Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
๐๐๐ สมการรักหารสอง บทที่ 5 ๐๐๐  

บทที่ 5

‘ยำเลื่อนชั้น...เจ๊เขาเลื่อนให้ผมทำกับข้าวมาขายได้อย่างหนึ่ง ช่วยชิมกันด้วยนะครับ’

ปรางระวีกระพริบตาปริบๆ มองป้ายสีส้มที่ปักอยู่ใกล้ๆ พร้อมกับตัวการ์ตูนที่วาดโผล่เหนือตัวอักษรเป็นรูปหน้าดำๆ กับฟันขาวปิ๊งและผ้าเช็ดตัวที่พันศีรษะ บอกให้รู้ทันทีว่า ‘ผม’ ที่ว่านั่นเป็นใคร

หญิงสาวแทบหัวเราะออกมาทันทีพร้อมๆ กับชี้ให้นรมนดู อีกฝ่ายเห็นเข้าก็หัวเราะเสียงใสเช่นกัน และลูกค้าคนอื่นก็ได้เห็นเช่นกันต่างก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไปตามๆ กัน

“จะลองไหมมน” ปรางระวีกระซิบยิ้มๆ ในขณะที่ยืนต่อคิวสั่งอาหารกันอยู่ “ในฐานะแฟนคลับตัวยง ลองเสี่ยงตายกันไหม”

“เราน่ะไม่มีปัญหา แต่ปรางจะเอาด้วยเหรอ กินเผ็ดเป็นเสียเมื่อไร” นรมนบ่นพลางกวาดตามองอาหารอย่างอื่นประกอบ

หญิงสาวไม่ได้ให้ความเห็นใดๆ แต่เธอก็เลือกเจ้ายำที่ว่านั่นจริงๆ เห็นสีแล้วคงรสจัดจ้านน่าดูชม เธอเลยชี้ไปที่ผัดผักกับแกงจืดด้วย พลางถามหญิงที่ไม่ค่อยจะหญิงซึ่งกำลังตักอาหารด้วยสีหน้ายิ้มๆ

“แล้วคนได้เลื่อนขั้นไม่มาโฆษณาหน่อยหรือคะ เห็นเดินไปเดินมาอยู่”
จันทราชะงักพลางยิ้มกว้างเมื่อเห็นหญิงสาวผู้เป็นเป้าในการสนทนาของเธอและเพื่อนก่อนหน้านี้ ที่จริงผู้หญิงตรงหน้าไม่ได้จัดว่าสวยอย่างที่ไอ้ขาวมันบอกไว้ แต่ก็น่ามอง ขาวผ่อง ดูดี ดูน่ารักหวานๆ มากกว่าจะสวย มองจากเดรสกระโปรงบานที่เจ้าหล่อนใส่ก็ได้ เห็นมันมองผู้หญิงสไตล์นี้ตลอดแต่ทำไมเวลามีแฟนมักเป็นพวกเปรี้ยวเข็ดฟัน จันทราก็ไม่เข้าใจเพื่อนเหมือนกัน

“เพิ่งไล่ไปค่ะ ไม่งั้นมาชี้ชวนวุ่นวายตรงนี้ เห็นป้ายนี้ลูกค้าก็หัวเราะจะแย่แล้วเลยไล่ให้ไปเสิร์ฟแทนเสียเลยค่ะ”

ปรางระวีเองก็ยังหัวเราะเลย เธอเดินตรงไปยังที่นั่งที่พอจะยังมีอยู่บ้าง และไม่นานนรมนก็ตามเข้ามา แค่ตักยำนั่นเข้าปาก หญิงสาวก็มองสบตากับเพื่อนซึ่งก็เพิ่งกินเหมือนกัน นรมนอุทานเบาๆ

“ไม่น่าเชื่อ หน้าตาไม่ให้เลยว่าทำอาหารอร่อย”

“นั่นสิ” หญิงสาวเห็นด้วย ทว่าความที่กินเผ็ดไม่เก่งเลย แค่ไม่กี่คำ เหงื่อกาฬก็เริ่มเกาะชื้นอยู่บนไรผมของเธอทันทีจนต้องปัดผมยาวๆ ของตนเองมาไว้ข้างหน้าให้หมดเพื่อระบายความร้อน พลางชะเง้อมองหาคนที่จะสั่งน้ำได้ แต่นรมนไวกว่า เมื่อเจ้าของผลงานต้นเหตุโฉบมาก็ตะโกนเรียกทันที

“พี่ขาว น้ำขวดน้ำแข็งสอง!”

เจียรนัยซึ่งกำลังเดินตรงไปยังถังน้ำแข็งซึ่งมีคนงานอีกคนกำลังตักใส่แก้วเป็นระวิงชะงักแล้วหันมามอง พอเห็นสองสาวก็ยิ้มทันที พยักหน้าแล้วเดินไปเอาตามที่สั่งอย่างรวดเร็ว เขานำไปเสิร์ฟให้โต๊ะที่สั่งก่อนหน้าก่อนแล้วค่อยวกมายังพวกเธอ

“วันนี้นึกว่าจะสั่งน้ำตาลสดเหมือนเดิมเสียอีก” ชายหนุ่มวางแก้วลงพลางกุลีกุจอเปิดขวดน้ำรินให้อย่างเอาใจใส่

“น้ำตาลสดมันแก้เผ็ดได้ไหมล่ะ” นรมนยียวนใส่ “เพราะยำใครกันล่ะทำเอาเหงื่อแตกพลั่กอย่างนี้”

เจียรนัยมองหน้าคนพูดซึ่งไม่ได้เห็นว่าจะเหงื่อไหลไคลย้อยอย่างที่พูด ทว่าเมื่อมองคนที่นั่งตรงข้าม ชายหนุ่มก็เกือบจะตกใจเมื่อเห็นเหงื่อผุดพรายของใบหน้านวลตรงหน้า ผิวขาวๆ ขึ้นสีแดงก่ำเล็กน้อย แล้วรับแก้วน้ำไปดื่มอย่างรวดเร็ว

“เผ็ดไปหรือครับ” ชายหนุ่มหน้าเสียลงเล็กน้อย

ปรางระวีส่ายหน้า ยกมือราวกับต้องการให้เขารอเธอดื่มให้เรียบร้อยก่อน นรมนจึงตอบแทนให้เสียเลย

“จริงๆ เขากินเผ็ดไม่ค่อยได้ ก็ฝีมือใครล่ะ แปะป้ายไว้บอกให้ช่วยชิมไม่ใช่หรือ”

เจียรนัยเลยลอบมองแก้มแดงๆ ที่ผิวนวลของหญิงสาวอีกครั้งอย่างประหลาดใจ คิดว่าเธอจะไม่ชอบหน้าเขาเสียอีก

หรือบางทีเขาอาจจะเข้าใจผิดไปเองก็ได้...คิดดังนั้นแล้ว ชายหนุ่มจึงยิ้มกว้างทันที

“งั้นเดี๋ยวผมเลี้ยงน้ำคุณทั้งคู่ก็ได้ อุตส่าห์ลองชิมให้” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างรวดเร็วด้วยน้ำเสียงเกือบกระซิบ “แต่อย่าไปบอกเจ๊ข้างหน้านะ เดี๋ยวผมโดนด่าเช็ด ไว้คราวหลังผมจะทำให้เผ็ดน้อยลงก็แล้วกัน”
ปรางระวีดื่มน้ำหมดแก้วเรียบร้อยแล้วก็คลายจากหลอดเงยหน้ามองเขา

“อร่อยแล้วล่ะค่ะ ไม่ต้องไปลดอะไรหรอก เผ็ดแบบนี้เดี๋ยวชงชาก็หาย”

ทำไมต้องชงชา?

เจียรนัยกระพริบตาในขณะที่นรมนก็งงเหมือนกัน หญิงสาวก้มหน้ากินต่อ ทว่าพอเงยหน้าเห็นสายตาสองคู่จ้องเป๋งมาด้วยเครื่องหมายคำถามขนาดใหญ่

“ก็...ดื่มน้ำชาจะได้ลิ้นชาๆ พอลิ้นชาก็ไม่เผ็ดแล้วไง”

ชายหนุ่มมึนตึบเล็กน้อยกับมุขประหลาดๆ แบบที่เขาไม่เคยคิดว่าจะเจอ ใบหน้าคล้ำนั้นยิ้มแห้งๆ ให้แล้วก็เดินจากไปเมื่ออีกโต๊ะหนึ่งเรียกหา นรมนเองก็ทำหน้าตาพิลึกจะขำก็ไม่ใช่จะตะลึงก็ไม่เชิง เธอน่ะไม่เท่าไรเพราะชินเสียแล้วแต่คนที่เพิ่งเดินจากไปนี่สิ หญิงสาวส่ายหน้าหัวเราะเบาๆ ไม่ได้หัวเราะเพราะเพื่อนหรอก แต่เพราะเห็นหน้าคนที่เพิ่งเดินจากไปต่างหาก

“พี่ขาวหนีไปเลยแหละปราง”

“ว้า! อุตส่าห์กะเล่นมุขขำหน่อย ใจเสาะเดินหนีเสียแล้ว” ปรางระวีแกล้งเอ่ยยานคางขำกิ๊กกับเพื่อน แล้วก็ลงมือกินข้าวกลางวันต่ออย่างเริงใจทั้งที่ยังเหงื่อแตกซิก

จนเมื่ออิ่มกันเรียบร้อยกลับเข้าสำนักงานอีกครั้ง นรมนขอแยกตัวไปที่ห้องน้ำก่อน ปรางระวีจึงเดินกลับไปยังที่นั่งในแผนกของตนเอง พลางเอ่ยถามเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ

“กินขนมกันไหม”

อกนิษฐ์นั่งกินผลไม้ทำงานอยู่ชะเง้อมองถุงพลาสติกในมือเธอ

“ซื้ออะไรมาบ้างน่ะปราง”

“มะม่วงน่ะ แล้วก็คุ้กกี้กับลูกชิ้น”

“ไม่ดีกว่า ของอ้วนๆ ทั้งนั้นเลย” ว่าจบก็เมินเสีย ปรางระวีเบิกตากว้างอย่างงงงวยพลางมองของที่เธอถืออยู่ แล้วก็ได้แต่โคลงศีรษะกับท่าทีของเพื่อนร่วมงาน

หญิงสาววางของที่ซื้อมาไว้กับโต๊ะ ก็พอดีกับที่ธีระเดินมาแต่ไกลจากแผนกตัวเอง

“ไงปราง กินฝรั่งไหม ซื้อมาฝาก”

ปรางระวีจึงยิ้มน้อยๆ หยิบจากถุงที่เพื่อนยื่นมาให้ เธอคุยกับเพื่อนหนุ่มอีกสักพักหนึ่ง เห็นรายนั้นทั้งที่ยิ้มแต่ก็มีสีหน้าติดจะเครียดนิดหน่อย

“เป็นอะไรไหมจ๊ะธี ทำหน้าเครียดเลย”

ธีระมองหน้าเธอนิดหนึ่งก่อนจะเลยมองไปยังอกนิษฐ์ซึ่งนั่งมองคอมพิวเตอร์ห่างออกไป เขาจึงก้มลงกระซิบใกล้ปรางระวีเบาๆ

“พอดีมีเรื่องกับแฟนนิดหน่อย เข้าใจผิดว่าเราแอบมีใครอยู่ที่ทำงานน่ะสิ”

ปรางระวีเบิกตากว้าง สายตาของธีระนั่นบ่งบอกได้ทันทีว่าเจ้าตัวกำลังหมายถึงใคร หญิงสาวไม่เคยคิดว่าเรื่องหยอกกันเล่นๆ กันในบริษัทถึงได้กลายไปเป็นประเด็นให้เพื่อนและคนรักของเขาทะเลาะกันเสียได้ ใบหน้านวลของหญิงสาวแดงเรื่อขึ้นเล็กน้อย อึกอักก่อนจะยิ้มกว้างเอียงคอเอ่ยถามด้วยอาการคล้ายคนไม่รู้ความนัยใดๆ

“ทำไมแฟนธีเข้าใจแบบนั้นได้ล่ะ ปรางว่าเพราะธีทำงานเยอะจนไม่มีเวลาให้เขา เขาก็เลยเข้าใจผิดคิดว่าธีแอบมีกิ๊กที่นี่เลยไม่ค่อยอยากออกจากที่ทำงานใช่ไหมล่ะ”

ชายหนุ่มตรงหน้ามองหน้าเธอนิ่งก่อนจะหลบตาไปพลางเอ่ยเบาๆ

“ก็คงแบบที่ปรางว่าล่ะมั้ง”

“ถ้าอย่างนั้นช่วงนี้ธีก็ต้องรายงานตัวกับเขาบ่อยหน่อยแล้วล่ะ แฟนธีจะได้ไม่คิดมาก...นะจ๊ะ” หญิงสาวยิ้มหวานให้เขาอย่างปลอบใจในขณะที่ธีระจ้องเธอแล้วถอนใจยาว

“เราไปก่อนดีกว่า ใกล้เวลาเข้างานแล้ว” ว่าจบก็ยัดเยียดถุงฝรั่งใส่มือเธอแล้วดันหลังปรางระวีเบาๆ ไปยังที่นั่งของตน ส่วนตัวเขาก็เดินกลับไปยังแผนกของตัวเอง

นรมนกลับมาจากห้องน้ำได้สักพักแล้ว เห็นปรางระวีกำลังคุยกับธีระอยู่ เห็นฝ่ายชายทำหน้าตาเกือบกึ่งจริงจังจึงทำให้หญิงสาวไม่คิดจะไปขัดคอ เธอกำลังนั่งกินขนมไข่เมื่อเห็นเพื่อนร่วมงานสาวลงนั่งประจำที่

“พักนี้ปรางสนิทกับธีเป็นพิเศษกว่าเดิมนะ” อกนิษฐ์เอ่ยขึ้นมาจากโต๊ะที่เธอนั่งก่อนที่นรมนจะเอ่ยอะไร “เราว่าถ้าปรางไม่คิดอะไรกับธีมัน ก็ห่างๆ ไว้หน่อยก็ดี เดี๋ยวปรางนั่นแหละจะเสีย”

ปรางระวีใบหน้าแดงเรื่อ ขมวดคิ้วเข้าทันที ไม่ค่อยชอบใจกับคำพูดของเพื่อนเท่าไร ทำอย่างกับเธอไปร้องเรียกให้ธีระมาหายังไงยังงั้น หญิงสาวรู้ตัวว่าทุกอย่างเป็นแค่ทีเล่นทีจริง เธออาจจะสนใจธีระก็ได้หากว่าเขาไม่มีใครข้างกาย แต่ในเมื่อเขามี ปรางระวีก็ไม่คิดเลยเถิดขั้นจะแย่งเขามาจากใคร ยังคงรักษาระยะห่างเพียงแค่เพื่อนสนิทคนหนึ่งเท่านั้น

“ก็เพื่อนกัน นิดคิดมากไปได้”

“เตือนแล้ว อยากคิดอย่างนั้นก็ตามใจนะ” อกนิษฐ์ว่าแล้วก็เลิกสนใจกับเรื่องนี้ หันไปทำงานของตนเองต่อ ในขณะที่นรมนซึ่งมักจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากับคนพูดมาคราวนี้กลับไม่ได้เอ่ยแย้งอะไรอีกฝ่ายทั้งสิ้น เพียงแต่เอ่ยถาม

“ธีมันมีอะไรหรือเปล่า เห็นคุยกับปรางหน้าเข้ม ก็เลยขี้เกียจทัก”

ปรางระวีนิ่งไปอึดใจแล้วส่ายหน้า “ไม่มีอะไรหรอก ธีมีปัญหานิดหน่อย แต่เดี๋ยวก็คงโอเคเองนั่นแหละ”

นรมนไม่ออกความเห็นใดๆ เธอเพียงขยับเก้าอี้เข้าใกล้ปรางระวีแล้วหยิบพวกใบกำกับภาษีที่รวบรวมไว้ แล้วหยิบเอกสารขึ้นมาฉบับหนึ่งยื่นส่งให้ปรางระวีพลางเปลี่ยนเรื่องไป

“ปรางอย่าลืมคอนเฟิร์มเรื่องวันจ่ายเงินกับบริษัทที่จีนแล้วหรือยังน่ะ เห็นพวกทาง Sales เขาบอกว่าจะมียอดหนึ่งเข้ามาตอนสิ้นเดือนนี้นี่”
“จริงสิ ลืมไปเลย” ปรางระวีอุทาน “นานๆ ทีจะซื้อจะขายนี่ลืมทุกทีเลย แย่จัง”

หญิงสาวกุลีกุจอทำงานของตนเอง บรรยากาศของการทำงานก็กลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง

จะว่าไป ตัวเธอเองก็ลืมไปอีกเรื่องเช่นกันในเรื่องที่น้องสาวตนเองต้องการไปเรียนต่อตอนปิดเทอมใหญ่ที่ประเทศนี้ รับปากไว้ว่าจะถามเพื่อนให้จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้ถาม กะไว้ว่าจะโทรหาน้ำฟ้าหรือไม่ก็รัชชาเพื่อถามรายละเอียดให้เพราะจำได้ว่าคู่นั้นไปเรียนต่อที่นั่นแล้วแชร์ห้องอยู่ด้วยกัน คงให้คำปรึกษาได้

ทว่าพอโทรเข้าจริงๆ หลังเลิกงานแล้วตรงกลับบ้านเรียบร้อย อีกฝ่ายกลับปิดเครื่อง ปรางระวีจึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าน้ำฟ้าอาจจะยังอยู่ในช่วงฮันนีมูนอยู่แล้วยังไม่กลับเมืองไทย ปรางระวีจึงโทรหารัชชาแทน

“ปรางมีอะไรหรือเปล่า” รัชชาพูดสั้นเร็วปรื๋อเป็นรถไฟด่วน

“หา...เอ่อ...” หญิงสาวตกใจไปเล็กน้อยเมื่อจู่ๆ เพื่อนก็รับสายทันควัน “พอดีน้องสาวเราจะไปซัมเมอร์ที่เมืองจีน เลยจะโทรมาถามช่าหน่อย แต่ถ้ายุ่งอยู่...”

“ยุ่งสุดๆ ไปเลยปราง เอางี้! โทรหาพี่กุ๊กแทนก็แล้วกันนะ จำพี่กุ๊กได้หรือเปล่า เราว่าเราพูดถึงบ่อยๆ นะ”

“ก็...พอได้” มั้งนะ ปรางระวีนึกได้เลือนๆ คลับคล้ายคลับคลาตอนที่เพื่อนเธอมาร้องโวยวายว่าไม่มีใครช่วยอธิบายศัพท์เศรษฐศาสตร์ แล้วก็บ่นถึงพี่กุ๊กใหญ่เลย

“นั่นแหละ รายนั้นอยู่เมืองจีนมาหลายปี ทั้งเซี่ยงไฮ้แล้วก็ปักกิ่ง โทรไปถามเขาได้เลย เดี๋ยวเราส่งเบอร์ไปให้ก็แล้วกัน เท่านี้ก่อนนะปราง โทษที บาย”

แล้วปลายสายก็วางไปดื้อๆ ในขณะที่ปรางระวียังไม่ทันแม้แต่จะอ้าปากเอ่ยอะไรออกมาอีกสักคำสองคำ แล้วเธอก็ต้องสะดุ้งเมื่อจู่ๆ ก็มีข้อความส่งมาอย่างรวดเร็ว พบว่าเป็นหมายเลขโทรศัพท์ที่เพื่อนเธอรับปากว่าจะส่งมาให้

หญิงสาวสองจิตสองใจว่าจะโทรไปตามเบอร์นี้ดีหรือไม่ รู้จักหรือก็เปล่า เกรงจะไปรบกวนเกินไป แต่ก่อนที่จะตัดสินใจเช่นไรน้องสาวที่โผล่หน้าเข้ามาจากประตูห้องตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ก็ถามขึ้น

“ถามเพื่อนเรื่องไปเมืองจีนให้เค้าเหรอ”

ปรางระวีปราดมองน้องสาวซึ่งคงยืนอยู่ตรงนั้นนานพอที่จะได้ยินบทสนทนาระหว่างเธอกับรัชชา เห็นเจ้าตัวยังใส่เสื้อนักศึกษาอยู่ ทว่าเปลี่ยนกระโปรงเป็นกางเกงขาสั้นเรียบร้อยแล้วในขณะที่เธอยังนั่งเหนื่อยอยู่บนเตียงอยู่เลย

“ยังไม่ได้ถาม เขาไม่ว่างเดี๋ยวค่อยถามให้”

“ว้า! งั้นถามให้เค้าเร็วๆ หน่อยก็แล้วกัน จะได้เตรียมอะไรถูก” ปรงแก้วว่าจบก็เปลี่ยนเรื่องไป “เมื่อกี๊ป๊าโทรมาบอกว่าจะกลับบ้านช้าหน่อย ม้าเลยให้มาบอกว่าวันนี้กินข้าวช้าหน่อยละกัน จะได้รอป๊าด้วยนะ”

“อืม” ปรางระวีรับในขณะที่น้องสาวก็งับประตูห้องปิดให้เรียบร้อย หญิงสาวถอนใจแล้วจึงตัดสินใจโทรศัพท์หาคนที่รัชชาแนะนำ

“สวัสดีครับ” ปลายสายรับด้วยเสียงสุภาพ

“สวัสดีค่ะ...” หญิงสาวชะงักไปนิดอย่างผิดคาด ไม่คิดว่าจะมีผู้ชายรับสาย “คือ...ขอสายพี่กุ๊กค่ะ”

“ใครพูดน่ะ” ปลายสายถามเธออย่างแปลกใจ แทนที่จะไปเรียกเจ้าของโทรศัพท์

“คือ...ชื่อปรางนะคะ เป็นเพื่อนของช่าเขาน่ะค่ะ ขอคุยกับพี่กุ๊กได้ไหมคะ” ปรางระวีจึงเอ่ยแนะนำตัวเองให้อีกฝ่ายรับรู้

เสียงทุ้มของคนรับสายดังมาแผ่วๆ “ก็ผมนี่แหละพี่กุ๊ก ยายช่าให้คุณโทรหาผมแสดงว่าคงมีเรื่องอะไรให้ช่วยใช่ไหม”

“คะ? พี่กุ๊กหรือคะ” หญิงสาวแทบอ้าปากค้าง นึกว่าเป็นผู้หญิงเสียอีก
เจียรนัยเลยยิ่งขำ รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ เขาเจอกับเหตุการณ์นี้มาบ่อยตั้งแต่จำความได้ ทั้งเขาและพี่ชายถูกเข้าใจผิดเสมอว่าเป็นผู้หญิง เหตุก็จากชื่อเล่นนี่แหละ

“ครับ พี่กุ๊กตัวจริงเสียจริงครับ มีอะไรให้พี่ช่วยหรือเปล่า”

ปรางระวีหน้าเรื่อขึ้นเล็กน้อยเมื่อพบว่าตัวเองปล่อยไก่นานเกินไปแล้ว จึงรีบเข้าเรื่องทันที “พอดีว่าปรางมีเรื่องจะรบกวนถามเกี่ยวกับไปเรียนที่เมืองจีนนิดหน่อยน่ะค่ะ พี่กุ๊กสะดวกคุยไหมคะ”

“อ๋อ! ไม่มีปัญหา จะไปเองหรือ”

“เปล่าหรอกค่ะ น้องสาวน่ะค่ะ” เมื่อเห็นอีกฝ่ายดูเป็นกันเอง ริมฝีปากเธอจึงคลี่ยิ้มอย่างโล่งใจ “คือน้องของปรางเขาเรียนภาษาจีนอยู่ปีสามแล้วล่ะค่ะ ทีนี้เขาบอกว่าเพื่อนที่มหา’ลัยจะไปเรียนซัมเมอร์ที่นั่นกันกับพวกเอเจนซี่ ปรางก็ไม่รู้ว่าไปเรียนเมืองจีนนี่มันอันตรายไหม เอเจนซี่ปรางก็ไม่รู้ว่าที่ไหนไว้ใจได้อีกก็เลยจะโทรมาปรึกษาน่ะค่ะ”

“เรียนภาษาจีนมาสองปีแล้วแบบนี้ก็พอเอาตัวรอดได้แล้ว ไม่ต้องห่วง” เขาเอ่ยให้เธอสบายใจ “แล้วคิดจะไปแบบไหนดีล่ะ”

“คะ?”

“พี่ถามว่าจะไปแบบไหน” ปลายสายถามย้ำอีกครั้ง แต่คราวนี้ขยายความเสริมด้วย “ถ้าไปซัมเมอร์ก็ประมาณสองสามเดือนใช่ไหม ทีนี้น้องอยากจะได้ประกาศนียบัตรหรือเปล่า ถ้าอยากได้ก็ไปเรียนในมหาวิทยาลัยก็ได้ เขามีคอร์สเรียนภาษาจีนระยะสั้นอยู่แล้ว สามเดือน หกเดือน อะไรก็ว่าไป แต่ถ้าจะเอาความรู้ธรรมดาๆ ก็ไปเรียนสถาบันสอนภาษาก็ได้ ก็จะทุ่นค่าใช้จ่ายด้วย”

“เอ่อ...” ปรางระวีลังเล “ยังไม่ได้ถามน้องเลยค่ะ คือปรางไม่รู้เลยว่ามีทางเลือกเยอะ เท่าที่รู้คือแบบไปกับพวกเอเจนซี่กับหาเอาเอง ใจก็คิดถึงแต่เรียนมหาวิทยาลัย ไม่คิดว่าจะให้ไปเรียนสถาบันสอนภาษา แล้วสถาบันสอนภาษานี่ดีไหมคะ”

“ก็ต้องแล้วแต่ที่นะ มันก็พูดยากเหมือนกัน ถ้าไปเรียนมหาวิทยาลัยก็เหมือนมีชื่อเสียงรับรองอยู่ แต่ถ้าภาษาจีนระดับเริ่มต้นถึงระดับกลางแบบตอนต้นก็ไม่มีอะไรมากหรอก ที่ไหนก็ได้เหมือนกันนะพี่ว่า ข้อดีของสถาบันก็คงเรื่องที่เราต่อรองอะไรหลายๆ อย่างจากเขาได้เพราะว่าวีซ่าเข้าเมืองจีนมันก็ได้ประมาณสองเดือนอยู่แล้ว ไม่ต้องง้อให้เขาทำวีซ่าให้ แล้วก็เรียนอยู่ใกล้ๆ ที่พักได้ด้วย แต่ถ้าให้ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยก็จะอิสระน้อยกว่าเรื่องตารางเรียน แต่จะมีข้อดีก็เรื่องที่พัก เขาก็คงให้อยู่หอมหาวิทยาลัยได้ ดูปลอดภัยกว่าไปอยู่ข้างนอก”

“ฟังดูแล้วปวดหัวจัง โยนให้ไปกับเอเจนซี่เลยดีไหมคะนี่” ปรางระวีแทบครางออกมา มันดูยุ่งยากอย่างไรก็ไม่รู้สินี่

“จะเอาอย่างนั้นก็ได้ครับ เพียงแต่ราคาก็สูงหน่อย แล้วยิ่งไม่มีอิสระใหญ่ ไปไหนก็ไปตามกัน แล้วส่วนมากก็จะไม่ได้เน้นเรียนอะไร พาเที่ยวล่ะมากกว่า แล้วก็จะอยู่แต่กับคนไทย คงไม่ค่อยได้เรียนภาษาจีนนัก แต่ก็ต้องยอมรับว่าน่าจะปลอดภัยเพราะเขาก็ต้องดูแลคนของเราอยู่แล้ว ทั้งหมดนี่ก็ต้องขึ้นอยู่กับเอเจนซี่เหมือนกัน พี่ก็เลยถามนี่แหละครับว่าอยากไปแบบไหน”

หญิงสาวนิ่งไปกับข้อมูลที่ได้รับ เมื่อไม่เห็นเธอพูดอะไร คนปลายสายก็หัวเราะเบาๆ เอ่ยอย่างคนอารมณ์ดี

“เอาอย่างนี้ดีกว่าครับ ลองถามน้องสาวก่อนว่าอยากได้แบบไหน อยู่หอแล้วเรียนคอร์สของมหาวิทยาลัยก็จะได้ประกาศนียบัตร ที่อยู่ปลอดภัยแต่ค่าใช้จ่ายสูงสักหน่อย หรือว่าอยู่ห้องพักข้างนอกแล้วเรียนสถาบันสอนภาษา คอร์สยืดหยุ่นกว่าแล้วก็ถูกกว่าด้วย แต่ไม่ได้ประกาศนียบัตร ค่าใช้จ่ายก็จะต่ำลงมานิดหน่อย ลองถามเรื่องนี้เรื่องแรกนะครับ”

“ค่ะๆ ” ปรางระวีคิดว่าเธอคงต้องไปหาอะไรมาจดเสียแล้วสิ

“แล้วก็อย่างที่สองนะครับ” ชายหนุ่มทอดจังหวะราวกับให้เธอรับข้อมูลที่เขากำลังจะให้ได้ทัน “อยากจะไปเรียนที่เมืองไหนด้วย ถ้าเป็นเมืองค่าครองชีพต่ำหน่อยก็มีหลายเมือง ทีนี้พี่พอจะมีเพื่อนอยู่ที่เซี่ยงไฮ้กับปักกิ่ง ถ้าจะหาที่อยู่หรืออะไร พี่ก็พอช่วยหาให้ได้แต่เฉพาะสองเมืองนี้ แต่ก็ต้องทำใจว่าค่าครองชีพเขาสูงอยู่สักหน่อย”

“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวปรางขอถามน้องสาวดูก่อนก็แล้วกันนะคะ” ปรางระวีแบ่งรับแบ่งสู้ “ไว้ถ้าได้ความว่ายังไง อาจจะต้องโทรไปหาพี่กุ๊กอีกรอบ”

“โทรมาได้เลยครับ ไม่มีปัญหา แล้วก็ไม่ต้องเกรงใจถ้าอยากให้พี่ช่วยอะไร ยังไงตอนนี้พี่ก็ว่างๆ อยู่แล้ว ช่วยได้ตลอดครับ”

หญิงสาวยิ้มนิดหนึ่งกับน้ำเสียงร่าเริงของเขา เธอพึมพำขอบคุณอีกสองสามคำแล้วก็ค่อยวางหูไป หญิงสาวขมวดคิ้วมองดูสิ่งที่จดในมืออย่างครุ่นคิด ถ้าตามความรู้สึกแล้ว เธอก็อยากให้น้องไปอยู่ที่ที่มันปลอดภัยมากกว่า แต่ก็ต้องลองปรึกษาคนอื่นๆ ในบ้านดูว่าคิดอย่างไร เธอเองก็เคยเกริ่นกับบิดามารดาไว้แล้วเกี่ยวกับเรื่องที่ลูกสาวคนเล็กตั้งใจจะไปเรียนต่อ ไว้รอดูดีกว่าว่าท่านทั้งสองจะเห็นว่าอย่างไร
ร่างบางลุกขึ้นจากเตียงเพื่อจะตรงไปหาน้องสาว ทว่าเหมือนรายนั้นจะรู้เพราะจู่ๆ ประตูห้องนอนของเธอก็เปิด ใบหน้าใสของปรงแก้วลอดเข้ามาแล้วก็สะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นพี่สาวอยู่ตรงหน้าพอดี

“เจ๊เล่นอะไรน่ะ เค้าตกใจหมดเลย” ปรงแก้วบ่นอุบเปิดประตูให้กว้างออก

“อย่าคิดว่าตกใจคนเดียวสิ เล่นมาไม่ให้สุ้มให้เสียงแบบนี้น่ะ” ปรางระวีก็สะดุ้งไม่แพ้กัน ดวงตาของเธอเบิกกว้างค้างอยู่เลย “แล้วมีอะไรกับเจ๊หรือเปล่าน่ะ เมื่อกี้ก็เพิ่งเดินมาหาเองนี่”

“ป๊ามาแล้วเลยมาตามลงไปกินข้าวเย็น”

แก้ไขเมื่อ 26 ก.ย. 53 12:11:55

จากคุณ : peiNing
เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 53 00:02:47




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com