นักเลงกามเทพ - 1
|
|
บทที่ 1
'โอ๊ย ตายเลย' ร่างเล็กกระเด็นวืดไปพร้อมกับเสียงหวีดตระหนกในอกตัวเอง
กระเป๋าสะพายใบใหญ่ อัดเสื้อผ้ามาแค่สองสามชุดหลุดจากไหล่ไปนอนเกยขาเก้าอี้ในท่ารถ
เหมือนกับร่างตัวเองที่ล้มหน้าคว่ำ จมูกทิ่มกับพื้นทางเดินสันแทบยุบ
ยังไม่ทันได้ตั้งสติอาละวาด แน่นอน เรื่องอาละวาด มันเป็นงานถนัดอยู่แล้ว
แต่ปรากฏเสียงอึกทึกของฝีเท้าดังสับสนวุ่นวาย ร่างคว่ำหมดรูปถูกกระแทกชนจนหัวที่เพิ่งยกคลอนหงึกๆ
"โว้ย"
ถนิมกระจ่างเริ่มตะเบ็งเสียงดังล่ะ เพราะอาการโกรธจัดแล่นมาริ้วๆ ขาข้างหนึ่งโดนเหยียบหยาบคายด้วย
"ไม่เห็นคนหรือไง นี่คนนะ คนล้มห้ามข้ามสิโว้ย"
ไม่มีใครสนใจเสียงโหวกเหวกของคนล้ม เธอตะกายร่างลุกมายืนหน้าบูด ยกขาข้างที่เจ็บขึ้นมาลูบแถวน่อง
เห็นกระเป๋าสะพายอยู่ไม่ไกล จึงเดินกะเผลกไปก้ม แต่ก็ไม่ได้หยิบจนได้ เพราะมีมือใครก็ไม่ทราบยื่นปราดมาแย่ง
เจ้าของกระตุกเฮือกใจหายวาบ เสื้อผ้าโดนปล้นไม่เป็นไร แต่เงินในนั้นสูญหายไม่ได้เด็ดขาด
ไม่อย่างนั้น คงได้กลายเป็นขอทานจำเป็นกันคราวนี้เอง
"เฮ้ย นี่มันกระเป๋าของฉัน นายจะทำอะไร ขโมยหรือ"
"มานี่"
ถนิมกระจ่างอ้าปากหวอ ขาก็ยังไม่หายเจ็บ แต่กลับโดนไอ้หนุ่มตัวโย่งดำหน้าดุ
มาทึ้งมาลากพาวิ่งแทรกคนมากมาย ไม่รู้เหมือนกันว่าไปทางทิศไหน
เธอไม่เคยมากรุงเทพ ตลอดชีวิตตั้งแต่เกิดจนล่วงเข้าเบญจเพส ก็เพิ่งจะหนนี้เอง
ที่กล้าบ้าบิ่น แอบหนีมาตามลำพัง เพื่อให้เห็นกับตาว่า คู่หมั้นสุดที่รักปันใจให้หญิงอื่น ที่เขากล้าพูดว่า
"รู้จักกันไม่ถึงสามวัน แต่คนนี้แหละ ใช่เลยสำหรับพี่ เราถอนหมั้นกันเถอะนะ"
ประโยคเชือดเฉือนจิตใจรุนแรงปานนั้น ใครหน้าไหนก็ทนฟังไม่ไหวแน่นอน
ถนิมกระจ่างก็แค่สาวชาวไร่ธรรมดาคนหนึ่ง
มีหรือจะอดทนรอให้คู่หมั้นสุดที่รัก กลับลำปางแล้วเอ่ยถอนหมั้นก่อน
เธอจะไม่ยอมให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น และต้องแย่งชิงเขากลับคืนมา
อยากเห็นหน้าผู้หญิงที่เขารู้จักไม่ถึงสามวันด้วยว่า 'มันตรงไหนกันวะ ที่ใช่เลย'
แต่ตอนนี้ คงต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก่อน ไอ้หนุ่มตัวโย่งดำหน้าดุ ยังลากมือเธอพาวิ่งไปไหนก็ไม่รู้
เธอเหนื่อยมาก แต่คนลากไปขุนพลังช้างม้ามาหมดป่าหรือยังไงก็ไม่ทราบ ไม่มีแสดงอาการอ่อนล้าสักนิด
"ว้าย อะไรของนาย ไอ้บ้าเอ๊ย หยุดก็บอกกันบ้างสิเว้ย"
เธอตะเบ็งเสียงเอะอะ ตั้งท่าอาละวาด
แต่ก็ขอโทษที เวลานี้ ร่างเล็กกระเด็นวืดไปล้มกระแทกพื้น ก้นจ้ำเบ้าเจ็บร้าวน้ำตาแทบร่วง
เธอไม่ได้ลุกขึ้นเอง เพราะมือหยาบใหญ่ยื่นปราดมากระตุกแขนลากพรืด ตัวเล็กปลิวเหมือนลอย
ใบหน้าบูดเบี้ยวกระแทกตึกเข้าให้กับแผงอกแข็งเหมือนหิน ได้กลิ่นเหงื่ออับๆ ชวนคลื่นเหียนอีกเล็กน้อยด้วย
"หุบปาก ถ้าไม่อยากตาย"
ลำคอระหงโดนล็อกด้วยท่อนแขน ก่อนจะโดนลากถูลู่ถูกังเข้าไปในหลืบมิดชิด
"ฉันจะปล่อยเป็นอิสระ แต่สัญญาก่อนว่าห้ามแหกปาก อย่าตุกติก รู้จักคำว่าจนตรอกไหม ฉันไม่มีอาวุธหรอก แต่คออ่อนขนาดนี้ ฉันบิดเป๊าะเดียว จบเห่"
"เออ เชื่อ"
ถนิมกระจ่างกระแทกเสียงขลุกขลักในปลอกแขน
"ดูแขนสิ หนาด้านเหมือนท่อนเหล็กเสียขนาดนี้"
ตำรวจสองสามนายวิ่งซอยเท้าผ่านหลืบแคบไปอย่างเร่งร้อน
ปลอกแขนคลายหลวมเล็กน้อย พอให้ถนิมกระจ่างหายใจได้คล่องขึ้น
เธอใช้อุ้งมือยันท่อนแขนออก แต่มันหนักมาก ดูเหมือนเจ้าของจงใจกดเกร็ง
ใบหน้ามันวาวด้วยเหงื่อ หลุบลงถลึงตา คนพยายามจึงหยุดกึก
ใจก็นึกกึ่งเคืองกึ่งโอ่ 'ไม่ได้กลัวนะเว้ย แค่เป็นคนเข้าใจอะไรง่ายๆ '
หลังจากรอดูท่าทีที่เหมือนจะสงบลง ไอ้หนุ่มโย่งตัวดำหน้าดุก็ยกลำคอคืนเจ้าของ
เขาเป่าลมพรวดออกจากปาก ทำท่าเหมือนโล่งใจ
ขายาวเพรียวยื่นออกไป พร้อมกับชะโงกซ้ายขวาอย่างระมัดระวัง
ถนิมกระจ่างฉวยจังหวะนั้นล่ะ กระชากกระเป๋าสะพาย แล้วออกวิ่งตื๋อ
ขาข้างที่เจ็บก็ไม่ต้องไปคิด สิ่งที่คิดก็คือวิ่งไปให้เร็วและไกลที่สุด จะหยุดก็ต่อเมื่อแน่ใจว่าปลอดภัย
ร่างเล็กชนตึกเข้ากับนักท่องเที่ยวฝรั่งตัวโตสูงเหมือนเสาไฟฟ้า เป้เทอะทะแบกอยู่บนหลัง
ตัวตึกยืนมองนิ่ง เลิกคิ้วงงเสียด้วยซ้ำ ถนิมกระจ่างเองต่างหาก
ที่ดีดกระดอนผงะถอยหลังไปกระแทกกับอกแข็งเหมือนหินของคู่แค้นคนเดิม
เขาตะปบคอเสื้อ แล้วจับลากข้ามถนน
แต่ดวงซวยมาเยือน เมื่อตำรวจคนหนึ่งหันมาเห็น แล้วร้องตะโกนเรียกพรรคพวก
เท่านั้นล่ะ การวิ่งหนีอุตลุดก็พลันอุบัติขึ้นบนถนนสายนั้น
ถนิมกระจ่างกรีดร้องวี้ดว้ายลั่น แข่งกับเสียงเบรกเอี๊ยดอ๊าดของรถสารพัดชนิด
ไอ้หนุ่มโย่งตัวดำหน้าดุ บ้าบิ่นได้น่ากลัวนัก เธอโดนลากตัวปลิว มือหยาบใหญ่หนาเหมือนคีมเหล็ก
แขนเล็กนิดเดียวของเธอร้าวระบมเหมือนกำลังจะหักเป็นสองท่อน
ใต้ฝ่าเท้าร้อนฉ่า เพราะซอยเสียดสีกับพื้นถนนแบบไม่มีการหยุดพัก
'โว้ย นี่มันอะไรกันโว้ย ฉันมาตามคู่หมั้นนะโว้ย ไอ้บ้านี่จะลากเข้าตรอกเข้าซอยไปถึงไหน'
แม้ความเหนื่อยจะมาเยือนเต็มที่ แต่นิสัยโผงผางมาตั้งแต่เกิด ก็ผุดประโยคสบถลั่นเต็มอกหอบฮักๆ
เธอสะดุดอะไรบางอย่าง ตัวถลาหัวเกือบทิ่ม
แต่ไอ้หนุ่มโย่งตัวดำหน้าดุ ก็ไม่ยอมปล่อยให้เธอหลุดจากปลอกนิ้วหยาบ
ตำรวจก็ขยันเล่นเกมโปลิศจับโจรได้มันเหลือหลาย โจรไม่เหนื่อย ตำรวจก็ไม่ยอมหยุดไล่ล่า
แต่เหยื่อบริสุทธิ์ชื่อถนิมกระจ่างนี่สิ ทำไมต้องมาชุลมุนอุตลุดกับเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวเองด้วย
ผ่านตรอกผ่านซอยมาไกลแค่ไหนก็ไม่อาจบอกได้ ถนิมกระจ่างถูกลากเข้าไปในซอกแคบๆ
หัวเล็กโดนกดยัดเข้าไปซุกในอกเหม็นหืน กลิ่นเหงื่อระเหยมาอัดในจมูก
อยากอาเจียนก็ทำไม่ได้ เพราะสองมือหยาบกดกักขังไว้แน่นจนบิดบ่ายไม่ได้เลย
"เธอจะไปไหน"
เขากระซิบถามปนหอบฮักๆ เหมือนกัน ตาดุวาวมองลอดช่องไม้ที่ใช้อำพราง สำรวจสภาพภายนอก "ไปตามทางของฉัน ถ้านายจะปล่อยฉันไป ปล่อยได้หรือยัง ไม่รู้เลยใช่ไหมว่าตัวนายมันเหม็นเหมือนแมลงสาบ อาบน้ำบ้างหรือเปล่า ไอ้เสื้อตัวนี้ใส่มากี่เดือนแล้ว โจรใช่ไหมนี่ ขโมยอะไรใครเขามา ถึงได้โดนตามล่าดุเดือดเหมือนเล่นหนังอย่างนี้"
'เหยื่อปากจัดไปหน่อย' คนโดนเรียกว่าโจรคิดในใจ แต่ไม่โต้เถียงกลับมา เพราะยังไม่หายเหนื่อย
เขาเลียปาก รับรู้ถึงรสเฝื่อนเค็มของเหงื่อที่ไหลจากปลายจมูกหยดกระทบลิ้นพอดี
ยามเหลือบไปเห็นกระเป๋าสะพาย สมองก็พลันผุดความคิดแวบหนึ่ง
จึงจัดการผลักสาวตัวเล็กให้คว่ำหน้า เธออ้าปากจะกรีดร้อง เขาก็รีบกำหมัดเงื้อง่า
ปากอ้าก็เลยหุบ แต่ตาวาวคู่นั้น ถลึงวับเหมือนอยากสู้
กระเป๋าสะพายถูกเหวี่ยงไปทับอยู่บนหลังแอ่น
ถนิมกระจ่างบดกราม คับแค้นใจที่ต้องมาเจอเหตุไม่คาดฝัน
มันเสียเวลาไปหลายนาทีแล้ว ป่านนี้ คู่หมั้นจะออกจากโรงแรมแห่งนั้น
ไปพร้อมกับแม่สาวที่รู้จักกันแค่สามวันหรือยังก็ไม่ทราบ
เธอควรรีบไปดักพบก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ แต่เวลานี้ กลับต้องมาเป็นเหยื่อโจรตัวเหม็น
ถูกบังคับให้ตัวขด หน้าทิ่มกับพื้นสกปรก กระเป๋าขยับขลุกขลักเหมือนโดนรื้อค้น "นี่นาย"
เธอพยายามส่งเสียงอู้อี้ประท้วง
"ฉันไม่มีเงินมากนักหรอกนะ ถ้านายอยากได้ ก็แบ่งๆ ให้ฉันไว้ใช้บ้าง ฉันต้องอยู่กรุงเทพอีกสองสามวัน หรืออาจนานกว่านั้น ถ้าธุระไม่เสร็จ"
"ใครอยากได้เงินของเธอ ลุกขึ้นซิ"
ถนิมกระจ่างร้องด่า 'ไอ้บ้า' ออกมาอย่างลืมตัว ตอนโดนตะปบคอเสื้อแล้วลากตัวขึ้นวืด
กระดูกแถวต้นคอลั่นดังกรึบ ตกใจนึกว่ามันหักเสียอีก
'ไอ้หนุ่มบ้านี่ หยาบคายกักขฬะสิ้นดี ขอสาปแช่งให้ได้เมียดุ กัดเช้ากัดเย็น'
ในใจลอบสาปแช่งอย่างนั้น แต่ภายนอกต้องสงบเสงี่ยม เพราะตาดุร้ายกำลังสาดแสง
ก็บอกแล้วว่าไม่กลัวเลย แต่เป็นคนเข้าใจอะไรง่ายๆ
"พักที่ไหน"
เขาถามแหบพร่า เลียปากซ้ำอีกที
"แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนาย"
"ฉันขอโทษ ไม่มีเจตนาทำให้เธอเดือดร้อนด้วย แต่เมื่อกี้นี้ มันจำเป็น เหตุสุดวิสัย ฉันไม่อยากเจอเพื่อนที่เป็นตำรวจ เขาต้องคิดว่าฉันเป็นโจร หาเรื่องจับส่งโรงพัก"
เหตุการณ์คล้ายจะสงบลงแล้วจริงๆ ข้างนอกไร้ผู้คนพลุกพล่าน แต่คนเคยหนีเป็นประจำ
ไม่ชะล่าใจกับความสงบเพียงชั่วครู่ จึงยังคงซุกตัวในซอก ชวนเหยื่อคุยแก้เหนื่อยไปพลางๆ
"ฉันไม่ใช่โจร"
เขายืนยัน เพื่อสลายแสงปรักปรำในตาวาวคู่นั้น
"แต่มีเพื่อนเป็นโจร"
"นั่นไง"
ถนิมกระจ่างร้องออกมาเหมือนสะใจชอบกล
"มีเพื่อนเป็นโจร ก็ต้องเป็นโจรสิเว้ย"
"เธอพูดจาหยาบคายแบบนี้เป็นประจำหรือ"
"เอ้า ฉันเป็นหัวหน้าคนงานในไร่ ไม่ใช่คุณหนูในบ้านผู้ดี คนงานแต่ละคน มันโย่งยักษ์ทั้งนั้น ขืนไปทำตัวอ่อนเสียงอ่อน ใครที่ไหนจะกลัววะ ถามทีเถอะ มันก็ต้องห้าวกันหน่อย"
"แบบนี้เรียกห้าวแล้วหรือ"
"เออ แบบนี้แหละ ที่คุมคนงานได้ทั้งไร่เว้ย ขอบอก"
ถนิมกระจ่างไอโขลกๆ พามือไปลูบลำคอ รู้สึกระบมหนึบแน่น
มันคงช้ำหรือไม่ก็เป็นรอยแดงเท่าท่อนแขนดำข้างนั้นแหละ เป็นความซวยของเธอเอง อย่าไปโทษใครเลย "จะไปไหนล่ะ ฉันไปส่ง ถือเสียว่าเป็นการตอบแทนที่ยอมมาเป็นเหยื่อ"
เขาอาสาหลังจากหายเหนื่อย
"ไม่ได้ยอมเว้ย พูดให้ดีๆ นายลากตัวฉันมา พาฉันวิ่ง ฉันตะโกนคอแทบแตกว่าเหนื่อย นายก็ไม่ฟัง อย่าพูดเข้าข้างตัวเองนัก ทุเรศ ปล้นคนกลางถนนชัดๆ ยังมีหน้าบอกว่าฉันยอม ใครหน้าโง่ที่ไหนจะยอมเป็นเหยื่อโจร ล่อเป้าปืนตำรวจ ถามทีเถอะ วุ้ย แค่นจะพูด"
'เป็นสาวที่ปากมากไร้มารยาทจริงๆ ' คนโดนกระแทกใส่หน้านึกระอาแกมตำหนิ
แต่ก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องโกรธมาก คำขอโทษมันช่วยให้หายโกรธไม่ได้
แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงในช่วงนาทีฉุกละหุกอย่างนั้น
เพื่อนของเขาฉกเครื่องเพชรมาได้หนึ่งชุด จากร้านเพชรกลางใจเมืองแห่งหนึ่ง
เขาไม่รู้เรื่องนี้ด้วยเลย แค่ถูกชวนให้ขับรถมาเป็นเพื่อน
และไม่เคยนึกด้วยว่า เพื่อนจะกล้าตัดช่องน้อย ทำเรื่องเสี่ยงกฎหมายขนาดนั้น
ผลที่ตามมาก็คือ ตำรวจพบเห็นแล้วตามไล่ล่า
เขาซวยจัดเพราะตำรวจเห็นหน้าตอนกระโจนขึ้นรถจักรยานยนต์
และที่บอกว่าซวยจัด ก็เป็นเพราะตำรวจนายนั้น คือเพื่อนรุ่นพี่ที่นับถือกันมานาน
แถมยังเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกันเสียอีก งานนี้ไม่หนีเอาตัวรอด ก็ไม่ทราบว่าจะทำอะไรได้อีก ขอเพียงตัวเองบริสุทธิ์ ไม่ใช่โจร และไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
รอให้เรื่องสงบสักพัก ค่อยย้อนกลับไปอธิบายก็ยังไม่สาย
แต่ถ้าโดนจับวันนี้ รับรองว่าทุกคำอธิบายจะกลายเป็นคำแก้ตัว หลักฐานก็อยู่ในตัวเขา
เพราะเพื่อนตัวดียัดใส่ในเสื้อได้ทันหวุดหวิด ก่อนตัวเองจะโดนยิงร่างร่วงกลิ้งไปบนถนน
เขาจอดไม่ได้ในจังหวะล่อแหลมอย่างนั้น ในสมองคิดได้อย่างเดียวคือหนีไว้ก่อน
สุดท้ายก็มาเสียหลักเพราะรถติดยาวเหยียดแถวท่ารถ ตำรวจไล่ตามมาติดๆ
จะให้เขาทำยังไง นอกจากทิ้งรถแล้วอาศัยความเร็วในการวิ่งเท่านั้น
แต่ดวงซวยก็ไม่ยอมไป มันจึงทำให้ผู้หญิงปากจัดคนนี้ โผล่ทะเล่อทะล่ามาชนโครมเข้าให้
นอกจากจะโทษว่าเป็นเวรกรรมแล้ว ก็คงไม่มีเหตุผลอื่นที่เหมาะกว่านี้แล้วล่ะ
"จะว่าอะไรก็ว่าเถอะ ฉันถามว่าจะไปไหน จะไปส่ง"
"ฉันไปเองได้ แค่นายอยู่ให้ห่างๆ ไม่ต้องมายุ่งกับฉันอีกก็พอ แล้วนี่น่ะ ดูซิ ตำรวจจะเหมารวมว่าฉันเป็นพวกเดียวกับนายหรือเปล่า จำหน้าฉันได้ไหมก็ไม่รู้ หน้าตาสวยแบบฉัน มันก็ยิ่งจำได้ติดตาอยู่หรอก"
"เออ สวยติดตาแบบนี้ คงแต่งงานแล้วสิ ผู้ชายอีกหลายคนบนโลกคงโล่งอก"
ถนิมกระจ่างดีใจที่เป็นอิสระอย่างจริงจัง เธอลุกขึ้นยืนอวดร่างเล็กแต่มอมแมมมาก
จมูกแดง โหนกแก้มช้ำ ผมฟูยุ่ง โบผ้าที่รวบไว้ก็ไม่รู้หลุดปลิวไปทางไหน และเมื่อไหร่
เดาว่าต้องเป็นช่วงวิ่งอุตลุดตัดหน้ารถแบบฉวัดเฉวียนกลางถนนนั่นแหละ
เธอเหวี่ยงไหล่ซึ่งปวดหนึบนิดๆ กระชับกระเป๋าสะพาย
ไอ้หนุ่มโย่งตัวดำหน้าดุ ลุกตามหลังด้วยท่าทางระแวดระวัง
เสียงห้าวยังยืนยันประโยคเดิมออกมาให้รำคาญอีกว่า
"เอาเป็นว่า ฉันจะไปส่ง บอกมาว่าจะไปไหน"
"ฉันจะไปหาแฟนฉัน เขาเป็นคู่หมั้นสุดที่รักของฉัน ปลายปีนี้ เราจะแต่งงานกันแล้ว รู้อย่างนี้แล้ว ก็อย่ามาวอแวฉันอีก เราแยกกันตรงนี้เถอะ"
"ไม่เป็นไร ฉันบอกว่าจะไปส่ง ถ้ายังขืนเรื่องมากอีก โอกาสดีๆ ที่ฉันให้ อาจถูกริบคืน บอกมา"
ตอนท้ายโพล่งดังด้วยเสียงตวาดหนัก ถนิมกระจ่างลอบสะดุ้งในใจ
มันเป็นเวรกรรมตามมาให้ชดใช้ใช่หรือเปล่า เธอแอบหนีออกจากบ้าน ทำให้คนทางโน้นร้อนรุ่มใจ
ทุกคนต้องเป็นห่วงกับการตัดสินใจบ้าบิ่น มาเซ่อซ่ากลางกรุง
เส้นทางสักสายก็ไม่รู้จัก มะงุมมะงาหราตามหาคู่หมั้น
ตอนนี้ เธอจึงมาตกระกำลำบากกับไอ้หนุ่มโย่งตัวดำหน้าดุ พาซัดเซพเนจรมาถึงไหนก็ไม่รู้
"คู่หมั้นของฉันมาพักที่โรงแรม เขามาประชุมแทนพ่อเลี้ยง ฉันคิดถึงเขา ก็เลยตามมา อีกสองสามวัน เราก็จะกลับแล้ว"
"ไม่ใช่คนกรุงเทพหรอกหรือ"
"ไม่ใช่ ฉันมาจากลำปาง เมื่อกี้นี้ ฉันก็บอกแล้วว่า ฉันเป็นหัวหน้าคนงานในไร่"
พ้นตรอกใหญ่มาแล้ว มือเล็กโดนคว้าหมับหลังสิ้นประโยคกระแทกเสียง
ถนิมกระจ่างเอะใจกับการหยุดกึกของคนเจ้าปัญหา
เธอโดนลากเข้าไปอัดเบียดกับกลิ่นเหงื่อในมุมอับอีกแล้ว "อะไรของนาย"
เธอกระซิบหงุดหงิดเต็มที
"ตำรวจ"
เขาบอกแล้วสบถอะไรก็ไม่ทราบในลำคอ
"นายก็ปล่อยฉันไปสิ ตำรวจเขาตามจับนาย ไม่ใช่ฉันสักหน่อย"
"เอ๊ะ เธอนี่.. "
ไม่ทันได้ด่าตอบ ปลายเท้าก็พลันเจ็บหนึบ
ถนิมกระจ่างคิดว่าโอกาสเป็นของตนแล้ว ปากตรอกกับถนนใหญ่ชนกันแค่นี้
เธออาศัยความว่องไวอันเป็นคุณสมบัติเด่น หนีจากไอ้หนุ่มโย่งตัวดำหน้าดุได้สบาย ขอแค่กระทืบให้เต็มแรงก็พอ
มันได้ผลมาก จังหวะที่ตัวโย่งคู้งอพร้อมกับสบถด่าในลำคอ
เธอจัดการกระแทกสองแขนฟาดหน้าไปเต็มแรง จากนั้น ก็หลับหูหลับตาวิ่งตื๋อ ไม่ต้องสนใจผลลัพธ์
อยากร้องไห้เป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่ทราบ เมื่อเหลียวกลับไปแล้วเห็นว่า ไอ้ตัวร้ายวิ่งตามมา
รถจักรยานยนต์รับจ้างมาจอดส่งคนโดยสารพอดิบพอดี
ถนิมกระจ่างไม่คิดมากอีกแล้ว เธอกระโจนพรวดแล้วสั่งให้ออกรถ
ไอ้หนุ่มโย่งตัวดำหน้าดุปราดมาถึง กระแทกชนกับนายตำรวจรุ่นพี่แบบหลีกไม่พ้น "นายเหล็ก พอเสียที มาทางนี้"
'นายเหล็ก' ไม่ค่อยเต็มใจยอมให้ฉุดลากเข้ามุมอับนัก
สายตาร้อนรุ่มมองตามรถจักรยานยนต์ที่เลี้ยวไปอีกฟากถนน
แม่สาวตัวแสบยังมีหน้าหันมาโบกมือเยาะเย้ยให้เจ็บใจเล่น "พี่บุญ ผมรู้ว่าอธิบายยังไง พี่บุญก็ไม่เชื่อแน่ แต่เวลานี้ ผมอยากขอร้อง ผมมีเรื่องด่วนต้องไปทำเดี๋ยวนี้ ปล่อยผมก่อนได้ไหม"
"ได้ ถ้าแกจะยอมมอบของกลางให้พี่ ไอ้หมอนั่นน่ะ มันถูกยิง แต่ไม่โดนจุดสำคัญ แล้วก็ไม่สลบด้วย มันสารภาพแล้วว่าของกลางอยู่กับแก เอามันออกมา"
"ของกลางอะไร ผมไม่รู้เรื่อง ผมแค่ไปเป็นเพื่อน จู่ๆ มันก็พรวดขึ้นมาซ้อน แล้วสั่งให้ออกรถเลย ผมจะไปรู้ได้ยังไงว่ามันเกิดอะไรขึ้น"
"ไม่รู้ แล้วขับหนีทำผีอะไรวะ ไม่ต้องพูดมาก แก้ตัวข้างๆ คูๆ มอบของกลางมา แล้วพี่จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ปล่อยตัวแกไป แต่ถ้าแกยังหัวดื้อ พี่ก็ช่วยแกไม่ได้ ต้องจับแกกลับโรงพักก่อน"
'ผู้กองมีบุญ ยิ้มพลับ' ทำท่าจะสวมกุญแจมือ นายเหล็กออกอาการกระวนกระวาย
เขากัดปากเหมือนชั่งใจ มือชื้นเหงื่อถูกแหย่เข้าไปในพวงกุญแจมือ
'อย่าเพิ่งเลย' เขาคิด พร้อมกับสลัดขัดขืน แล้วต่อยท้องคุณตำรวจ เหวี่ยงศอกกระแทกกกหูอีกที
ไม่อยากทำรุนแรงกว่านี้ จึงตัดใจผลักไปชนกับขอบโครงกันสาด "นายเหล็ก หยุดนะ พี่บอกว่าหยุดเดี๋ยวนี้ โอ๊ย ไอ้เด็กบ้าเอ๊ย ตำรวจเป็นพรวน เดี๋ยวก็เจอตะรางจนได้" ผู้กองมีบุญครวญเจ็บๆ เขาเป็นเพื่อนรุ่นพี่ของ 'เลขเด่น โชครองรับ'
เกิดและเติบโตในหมู่บ้านชายทะเลแถวกระบี่ ครอบครัวของเลขเด่นประสบเคราะห์จากน้ำท่วม
บ่อปลาล่มจม สวนปาล์มที่มีก็หลุดจำนอง กลายเป็นตัวเองต้องไปเช่าที่ที่เคยเป็นของตัวเองทำสวนปาล์ม
ทางหนึ่งก็รับจ้างดูแลสวนให้เจ้าของใหม่ไปด้วย แถมหนี้สินรุงรังก็ยังต้องตามชำระกันไปอีกนาน เลขเด่นต้องเข้ากรุงมาหางานทำ เพื่อจุนเจือครอบครัวในระหว่างที่สวนปาล์มยังไม่เข้ารูปเข้ารอย
'เลขา' น้องสาวคนเล็กของเขา ใกล้จะแต่งงานแล้ว
แต่ฤกษ์งามยามดีที่เคยคิดว่าดี ก็มาง่อนแง่นเพราะสภาพครอบครัวที่เปลี่ยนไป
ฝ่ายชายออกอาการลังเลว่าควรเข้ามาเกี่ยวดอง รับภาระหนี้สินของฝ่ายหญิงดีหรือไม่
ทุกอย่างจึงต้องขึ้นอยู่กับสวรรค์
หากไม่ได้กลับไปเยี่ยมบ้านกระบี่เมื่อหกเดือนก่อน ผู้กองมีบุญก็คงไม่ทราบว่าเลขเด่นเข้ากรุงมาหางานทำ
ทันทีที่ทราบที่อยู่ ก็รีบแวะไปหา จึงได้ทราบอีกว่า หนุ่มกระบี่อยู่ที่ไหนได้ไม่นาน
เพราะไม่มีเงินจ่ายค่าเช่า ต้องย้ายบ้านไปเรื่อย งานที่ทำก็ยังไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ใครจ้างให้ทำอะไรก็ทำ ความรู้ระดับปริญญาตรี สำหรับหนุ่มกระบี่ มันไม่ได้ช่วยให้เขามีงานเหมาะสมกับวุฒิการศึกษา
และเขาก็ไม่คิดจะเลือก ขอเพียงมีงานมีเงินส่งไปจุนเจือทางบ้าน ตอนนี้เขาก็ทำหมด
จนล่าสุด ก็มาได้งานเป็นคนขับรถส่งของในบริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง
เงินเดือนรวมกับค่าล่วงเวลาก็พอสบายขึ้น ไม่ต้องเช่าบ้านให้วุ่นวาย เพราะอาศัยในบ้านพักของพนักงานนั่นเอง
แต่ดูวันนี้สิ ความซวยมาเยือนแบบไม่ทันตั้งตัว จริงเท็จแค่ไหน ผู้กองมีบุญก็ไม่กล้าปักใจ
แต่ที่แน่ๆ เลขเด่นมีส่วนพัวพันกับการปล้นเครื่องเพชรอย่างดิ้นไม่หลุด
'นายอุมา คำดำริ' สารภาพละล่ำละลักว่าร่วมมือกันวางแผนปล้น
จะใส่ร้ายป้ายสีหรือเปล่า ก็ต้องรอพิสูจน์กันต่อไป
ผู้กองหนุ่มเท้าสะเอวร้อนใจ เขารู้จักเลขเด่นเป็นอย่างดี
จึงมีใจโน้มเอียงว่า หนุ่มกระบี่คนนี้ ไม่มีวันคิดสั้น พาตัวเข้าสู่วังวนคนชั่ว
แต่สถานการณ์มันก็โยงมาเชื่อมกันอย่างประจวบเหมาะ แล้วทีนี้ จะให้ช่วยเหลือกันยังไง
พ่อตัวดีก็หนีพรวดพราดขึ้นรถแท็กซี่ไปแล้ว ท่าทางรีบร้อนเหมือนไปตามวัวตามควาย บ้าจริงๆ
"จ่าชุก"
ผู้กองหนุ่มส่งความถึงลูกน้อง
"คนร้ายหนีไปได้ เลี้ยวไปตามเส้นทางที่จ่าดูแล จดป้ายทะเบียนแล้วตามล่าให้ถึงที่สุด จับเป็นเท่านั้นนะ ฉันจะสอบสวนไอ้หนุ่มคนนี้ด้วยตัวเอง"
ผู้กองหนุ่มกำชับลูกน้องเสียงหนัก ไม่ใช่สอบสวน แต่คิดจะหาทางช่วยเหลือให้พ้นผิด
หากให้ตำรวจนายอื่นรับผิดชอบ โอกาสช่วยเหลือจะน้อยลง
หน้าที่ผู้รักษากฎหมายมันค้ำคอ ทำอะไรประเจิดประเจ้อนักก็ไม่เหมาะ
"โว้ย เซ็งโว้ย" เขาสบถใส่ตู้โทรศัพท์ที่ตั้งอยู่ข้างๆ เท้าสะเอวด้วยท่าทางหงุดหงิด แล้วบ่น
"ไอ้เหล็กเอ๊ย แกมันบ้า หนีใครก็หนีสิเว้ย ทำไมต้องหนีพี่ด้วย ทำเหมือนไม่เคยรู้จัก ถ้าแม้แต่กับพี่ แกยังไม่กล้าไว้ใจ แล้วผีที่ไหนวะที่แกจะไว้ใจได้"
แดดเปรี้ยงยามบ่ายแผ่ไอร้อนจัดลงมา ใบหน้าผู้กองมีบุญท่วมไปด้วยเหงื่อ
เขาลูบลวกๆ ด้วยฝ่ามือร้อนจัด ก่อนจะเดินเข้าไปหลบใต้ชายคาร้านรวงแถวนั้น
ตาคมกริบกลอกไม่หยุดนิ่งแข่งกับความคิดที่แล่นควานตามหาที่กบดานของหนุ่มกระบี่
เขามั่นใจว่า เลขเด่นจะไม่ย้อนกลับบ้านพักพนักงานอีก
และที่น่าสงสารที่สุดก็คือ หนุ่มกระบี่คงต้องเจอกับปัญหา 'ตกงาน' อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
| จากคุณ |
:
รัชนีกานต์
|
| เขียนเมื่อ |
:
1 ต.ค. 53 11:08:22
|
|
|
|