ระหว่างกระต่ายที่ขาเป๋กับเต่าที่เดินได้เชื่องช้า อย่างไหนจะดีกว่ากันนะ
|
|
บางทีการมองโลกในแง่ดีก็ไม่ง่ายเลย
ขอเท้าความสักเล็กน้อยว่าเราเป็นคนป่วยค่ะ ป่วยจากที่กระดูกชิ้นเล็กๆ ในร่างกายของเรามันหายไปชิ้นหนึ่ง เป็นอาการพิการที่ติดตัวมาแต่กำเนิด แต่เพิ่งมารู้ในช่วงปีที่ผ่านมานี่เอง แล้วอะไรหลายๆ อย่างประกอบกันมีผลทำให้เราเดินไม่ได้เหมือนคนปกติทั่วไป
แต่ไม่ใช่ว่าเราจะขาเป๋ ข้อต่อเรื่องขาผิดปกตินะคะ เป็นอาการประมาณว่าเวลาเดินและนั่งค่อนข้างจำกัด เหมือนร่างกายจะหนักขึ้นเรื่อยๆ ทุกนาทีที่ต้องใช้การทรงตัวจนรับน้ำหนักไม่ไหวต้องนอนอยู่กับที่เพื่อชาร์จแบ็ตใหม่สำหรับการลุกเดินครั้งต่อไป
เรายังโชคดีที่ยังช่วยเหลือตัวเองได้ในระดับหนึ่ง เข้าห้องน้ำเองได้ เดินไปมาในอาณาบริเวณบ้านได้โดยไม่ต้องขอความช่วยเหลือใคร
สถิติการใช้ชีวิตของเราในตอนแรกๆ อยู่ที่ประมาณสิบห้านาทีค่ะ แล้วก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามวันเวลาที่ร่างกายแข็งแรงขึ้น
มีคนพยายามจะถามเราว่า เป็นที่หลังแต่เดินได้ลำบากนี่เป็นยังไง เราก็เลยยกตัวอย่างให้เขาเห็นภาพว่า สมมติว่าเราอยู่ในสระว่ายน้ำที่น้ำลึก แล้วเราเกาะขอบสระอยู่ ที่ขาของเรามีตุ้มเหล็กถ่วงอยู่ทั้งสองข้าง สิ่งที่ช่วยพยุงให้ร่างกายยืนอยู่ได้ก็คือร่างกายท่อนบนที่รั้งขอบสระไว้เท่านั้น ร่างกายของเราก็รู้สึกประมาณกัน ทุกครั้งที่เดินแต่ละก้าว เหมือนมีอะไรถ่วงจนเดินได้ลำบาก แต่ค่อยๆ หน่วงให้เราลงน้ำไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ปุบปับอะไร ก็เลยถือว่าเรายังพอมีเวลาที่จะช่วยเหลือตัวเองได้
ในตอนแรกเราทำใจเลยค่ะว่าเราคงจะใช้ชีวิตตามปกติไม่ได้อีกแล้ว คิดไปถึงขั้นที่ว่าคงเดินไม่ได้แล้วต้องใช้ชีวิตอยู่แต่ในบ้านแน่ๆ
ในตอนนั้นเราก็เริ่มคิดว่าเราจะอยู่กับมันได้ยังไง เราจะทำงานอะไร แล้วก็ค่อยคิดให้มันออกมาเป็นรูปเป็นร่างตามที่ความสามารถของตนเองพอจะทำได้
บางทีเจอคนรู้จักที่ญาติพี่น้องเขาป่วย เขาต้องทำงานน่าดู ไหนจะดูแลคนป่วย ไหนจะต้องทำงานตามชีวิตประจำวันอีก แต่พอมาเป็นคนป่วยเองแล้ว ที่จริงคนป่วยก็ต้องทำงานหนักไม่แพ้คนรอบข้างทีเดียวค่ะ เป็น moment ที่น่าแปลกใจดีเหมือนกัน ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้สัมผัสความรู้สึกแบบนี้ ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีของชีวิตทีเดียว
ช่วงเวลาที่ป่วยทั้งตัวเองและคนรอบข้างจะ Sensitive มาก ต้องดูแลความรู้สึกของพ่อแม่พี่น้อง เขาก็คิดเหมือนกับที่เราคิดแหละค่ะว่าเราจะเดินเป็นปกติได้ไหม เราจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร ในตอนนั้นเรามีทางเลือกอยู่สองทาง ก็คือ เราจะนั่งเซ็งกับชะตากรรมแล้วทำให้คนอื่นเป็นกังวลกับเรา หรือเราจะทำใจยอมรับมันเพื่อให้คนรอบข้างสบายใจ
เรามองไม่เห็นประโยชน์สำหรับอย่างแรก เราจึงเลือกอย่างหลังค่ะ
แน่นอนว่าการจะทำให้พ่อแม่พี่น้องไม่เป็นกังวล ไม่ทำให้คนอื่นต้องเป็นภาระ เราก็ต้องดูแลตัวเองให้ดี ไม่เคยดื้อกับหมอให้คนรอบข้างสบายใจ ไม่ทำนั่น ไม่ทำนี่ ไม่ ไม่ ไม่ และสารพัดไม่ นี่เป็นการบ้านหลักอย่างแรกที่เราต้องทำค่ะ แน่นอนว่ามันดีต่อตัวเราเองด้วย แต่อย่างน้อยเราก็เป็นเพียงปุถุชนธรรมดาที่อยากจะงอแงบ้าง อยากทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการบ้าง การลด ละ เลิก รวมทั้งการเจียมบอดี้ก็เป็นสิ่งที่กัดกร่อนความรู้สึกได้เหมือนกัน
แต่สิ่งที่ทำให้เราผ่านมันไปได้ก็เพราะสีหน้าของคนรอบข้างที่เราต้อง work hard กับมันค่ะ เมื่อเวลาผ่านไปได้สักระยะ สีหน้าอมทุกข์ของพ่อแม่พี่น้องก็ค่อยสลายไป เรารู้ว่าพวกเขายังกังวล แต่อย่างน้อยก็ไม่เป็นเหมือนตอนแรกที่รู้เรื่องนี้อีกแล้ว กำลังใจและการยอมรับในปัจจุบันเท่านั้นเองที่สามารถทำให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ไม่ว่าจะเป็นตัวคนป่วยเองหรือญาติคนป่วยก็ตาม
เราไม่เคยหวังหรือฝันว่าตัวเองจะหาย แค่คิดว่าจะอยู่กับมันอย่างไรเท่านั้นเอง เราก็พยายามจะพูดให้พ่อแม่ฟังอยู่เหมือนกันว่าเราอาจจะไม่ปกติแล้วนะ แต่แน่นอนว่าแม่ก็คือแม่ มีความหวังเสมอว่าเราจะไม่เป็นอะไร ซึ่งสำหรับบางคน การมีความหวังหล่อเลี้ยงอาจจะดีกับตัวเขาก็ได้ เราจึงไม่เคยค้านความเห็นของแม่มากนัก
แต่ไม่ว่าจะด้วยอาการปลงของเรา หรือความหวังของแม่และทุกคนในครอบครัวกันแน่ แต่อย่างน้อย ผลจากความพยายามและกัลยาณมิตรที่ดีที่ช่วยแนะนำหมอผู้เชี่ยวชาญ และหยูกยาสารพัดแขนง รวมทั้งการดูแลตัวเองและคนรอบข้าง จากที่เคยคิดว่าตัวเองจะเดินไม่ได้อีกแล้ว ในตอนนี้เราเริ่มกลับเข้าสู่ชีวิตปกติธรรมดาแล้วค่ะ นั่นคือ เราสามารถออกไปข้างนอกได้เอง นั่งรถสาธารณะได้ (ก่อนหน้านี้แท็กซี่อย่างเดียวเพราะสะเทือนน้อยที่สุด) ลุกนั่งเดินเหินได้ แต่อาจจะไม่สามารถใช้ชีวิตเป็นนกฮูกราตรีได้อีกแค่นั้นเอง
เราจัดว่าเป็นคนโชคดีที่แม้ว่าจะอยู่ในช่วงที่ย่ำแย่ แต่ก็ได้พบคนดีๆ มากมาย ได้พบหมอที่ดี มีเพื่อนที่ดีคอยแนะนำ ได้ทำงานในบริษัทที่ดี คือ ตอนที่เราป่วย เราเป็นกะทันหันเลยค่ะ แต่ที่บริษัทก็ยังเก็บเราเป็นพนักงานของเขากว่าครึ่งปีจนถึงวันที่เราตัดสินใจลาออก ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าเกรงใจที่เราอาจจะทำงานให้เขาไม่ได้อีก เงินช่วยเหลือจากประกันสุขภาพของบริษัทก็ช่วยค่ารักษาของเราไปได้พอสมควร และแม้กระทั่งเราหายป่วย เจ้านายก็ยังยินดีรับเรากลับเป็นพนักงานทั้งที่รู้ว่าเราทำงานให้เขาได้เต็มที่เพียงแค่ในเวลางาน ไม่อาจช่วยได้มากกว่านี้
แต่บังเอิญว่าก่อนจะกลับเข้าไปทำงาน เราไปสัมภาษณ์งานอยู่ที่หนึ่ง แล้วได้รับการตอบรับเรียบร้อย เป็นตำแหน่งที่ไม่โต ไม่มีความก้าวหน้า ไม่มีความกดดันในหน้าที่การงานมาก แต่เงินเดือนพอเลี้ยงตัวเองได้ ซึ่งนั่นตรงกับความต้องการของเราอยู่แล้ว เราก็เลยตัดสินใจไปทำงานที่บริษัทนั้นแทน
ที่จริงเราก็พอใจในสิ่งที่เป็นอยู่อย่างนี้เหมือนกันนะ แค่ได้เท่านี้ก็ดีเกินกว่าที่ตัวเองคิดไว้มากมายแล้ว แต่บางครั้งความโลภก็เข้ามาในใจวอบแวบอยู่เหมือนกัน แต่ทุกครั้งเรามักจะไม่สนใจแล้วก็มองผ่านเลยไปเสมอ เพราะเรามีหน้าที่ดูแลตัวเองและคนใกล้ตัวอยู่ บางทีสิ่งนี้คือสิ่งที่เหนี่ยวรั้งเราไว้ไม่ให้ทำตัวจิตตกมากที่สุดก็เป็นได้
ความที่เราอยู่ในสิ่งแวดล้อมเดิม ไม่ได้พบกับใครใหม่ๆ คือ พบหน้าครอบครัว หรือไปทำงานก็พบคนที่ทำงานที่รู้จักกันมาอยู่แล้ว แต่เผอิญว่าเมื่อสองสามวันก่อน เรามีนัดพบกับเพื่อนที่ไม่ได้คุยกันมาสิบปี เป็นเพื่อนสมัยที่สอบชิงทุนไปต่างประเทศด้วยกันเมื่อตอนม.ปลาย
เพื่อนๆ ทุกคนก็ยังเป็นเพื่อนนั่นแหละ ได้คุยได้ฟังอะไรที่สนุกสนานจากประสบการณ์ ความที่เราไม่ได้พบกันมาประมาณสองปีทำให้มีเรื่องพูดกันน่าดู
แต่ทีนี้เรื่องนี้แหละค่ะที่เป็นที่มาที่ทำให้เราเกิดอาการจิตตกเล็กน้อยจนต้องมาเล่าให้ฟัง
นี่เป็นครั้งแรกที่เราได้สัมผัสกับคำว่า อิจฉา ค่ะ มันร้อน แล้วก็หมกไหม้อยู่ในอกของเรานี่เอง
เพื่อนของเราดีทั้งรูปลักษณ์ การศึกษา ฐานะทางบ้าน หน้าที่การงาน สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ธรรมดามากสำหรับพวกเราทั้งหมดเพราะเห็นกันมาตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อนแล้วว่าอนาคตของแต่ละคนเป็นอย่างไร และสิ่งที่เราคุยกันในวันที่ได้พบกันก็คุยกันได้แบบธรรมดามาก คือเป็นเรื่องเล่าสู่กันฟัง ไม่ใช่การอวดศักดาแบบที่ใครคนอื่นชอบทำ เราคบกันตั้งแต่เด็กในสมัยที่ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง เพราะงั้นไม่รู้จะมาเกทับข่มกันไปทำไม
ความรุ่งเรืองนี้เป็นสิ่งที่เราวางแผนไว้ก่อนที่จะล้มเจ็บค่ะ ในวันที่ทราบผลจากหมอ เหมือนเห็นอนาคตเหล่านั้นพังลง แล้วเราก็ต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะประกอบจิตใจของเราให้สมบูรณ์ดังเดิม
หลังจากที่ได้พบกับเพื่อน มันเหมือนว่าเรากำลังย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้นอีกครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้ปะปนด้วยความรู้สึกริษยา เราไม่ได้อิจฉาเพื่อนค่ะ ยินดีที่เขามีชีวิตที่ดี แต่เราอิจฉาอนาคตของเขามากกว่า มันคือสิ่งที่เราได้แต่มอง แต่ยากที่จะไขว่คว้าทำให้มันเป็นจริง (แม้แต่ตอนนี้ส่วนลึกของเราก็บอกว่า เราทำได้ มันเป็นจริงได้ แต่หากพิจารณาด้วยเหตุผล ไตร่ตรองด้วยสมองอย่างชัดเจน เรื่องนี้เป็นเรื่องยากค่ะ)
บางคนอาจจะค้านว่าเรามองเพื่อนในแง่เดียว คนทุกคนก็มีความทุกข์ของตนเองในด้านที่เรามองไม่เห็น แต่บางครั้งจิตใจของคนเรา แม้จะมองรอบด้านแล้ว แต่ความรู้สึกเป็นสิ่งที่ใช่จะห้ามกันได้ง่ายๆ ในตอนนี้เราก็ต้องให้เวลากับตัวเองอีกสักพักเหมือนกัน เพื่อจะเก็บจิตใจของเราเอากลับมาประกอบใหม่อีกครั้งหนึ่ง
การมองโลกในแง่ดี ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่ายเลย...หากไม่รู้ทันภาวะจิตใจของตัวเอง
เราก็เลยนึกถึงตัวละครนิทานกระต่ายกับเต่าขึ้นมาค่ะ กระต่ายตัวหนึ่งวิ่งเร็วแต่ขี้เกียจ กับเต่าตัวหนึ่งที่เดินได้ช้าแต่พยายาม ถ้าวันหนึ่งกระต่ายไม่ได้ขี้เกียจแต่เผอิญขาเจ็บทำให้วิ่งได้พอๆ กับเต่า สัตว์ทั้งสองตัวนี้วิ่งด้วยความเร็วเท่ากัน เราก็เลยนึกสงสัยขึ้นมาเหมือนกันว่า เจ้าสองตัวนี้คงถึงเส้นชัยแน่ล่ะ แต่ ระหว่างตัวหนึ่งที่เคยวิ่งเร็วแต่สังขารไม่เที่ยงทำให้ต้องวิ่งช้าอืดอาด กับเต่าที่เกิดมาพร้อมกับธรรมชาติของตัวเองที่ช้าเป็นทุนเดิม...อย่างไหนจะทุกข์กว่ากัน
มันเป็นสิ่งที่คิดเล่นๆ ที่ไม่อาจตัดสินได้ เราเป็นกระต่ายขาเป๋ แต่เราไม่เคยเป็นเต่า ทำให้ไม่รู้ว่าแท้จริงเต่าเป็นเช่นไร แต่ถ้ามองในมุมของคนเอาแต่ใจ ก็คงต้องบอกว่า กระต่ายขาเป๋สิ ทุกข์กว่าเพราะอย่างน้อยก็เคยสัมผัสรสชาติของความเร็ว แต่เต่าไม่เคยสัมผัสก็คงพอจะก้มหน้ารับชะตากรรมของตัวเองได้
พอเห็นความคิดนั่นก็รู้สึกว่าช่างเป็นความคิดที่อยุติธรรมเสียนี่กระไร เมื่อฟุ้งซ่านเมื่อไรก็จะคิดถึงกระต่ายกับเต่าขึ้นมา อย่างน้อยเราก็เคยได้ลิ้มในรสชาติที่บางคนไม่อาจได้ชิม องค์ประกอบชีวิตของคนเราต่างกัน คนๆ หนึ่งไม่อาจสัมผัสได้ถึงประสบการณ์ของอีกคนหนึ่ง ไม่มีอะไรที่ควรอิจฉาโดยแท้เพราะทุกคนในโลกนี้เท่าเทียมกัน...ตรงที่ไม่มีใครสามารถสัมผัสถึงองค์ประกอบในชีวิตของคนทั้งโลกได้เสมอกัน มากบ้างน้อยบ้าง ต่างบ้าง คละเคล้ากันไป
กระต่ายเองก็คงไม่เคยสัมผัสในสิ่งที่เต่าได้ประสบเหมือนกัน ยุติธรรมดี
ในช่วงเวลาที่อายุไม่ถึงสามสิบปีกลับได้รับประสบการณ์ของคนแก่วัยเจ็ดสิบบางคนที่เดินเหินได้ลำบาก ก็ถือว่าเป็นสิ่งล้ำค่ามากมาย แล้วในชีวิตที่เหลือ จะได้สัมผัสกับความรู้สึกไหนอีกบ้าง เป็นสิ่งที่ชวนค้นหา
บางครั้งการเป็นกระต่ายที่ขาเป๋ก็ดีไปอีกแบบ คือได้เวลาหยุด และมองเห็นก้อนหินหลากหลายตามเส้นทางก่อนที่จะถึงเส้นชัย ในขณะที่กระต่ายปราดเปรียวอาจไม่ได้หยุดเพื่อพิจารณามัน
การมองโลกในแง่ดีไม่ใช่เรื่องง่าย...แต่ถ้าเข้าใจธรรมชาติแล้ว โลกที่สวยงามก็ตามมาเอง
แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 53 23:04:01
จากคุณ |
:
peiNing
|
เขียนเมื่อ |
:
18 ก.ย. 53 22:44:04
|
|
|
|