข้าไปด้านในอีกครั้ง...
เธออ่านทวนชื่อหนังสือในหน้าแรก แล้วทำท่าจะปิดหนังสือลง...แต่มือเธอก็เหมือนมีสวิตซ์เปิดเองโดยอัตโนมัติ...หน้าหนังสือพลิกไปยังหน้าถัดไป...เธอไล่สายตามายังข้อความข้างต้นว่า...กลเม็ดที่หนึ่ง...
แล้วก็ต้องตาค้างอยู่อย่างนั้น...นับหนึ่งถึงสิบในใจ...ก่อนจะพลิกกลับมาหน้าเดิมอีกรอบ “มันอะไรกันเนี่ย...” เธอเผลออุทานเกือบดัง
จะไม่ให้ตกใจได้อย่างไร ในเมื่อหน้าหนังสือที่เธออ่านเมื่อวาน ตรงบรรทัดรอยไข่ปลามันยังเป็นเพียงความว่างเปล่า...แต่ในตอนนี้ กลับปรากฏข้อความขึ้นใหม่สี่บรรทัด ซึ่งข้อความนั้นสร้างความฉงนให้แก่เธอยิ่งนัก
ก็เพราะข้อความนั้นเป็นลายมือของเธอ...มันคล้ายลายมือของเธอมาก แต่เธอก็มั่นใจว่าตั้งแต่เมื่อวานก่อนนอนจนถึงตอนนี้ เธอยังไม่มีโอกาสได้เขียนตัวหนังสือใดๆลงไปในเล่มอย่างแน่นอน แต่ทำไมมันถึงปรากฏลายมือของเธอขึ้นได้
ข้อความนั้นปรากฏว่า...
วันนี้เป็นวันที่รู้สึกเหนื่อย...และมีเรื่องวุ่นวาย เกิดขึ้นหลายอย่างตั้งแต่ได้พบหน้าเจ้านายคนใหม่...ทั้งการลาออกกะทันหันของคุณประสิทธิ์...ทั้งเรื่องราววุ่นวายที่รับฟังมาจากกิรดา...และยังต้องถูกเขม่นจากผู้หญิงที่ชื่อไคริกานั่นอีก...เพราะเขาคนเดียว...นายเสือยิ้มยาก
นี่เธอแอบไปเขียนบันทึกไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
เธอได้แต่เก็บความฉงนไว้ในใจ...แต่เมื่อไล่สายตาลงมายังข้อความล่างสุดที่พึ่งอ่านไว้เมื่อวาน ประโยคคำถามนั้นกลับปรากฏคำตอบอยู่ใต้บรรทัดถัดมา
‘เข้มขาล’
ชื่อนี้ตามมาหลอกหลอนอีกแล้ว...ด้วยลายมือของเธอเอง
เธออ่านทวนประโยคคำถามอีกครั้ง ก่อนจะมีเสียงชื่อเข้มขาลลอดมาเบาๆจากปากเธอ...ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า ข้อความนั้นระบุชื่อนายเข้มขาลว่าเธอเลือกเป็นแฟนงั้นเหรอ?
ความสับสนระคนความประหลาดใจ...มันช่างยากเย็นเหลือเกิน ที่เธอจะรวบรวมความคิดว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้น
ในขณะที่ความงงงันยังสิงสู่อยู่ในดวงความคิดนั้น...ลมเบื้องนอกก็ม้วนตัวเบาๆพัดเข้ามาพาความเย็นยะเยียบผาดผ่านผิวหนังของเธอ จนขนเกือบลุกไปทั่วตัว
ลมเย็นนั้นยังพัดพาหน้ากระดาษให้พลิกไปเองยังหน้าถัดไป...
กลเม็ดที่สอง:
คุณคงได้คำตอบในใจแล้ว ว่าใครที่คุณกำลังจะเลือกเข้ามาคบหาเป็นแฟน...คนๆนั้นจะเป็นที่จดจำแก่คุณ ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ ทั้งภายในและภายนอก...รวมไปถึงชื่อนั้นมักจะคอยวนเวียนอยู่รอบข้างคุณเสมอ จนเรียกได้ว่าได้ยินทุกลมหายใจ...แม้กระทั่งเสียงของคนๆนั้นก็จะวนเวียน อยู่ข้างหูคุณแทบจะตลอดเวลา...นั่นไม่ใช่จิตฟุ้งซ่านใดๆ...แต่ขอให้คุณจงเชื่อ ว่าคนๆนั้นเป็นคนที่คุณกำลังเลือก...
คุณรู้จักอะไรในตัวคนนั้นบ้าง?
คุณจำเป็นต้องรู้เรื่องพื้นฐานในชีวิตประจำวันของคนนั้น อาทิ ชอบสีอะไร...ชอบทานอะไร...เกิดวันที่เท่าไหร่...เป็นต้น
เรื่องง่ายๆเหล่านี้ คุณจงไปค้นหาคำตอบ...
มีสิ่งหนึ่งที่คุณควรรู้ ก็คือ...คนๆนั้นเขามีสถานะแบบใด?
1.แต่งงานแล้ว 2.มีแฟนแล้ว 3.โสด
ถ้าคนๆนั้นอยู่ในเกณฑ์ข้อ 1.คุณจงเลือกคนใหม่ แต่ถ้าอยู่ในเกณฑ์ข้อ2.และ3. นั่นหมายถึงทางสะดวก
ข้อ3.คุณจะสามารถเดินหน้าในการจีบได้เต็มที่ แต่ถ้าเป็นข้อ2.คุณไม่ต้องวิตกกังวล เพราะนั่นหมายถึงคุณยังมีโอกาส
เมื่ออ่านจนจบบรรทัด ช่องว่างเป็นจุดไข่ปลาก็ทอดยาวไว้หลายบรรทัด ไม่ต่างไปจากหน้าแรก...แต่เสียงลมหายใจที่ยังคงทอดถอนอยู่นั้น มันเกิดจากความไม่แน่ใจในตัวเองต่างหาก ว่าเธอน่ะเหรอชอบผู้ชายคนนั้น
ความไม่แน่ใจยังคงกังขาอยู่อย่างนั้น เมื่อเธอเหลือบมองไปยังกล่องๆหนึ่งที่วางไว้ข้างกระเป๋าสะพายบนโต๊ะคอมพ์
เธอควรจะช่วยกิรดาจริงๆน่ะเหรอ...
สบันงาวางหนือสือกลเม็ดเจ้าปัญหาลงข้างกาย หลังจากพลิกเปิดไปมา ก็พบว่าเหมือนเมื่อวานที่หน้าหนังสือถัดไปยังคงว่างเปล่า และนึกทวนคำถามที่อยู่บรรทัดสุดท้ายในกลเม็ดที่สอง
2.คุณจงใช้ใจสานสัมพันธ์เพื่อเรียนรู้สิ่งที่เขาเป็น แล้วคุณจะได้วิธีการในการมัดใจคนๆนั้น?
สบันงาทวนคำถามนั้นย้ำไปย้ำมา แล้วนึกหงุดหงิดในคำถามที่อ่านแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกบังคับ
ความคิดกำลังสับสนทั้งเรื่องลายมือตัวเองที่เป็นปริศนาคาใจ...ทั้งของในกล่องที่เป็นแผนการลับในใจ...ทุกๆเรื่องมีแต่เข้มขาลเข้ามาเกี่ยวพัน...
แล้วนี่เธอจะปรึกษาใครดีละเนี่ย...นอกจากปาลิตาเพื่อนรัก
คิดดังนั้น...มือข้างหนึ่งจึงคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์ของปาลิตา เพื่อโทรหา...แต่แล้วเสียงเพลงจากสายเรียกเข้าคุ้นหูของนักร้องบอยแบนด์เกาหลี กำลังดังต่อเนื่องขึ้นอยู่ไม่ไกล
มันดังมาจากหน้าห้องของเธอเอง...ดังพร้อมๆกับเสียงเคาะประตูของคนที่เธอกำลังโทรหา
แค่คิดว่าจะโทร...เจ้าตัวก็โผล่หน้ามาเอง...ยิ่งกว่าดิลิเวอรี่ซะอีก
กำลังนึกคันปากอยากจะเมาท์กับเพื่อนสาวพอดี แต่เมื่อเปิดประตูต้อนรับ...สีหน้าของปาลิตาที่ปรากฏ ทำให้สบันงาถึงกับยืนอึ้งอยู่กับที่ และลืมเรื่องที่อยากเมาท์ในทันที
สบันงาคว้าข้อมือเพื่อนกึ่งลากกึ่งจูงเข้ามาในห้อง แล้วปิดประตู เมื่อหน้าตาสวยสะอาดสะอ้านของปาลิตา เต็มไปด้วยคราบน้ำตาที่ไหลรินทั่วหน้า มีรอยคราบดำของมาสคาร่ายาวเปรอะเปื้อนเป็นดวงจนหาเค้าความงามไม่เจอ
ไม่เพียงแต่หน้าตาที่ดูไม่ได้ เสียงที่ร้องอู้อี้อยู่ภายในลำคอก็ฟังไม่รู้เรื่อง และเสียงนั้นค่อนข้างแหบพร่าเหมือนกับว่าร้องจนไม่มีเสียง
“เกิดอะไรขึ้นยายปุ๊กกี้...แกเล่าให้ชั้นฟังเลยนะ...ว่าใครทำอะไรแก”
สบันงาถามเพื่อนด้วยความเป็นห่วง...แต่ก็ไม่มีคำตอบใดๆ นอกจากเสียงร้องนั้นเหมือนจะดังขึ้น...ดังจนผู้ถามรู้สึกตกใจเสียยิ่งกว่า ก่อนจะคว้าตัวเพื่อนสาวเข้ามาโอบกอดไว้
เวลาที่คนเรามีปัญหา...คนแรกที่เราจะนึกถึงก็คือเพื่อนที่สนิทที่สุด...ส่วนคนในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ พี่น้อง มักจะตามมาทีหลังเสมอ...แล้วยิ่งปัญหาที่เกิดขึ้นของปาลิตาเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับมารดา...ฉะนั้นคนที่เธอควรปรึกษาที่สุดในเวลานี้ ก็คือสบันงา
นานร่วมสิบนาที ที่ปาลิตายังคงสะอื้นไม่หยุด ก่อนที่เธอจะเปิดปากเล่าเรื่องราว
“มิ้นท์...แกต้องช่วยชั้นนะ...เพราะชั้นก็ไม่รู้จะไปพึ่งใคร”
“แกจะให้ชั้นช่วยอะไร แกว่ามาเลย ชั้นช่วยแกทุกเรื่อง” เธอพูดอย่างจริงใจ
ปาลิตาจ้องหน้าเพื่อนคล้ายไม่แน่ใจว่าจะช่วยได้อย่างไร
“นี่แกจ้องชั้นอย่างนี้...แกไม่เชื่อชั้นเหรอ...จะให้ชั้นไปพะบู๊กับใคร ชั้นไม่กลัวอยู่แล้ว...แกบอกมาคำเดียว” ผู้พูดวางท่านางเอกนักบู๊แบบในจอทีวี
ปาลิตาเรียบเรียงคำพูดก่อนจะสาธยายเรื่องราว “แม่ชั้นจะให้ชั้นไปดูตัวกับผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้”
“โอ๊ย...ก็นึกว่าเรื่องอะไร...ก็แค่ดูตัว...แม่แกก็พาแกไปดูตัวมาไม่รู้กี่คนละ...แกก็ยื่นคำขาดแบบทุกครั้งก็สิ้นเรื่อง ว่าไม่ชอบ...ชั้นก็ไม่เห็นแม่แกจะทำอะไรได้”
แม่ของปาลิตามักจะแนะนำลูกสาวกับคนในวงสังคมอยู่เรื่อยมา ผู้ใหญ่คนก่อนๆก็มักจะเออออห่อหมกกันทุกครั้งร่ำไป...มันเป็นความเห็นของผู้ใหญ่แต่ละฝ่าย โดยที่ไม่เคยถามความสมัครใจจากเจ้าตัวเลยสักครั้ง
จะไม่ให้ปาลิตาตั้งแง่ได้อย่างไร...ในเมื่อผู้ชายที่มารดาคิดว่าดีและเหมาะสมสำหรับเธอ มีเพียงเหตุผลเดียว ก็คือ ต้องรวย...รวย...รวย
และผู้ชายทุกคนที่ผ่านเข้ามาก็ดูจะมีจุดเด่น อยู่ที่ความรวยอย่างเดียว...แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการ...ความรักสำหรับเธอ ไม่ได้อยู่ที่ฐานะ หรือว่าแค่หน้าตาเท่านั้น
ถ้าเธอไม่เลือกมาก ป่านนี้ก็คงจะไม่ครองความเป็นโสดอยู่เป็นเพื่อนสบันงาหรอก
‘แกจะเอายังไงกับชั้น ชั้นหาผู้ชายมาให้แกเลือกตั้งไม่รู้กี่คน แล้วอย่างแกลองมองดูตัวเองซิ ว่าควรจะอยู่ในฐานะที่จะเลือกคนนู้นที คนนี้ทีได้เหรอ...อายุแกก็ไม่ใช่น้อยๆ จะขึ้นเลขสามอยู่รอมร่อ ไม่คิดจะลงจากคานมั่งรึไงยะ...ชั้นต้องเสียหน้ากับเพื่อนฝูงตั้งไม่รู้กี่หน ที่แกหักหน้าชั้นทุกครั้ง’ คุณปัณนรีผู้เป็นมารดาถอนหายใจอย่างหนัก ก่อนจะพูดต่อ
‘แต่คราวนี้ ชั้นจะไม่ยอมแกเด็ดขาด หัวเด็ดตีนขาดยังไงแกก็ต้องเลือกผู้ชายคนนี้แกต้องแต่งงานกับคนนี้’
คำพูดของคุณปัณนรีเข้มงวดและเด็ดขาดกว่าทุกครั้ง ‘ถ้าแกไม่แต่งกับคนนี้ ต่อไปนี้ แกไม่ต้องเรียกชั้นว่าแม่อีกต่อไป’
นั่นเป็นคำขาดสุดท้าย ก่อนที่คุณปัณนรีจะหันหลังให้ลูกสาว แล้วเดินเข้าห้องตัวเองด้วยใบหน้าที่เรียกว่าโกรธอย่างเอาเป็นเอาตาย
ซึ่งก็ไม่ต่างกับผู้ที่ถูกบังคับ ที่โกรธมารดาไม่แพ้กัน แต่ในความโกรธนั้นกลับแฝงความรู้สึกน้อยใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
จะไม่ให้ปาลิตารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจได้อย่างไร ในเมื่อลูกสาวคนเล็กอย่างเธอ เคยเป็นคนที่ทั้งพ่อและแม่ต่างเอาอกเอาใจและโอ๋เป็นพิเศษ ไม่เคยขัดใจมาตั้งแต่เป็นเด็ก เพราะเธอเป็นเด็กเรียนตัวยง ที่ผลการเรียนเป็นที่หนึ่งมาตลอด ตั้งแต่ประถมศึกษายันจบปริญญาตรี ก็ยังได้เกียรตินิยมอันดับสองมาไว้ครอบครอง
เรื่องการเรียนมันยังบังคับกันได้...แต่เรื่องของความรักนี่สิมันบังคับกันไม่ได้
แต่เหตุผลของคุณปัณนรีก็มีเสียมากมาย...ไม่ว่าจะตำแหน่งทางการเมืองที่เป็นถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของคุณอลงกรณ์ บิดาของผู้ชายคนนั้น...รวมถึงตำแหน่งนายกสมาคมสารพัดสมาคมที่คุณหญิงทอรุ้ง มารดาของผู้ชายคนนั้น ที่เหมือนมันค้ำคอคุณปัณนรีจนไม่สามารถปฏิเสธได้
เรื่องของลาภยศสรรเสริญ เรื่องตำแหน่งใดๆ นั้นไม่เคยอยู่ในสายตาของเธอ
“แกก็ลองไปดูตัวเค้าก่อนก็ได้นี่นา...บางทีเค้าอาจจะเป็นผู้ชายที่ตรงสเป็ก แบบที่แกต้องการก็ได้นะ” สบันงาพูดหวังให้เพื่อนสบายใจ
“แต่ชั้นไม่ชอบวิธีการแบบนี้...ชั้นไม่ชอบให้ใครมาบังคับ” น้ำเสียงยังคงขุ่นมัว
“ทีพี่ปองอายุมากกว่าชั้นตั้งสองปี จนป่านนี้ยังไม่เคยพาแฟนเข้าบ้าน แม่ยังไม่เห็นบังคับให้เค้าแต่งงานมั่ง”
“แล้วแกไม่ถามแม่แกล่ะ...ว่าทำไมไม่ให้พี่ปองเค้าแต่งงานก่อน”
“ถามแล้วย่ะ”
“แล้วแม่แกว่ายังไง”
“เค้าบอกว่าผู้ชายจะแต่งงาน ควรมีอายุสักสามสิบห้า ให้มีความเป็นผู้ใหญ่ มีการมีงานมั่นคง...แต่ผู้หญิงอย่าให้เกินสามสิบ ไม่งั้นจะไม่ทันการ”
สบันงาขมวดคิ้วกับคำว่าไม่ทันการ
“หมายความว่าไงยะ...ยายปุ๊กกี้...ที่แม่แกบอกว่าไม่ทันการ”
“ก็เค้ากลัวว่าพอเลยสามสิบไปแล้ว มันจะลงจากคานยากน่ะสิ”
ทั้งปาลิตาและสบันงาต่างจ้องตากัน เมื่อคำว่าขึ้นคานมันแว้บขึ้นมา
“ผู้ชายคนนั้นเป็นใครกัน” สบันงาแอบถาม “ชั้นรู้จักหรือเปล่า”
“ชั้นก็ไม่รู้ว่าเค้าเป็นใคร เพราะแม่ชั้นนัดทานข้าวกับครอบครัวเค้า ในวันเสาร์นี้”
“เค้าชื่ออะไรล่ะ...เผื่อเราลองหาข้อมูลของเค้าดูก่อน”
สบันงาทำเหมือนจะสืบเรื่องราวของชายหนุ่มแทนปาลิตา ทั้งๆที่เรื่องวุ่นวายคอยรบกวนจิตใจตัวเองก็มีไม่น้อย
“ชั้นก็จำไม่ได้ล่ะ...คลับคล้ายคลับคลาว่าชื่ออะไรน้า...”
ในระหว่างที่ปาลิตากำลังนึกชื่อ ของผู้ชายที่มารดาหมายจับให้มาเป็นคู่นั้น สบันงาก็ลุกขึ้นเดินลงไปนั่งอยู่หน้าคอมพ์ แล้วกดสวิตซ์เปิดเครื่อง...เมื่อเครื่องโหลดหน้าจอเสร็จ ไม่รอช้ามือเรียวยาวก็กดตัวอักษรบนแป้นพิมพ์...เซิร์ชหาข้อมูลของชื่อผู้ชายคนนั้นทันที
“อ๋อ...ชั้นนึกออกแล้ว...เค้าชื่อ ระกากล บันลือรักษ์...ชื่อเล่นว่านายไก่”
“ตายละ...แม่คุณ...บอกไม่สนใจเค้า แต่จำได้แม่นยำทั้งชื่อทั้งนามสกุลเลยนะยะ”
สบันงาแอบแขวะเพื่อน...ก่อนจะหันกลับมาดูชื่อกับนามสกุลที่พิมพ์ลงไป
เธอแอบย่นหัวคิ้วเข้าหากัน เมื่อนามสกุลของนายไก่คนนี้ ดันไปตรงกับนามสกุลของเข้มขาล เจ้านายคนใหม่ของเธอ
ไม่ทันที่ความสงสัยจะผ่านออกมาเป็นคำถาม เธอก็ได้คำตอบปรากฏบนหน้าจอคอมพ์ เมื่อคลิกเข้าไปดูหน้าข่าวที่ลงข้อมูลและรูปภาพของชายคนนั้น
ในภาพสามภาพ...ภาพแรกเป็นภาพที่ระกากลยืนถ่ายคู่กับบิดามารดา เพราะมีข้อมูลบรรยายไว้ใต้ภาพ...ส่วนภาพที่สองเป็นภาพที่ชายหนุ่มถ่ายรูปคู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง...คล้ายกับภาพนั้น เป็นภาพที่นักข่าวกอซซิปแอบถ่ายไว้ จึงเห็นภาพที่ไม่ค่อยชัดนัก มีเพียงคำบรรยายแค่ว่าเขาถ่ายรูปคู่กับคนรัก ไม่ได้ระบุชื่อว่าผู้หญิงในภาพนั้นเป็นใคร
เมื่อเปิดแค่ภาพที่สองสบันงาก็ขมวดคิ้วหนักขึ้นไปอีก เพราะเธอกำลังรู้สึกว่าเคยเห็นผู้หญิงในภาพนั้นที่ไหน...แน่นอนล่ะ...ว่าเธอจะจำผู้หญิงคนนั้นไม่ได้...เพราะภาพมันมัว
แต่สบันงาก็หมดความสนใจกับภาพที่สองไปชั่วคราว เมื่อพบว่าภาพที่สามนั้นเป็นรูปคู่ของนายระกากล กับเข้มขาล เจ้านายของเธอนั่นเอง
ความสงสัยที่ว่า ทำไมถึงนามสกุล บันลือรักษ์...เธอได้รับคำตอบด้วยประโยคในเนื้อข่าวนั้นเอง ว่าคนทั้งคู่เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน
ทำไมนะ...แค่เวลาเพียงสองวันหลังจากได้หนังสือปกหนาสีน้ำตาลเล่มนั้นมา ชื่อของนายเข้มขาล ก็คอยจะเวียนวนอยู่ข้างหูตลอดเวลา ภาพของนายเข้มขาลก็มักจะปรากฏ ให้เธอต้องพบเห็นทั้งยามหลับและยามตื่น
“แกรู้จักเค้าเหรอยายมิ้นท์...ทำไมทำหน้าอย่างกับเห็นผี”
สบันงาหันขวับ...จ้องตาเพื่อนสนิทอย่างไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง...ทำให้นึกถึงเรื่องที่อยากจะเมาท์จนต้องกดโทรศัพท์หาปาลิตา
“ว่ายังไงล่ะยายมิ้นท์...ตกลงแกรู้จักคนไหนกัน”
“ชั้นรู้จักนายคนนี้...เขาชื่อเข้มขาล...เจ้านายของชั้นเอง” สบันงาชี้นิ้วไปที่ภาพของชายหนุ่มที่ใส่สูทสีเข้ม ยืนยิ้มปั้นหน้าเจ้าเล่ห์จนเห็นฟันกระต่ายชัดเจน
.........................................
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W9689239/W9689239.html
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W9693232/W9693232.html
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W9699607/W9699607.html
แก้ไขเมื่อ 19 ก.ย. 53 08:32:24
| จากคุณ |
:
บุรามฉัตร
|
| เขียนเมื่อ |
:
18 ก.ย. 53 17:33:41
|
|
|
|