Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
รักนอกกรอบ บทที่ ๑  


“คนเรามักมีแบบของความรักที่ตนเองต้องการในความคิด เหมือนเวลาที่เราซื้อบ้านใหม่ เราก็วาดฝันไว้ว่าบ้านนั้นจะต้องเป็นอย่างไร หลายครั้งที่เราลืมไปว่าความรักนั้นใช้กับการซื้อบ้านไม่ได้ รักมักอยู่นอกกรอบมักไม่เป็นตามแผนที่วางไว้ ฉะนั้นจงร่างความรักไว้นอกกรอบ เพื่อให้อิสระมันเถิด”
บรรยากาศงานต้อนรับนักศึกษาปีหนึ่งของมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งในยามค่ำคืนช่างตื่นเต้นและน่าประทับใจ ทั่วมหาวิทยาลัยรายล้อมไปด้วยแสงไฟหลากสีในยามค่ำคืน มีวงดนตรีจากหลากหลายค่ายมาร่วมเล่นดนตรี มีกิจกรรมมากมายกระชับความสัมพันธ์ระหว่างรุ่นพี่และรุ่นน้อง และยิ่งไปกว่านั้นมีการประกวดดาวเดือนที่มีชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยในปีนี้อีกด้วย……..
นภัสสรหญิงสาวปีหนึ่งหน้าตาสะอาดสะอ้าน ดวงตากลมโตแฝงไว้ซึ่งความหยิ่งทะนง ริมฝีปากเป็นสีชมพูอ่อน ผิวขาวเป็นประกาย รูปร่างได้สัดส่วน ผมสีดำสนิทยาวสลวยปล่อยไว้ระบ่า เจ้าหล่อนเป็นลูกสาวตระกูลขุนนางเก่าแก่มีคฤหาสน์หลังใหญ่อยู่ใจกลางกรุงเทพมหานคร เธอได้รับการเลี้ยงดูและอบรมสั่งสอนมาจากคุณแม่ของเธอคุณหญิงวิชุตา พิชยะกุลผู้ซึ่งมีฐานะมั่งคั่งที่สุดในละแวกนั้นและเป็นเจ้าของบริษัทเครื่องประดับที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียอีกด้วย
นภัสสรได้รับการส่งเสียให้ไปเรียนที่ประเทศอังกฤษตั้งแต่เล็ก เธอจึงพูดภาษาอังกฤษได้คล่องมากและฉลาดพร้อมทั้งมีไหวพริบดี แต่คุณหญิงวิชุตามักชอบให้เธออยู่ในกรอบ ไม่ค่อยให้ออกไปไหนข้างนอกและต้องอยู่ในกฏระเบียบตามที่เธอบัญญัติไว้เช่น ห้ามกลับบ้านหลังหนึ่งทุ่มตรง ห้ามดื่มเหล้าเบียร์ทุกชนิด ห้ามพูดจาไม่สุภาพ ห้ามสบตาชายหนุ่มแปลกหน้า ฯลฯ นอกจากนี้เธอยังได้รับการอบรมเรื่องมารยาทเป็นอย่างดีอีกด้วยจากคุณย่าของเธอ เธอชอบร้อยมาลัยและทำขนมไทยซึ่งผิดกับนิสัยคนจบนอก เพื่อนๆของเธอมักกล่าวว่านภัสสรยังเป็นคนอ่อนต่อโลกนักเนื่องจากมารดาของเธอมักไม่ค่อยให้ออกไปไหนและมักให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่บุตรสาว เธอจึงไม่เคยรับรู้ถึงรสชาติของความผิดหวัง
“ไม่ว่าจะเป็นดาวหรือเดือน แม่ก็หามาให้ลูกได้จ้ะ”
หญิงสาวกำลังยืนอยู่ติดขอบเวทีซึ่งเบียดเสียดไปด้วยนักศึกษาทั้งจากมหาวิทยาลัยนี้และมหาวิทยาลัยอื่นอีกด้วย วันนี้นับเป็นวันแรกในรอบหลายๆปีที่เธอได้มีโอกาสออกมาเปิดหูเปิดตา เธอจึงรู้สึกสบายใจและตื่นเต้นมาก บรรยากาศโดยรอบนั้นอบอ้าวและมืดสลัว เธอรู้สึกฉงนกับพฤติกรรมของพวกนักศึกษาสาวบางคนที่เต้นอย่างไม่รู้จักอายกับนักศึกษาชาย
“ช่างน่าละอายโดยแท้ อยู่แค่ปีหนึ่งพฤติกรรมยังถึงเพียงนี้” นภัสสรคิด
งานดำเนินไปเรื่อยๆจนถึงจุดสำคัญของงานนี้……..
“และผู้ที่ได้เป็นดาวมหาวิทยาลัยประจำปีนี้ได้แก่” เสียงประกาศของพิธีกรพากันทำให้บรรดาผู้ที่มาร่วมงานพากันลุ้นจนตัวโก่ง
“นางสาววรินทร์พร นิศารัตน์” เจ้าของชื่อที่ถูกเรียกก้าวออกมาข้างหน้าพร้อมยกมือไหว้ฝูงชนเบื้องหน้าด้วยความขอบคุณอย่างสุดซึ้ง
“คนนี้ก็เวอร์ไป ทำอย่างกับได้เป็นนางงามจักรวาล” นภัสสรคิดพร้อมชำเลืองมองอย่างเอือมระอา
“และผู้ที่ได้เป็นเดือนมหาวิทยาลัยประจำปีนี้ได้แก่” พวกสาวๆที่ยืนอยู่ตรงแถวหน้าพากันลุ้น
“นายธัญวุฒิ ทิพยศักดิ์”พิธีกรผายมือให้กับบรรดาเด็กหนุ่มที่เข้าร่วมประกวด เหล่าสาวๆที่ยืนอยู่ตรงขอบเวทีพากันกรี๊ดกร๊าดด้วยความดีใจ เด็กหนุ่มที่ถูกเรียกก้าวออกมาข้างหน้า คนที่จะทำให้ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปตลอดกาลในอนาคต เขายิ้มอย่างเป็นธรรมชาติให้กับฝูงชนที่พากันกรี๊ดสนั่นแล้วตบมือดีใจ เขายกมือไหว้พร้อมกล่าวขอบคุณ ครานั้นนภัสสรจึงได้พินิจมองใบหน้าของหนุ่มน้อยคนนั้นอย่างลืมตัว ลืมกฏเกณฑ์ที่คุณแม่ของเธอบัญญัติไว้เสียสนิท ชายผู้นี้ช่างงามไร้ที่ติ ดวงตาสีดำคู่นั้นมีประกายแห่งความเป็นเด็กฉายอยู่ จมูกโด่งเป็นสันที่เข้ากับใบหน้ารูปไข่ ปากเรียวเป็นรูปกระจับ ผมนั้นถูกตัดสั้นอย่างมีสไตล์ รูปร่างผอมบางแต่ทว่าแฝงไปด้วยความเข้มแข็งและจริงจังฉายอยู่บนใบหน้า หล่อนรู้สึกเหมือนลืมหายใจไปในทันใด หัวใจเต้นระทึกไม่ใช่ตามเสียงเพลงดังแสบแก้วหูที่เปิดในงานแต่ตามเสียงหัวใจของหล่อนเองต่างหาก ทันใดนั้นเองเขาก็จ้องมองมาจากเวทีลงมาที่เธอ นภัสสรก็จ้องมองเขากลับไปเช่นกัน หล่อนคิดว่าเขากำลังมองหาเรื่องหล่อน เธอก็เลยมองเขาด้วยหางตาแล้วเชิดหน้าไปทางอื่น ชายหนุ่มได้แต่มองอย่างงงๆบนเวทีแล้วพยายามกลั้นยิ้ม……………
เช้าวันรุ่งขึ้น
“ลืมของไว้อีกแล้วหรอนี่” ชายหนุ่มร่างบางคิดในใจแล้วยิ้มพลางหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเพื่อนร่วมชั้น
“คราวนี้ลืมนิตยสารแต่งบ้านซะด้วย”ชายหนุ่มพลิกหน้าหนังสือเล่มหนาไปมาเพื่อดูเล่นแล้วนั่งลงเรียนซะทีหลังจากที่อาจารย์มองเขาว่าจะยอมนั่งลงเมื่อไหร่จะได้เริ่มสอนสักที
ธัญวุฒิเป็นนักศึกษาปีสุดท้ายของ คณะบริหารธุรกิจของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ เขาเคยเป็นนักฟุตบอลของมหาวิทยาลัยตอนปีหนึ่ง แต่เลิกเล่นฟุตบอลเพราะแม่บอกจะได้หันมาให้เวลาให้กับการเรียนมากขึ้น เขาเคยเป็นมือกีตาร์ของวงดนตรีมหาวิทยาลัยด้วยแต่ก็เลิกเป็นไปด้วยเหตุผลเดียวกัน เขาเชื่อแม่เพราะเขาไม่ได้เป็นคนเรียนดีเท่าไหร่ เกรดสูงสุดที่เคยได้ตั้งแต่ปีหนึ่งคือบี และเทอมนี้เขาตั้งใจไว้ว่าจะทำเกรดเฉลี่ยให้สูงขึ้นเพื่ออนาคตของเขาและเพื่อแม่ที่เขารัก วิชาที่เขาเกลียดแสนเกลียดนั้นก็คือการเงินการธนาคาร วิชาที่นั่งเรียนอยู่ในขณะนี้ เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมชอบมีคนมาลืมของไว้บนเก้าอี้ที่เขานั่งเรียนเป็นประจำในวิชานี้ เขามั่นใจว่าต้องเป็นเธอคนเดิมแน่นอน เพราะที่นั่งส่วนใหญ่ในมหาวิทยาลัยนี้จะจับจองกันเป็นเจ้าของตั้งแต่วันแรกที่มาเรียน ฉะนั้นจึงเป็นไปได้น้อยมากที่จะเปลี่ยนที่นั่งหลังจากนั่งที่เดิมแล้วในวันแรก เธอเคยลืมของไว้ทั้งหมดสามรอบ ครั้งแรกเธอลืมถุงเสื้อผ้าไว้ใต้โต๊ะเขา ครั้งที่สองเธอลืมพวงมาลัยมะลิ ขันเงินและน้ำหอมยี่ห้อดังไว้ที่เดิม เขาคิดว่าเธอคงเอาไปไว้แม่ล่วงหน้าสองวัน เพราะวันนั้นไม่ใช่วันศุกร์ที่เด็กหอส่วนใหญ่จะกลับบ้านกัน และครั้งที่สามครั้งนี้เธอลืมหนังสือแต่งบ้านเล่มหนาไว้บนโต๊ะซึ่งมีคนทำน้ำหกไว้ “เธอต้องโทษเราแน่เลยว่าเราทำหนังสือเธอเปียก” ชายหนุ่มคิด
และทุกครั้งธัญก็ไม่เคยนำของที่เธอลืมไปคืนเจ้าของเลย เพราะเขาคิดว่าหนึ่งถ้าเขาถือไปอาจมีคนคิดว่าเขาจะเอาไปเป็นของตัวเอง สองมันไม่ใช่ธรรมเนียมของเด็กที่นี่ที่จะนำของไปส่งคืนให้ยาม และสามเขาคิดว่าเจ้าของคงตามมาเก็บเองเมื่อนึกขึ้นได้
การลงทะเบียนที่นี่มักจะยุ่งยากและมีปัญหาเสมอ เพราะที่นั่งเรียนนั้นมักไม่เพียงพอต่อความต้องการของนักศึกษา และบางครั้งเขาเองก็ไม่สามารถจัดตารางให้มีวันหยุดได้ เขาจึงต้องมาเรียนทุกวันจันทร์ถึงศุกร์
“คุณธัญวุฒิ บอกผมมาสิว่าราคาของหุ้นมีความสัมพันธ์กับการออมทรัพย์อย่างไร” อาจารย์ผู้สอนหยุดบรรยายแล้วจ้องหน้ามาที่อดีตมือกีตาร์………………
ชายหนุ่มยิ้มแล้วมองอาจารย์ แต่ทว่าใบหน้าหล่อเหลาที่ทำสาวๆรุ่นเดียวกันกับเขาใจละลายมานักต่อนักแล้วไม่สามารถทำให้รอยยิ้มและดวงตาที่แข็งกร้าวของอาจารย์หายไปเลย อาจารย์ยังคงจ้องมาที่เขาอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาจะตอบได้อย่างไรหละในเมื่อระหว่างที่อาจารย์กำลังสอนเขามัวแต่กดโทรศัพท์แชทคุยกันกับเพื่อน
“ไม่เคยฟังอะไรเลยในระหว่างที่ผมสอน วันนี้ผมจะไม่เช็คชื่อคุณ และตัดคะแนนการ มีส่วนร่วมให้ห้องเรียนห้าคะแนน!” อาจารย์กล่าวเสียงดังแล้วกลับไปสอนต่อในทันที
ธัญหน้าซีด นี่ถ้าเขาโดนตัดคะแนนอย่างนี้แล้วคะแนนทั้งหมดของเขาก็จะติดลบ เพราะเขาเคยโดนหักมาแล้วจนเหลือศูนย์ แล้วความหวังที่ว่าเกรดเฉลี่ยของเขาจะสูงขึ้นก็ริบหรี่ลงจากแสงตะวันสู่แสงหิ่งห้อย อาจารย์นั้นก็ไม่ยุติธรรมเลยผู้หญิงคนสวยหลังห้องเธอมัวแต่คุยโทรศัพท์แล้วยังนั่งเสียบหูฟังฟังเพลงในห้องอีกแต่อาจารย์กลับไม่ว่าอะไรเลย อาจารย์ที่นี่เป็นอย่างนี้แหละ อาจารย์ผู้ชายมักจะปลื้มนักศึกษาหญิงส่วนอาจารย์ผู้หญิงมักจะปลื้มนักศึกษาชาย พอเลิกเรียนเสร็จชายหนุ่มก็รีบเดินออกจากห้องเรียนด้วยความโมโห…………………….

“แล้วเจอกันใหม่ครั้งหน้าครับนักศึกษา อย่าลืมส่งการบ้านไว้บนโต๊ะนะครับ”
พออาจารย์พูดจบ นภัสสรก็รีบเดินออกจากห้องแล้วมุ่งตรงไปยังห้องก่อนหน้าที่เธอเรียน เธอลืมของอีกแล้วคราวนี้

“ไม่ได้ดังใจไปซะทุกอย่าง” หญิงสาวบ่นด้วยความหงุดหงิด

นับเป็นรอบที่สามถ้าเธอจำไม่ผิดที่เธอมักจะลืมของไว้บนเก้าอี้เดิม ในนั้นมีของสำคัญที่เธอต้องนำไปทำโครงงานชิ้นสุดท้ายด้วยสิ หญิงสาวรีบจ้ำอ้าวเข้าไปยังห้องที่มืดทึบเนื่องจากไฟและคอมพิวเตอร์ได้ปิดลงแล้ว เธอกลับไปตรงที่ที่เธอนั่งเรียนเป็นประจำแล้วยิ้มขึ้นได้ในทันทีพร้อมรู้สึกโล่งอกเหมือนยกภูเขาออกจากอกเมื่อพบหนังสือแต่งบ้านเล่มหนาเล่มเดิมวางอยู่บนโต๊ะ แต่แล้วก็ต้องหุบยิ้มลงเมื่อพบว่าหนังสือได้วางทับลงบนน้ำที่หกอยู่ หญิงสาวร้องกรี๊ดอย่างโมโหแล้วพลิกดูหน้าต่างๆอย่างเสียดาย หน้ากระดาษเปียกชื้นเพียงแค่แตะเบาๆก็แทบจะขาดอยู่แล้ว เธอคว้าหนังสือได้แล้วก็วิ่งลงบันไดที่ไร้ผู้คนพลางคิดเรื่อยเปื่อยไปถึงคำพูดของแม่หมอเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา
เล่ากันว่าเมื่อตอนที่ท่านเกิดมีพายุฝนพัดกระหน่ำไปทั่วทั้งหมูบ้าน แม่ของแม่หมอจึงต้องไปคลอดท่านที่กระท่อมนอกชานเมือง เมื่อท่านลืมตาดูโลก ท้องฟ้าก็พลันสว่างโดยพลันแล้วอากาศก็เริ่มแจ่มใส แม่ของท่านยังบอกอีกว่าตอนที่แม่หมอเกิดท่านมองเห็นเงาเรือนลางของพญาหงส์สีทองกระพือปีกมหึมาไปมารอบๆศีรษะของแม่หมอ ตอนแรกแม่ของแม่หมอรู้สึกตกใจมาก ท่านจึงพนมมือไหว้พญาหงส์ พอท่านลืมตาขึ้นเงาของพญาหงส์นั้นก็หายไปทันที แม่จึงตั้งชื่อให้ลูกของท่านที่เกิดมาว่า “สกุณา” ซึ่งแปลว่านก
กล่าวกันว่าแม่หมอเป็นหมอดูชราที่มีชื่อเสียงเมื่อตอนสาวๆ ท่านชำนาญในเรื่องตาทิพย์และการสะเดาะเคราะห์ ท่านสามารถมองเห็นอดีต อนาคตของใครคนใดก็ได้และมักจะแม่นอีกด้วย นภัสสรเป็นคนที่เชื่อเรื่องโชคชะตาดังนั้นเธอจึงมาดูดวงกับแม่หมอเป็นประจำ ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่นภัสสรตัดสินใจถามเรื่องความรัก ครั้งก่อนถ้าไม่ถามเรื่องการเรียนก็มักจะถามเรื่องสุขภาพของเธอ แต่เพราะครั้งนี้ทัศนาเพื่อนสาวของเธอยุยงให้เธอมาตรวจเรื่องความรักซะบ้าง เผื่อใกล้จะมีคู่กันกับเขาสักที เธอจึงได้เข้าไปถาม แม่หมอบอกให้เธอยื่นมือมา จากนั้นหญิงชราก็จับมือนางแล้วหลับตาพลางท่องมนต์ด้วยภาษาที่สาวรุ่นหลานทั้งสองไม่เข้าใจ สักพักนึงท่านก็ลืมตาขึ้นแล้วปล่อยมือนภัสสร ทำเอาสองสาวนั้นสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ
“เป็นไงคะ แม่หมอ ดวงเรื่องความรักของยัยภัส” ทัศนาถามด้วยความร้อนใจ นภัสสรอาจจะมองว่าหล่อนเป็นห่วงแต่ที่จริงแล้วทัศนานั้นเมื่อยขาจากการนั่งพับเพียบนานๆแล้วอยากลุกไปไกลๆสักที
“คู่ของหนูภัสคือชายหนุ่มคนที่สบตากันกับหนูในคืนจันทร์เพ็ญ ผิวกายของเขาเนียนละเอียดยิ่งกว่าเม็ดทรายและขาวสะอาดยิ่งกว่าจันทรา ดวงตาคมกริบราวกับศาตราหมายฟาดฟันใจให้ผู้ที่สบตาให้ละลายหายไป รอยยิ้มชวนฝันนั้นทำเอาสตรีเพศหลงใหลไปแล้วนักต่อนัก คนนี้แลเหมาะกับหลานย่าเป็นยิ่งนัก”นภัสสรคิดว่าแม่หมอพูดจาเหมือนพวกเพ้อเจ้อ เจ้าบทเจ้ากลอน แต่พอเธอนึกถึงรูปพรรณสัณฐานที่แม่หมอเล่ามาประกอบกับชายหนุ่มที่เธอได้สบตาด้วย ซึ่งก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้นเอง เธอก็รู้สึกตกใจพร้อมกับดีใจอยู่ลึกๆไปพร้อมกันที่ความรู้สึกของเธอนั้นตรงกับคำทำนาย

“นายธัญพืชนี่หรอคะ แม่หมอที่จะมาเป็นคู่ของหนู” นภัสสรถาม เธอพอจะได้ยินกิตติศัพท์ของเขามาบ้าง เขาเป็นถึงเดือนมหาวิทยาลัย แน่นอนว่าเรื่องของเขาจะต้องดังไปในหมู่นักศึกษาสาว อ้อแล้วก็เพราะเธอก็ติดตามข่าวของเขาอยู่เนืองๆเนื่องจากเธอสนใจเขา
“ใช่แล้วลูก ตามดวงนั้นสมพงศ์อย่างกับกิ่งทองใบหยกเชียว ถ้าได้อยู่กินกันแล้วจะรักกันไปจนแก่เฒ่าเลยลูก” แม่หมอผู้ทำนายดวงชะตาให้นภัสสรกล่าวแล้วยิ้มอย่างสบายใจ
“หึ น่าขันสิ้นดี หนูกับเขาต่างกันราวฟ้ากับเหว เขานะเสเพล ไม่เอาถ่าน วันๆนะดีแต่แต่งตัวแต่เที่ยวกับเพื่อน ไม่เป็นสุภาพบุรุษ ส่วนหนูนะเรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้ การเรียนก็เป็นที่หนึ่งตลอด” หญิงสาวสาธยาความในใจที่ดูเหมือนว่าจะหลงตัวเองออกมาสะยาว จนทำให้หญิงชราส่ายหน้าอย่างเอือมระอาแล้วกล่าวว่า
“อนาคตไม่มีใครรู้หรอกลูก ต่อให้อยู่ไกลกันจนสุดฟ้าก็มารักกันได้ก็มีแล้ว นี่อยู่มหาวิทยาลัยเดียวกันอย่างนี้โอกาสก็สูงขึ้นด้วย อีกอย่างหนูไม่ชอบคนอย่างพ่อธัญหรอกหรอลูก รูปร่างหน้าตาสกุลรุณชาติก็ดี ฐานะก็ร่ำรวย ย่าไม่เห็นว่าพ่อธัญเขาจะมีข้อเสียตรงไหนเลย ผู้หญิงทั่วทั้งหมู่บ้านคอยมาแอบเหล่มองเขาเป็นประจำ มาแกล้งเดินชนบ้าง แกล้งคุยบ้าง แต่ย่าก็ไม่เห็นเขารักใครเลยนะหนูภัส”หญิงสาวพูดได้เป็นฉากๆจากตาทิพย์ ความสามารถพิเศษที่เธอได้รับตั้งตาเกิด
หญิงสาวที่นั่งพับเพียบอยู่กลอกตาไปมา ในใจจริงเธอก็แอบชอบนายธัญวุฒินั่นอยู่เหมือนกัน แต่เธอก็คิดว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เสปคของเธอนะต้องสุภาพ เรียนดี มีน้ำใจซึ่งนายธัญหารนั่นไม่มีคุณสมบัติพวกนั้นสักข้อ ไม่มีวันสะหรอกนภัสสร อย่าลืมว่าชีวิตเธอต้องอยู่ในกรอบ ต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ที่เธอคิดไว้ ถ้าไม่ได้ดังที่หวังเธอไม่เอามันเด็ดขาด หยุดฝันลมๆแล้งๆแล้วกลับไปตั้งใจเรียนหนังสือเถิด เธอจะไม่มีวันเรียนแย่ลงเด็ดขาด
ในขณะที่ใจของนภัสสรลอยไปนึกถึงเรื่องคำทำนาย โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น หน้าจอบอกให้รู้ว่าคนที่โทรเข้ามาคือเพื่อนสนิทของเธอ ทัศนา ทัศนาเป็นหญิงสาวรูปร่างดี เรียนอยู่ในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ คณะเดียวปีเดียวกับเธอ ทั้งคู่รู้จักกันเมื่อวันรับน้อง ด้วยเพราะว่าเป็นน้องใหม่เข้ามายังไม่รู้จักใคร ทัศนาจึงผูกมิตรกับนภัสสรไว้ก่อน ทั้งสองเรียนวิชาเดียวกันทุกวิชาและไปกินข้าวด้วยกันเสมอ นภัสสรคิดว่าทัศนาเป็นคนนิสัยดี น่าคบ แต่ครั้งนี้เธอไม่ยอมรับสายทัศนา เธอคิดว่าทัศนาดูแปลกๆไป ไม่เหมือนเมื่อก่อน แต่ก่อนจะพูดกับเธอดีตลอด แต่เดี๋ยวนี้กลายเป็นถามคำตอบคำ เจอกันตามมหาวิทยาลัยก็แค่โบกมือทัก ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่หล่อนมักจะเข้ามาคุยทักทายกับเธอและชวนเธอไปเที่ยว เธอรู้สึกว่าเพื่อนของเธอเริ่มเห็นแก่ตัวมากขึ้น พอมีอะไรก็จะเข้ามาถามแต่พอไม่มีก็เห็นเราเป็นรูปปั้นไม่คุยไม่ทัก
“ว่าไงจ้ะ แป้ง” เธอตัดสินใจกดรับสายในที่สุด
“เสาร์นี้นะว่างไหม ช่วยมาติวสถิติให้เราหน่อยที่ร้านกาแฟเจ้าประจำ เออแล้วเรื่องรายงานนะฉันทำไม่เป็นหรอกนะ เธอทำกับคนในห้องเอาละกัน”เสียงปลายสายพูดอย่างอ้อนว้อนฟังดูเผินๆอาจจะน่าสงสารแต่หญิงสาวจับกระแสความไม่จริงใจไว้ได้
“ดีแต่จะมาเกาะกันหวังเอาคะแนน งานการก็ไม่ช่วย มาก็สายตลอด คนอะไรไม่เอาถ่านที่สุด” หญิงสาวคิดแล้วทำให้หงุดหงิด
เธอเดินใจลอยไปเรื่อยๆจนขาก้าวข้ามขั้นบันไดไป ขาซ้ายไหลลื่มข้ามบันไดไปหลายขั้นจนในที่สุดเธอก็มานั่งกองกับพื้น
“โอ้ย” นภัสสรร้องครวญครางแล้วค่อยๆลุกขึ้นยืนด้วยความยากลำบาก
“ไหวไหมคุณ มาให้ผมช่วย” เสียงนุ่มทุ้มเสนอตัวเข้าช่วย
หญิงสาวเงยหน้ามองเจ้าของเสียงแล้วพบว่าเป็นคนที่เธอเพิ่งคิดถึงเมื่อกี้นี้
“ฉันไม่เป็นไรแล้ว แค่หกล้มนิดหน่อย” หล่อนตอบเสียงแข็งพร้อมกับเชิดหน้า ลุกสาวคุณหญิงวิชุตาต้องเชิดไว้ก่อน ดูดีไว้ก่อน จะมาทำอ่อนแอให้เขาเห็นไม่ได้ ยิ่งซ่อนความในใจว่าเราแอบชอบเขาไว้เท่าไหรยิ่งดี ถ้าเราเป็นฝ่ายเข้าหาเขาก่อนมันจะดูไม่งาม นภัสสรนั่งนึกถึงคำสอนของคุณแม่ที่มาเป็นข้อๆ
ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ ผู้หญิงคนนี้ท่าทางจะวางมาดไว้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่กับใคร ที่ไหนเมื่อไหร่ เธอต้องดูดีไว้ก่อนไม่เสียฟอร์ม “ดีแล้วคุณ งั้นผมกลับบ้านก่อนนะ ดูแลตัวเองดีๆหละ” ธัญวุฒิโบกมือลาหญิงสาวที่กำลังหน้าบึ้งอยู่
ขณะนั้นเองเขาก็สังเกตเห็นหนังสือแต่งบ้านเล่มหนาที่นภัสสรถืออยู่….
“คุณเองหรอที่ลืมหนังสือไว้บนโต๊ะผม” ชายหนุ่มถามอย่างงง ด้วยไม่คิดว่าสาวขี้ลืมคนนั้นจะเป็นหญิงสาวแสนสวยตรงหน้า
“ก็ใช่นะสิ อย่าบอกนะว่านายเป็นคนที่นั่งโต๊ะตัวนั้น” นภัสสรจ้องชายหนุ่มตรงหน้าตาขวาง
“เอ่อ ใช่ ฮ่าฮ่า” ชายหนุ่มตอบอย่างอารมณ์ดีหวังทำให้ทุกอย่างดีขึ้น
“น่าเกลียดที่สุด นายทำน้ำหกใส่หนังสือฉัน แล้วยังไม่รุ้จักนำไปคืนที่ศูนย์รับฝากของหายอีก ขอโทษก็ไม่มีสักคำ” นายนี่มันเป็นคนยังไงนะ”เธอตวาดใส่เขาด้วยความโมโห
“แล้วมันแปลกตรงไหนละคุณ ผมก็ไม่เคยเห็นคนในมหาลัยนี้เขาจะส่งของหายคืนเจ้าของเลย แค่ไม่หยิบไปทิ้งก็บุญแล้ว”
“ก็นายจะเป็นคนมีน้ำใจหน่อยไม่ได้หรือไง คนอื่นเขาใจแคบแล้วใจนายก็ต้องแคบตามไปด้วยหรอ”
หญิงสาวกล่าวอย่างตัดพ้อแล้วรีบวิ่งจากไป นี่นะหรือเดือนมหาวิทยาลัยผู้ที่เธอเคยแอบปลื้ม ช่างไม่เป็นสุภาพบุรุษ เห็นแก่ตัวที่สุด……..
เช้าวันรุ่งขึ้นนภัสสรเดินทางมามหาวิทยาลัยแต่เช้าตรู่เพื่อมาขอพบอาจารย์ที่สอนวิชาการตลาด เธอตั้งใจจะมาขอดูคะแนนรวมทั้งหมดในเทอมก่อน เนื่องจากเธอได้เกรดซีบวกซึ่งถือว่าแย่มากในความคิดของเด็กเรียนเก่งอย่างเธอ เธอว่าอาจารย์ต้องไม่ชอบหน้าเธอแน่เลย เพราะครั้งหนึ่งเธอเคยหันไปคุยกับเพื่อนในระหว่างที่อาจารย์หยุดสอน แต่อาจารย์กลับชี้หน้าเธอแล้วเรียกเธอให้ไปนั่งข้างหน้าตรงหน้าเธอพอดี พอเธอหย่อนตัวลงบนเก้าอี้ อาจารย์มองเธอด้วยหางตาอย่างเหยีดหยามแล้วกลับไปสอนต่อหน้าตาเฉย พอถึงเวลาพักเบรกเธอก็เดินกลับไปนั่งที่เดิมตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แล้ววันนี้เธอตัดสินใจมายืนรออาจารย์เอมิกาหรืออาจารย์ชะเอม อาจารย์ลูกครึ่งไทย-มาเลเซีย ผู้ซึ่งเป็นที่ร่ำลือกันในบรรดานักศึกษามหาวิทยาลัยว่า
“โหดที่สุดในแผนกการตลาดเลยภัส พี่ว่าอย่าไปลงเลย ถ้าลงไม่ได้จริงๆไปลงกับคนอื่นเทอมหน้าดีกว่า” รุ่นพี่เธอเคยบอกตอนที่เธอถามว่าอาจารย์เอมิกาดีไหม
“ชอบด่าเด็กมากเลยค่ะพี่ภัส วันนั้นเพื่อนหนูลืมหนังสือมา ด่าจนเพื่อนหนูไปเกิดเลยคะ” รุ่นน้องที่เคยเรียนกับอาจารย์ชะเอมเล่าให้ฟังตอนสนทนากันที่โต๊ะชมรม
“เจ้าอารมณ์แบบไร้เหตุผล วันนั้นนะหน้าต่าง Antivirus มันเด้งขึ้นมาหลายรอบ อาจารย์แกหงุดหงิดมากจนกดเมาส์คลิกรัวเหมือนคนบ้าเลยละ”เพื่อนคนหนึ่งของเธอเล่าให้ฟังตอนกำลังกินข้าว
“และกดคะแนนเป็นที่สุด ขนาดพี่ได้มิดเทอมเกือบเต็มเลยนะ ไม่เคยขาดด้วย พี่ยังได้บีลบเลยภัส พวกเด็กผู้ชายที่หน้าตาดีๆในห้องนะเรียนก็ไม่เรียน มาก็สายดันได้บี บีบวกกันเกือบหมดเลย อาจารย์แกจะชอบพวกนักศึกษาหล่อๆ”เพื่อนสาวของเธอพูดเล่าอย่างออกรส
เพราะฉะนั้นเวลาลงทะเบียนเราจึงมักจะเห็นที่นั่งเรียนของอาจารย์คนนี้เหลืออยู่เสมอ ในขณะที่ที่นั่งของอาจารย์คนอื่นเต็มหมดแล้ว ถึงแม้ว่าบางเทอมจะมีการสับเปลี่ยนอาจารย์กันในวันเปิดเทอม เด็กๆก็ทนไม่ไหวจนยอมตัดใจจ่ายค่าเปลี่ยนห้องเรียนแพงๆเพื่อจะไปเรียนกับอาจารย์คนอื่น
นภัสสรคิดเรื่อยเปื่อยไปเรื่อยขณะยืนรออยู่หน้าออฟฟิศ เธอควรจะมาพบอาจารย์ชะเอมไหมนะ แล้วเธอจะโดนอะไรบ้างเนี่ย ลิฟท์ร้องดังตึ้งแล้วเปิดออก เธอรู้สึกว่าตัวเองสัมผัสได้ถึงกระแสอำมหิตออกมาจากลิฟท์ตัวนั้น
“อาจารย์คะ หนูมาพบอาจารย์ค่ะ” นภัสสรปั้นยิ้มให้อาจารย์ที่เดินออกมาจากลิฟท์หน้าตาไม่เป็นมิตร
“เรื่องอะไร” อาจารย์ชะเอมตอบเสียงแข็งพร้อมทั้งมองหล่อนหัวจรดเท้า
“หนูอยากมาขอดูเกรดอาจารย์คะ หนูได้ซีบวก หนูมั่นใจว่าต้องได้มากกว่านี้ ตอนสอบกลางภาคหนูได้ตั้งสิบหกเต็มยี่สิบ”หญิงสาวบอกอาจารย์ถึงความจำเป็น
อาจารย์ชะเอมเดินไปเปิดคอมพิวเตอร์บนโต๊ะที่ของแต่ละอย่างวางไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยและแลดูสะอาดตาบ่งบอกถึงความเป็นระเบียบของเจ้าของโต๊ะได้เป็นอย่างดี
“คะแนนเก็บในห้องเธอได้ 6 เต็มสิบซึ่งต่ำกว่ามาตรฐานมาก ดูเด็กคนอื่นสิได้เจ็ดได้แปดกัน”อาจารย์พูดเสียงดูถูก
“แต่หนูส่งหมดทุกชิ้น ยกเว้นชิ้นสุดท้ายนี่คะ ข้อสอบหนุก็ทำหมดทุกข้อ”นภัสสรแย้ง
“มันไม่ได้อยู่ที่ว่าเธอทำได้สักกี่ข้อ แต่มันอยู่ที่ว่าถูกไปกี่ข้อ!!!” อาจารย์ตวาดเสียงดังลั่นออฟฟิศ จนอาจารย์ที่นั่งจิบกาแฟอยู่ที่โต๊ะข้างๆหันมามองเหมือนกลัวการเกิดอาฟเตอร์ชอค
“งั้นหนูขอดูข้อสอบได้ไหมคะ”เธอกล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ
“มาพบฉันอีกทีวันพุธ แล้วไม่ต้องมารอฉันที่ออฟฟิส ไปรอฉันที่ห้องเรียน” เอมิกาตะคอกอย่างรำคาญ
เมื่อเช้าวันพุธมาถึง……………..
นภัสสรมารออาจารย์เอมิกาที่หน้าห้องเรียนที่อาจารย์สอนอยู่ มีนักเรียนเรียนอยู่ไม่ถึงสิบคน
“มิน่าเล่านิสัยแบบนี้ใครเขาจะอยากลงเรียนกับหล่อน สอนการตลาดซะเปล่า แต่ตัวเองยังทำให้นักเรียนพอใจไม่ได้เลย” นภัสสรคิดในใจ
“หนูมารออาจารย์คะ”
“ตามฉันไปที่ออฟฟิศ”ใบหน้าของเธอปราศจากรอยยิ้มเหมือนโกรธใครมาชั่วกัลป์ชั่วกัน
เอมิกายื่นข้อสอบให้ลูกศิษย์ดูแล้วเดินออกไปกินกาแฟ นภัสสรรับไปพิจารณาอย่างละเอียดแล้วนั่งลงบนโซฟาสีแดงหรู เธอเปิดดูข้อสอบซ้ำไปซ้ำมาหลายๆรอบ นั่งอ่านลายมือที่เขียนด้วยปากกาแดงและเครื่องหมายกากบาทขนาดใหญ่ นั่งกดเครื่องคิดเลขบวกคะแนนที่เธอได้ซึ่งต่ำกว่าที่เธอคิดไว้มาก เธอสงสัยในคำตอบที่ถูกของคำถามข้อหนึ่งจึงตัดสินใจถามอาจารย์
“ข้อนี้ตอบว่าอะไรคะ”นภัสสรชี้คำถามให้อาจารย์ดู
“คำตอบคือ Corporate”อาจารย์ชะเอมรับไปดูสักพักแล้วบอกตาขวางเสียงเย็นชา
“งั้นที่หนูเขียนมันคืออะไร”
“เธอคิดหรอว่าฉันจะรู้ว่ามันคืออะไร เราไม่เคยมี conceptual ไปเปิดหนังสือไป!!!”อาจารย์ตะคอกแล้วจ้องหน้าตาเขียว
“อาจารย์คะหนูอยากดูคะแนนเก็บได้ไหมคะ”หญิงสาวกล่าวเสียงสั่นเทา น้ำตาใกล้จะไหลเป็นปริ่มๆ
“ถ้าฉันเอามาให้เธอดูแล้วคะแนนมันตรงตามที่เธอได้จริง เธอต้องรับผิดชอบด้วย”อาจารย์ชี้หน้านภัสสรแล้วจ้องตาขวาง
นภัสสรยืนอึ้งน้ำตาคลอ อาจารย์ชะเอมทำเป็นไม่สนใจ
“ก็หนูก็ทำตามที่อาจารย์บอกคะ ทำไมได้น้อยกว่าทุกคนเลยหละคะ”
“มันไม่ได้หมายความว่าแค่ตัดแปะแล้วก็ส่ง ฉันตรวจละเอียดทุกบรรทัดว่าอันไหนถูกอันไหนผิด”อาจารย์ชะเอมพูดตะคอกเสียง
“ถ้าโปร่งใสจริง ทำไมอาจารย์ไม่เอามาให้หนูดูละคะ”
“ออกไปได้แล้วไป ฉันจะกินข้าวหัดเกรงใจกันบ้าง ตั้งแต่เช้ายังไม่ได้กินอะไรเลย” เอมิกาจ้องตาขวางแล้วมองอย่างเหยีดยหยาม
“ก็หนูขาดไปครั้งเดียว ทำไมเกรดถึงตกมาอย่างนี้หละคะ”หญิงสาวกล่าวเสียงอ่อย
“กรี๊ด !!! เดินตามฉันมา ” อาจารย์ชะเอมกรี๊ดดังลั่นแล้วร้องตะโกนขณะเดินไปรอบๆออฟฟิศ เธอลากตัวนภัสสรไปตามโต๊ะต่างๆของอาจารย์ในแผนกเดียวกันแล้วพูดจาประจาน
“ในที่นี้มีใครสอนวิชาการตลาดบ้าง ฉันทนเด็กคนนี้ไม่ไหวแล้ว ใครก็ได้ช่วยมาตอบคำถามเด็กคนนี้ที” เธอกล่าวเสียงดัง หน้าตาแดงก่ำ ผมเผ้ายุ่งเหยิง อาจารย์แต่ละคนหยุดอยู่กับที่แล้วจ้องมองพวกเขาทั้งสอง
ด้วยความอับอายและความเสียใจ นภัสสรจึงร้องไห้กลางออฟฟิศ เธอไม่สนใจสายตาของอาจารย์รอบข้างที่มายืนมุงดูเหตุการณ์ บ้างก็ยืนซุบซิบกัน บ้างก็เข้ามาเพื่อปลอบขวัญ อาจารย์ผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาปลอบและอาสาที่จะตอบคำถามให้ แต่นภัสสรไม่ฟังเสียงใดๆแล้วทั้งสิ้น ในใจนี้มีแต่ความผิดหวังและความเคียดแค้น
“เนี่ยนะมาถามคะแนนเราเราก็ให้ดูแล้ว แล้วนี่ยังจะมาขอดูคะแนนเก็บอีก เราก็ไม่บอก ทำเหมือนไม่ไว้ใจเรา”อาจารย์ชะเอมพูดกับอาจารย์อีกคนแล้วมองนภัสสรอย่างนางอิจฉา
“ทำไมหนูแค่มาถามเรื่องคะแนน ทำไมอาจารย์ต้องทำเหมือนหนูไปขโมยของคะ”นภัสสรกล่าวอย่างสะอึกสะอื้น
“ฉันจะบอกอะไรให้นะ คำถามของเธอนะมันทุเรศมาก”อาจารย์ชะเอมเหล่มองอย่างนางอิจฉา
“พอหนูมารอที่ออฟฟิศ อาจารย์ก็ให้ไปที่ห้องเรียน”นภัสสรแย้ง
“แล้ว”อาจารย์ตอบอย่างกวนประสาท
“พอหนูมาที่ห้องเรียน อาจารย์ก็ให้ไปที่ออฟฟิศ”
“แล้ว”
“แล้วพอหนูถามคำถาม อาจารย์ก็อาละวาด”
.”แล้ว”
นภัสสรยังคงนั่งสะอึกสะอื้นในขณะนี่อาจารย์ร้ายกาจได้เดินกระฟัดกระเฟียดกลับไปกินข้าวที่เธอบอกว่าหิวที่โต๊ะแล้ว
ทันใดนั้นเอง
“เกิดอะไรขึ้นอะ” ธัญวุฒิผลักประตูเข้ามา อันที่จริงเขาจะเดินไปส่งรายงานที่ห้องถัดไปแต่ได้ยินเสียงดังลั่นเหมือนคนทะเลาะกันจากห้องนี้จึงเดินเข้ามาดู
“คุณร้องไห้ทำไม” ชายหนุ่มถามด้วยความเป็นห่วง
อาจารย์ที่เฝ้าดูเหตุการณ์เล่าเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นให้ธัญวุฒิฟัง
“ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน !!! ไม่มีใครเข้าใจฉันเลย มีแต่คนใจร้ายเห็นแก่ตัวกันหมด” หญิงสาวพูดอย่างสะอึกสะอื้น
“คุณหยุดร้องไห้เถอะ ผมรู้สึกไม่ดีเลยเวลาที่เห็นคนร้องไห้”ธัญทำหน้าเสียใจแล้วยื่นผ้าเช็ดหน้าให้นภัสสร
“ยังไงนายก็ช่วยฉันไม่ได้หรอก ฉันไม่ควรมาที่นี่เลย ฉันไม่ควรมาเลยจริงๆ” นภัสสรรับมาแล้วเช็ดน้ำตาที่ไหลรินตกโซฟา
“มากับผม ผมจะพาคุณไปหาอาจารย์ใหญ่เอง” นภัสสรจึงค่อยๆลุกขึ้นยืนแล้วเดินตามอดีตนักฟุตบอลไปข้างนอก ทิ้งไว้เพียงเสียงซุบซิบของเหล่าอาจารย์ที่วิพากษ์วิจารณ์เรื่องทีเกิดขึ้นกันอย่างออกรส

ช่วยติคมด้วยนะครับ ถ้าชอบจะมาโพสใหม่ครับ

จากคุณ : แพทสรินทร์
เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 53 20:00:33 A:124.122.91.67 X: TicketID:268583




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com