Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
๐ สมการรักหารสอง บทที่ 6 ๐๐๐  

บทนำ

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W9672480/W9672480.html

บทที่ 1

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W9682032/W9682032.html

บทที่ 2
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W9690072/W9690072.html

บทที่ 3
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W9701457/W9701457.html

บทที่ 4
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W9720762/W9720762.html

บทที่ 5
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W9732224/W9732224.html

=======================================

บทที่ 6

เจียรนัยเพิ่งวางโทรศัพท์ลงบนเก้าอี้ตัวเล็กใกล้เตียงยกน้ำหนักอุปกรณ์ครบครัน ร่างใหญ่เปลือยท่อนบนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามโทรมไปด้วยเหงื่อชันกายขึ้นจากเตียงช้าๆ กางเกงวอร์มขายาวชุ่มไปหมดเพราะการออกกำลังกายเมื่อสักครู่ ชายหนุ่มดึงผ้าขนหนูที่พาดไว้บนเก้าอี้ตัวเดียวกันมาเช็ดหน้าเช็ดตัว แล้วค่อยเดินไปยังตู้เย็นอีกห้องหนึ่งของห้องราคาสูงลิบพอๆ กับชั้นที่สูงลิ่วในตึงระฟ้า

ทว่าเพิ่งดื่มน้ำแร่เย็นฉ่ำไปได้แค่อึกสองอึกก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์อีกครั้ง ชายหนุ่มจึงเดินกลับไปยังห้องออกกำลังกายอีกครั้ง แสดงอาการประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าใครโทรมา

“โทรมาทำไมวะมากอส มืงไปฮันนีมูนอยู่ไม่ใช่หรือไง” เขาเอ่ยพลางยกน้ำในขวดขึ้นดื่มต่อ เจ้าบ่าวหมาดๆ ที่หายการติดต่อไปยาวเป็นเดือนเพราะพาภรรยาสาวไปฮันนีมูนโทรมาหาเขาทำไมในเมื่อมันยังไม่ครบเวลาที่จะต้องกลับเลย

“ฟ้าบ่นเบื่อว่ะ กูเลยพากลับ” ไวทยะตอบทื่อๆ

“เห็นไหม! กูบอกแล้วว่าฟ้าเขาไม่ชอบหรอก มีอย่างที่ไหน เอาตัวเขาไปเที่ยวทีสองเดือน” เจียรนัยก็หัวเราะลั่นด้วยความสะใจ “เที่ยวน้อยๆ แต่เที่ยวนานๆ ดีกว่าเยอะ แล้วนี่มืงไปถึงไหนล่ะเขาถึงบ่นว่าอยากกลับบ้าน”

“แคนาดาน่ะสิ” คนเป็นเพื่อนบ่น “กูลืมไปสนิทเลยว่ารายนั้นไม่ชอบอากาศหนาว ไปถึงทีสั่นงั่กๆ ร่ำร้องจะกลับบ้านท่าเดียว กูเลยต้องพากลับเมืองไทยนี่แหละ ยกเลิกห้องพักหมด จบข่าวเลย”

“สมน้ำหน้า!” ชายหนุ่มร่างใหญ่ยังไม่เลิกเย้ย “ไงล่ะมืง อยากเซอร์ไพรส์ กูพูดปากเปียกปากแฉะก็ไม่เชื่อ ทะลึ่งอยากให้เขาเห็นหิมะ น้ำแข็ง ก็ควรไหมล่ะ หนาวจะตายชัก อุณหภูมิใต้ศูนย์น่ะไม่สนุกหรอกมืง”

“นี่มืงจะด่ากูอีกนานไหม” ปลายสายเริ่มเสียงขุ่น “ที่กูโทรมานี่ ไม่ได้โทรมาให้มืงด่านะ”

“งั้นมืงโทรมาทำไม”

“ทวงของขวัญแต่งงาน” ไวทยะเอ่ยหน้าตาเฉย “มืงก็รู้ว่าตอนนี้กูกำลังจะเปิดแกลอรี่ แต่ตอนนี้หาภาพมาลงไม่ทัน กูเลยทวงให้คนอื่นๆ วาดให้กูมาคนละภาพเรียบร้อยตั้งแต่ตอนก่อนวันแต่งกูแล้ว แต่เผอิญตอนนั้นมืงอยู่เมกา กูเลยไม่ได้ทวง ทีนี้ไหนๆ มืงก็กลับมาแล้ว วาดให้กูสักสองรูปก็แล้วกัน ไม่ต้องสวยก็ได้ กูจะเอาไปซุกมุมเลย เอาให้มันเต็มๆ ไปก่อน”

“รูปของกูเนี่ยน่ะเหรอซุกมุม ไม่มีทาง! มืงคิดว่ากำลังพูดกับใครอยู่!” เจียรนัยเอ่ยแบบหยิ่งๆ “รับรองว่าวิจิตรตระการตาแบบที่ว่าลูกค้ามืงเห็นปุ๊บคว้าหมับก่อนชัวร์”

“เออ...กูรู้แล้วว่ามืงเก่ง มืงวาดให้กูมาสองรูปก็แล้วกัน”

“แล้วทำไมมืงโลภจังวะ เอาสองรูปเลยหรือ หนึ่งคนสองรูปแล้วมืงได้กี่รูปวะนั่น ปูนไม่พอหรือไงถึงจะเอาไปถมแกลอรี่น่ะ” เจียรนัยขมวดคิ้ว หยิบขวดน้ำแร่เปล่าเดินไปทิ้งถังขยะในครัว

“ที่จริงคนละรูปก็เหลือแหล่แล้ว แต่ทีนี้กูยังติดต่อไอ้กอยแล้วมันบอกไม่ว่าง มันเลยโยนให้มืงวาดแทนมัน ยังไงๆ มืงก็ให้กูหน่อยก็แล้วกัน”

“อ้าว! เฮ้ย! ไอ้กอยเล่นโบ้ยงี้เลยหรือวะ” ชายหนุ่มชะงักพลางหัวเราะ “มืงเชื่อไหมว่ากูเป็นเหยื่อสองคนติดในวันเดียว”

“เหยื่ออะไรวะ”

“ก็โดนโบ้ยน่ะสิ” เจียรนัยบ่นอย่างเบื่อหน่าย “เมื่อตอนเย็นยายช่าก็โบ้ยเพื่อนมันให้มาถามเรื่องไปเรียนต่อเมืองจีนกับกู นี่เพิ่งวางไปสดๆ ร้อนๆ นี่เอง แล้วมืงก็โทรมาบอกไอ้กอยโยนให้กูวาดรูปแทนมันด้วย คนรอบตัวกูแต่ละคนจำเริญๆ ทั้งน้าน!”

“กูก็ถามไอ้กอยว่ามันไม่ว่างเรื่องอะไร มันก็ให้กูมาถามมืงเอง เสียงมันออกแนวเคืองด้วยนะมืง มีอะไรกันหรือเปล่าวะพวกมืงสองตัวน่ะ”

“เออ...มืงตกข่าวอยู่นี่หว่า” ชายหนุ่มเพิ่งนึกขึ้นได้ เขาเดินไปหาที่นั่งที่โซฟาตัวใหญ่ในพื้นที่รับแขก เอาเท้าเขี่ยพัดลมให้หันหน้ามาทางเขาแล้วจัดการเปิดสวิตช์เป่าให้ตัวแห้งเร็วขึ้นกว่าเดิม “กูกับไอ้กอยกำลังลงขันเปิดร้านข้าวแกง ไอ้กอยเอาสูตรแม่มันมาลง กูก็ช่วยบริหารร้านให้มัน”

“สรุปแล้วนี่มืงทำอะไรบ้างวะนี่ กูจำไม่หวาดไม่ไหวแล้ว ได้ข่าวว่ามืงไปเป็นอาจารย์อยู่ไม่ใช่หรือ แล้วยังจะมีเวลาไปช่วยไอ้กอยอีก ไม่ต้องเตรียมการสอน ทำวิจงวิจัยอะไรอย่างนั้นหรือวะ”

“เฮ้ย! นั่นกูสอนจบไปตั้งแต่เทอมที่แล้ว วิชานี้สอนเฉพาะเทอมแรก แล้วกูยังไม่รู้เลยว่าจะสอนปีหน้าด้วยหรือเปล่า อีกอย่างกูก็แค่อาจารย์พิเศษไม่ได้วิจัยเป็นอาชีพนี่หว่า จับพลัดจับผลูเขาขอร้องให้ช่วยเพราะขาดคนสอนวิชานี้จริงๆ” ชายหนุ่มอธิบายอย่างรวดเร็ว แล้วเสริมต่ออีกว่า

“ถ้ามืงจะเอาสรุปให้ง่ายเข้า ตอนนี้กูเปิดร้านกาแฟอยู่ใกล้ร้านไอ้กอยนี่แหละ ทีนี้ที่กูไปช่วยไอ้กอยมันได้เพราะมีเด็กที่ร้านกาแฟแล้ว ไม่ต้องไปดูทุกวันก็ได้ ทีนี้เมื่อสองสามวันก่อนเด็กมันลาออก กูเพิ่งหาคนใหม่ได้แล้วก็ต้องไปเทรน เลยให้ไอ้กอยมันเอาเด็กในบ้านมันที่สุพรรณฯ มาใช้งานไปก่อน กูขอจรลีไปเฝ้าร้านกาแฟ...”

“ปล่อยมันกลางอากาศนี่เอง มันถึงได้ด่าโขมง สมควรแล้วล่ะที่มันจะโยนให้มืงรับผิดชอบส่วนของมัน” ไวทยะหัวเราะ “แล้วนี่มืงกะว่าจะวาดให้กูได้เมื่อไรล่ะ ดูแล้วธุรกิจพันล้านเหลือเกิน”

“ไม่ค่อยมัดมือชกเลยนะมืง” เจียรนัยค่อนขอดใส่ “เออๆ ๆ เดี๋ยวกูว่างแล้วจะวาดให้ สีน้ำนะเว้ย จะได้สะดวกกูหน่อย”

“ยังไงก็ได้ แต่ขอก่อนสิ้นเดือนก็ดี กูเปิดร้านแล้วไม่อยากให้แกลอรี่โหรงเหรง”

เจียรนัยบ่นงึมงำอีกนิดแล้วค่อยวางสาย โยนผ้าเช็ดตัวชุ่มหยาดเหงื่อลงตะกร้าอย่างแม่นยำแล้วค่อยเดินผิวปากฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี ไปรื้ออุปกรณ์ทั้งหลายในตู้ซึ่งซุกไว้นานมากแต่ไม่ค่อยได้ใช้ ชายหนุ่มค่อยๆ กวาดสายตาดูแล้วก็พบว่าสิ่งที่ต้องการมีครบแล้ว จะขาดก็แค่กระดาษสำหรับลงสีเท่านั้นเอง

ไว้วันอาทิตย์ค่อยซื้อก็ได้มั้ง ยังไงก็ต้องออกไปข้างนอกอยู่แล้ว

===============================================

ท่าทางเขาจะมาเร็วกว่าที่คิดแฮะ

เจียรนัยกวาดเป้าหมายในร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งไม่กว้างมากนัก ไม่มีโต๊ะใดเลยที่เป็นผู้หญิงสองคน และไม่เห็นมีใครที่ดูเป็นเด็กมหาวิทยาลัยสักนิด อาจเป็นเพราะร้านที่เขานัดไม่ใช่ร้านที่วัยรุ่นจะชอบมาทานกัน ชายหนุ่มเกรงว่ารถจะติดก็เลยขับรถสีเขียวคันเล็กของตนออกมาจากห้องตั้งแต่เช้าเพื่อไปเลือกอุปกรณ์ที่แถวมหาวิทยาลัย ที่จริงในห้างก็มีขายอยู่หรอก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ชอบมากกว่าที่จะไปรำลึกบรรยากาศเก่าๆ เมื่อตอนสมัยเรียนหนังสือ

ชายหนุ่มจัดการสั่งของกินเล่นมาก่อน พลางนั่งอ่านนิตยสารธุรกิจหัวนอกซึ่งเพิ่งซื้อมาสดๆ ร้อนๆ ส่วนอุปกรณ์อื่นๆ เขาวางไว้ท้ายรถเรียบร้อยแล้ว

“อ้าว! ‘จารย์เจียนี่คะ”

สรรพนามสะดุดหูทำให้ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมอง ก็พบใบหน้าของเด็กสาวหน้าตาสดใส ผมยาวรวบเป็นมวยสูง แต่งกายลำลองด้วยเสื้อยืดกางเกงขาสี่ส่วนตัวโคร่ง แต่งหน้าออกเฉี่ยวทว่าดูยังไงก็ประมาณเด็กมหาวิทยาลัย ออกจะคุ้นๆ อยู่ แต่ยังไม่ต้องนึกอะไร อีกฝ่ายก็แนะนำตัวเองมาเสียก่อนด้วยท่าทีกระตือรือร้น

“‘จารย์เจีย หนูเองค่ะ” หนูไหนวะ... “นักศึกษาอาจารย์เมื่อเทอมที่แล้วไงคะ” ...อ๋อ

ชายหนุ่มพยักหน้าแบบงงๆ โดยสัญชาตญาณเขาก็เลยกวาดตาไปมองหญิงสาวอีกคนหนึ่งซึ่งเดินไล่หลังมาสมทบ แล้วก็แทบชะงักเมื่อเห็นใบหน้าเรียวละมุน ผมยาวสยาย ในเสื้อลายหวานแขนกุดติดระบาย กับกางเกงผ้าพอดีตัว เจียรนัยไม่นึกว่าจะได้พบลูกค้าในร้านขายข้าวแกงแถวใจกลางเมืองนั่นเอง อีกฝ่ายก็มองหน้าเขาราวกับคาดไม่ถึงเช่นกัน ทว่าเจียรนัยคืนสติได้ก่อน เขาทำหน้าสงบแล้วก็หันไปคุยกับนักศึกษาที่เขาเคยสอน

“ครับ ขอโทษที ผมไม่ได้สอนวิชาอะไรของเทอมนี้ ก็เลยจำนักศึกษาไม่ได้”

“เจออาจารย์ก็ดีเลยค่ะ พอดีน้องรหัสหนูเขามาแย็บๆ ถามเรื่องวิชาของอาจารย์ปีหน้าว่าจะมีเปิดหรือเปล่า เขามาเคยขอเอกสารที่หนูเรียนอยู่เหมือนกัน”

ปรางระวีเห็นน้องสาวเอ่ยแจ้วๆ ในขณะที่เธอใช้เวลานี้ลอบพิจารณาอีกฝ่าย ฟังจากที่ฟังน้องสาวพูด อีกฝ่ายเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย คงไม่ใช่คนเดียวกับ ‘พี่ขาว’ ที่อยู่ในร้านข้าวแกงแถวออฟฟิศหรอก

พักนี้มันอะไรกันนะ เธอมักจะพบผู้ชายผิวคล้ำ ตัวใหญ่ ฟันขาวที่ดูแล้วหน้าตาคล้ายกันไปหมด

ปรางระวีอยากจะคิดว่าตัวเองเข้าใจผิด แต่ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกว่าเหมือนมากๆ เสียงก็น่าจะใช่ เพียงแต่ ‘อาจารย์เจีย’ คนนี้ดูออกภูมิฐานและเงียบขรึมกว่า อาจเป็นเพราะผมเผ้าเขาออกมันด้วยเจลแต่งผม เสื้อเชิ้ตสีขาวตัดกับสีผิว นาฬิกาข้อมือแบบผู้ชายที่ทำให้ดูดี รวมทั้งลักษณะการพูดค่อนข้างสุภาพ มีพิธีรีตองพอสมควร

“พอดีเลยค่ะ หนูกำลังวางแผนจะไปเรียนซัมเมอร์ที่เมืองจีนอยู่” เสียงของปรงแก้วยังแจ้วๆ แล้วก็เลียบเคียงถามอย่างลังเลเล็กน้อย “อาจารย์พอจะว่างให้คำปรึกษาหนูได้หรือเปล่าคะ”

เจียรนัยมองผู้หญิงสองคนที่ยืนอยู่ ดวงหน้าที่ใกล้เคียงกันบอกให้รู้ว่าน่าจะเป็นพี่น้องกันแน่ๆ ยิ่งลูกค้าสาวที่มองน้องสาวตัวเองแบบงงๆ ก่อนจะหันมาสบตาเขาอย่างลืมตัว ชายหนุ่มเดาได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคงจะเป็นคนที่เขานัดไว้แน่นอน แล้วผู้หญิงที่อยู่เบื้องหลังก็คงเป็นคนเดียวกับที่เขาคุยทางโทรศัพท์นั่นเอง

โลกกลมดีพิลึกล่ะ!

ชายหนุ่มกระแอมไอเล็กน้อย ปั้นหน้าสงบ ทว่าในใจเริ่มร้อนรนเหมือนใครเอาคบไฟมาจี้จนแทบเหงื่อแตก เกรงอยู่เหมือนกันว่าหญิงสาวอาจจะถามถึงร้านข้าวแกงขึ้นมา ถ้าแบบนั้นมีหวังเขาเสียเครดิตในฐานะอาจารย์แน่ๆ ขอเก๊กหน้าขรึมข่มขวัญก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวลับหลังนักศึกษาเขาค่อยว่ากันใหม่

“ปรึกษาได้ครับไม่มีปัญหา” เจียรนัยยิ้มให้นิดหนึ่งแล้วค่อยหันไปยังหญิงสาวที่ยืนฟังเรื่องราวทั้งหมดอยู่ด้านหลัง “เพื่อนรัชชาใช่ไหมครับ”

ดวงตาของปรางระวีเกือบจะเป็นเบิกกว้างเมื่อเขาถามขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยอย่างนี้ หญิงสาวอึกอักนิดหนึ่งก่อนจะตอบเบาๆ

“ค่ะ พี่กุ๊ก...เอ่อ” หญิงสาวเหลือบไปมองทางน้องสาว “อาจารย์เจีย...”

เจียรนัยหัวเราะจนตายิบหยีแบบมาดหลุดจนหญิงสาวเก้อขึ้นมา เธอรวบผมขึ้นทัดหูแก้เขิน อากัปกิริยาน่ามองเสียจนคนเห็นพินิจอย่างชื่นชม มือใหญ่แล้วผายมือเชื้อเชิญผู้หญิงทั้งสองคนให้นั่งลงตรงข้ามเขาก่อนจะเอ่ยกับเธอตรงๆ ด้วยท่าทีเป็นกันเองมากขึ้น

“เรียกแบบที่เรียกเถอะ พี่ไม่ได้เป็นอาจารย์ของปราง...” ชายหนุ่มเอ่ยง่ายๆ ก่อนจะหันไปพูดกับปรงแก้วซึ่งมองทั้งอาจารย์และพี่สาวตนเองไปมา “สำหรับคุณ วันนี้กรณีพิเศษ ถือว่าผมไม่ได้เป็นอาจารย์ก็แล้วกัน เรียกพี่กุ๊กก็ได้”

ปรงแก้วยิ้มแหยทันทีเมื่อมองอาจารย์ที่ยิ้มระรื่นตรงหน้า

“อย่าเลยค่ะ หนูว่ามันไม่ชินปาก เรียกอาจารย์เจียเหมือนเดิมดีแล้ว”

ชายหนุ่มก็ไม่ว่าอะไรในเมื่อเจ้าตัวเต็มใจอย่างนั้น ร่างสูงยัดนิตยสารวางใส่ถุงอย่างเรียบร้อยแล้วเอ่ยถามด้วยท่าทางจริงจังขึ้นกว่าเดิม

“พี่สาวคุณ เอ่อ...ขอรู้ชื่อคุณอีกทีได้ไหม จะได้เรียกง่ายๆ ”

“เรียกปรงก็ได้ค่ะ”

“โอเค พี่สาวของปรงเขาบอกว่าปรงอยากไปเรียนต่อเมืองจีนช่วงปิดเทอมใหญ่ ทีนี้พี่อยากถามว่าอยากไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเป็นคอร์สภาษา หรือว่าเรียนที่ไหนก็ได้ที่สอนภาษาจีน คือหมายถึงเรียนเพิ่มเติมเฉยๆ ไม่ต้องมีประกาศนียบัตรก็ได้”

“หนูไม่รู้ว่าแบบไหนดีค่ะอาจารย์ แต่ที่แน่ๆ ก็คือ หนูตั้งงบในใจไว้...” ปรงแก้วตอบจำนวนเงินฉะฉาน “ถ้าเป็นไปได้หนูอยากเรียนที่ที่คุ้มเงินที่สุดค่ะ ไม่ต้องมีใบประกาศก็ได้ หนูแค่อยากเรียนภาษาจีนเพิ่มเติมแล้วก็ไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ต้องใช้ภาษาจีน หนูอยากพูดได้เก่งๆ ค่ะ”

อย่างนี้ง่ายหน่อย ตรงประเด็นดี...ชายหนุ่มยิ้มแล้วกอดอกมองเด็กสาวตรงหน้า

“ถ้าอย่างนั้นขอถามเรื่องเมืองดีกว่าอยากอยู่ที่เมืองใหญ่ ค่าครองชีพสูงอย่างปักกิ่งหรือเซี่ยงไฮ้แต่ภาษาก็เกือบจะเป็นภาษามาตรฐาน หรือเมืองที่เล็กลงมาแต่ภาษาจีนกลางคนท้องถิ่นยังพูดได้จำกัด”

ปรงแก้วทำท่าทางคิดทว่าไม่ทันได้เอ่ยปาก ปรางระวีก็ตัดหน้าถามก่อน

“ปรางอยากให้น้องอยู่เมืองใหญ่ๆ น่ะค่ะ ให้แกเปิดหูเปิดตา จริงๆ งบที่ปรงว่าก็ยืดหยุ่นได้อยู่...”

“ที่จริงอยู่เมืองธรรมดาก็ได้ค่ะ ไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น” น้องสาวเป็นฝ่ายค้าน แล้วจากนั้นชายหนุ่มก็ได้เห็นสองพี่น้องถกเถียงกันด้วยสายตาโดยไม่ส่งเสียงแต่อย่างใด เขาออกจะขำหน่อยๆ เพิ่งเคยเห็นพี่น้องทะเลาะกันเงียบกริบก็คราวนี้ เป็นเขาล่ะไม่ได้หรอก เถียงกันตาย

เมื่อเห็นศึกประสานสายตานั่นยังยืดเยื้อสักพัก เจียรนัยจึงเป็นฝ่ายกระแอมไอเรียกทั้งคู่ให้รู้ว่ายังมีส่วนเกินนั่งตรงนี้อยู่หนึ่งคน

“ถ้าอยากอยู่เมืองใหญ่ แล้วก็ประหยัดค่าใช้จ่ายมันก็พอเป็นไปได้อยู่” ได้ผล...ความสนใจกลับมาอยู่ที่เขาอีกครั้ง “พี่พอรู้จักคนจีนที่เขารับนักศึกษาให้อยู่กับเขาด้วย ต้องลองโทรถามเขาก่อนว่าตอนนี้เขารับนักเรียนคนไหนมาอยู่แล้วหรือยัง ถ้ายังก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดี ได้คุยกับคนจีนจริงๆ แล้วก็ค่าใช้จ่ายไม่สูงมาก”

ปรางระวีนิ่งไปอึดใจก่อนถามอย่างระมัดระวัง

“แล้วปรงไปอยู่บ้านเขาจะไว้ใจได้หรือคะ น้องปรางเป็นผู้หญิง”

“เท่าที่พี่รู้ ก็ไม่เห็นเพื่อนที่อยู่กับเขาแล้วมีปัญหานะ ที่จริงเขาเปิดรับคนต่างชาติอยู่บ่อยๆ ค่อนข้างเข้าใจความคิดคนต่างชาติดีทีเดียว แต่ยังไงพี่ก็รู้จักแค่ครอบครัวเดียวเอง เขาอยู่ที่ปักกิ่ง ปกติเพื่อนพี่จะอยู่ห้องเช่ามากกว่า หรือถ้าไม่อย่างนั้นก็คือแชร์ห้องกับคนที่พี่รู้จัก แต่พี่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันนะเพราะยังไม่ได้โทรถามใครเลย”

เรื่องมันไกลกว่าที่ปรางระวีจะคาดคิด แต่สำหรับปรงแก้วแล้ว เด็กสาวตาเป็นประกายทีเดียว

“ถ้าได้โฮสท์เป็นคนจีนเลยก็ดีนะเจ๊ปราง จะได้ฝึกภาษาด้วยแล้วมีอะไรเขาก็แนะนำเราได้”

หญิงสาวยังคงไม่แน่ใจ

“คงต้องถามเขาก่อนว่าบ้านเขามีนักเรียนคนอื่นๆ อยู่แล้วหรือเปล่า ยังสรุปไม่ได้หรอกปรง”

เจียรนัยยิ้มเมื่อเห็นความแตกต่างของสองพี่น้องคู่นี้ชัดเจน จนเขาอยากรู้ขึ้นมาติดหมัดว่าหญิงสาวที่มีความนิ่ง รอบคอบจนเกือบจะเป็นขี้กังวลอันเป็นบุคลิกเด่นอย่างเธอจะตัดสินอย่างไร

“ถามเลยก็ได้ครับ ถ้ามีก็เก็บไว้เป็นทางเลือก ถ้าไม่มีก็จะได้ตัดไปเลย” ชายหนุ่มจัดการหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรทันที ปรางระวีแทบจะห้ามเสียงหลง

“เดี๋ยวค่ะ ยังไม่ต้องก็ได้”

ชายหนุ่มเลิกคิ้วแต่ยังไม่ยอมวางสาย เธอเลยเปลี่ยนคำพูดใหม่

“ถ้าอย่างนั้นใช้โทรศัพท์ปรางดีกว่าค่ะ”

สายไปเสียแล้ว ปรางระวีได้ยินเสียงเขากรอกเสียงพูดภาษาจีนอย่างรวดเร็ว หญิงสาวจึงหันไปมองน้องสาวเพื่อจะถามว่าเขาพูดอะไรกัน แต่ปรงแก้วก็จ้องตาเป๋งฟังอาจารย์เธอกำลังสนทนาอยู่ เธอเลยหันกลับไปมองคนที่กำลังคุยแทนเพื่อสังเกตสีหน้าว่าคำตอบจากปลายสายน่าจะเป็นแบบไหน เห็นเขาเอ่ยสั้นๆ ราวกับกำลังรับคำอยู่บ่อยๆ แต่หน้าตาท่าทางเขาออกเป็นแนวเฉยก็เลยเดาไม่ออกว่าคำตอบเป็นอย่างไร

ไม่นานนักเขาก็วางสายแล้วหันกลับมารายงานสองศรีพี่น้องซึ่งกำลังรอคำตอบจากเขาอยู่

“เขาบอกว่าคนที่อยู่ด้วยจะย้ายออกช่วงกลางเดือนมีนา ถ้าโอเคก็ให้รีบโทรไปบอกเขาด้วย ทีนี้ปัญหาก็คือจะได้ไปแค่สองเดือนเท่านั้น” ชายหนุ่มอธิบาย “แต่ที่จริงแล้วสองเดือนก็จะง่ายเข้า คือสามารถขอเป็นวีซ่าท่องเที่ยวได้เลย ไม่ต้องเรื่องมาก แล้วพอไปถึงก็ไปเรียนโรงเรียนสอนภาษาก็ได้ พี่ให้เพื่อนจองให้ก่อนก็ยังได้ ราคาน่าจะถูกกว่าคอร์สมหาวิทยาลัย”

เรื่องมันยิ่งกว่ายิ่งไกลไปกว่าเดิมอีก ท่าทางของปรงแก้วดูจะสนใจข้อเสนอนี้เป็นอย่างยิ่ง แล้วหัวข้อทั้งหลายก็เลยเกือบจะกลายเป็นข้อสรุปอยู่รอมร่อว่าปรงแก้วเลือกทางนี้ จะมีที่ยอมหน่อยก็คือ เธอยังไม่ให้เขาโทรไปหาครอบครัวชาวจีนนั้น ขอปรึกษาที่บ้านก่อน ซึ่งทั้งปรงแก้วและเจียรนัยซึ่งเริ่มเข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ยก็ยอมรับ

ครอบครัวที่เจียรนัยกล่าวถึงเป็นเจ้าของห้องที่เขาเคยพักอาศัยอยู่ สองสามีภรรยาคู่นี้ไม่มีลูก จึงค่อนข้างชอบที่จะรับนักศึกษาต่างชาติให้พักอาศัย จะได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ แล้วก็ไม่เหงาด้วย

หญิงสาวได้ฟังสิ่งที่เจียรนัยเอ่ยกับน้องสาว เธอออกทึ่งผู้ชายตรงหน้าเกี่ยวกับประสบการณ์ที่เขาแนะนำน้องสาวเธอเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ เพราะดูเขาจะเข้าใจคนที่ไม่เคยไปเรียนที่นั่นเป็นอย่างดี และท่าทางเป็นคนเพื่อนเยอะเสียด้วย ทำให้ปรางระวีอุ่นใจขึ้นมานิดหนึ่งว่าไม่ใช่ว่าน้องสาวเธอจะปราศจากคนดูแลเสียทีเดียว

เมื่อได้ข้อสรุปเป็นที่เรียบร้อย ปรางระวีบอกจะโทรหาเขาอีกครั้งว่าจะตัดสินใจอย่างไร แล้วทั้งคู่เก็บเงินซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ยอมให้เธอควักเงินเลี้ยงในขณะเดียวกันเธอก็ไม่ยอมให้เขาเลี้ยงเช่นกัน ต่างฝ่ายต่างจ้องหน้ากันอยู่อย่างนั้นจนเจียรนัยยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวพลางโคลงศีรษะเล็กน้อย

“ปรางนี่ดื้อกว่าที่คิด อเมริกันแชร์ก็ได้” ชายหนุ่มยอมยกธงขาวก่อนกระซิบกับเธอนิดหนึ่ง “ปกติพี่ไม่ค่อยยอมให้ผู้หญิงคนไหนจ่ายหรอก แล้วก็อย่าไปบอกช่าเรื่องนี้ด้วยนะ เดี๋ยวพี่หูชา”

ฟังคำของเขาแล้วที่ปนน้ำเสียงกริ่งเกรงในตัวเพื่อนสาว ปรางระวีก็นึกออกทันทีถึงเมื่อตอนงานแต่งงานของน้ำฟ้า ถ้าจำไม่ผิด ผู้ชายตรงหน้าเธอก็น่าจะเป็นคนๆ เดียวกันกับที่มาทักรัชชาแล้วก็กลับไปด้วยกันในวันนั้น ท่าทางทั้งเธอและเพื่อนเดากันเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่คงไม่ผิดเป็นแม่นมั่น

อืม...ท่าทางเพื่อนเธอคุมผู้ชายคนนี้ได้ดีแฮะ ขนาดพูดลับหลังยังกลัวขนาดนี้เลย วันที่พบเขาครั้งแรก ตอนนั้นเธอยังรู้สึกว่าด้วยรูปลักษณ์แล้ว เขาไม่เหมาะกับรัชชาสักนิด แต่เมื่อได้คุยกันจริงๆ หญิงสาวก็เริ่มไม่แปลกใจที่เพื่อนเธอเลือกผู้ชายคนนี้ เขาเองก็ไม่ถึงขนาดว่ารูปชั่ว (เอ่อ...แต่ก็ตัวดำจริงๆ ) แต่สิ่งที่เหนือกว่ารูปลักษณ์คงเป็นลักษณะที่ดูพึ่งพาได้ แล้วก็กว้างขวางมีน้ำใจ  

แต่ก็แปลก...ยิ่งเห็นเขาพูด ยิ่งทำให้เธอนึกถึง ‘พี่ขาว’ จริงๆ ก็ทั้งคู่เล่นเหมือนกันเสียขนาดนี้ เธอแทบจะฟันธงว่าเป็นคนๆ เดียวกันแน่ๆ แต่สิ่งที่ทำให้เธอไม่ค่อยมั่นใจก็คือ ผู้ชายตรงหน้าดูจะ ‘มีดี’ เกินกว่าที่คนขายข้าวแกงจะเป็นได้

“ปรางถามอะไรนิดหนึ่งได้ไหมคะ” หญิงสาวทนเก็บความสงสัยไม่ไหวเลยเอ่ยถามเมื่อทั้งสามคนออกจากร้านกำลังตรงไปที่จอดรถ

“ครับ?” เจียรนัยมองอย่างสงสัยกับท่าทางอึกอักนั่น ปรงแก้วเองก็หันหลังมามองพี่สาวเช่นกัน เผื่อว่าจะเกี่ยวกับเรื่องที่คุยในร้านแล้วติดพันอยู่

“คือ...พี่กุ๊กมีแฝด หรือมีญาติที่ลักษณะคล้ายๆ พี่กุ๊กไหมคะ”

ชายหนุ่มนิ่งไปก่อนจะยิ้มยิงฟันทันที ดวงตาเขาเต็มไปด้วยประกายขบขันจนเธอหน้าแดงเล็กน้อย อดโทษที่ตัวเองอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ ดูเถอะ...เขาจะมองอย่างไรนะ

“ไม่มีครับ จะมีก็พี่ชายพี่ ดูรู้ว่าเป็นพี่น้องกัน แต่ก็คงไม่ถึงขนาดเหมือนกันเป๊ะแบบนั้น” เจียรนัยเลิกคิ้วนิดๆ “มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“พอดีปรางเจอคนที่คล้ายพี่กุ๊ก” หญิงสาวรีบแก้ตัว “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ อย่าใส่ใจเลย”

ปรางระวีแทบจะปราดไปเดินเคียงข้างน้องสาวอย่างอย่างรวดเร็ว โดยไม่รู้ว่าผู้ชายคนที่เดินตามหลังมานั่นพยายามเต็มที่ที่จะไม่ระเบิดหัวเราะออกมา รู้อยู่เต็มอกว่าเธอกำลังสงสัยสิ่งใด แต่ในขณะที่ปรงแก้วยังอยู่ เขาก็ไม่อยากแสดงตัวมากนัก

เจียรนัยไม่ได้ปิดบังอะไร แต่เธอคงไม่อยากจะเชื่อว่าเขาในตอนนี้ กับเขาที่เย้วๆ อยู่ในร้านของจันทราจะเป็นคนๆ เดียวกันละมั้ง ก็ต้องขอบคุณที่เธอไม่โพล่งอะไรออกมามากกว่านี้

สองสาวพานำมารถที่จอดไว้อยู่ ปรางระวีและปรงแก้วไหว้ลา ซึ่งชายหนุ่มก็รับไหว้ง่ายๆ ก่อนจะรอให้หญิงสาวผลุบเข้าไปในรถขนาดเล็กสำหรับวิ่งในเมืองแล้วขับออกไป

คนขับมองผ่านกระจกหลังก็เห็นร่างสูงใหญ่เดินออกไปซึ่งเธอไม่ทันเห็นว่าเขาขับรถอะไรมา ปรงแก้วซึ่งเงียบมาตลอดก็ค่อยปล่อยความสงสัยของตนเองออกมา

“ทำไมเจ๊ปรางถามเรื่องแฝด ’จารย์เจีย ล่ะ ไปเจอใครเหมือนเข้าหรือ”

“อือ” หญิงสาวรับง่ายๆ ตาก็ยังมองถนนอยู่ “แต่เรื่องนั้นช่างเถอะ เดี๋ยววันนี้เจ๊ลองปรึกษาป๊าม้าดูก่อนว่าเขาโอเคไหม แต่เท่าที่ฟังเจ๊ว่าที่อาจารย์เราพูดก็ค่อนข้างน่าสนใจนะ แต่ยังไงถ้าไปแล้วก็ไปเก็บเกี่ยวภาษาให้เต็มที่ให้สมกับที่ป๊าม้าเขาไว้ใจเราก็แล้วกัน”

“รู้แล้วน่าเจ๊ เค้าก็คิดอย่างนั้นอยู่เหมือนกัน เงินส่วนหนึ่งปรงก็เก็บเอง จะใช้ให้คุ้มเลย” คนอ่อนวัยกว่าเอ่ยอย่างมั่นใจก่อนจะอุทานเบาๆ ออกมา “นี่เจ๊! กระชั้นอย่างนั้นไปแทรกเขาทำไม!”

“ก็มันมีช่องนี่” ปรางระวีว่าอย่างไม่ยี่หระ แล้วไม่นานรถคันเล็กก็ตบกลับมายังเลนเดิมอย่างรวดเร็ว มุดซิกแซกไปตามช่องทางในถนนที่มีรถสัญจรอยู่พอสมควร

“จะหาเรื่องไปเที่ยวบ้างเจ๊ก็ไม่ว่านะ เอาตามที่เราเห็นสมควรก็แล้วกัน โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว” ปรางระวียังคงสั่งสอนน้องสาวต่อไปโดยไม่ได้ดูเลยว่าคนนั่งหวาดเสียวแค่ไหน

“ดูเงินก่อน ก็คงเที่ยวได้เฉพาะในเมืองมั้ง เดี๋ยวเค้าไปแล้วค่อยหาลู่ทางเอา” น้องสาวว่าเช่นนั้นก่อนจะบ่น “จะเปิดไฟเลี้ยวทำไมกันน่ะเจ๊ รถมันติดก็ให้ติดไปเถอะน่า”

ปรางระวีไม่สนใจ เธอเบี่ยงเข้าช่องว่างเล็กๆ ที่เลนด้านขวาอำนวยอยู่ จนกระทั่งเลยมาจนถึงเส้นทางที่จราจรค่อยคลี่คลาย หญิงสาวจึงได้ขับรถตามปกติแบบที่คนเป็นน้องไม่ต้องนั่งเกร็งอีกต่อไป เรื่องนิสัยขับรถเป็นที่รู้กันในบ้าน พ่อกับแม่ก็เตือนพี่สาวเธออยู่บ่อยๆ แต่เจ้าตัวฟังเสียที่ไหน จะมีก็แค่ตอนที่พ่อแม่นั่งมาด้วยนั่นแหละถึงได้ขับดีขึ้นหน่อย

พี่สาวผู้สงบเสงี่ยมกลับชอบขับรถแบบไม่เข้ากับนิสัยปกติเอาเสียเลย!

ปรงแก้วนั่งคิดอะไรเพลินๆ ก่อนจะหันมามองหน้าคนขับอีกครั้ง

“เจ๊ เพื่อนเจ๊คนที่รู้จัก ‘จารย์เจีย นี่รวยป่ะ”

“หือ” ปรางระวีเบี่ยงมามองหน้าเด็กสาวซึ่งกำลังจ้องมาอย่างรอคำตอบ “ถามทำไมหรือ”

“อ้าว! ก็ ‘จารย์เจีย นี่เขาไฮโซนะ” น้องสาวเธอสาธยายให้ฟัง “เขาเป็นอาจารย์พิเศษสอนภาษาจีนธุรกิจที่มหา’ลัย ได้ข่าวว่าเขาจบปริญญาโททางธุรกิจมาจากที่ปักกิ่งเลย ตอนนี้เป็นรองกรรมการผู้จัดการบริษัทอะไรสักอย่าง แล้วอาจารย์ที่คณะก็ไปทาบทามมา ปรงก็จำประวัติเขาไม่ค่อยได้ แต่เขาก็เก่งนะเจ๊ปราง เขาไม่ได้สอนแต่ภาษาอย่างเดียว เขาบอกด้วยว่าอะไรเป็นอะไร ที่จริงมีอาจารย์ที่เคยทำงานจริงๆ มีประสบการณ์จริงก็ดีนะเจ๊ แกอธิบายเข้าใจดี”

ปรางระวีรับในลำคอแล้วขับรถต่อไปเงียบๆ ความเชื่อกับเหตุผลเธอช่างขัดกันดีพิลึก ก็เธอเคยคุยกับ ‘พี่ขาว’ มาแล้ว ไม่ว่าหน้าตาน้ำเสียงท่าทาง ดูอย่างไรคู่นี้ก็เป็นคนเดียวกัน แต่ถ้านับที่เหตุผล หญิงสาวไม่คิดว่าคนที่พื้นเพทั้งการศึกษาและการทำงานจะกระโดดลงมาจับงานแบบที่เรียกได้ว่าคนละเรื่องกับสิ่งที่น้องสาวบอก

ช่างเถอะ...ไว้กลางวันวันพรุ่งนี้เธอก็พิสูจน์ได้เองล่ะว่าใช่คนเดียวกันหรือไม่

จากคุณ : peiNing
เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 53 19:52:12




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com