Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
น้ำใจคนใช้  

เปาบุ้นจิ้นผู้ทรงความยุติธรรม

น้ำใจคนใช้


ท่านผู้ชมโทรทัศน์ในเมืองไทย ระยะนี้พากันติดภาพยนตร์ของเกาหลีกันเป็นส่วนใหญ่ แต่เมื่อหลายปีที่ผ่านมา ภาพยนตร์จีนที่มีชื่อเสียงโด่งดัง และมีผู้ติดตามชมมากที่สุด นอกจากเรื่องประเภทกำลังภายในแล้ว ก็คือเรื่องสามก๊ก และเปาบุ้นจิ้น

ความจริงเรื่องของเปาบุ้นจิ้นนั้น มิใช่จะมาปรากฏตัวให้เป็นที่รู้จักกัน ในยุคปัจจุบันเท่านั้น แต่ได้มีชื่อเสียงเลื่องลือกันมา ตั้งแต่ครั้งที่ หลวงดำรงธรรมสาร ซึ่งดูตามราชทินนามน่าจะเป็นผู้ที่อยู่ในแวดวงตุลาการได้ว่าจ้าง นายหยอง ทหารปืนใหญ่ ซึ่งคงจะมีเชื้อสายจีน ให้แปลเรื่อง "เปาเล่งถูกงอั้น" จากภาษาจีนเป็นภาษาไทย และมอบหมายให้ นายวรรณ(เทียน วรรณาโภ) เป็นผู้เรียบเรียงตกแต่งถ้อยคำสำนวนให้เป็นที่เรียบร้อย ตีพิมพ์ให้ประชาชนได้อ่านกันมาก่อน พ.ศ.๒๔๔๑ หรือในสมัยรัชกาลที่ ๕ เกือบร้อยปีมาแล้ว

เปาเล่งถู นั้นก็คือบรรดาศักดิ์ของท่าน เปาบุ้นจิ้น นั่นเอง ตามคำนำในการพิมพ์ครั้งแรก ได้แนะนำไว้ว่า เปาบุ้นจิ้นเป็นขุนนางฝ่ายพลเรือน ในราชวงศ์ซ้องของประเทศจีน ซึ่งอยู่ในระหว่าง พ.ศ.๑๕๐๓ - ๑๘๑๙ เป็นผู้ได้รับพระบรมราชานุญาตจากฮ่องเต้ ให้มีอำนาจตัดสินคดีความระงับเรื่องเดือดร้อนของอาณาประชาราษฎร ต่างพระเนตรพระกรรณ ถึงขนาดถอดถอนเจ้านายและขุนนางผู้ใหญ่ได้ กับสามารถลงโทษผู้ที่กระทำความผิดได้ถึงขั้นประหารชีวิต โดยไม่ต้องนำความขึ้นกราบทูลก่อน

ซึ่งเปาบุ้นจิ้นก็ได้ใช้อำนาจนั้น ด้วยสติปัญญาอันเฉียบแหลม และตั้งอยู่ในความยุติธรรมเที่ยงตรง จึงมีชื่อเสียงเป็นที่นับถือกันทั่วไปทั้งแผ่นดิน ซึ่งจะได้ยกเอาคดีต่าง ๆ มาเล่าให้อ่านกัน พอประดับสติปัญญา แม้จะไม่โลดโผนอย่างภาพยนต์ทางทีวี แต่ก็คงมีคติธรรมแฝงอยู่ในเรื่องราวนั้นมิใช่น้อย

ครั้งหนึ่งในฤดูหนาว พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ มีรับสั่งให้ เปาบุ้นจิ้น ไปเที่ยวตรวจดูทุกข์สุขของราษฎรตามหัวเมืองน้อยใหญ่ ในพระราชอาณาเขตประเทศจีน ครั้นตรวจมาถึงเมืองตังเกีย ก็ได้รับตัวนักโทษคนหนึ่ง ซึ่งเจ้าเมืองกังจิวส่งมาให้ พร้อมกับสำนวนคำฟ้องและคำให้การรับเป็นสัตย์ เมื่อให้เปาบุ้นจิ้นตัดสินลงโทษฐานฆ่าคนตาย

นักโทษผู้นั้นชื่อ บั้นอั๋น เมื่อเปาบุ้นจิ้นตรวจดูสำนวนความทั้งหมดแล้ว ก็สอบถามจำเลยว่ารับเป็นสัตย์แล้วหรือ บั้นอั๋นก็ร้องไห้แล้วคุกเข่าลงคำนับว่า ความจริงมิได้เป็นดังฟ้อง แล้วก็เล่าเรื่องให้ฟังโดยละเอียด มีความว่า

ตัวบั้นอั๋นนั้นเป็นบ่าวของ เป๋าสุน พ่อค้าเกลือซึ่งมีภรรยาชื่อนาง ฮ่องสี มีบุตรชายคนหนึ่งชื่อ เป๋าเสง ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เมืองกังจิว

วันหนึ่งเป๋าสุนมาปรึกษากับภรรยาว่าจะไป ค้าขายที่เมืองตังเกียกับ กังยิ้ม ซึ่งเป็นมิตรสหายกัน นางฮ่องสีก็ไม่ใคร่ จะเต็มใจให้เป๋าสุนไปกับกังยิ้ม แต่ไม่อาจจะพูดจาขัดขวางทัดทานได้

ครั้นถึงวันกำหนดนัด เป๋าสุนก็สั่งบั้นอั๋นว่า

"....เวลาดึกสามยามเราจะล่วงหน้าไปก่อน เจ้าจงหาบเสบียงตามไปภายหลัง ให้พบกันที่ท่าเรือจ้าง...."

แล้วเป๋าสุนก็จัดทองคำห้าสิบตำลึงกับเงินที่จะเอาไปใช้ตามทางใส่ไถ้ และออกจากบ้าน เดินทางไปที่ท่าเรือ

พอถึงเวลาเช้าบั้นอั๋นก็หาบเสบียงและสิ่งของไปที่ท่าเรือจ้าง ก็ไม่เจอเป๋าสุน บั้นอั๋นเที่ยวถามพวกเรือจ้างทุก ๆ ลำแถวนั้น ก็บอกว่าหาเห็นไม่ บั้นอั๋นเที่ยวสืบถามชาวเรือและชาวบ้าน ตั้งแต่เวลาเช้าจนเที่ยงก็ไม่ได้ข่าวเป๋าสุนเลย จึงกลับมาบ้านเล่าเรื่องที่เป๋าสุนหายไป ให้นางฮ่องสีฟังทุกประการ
นางฮ่องสีก็ตกใจมีความทุกข์ร้อนถึงสามีเป็นอันมาก

อยู่มาประมาณสี่ห้าวัน กังยิ้มก็มาที่บ้านเป๋าสุน นางฮ่องสีจึงถามกังยิ้มว่า

"....ท่านมาแล้วเหตุใดสามีของข้าพเจ้าจึงยังไม่เห็นมาเล่า.."

กังยิ้มก็ว่า

"…....ข้าพเจ้าลงไปคอยท่าสามีท่านอยู่ก่อนที่ท่าเรือ ก็มิได้เห็นสามีของท่านลงไปตามที่นัดกันไว้ ข้าพเจ้าก็หวังใจว่าสามีท่านเห็นจะไม่ไป ข้าพเจ้าจึงลงเรือไปแต่ผู้เดียว....."

นางฮ่องสีก็ยิ่งมีความวิตกถึงสามีมากขึ้นไปอีก จึงได้จ้างคนไปเที่ยวสืบเสาะติดตาม ก็ไม่ได้ข่าวคราวประการใดเลย ก็เป็นอันจนปัญญามิรู้ว่าจะคิดอ่านประการใดต่อไป

ฝ่ายเป๋าเสงผู้บุตรของเป๋าสุน ซึ่งถูกมารดาไล่ออกจากบ้าน เพราะเป็นคนไม่เอาถ่าน พอใจในการยิงนกยิงเนื้อ มารดาจะห้ามปรามก็ไม่เชื่อฟัง

วันหนึ่งใช้ให้บั้นอั๋นไปเก็บนกที่ยิงตกลงไปในสวนของเศรษฐีข้างบ้าน แล้วบั้นอั๋นเอานกมาไม่ได้ก็โกรธ จึงทุบตีบั้นอั๋นถึงหน้าแตกโลหิตไหล

นางฮ่องสีเห็นบ่าวได้รับบาดเจ็บดังนั้น ก็ถามว่าไปถูกอะไรมาหน้าตาจึงเป็นเช่นนี้ บั้นอั๋นก็ไม่บอก นางฮ่องสีถามถึงสามครั้ง บั้นอั๋นขัดไม่ได้จึงเล่าไปตามความจริง ที่ถูกเป๋าเสงทุบตีเพราะเก็บนกไม่ได้

นางฮ่องสีก็โกรธเป๋าเสงยิ่งนัก ด่าว่า

".....ลูกอะไรเช่นนี้ หนังสือก็เกียจคร้านไม่ไปเล่าเรียน คิดเล่นแต่การยิงนกยิงเนื้อไม่เป็นประโยชน์..."

แล้วนางก็ตีสุนัขสำหรับไล่เนื้อของเป๋าเสงจนตาย กับทำลายเกาทัณฑ์และข่ายสำหรับดักสัตว์ ของบุตรชายเสีย แล้วก็ขับไล่ออกจากบ้านไปมิให้กลับเข้ามาอีก

เป๋าเสงก็อาฆาตบั้นอั๋นว่าเป็นผู้ไปฟ้องมารดา ตนจึงถูกไล่ออกจากบ้าน เมื่อได้ทราบข่าวว่าเป๋าสุนผู้บิดาไปเมืองตังเกียกับบั้นอั๋นแล้วหายไป จึงเป็นโจทก์ฟ้องต่อ อ๋องจายจิว เจ้าเมืองกังจิว ว่าบั้นอั๋นเป็นผู้คิดอุบายฆ่าบิดาตาย

เจ้าเมืองก็ไม่ได้ใช้สติปัญญาวิจารณญาณอะไรนัก ให้เอาตัวบั้นอั๋นมาผูกถามตามจารีตนครบาล บั้นอั๋นให้การไปโดยความสุจริตก็ไม่เชื่อ ให้นักการผูกตีถึงสาหัสจนทนไม่ได้ จึงต้องยอมรับโดยความไม่จริง

เจ้าเมืองจึงให้เอาไปขังคุกไว้ รอจนท่านเปาบุ้นจิ้นเดินทางมาถึงเมือง ตังเกีย จึงถูกส่งตัวมารับโทษดังนี้

เปาบุ้นจิ้นใคร่ครวญพิจารณาดูรูปความ ทั้งเห็นกิริยาอาการของบั้นอั๋นมีลักษณะเป็นคนตรง ตามความที่เป็นมา แล้วผู้พิจารณาไต่สวน ยังไม่สิ้นกระแสความ ของกลางก็ยังไม่ได้ ยังไม่สมควรลงโทษ เปาบุ้นจิ้นจึงทำเป็นโกรธตวาดบั้นอั๋นว่า

"....ตัวเจ้าฆ่าเขาตาย เจ้าก็รับเป็นสัตย์แล้ว จะต้องปรับโทษให้ตายตกไปตามกัน...."

แล้วก็สั่งให้ผู้คุมเอาตัวไปจองจำไว้ในคุกก่อน

จากนั้นเปาบุ้นจิ้นก็กระซิบสั่ง หลีกิด คนสนิทให้ไปสืบดูที่เมืองกังจิว ถ้ามีผู้ถามถึงคดีเรื่องบั้นอั๋น ก็บอกว่าเปาบุ้นจิ้นตัดสินให้ประหารชีวิตแล้ว ฟังดูเสียงราษฎรว่าผู้ใดพูดจาว่ากล่าวประการใดบ้าง ถ้าได้ความอย่างไรแล้ว ให้จับตัวผู้พูดมาไต่สวนอีกชั้นหนึ่ง เพื่อให้ได้ความจริงเป็นหลักฐาน ให้ขาวใสประดุจว่าปีกนกยาง

เมื่อหลีกิดไปถึงเมืองกังจิว ก็ไปที่บ้านของเป๋าสุน พบนางฮ่องสีกำลังพูดจากับชาวบ้านด้วยเสียงอันดัง ในเรื่องที่มีคนลวงสามีไปค้าขายแล้วถูกฆ่าตาย พอเห็นหน้าหลีกิด นางฮ่องสีก็ถามว่า

"....ท่านมาจากเมืองตังเกีย ท่านรู้ความเรื่องสามีของข้าพเจ้านั้น ว่าท่านเปาเล่งถูชำระตัดสินตกลงประการใดบ้าง....."

หลีกิดก็บอกว่า บัดนี้ได้ตัดสินประหารชีวิตบั้นอั๋นเสียแล้ว

นางฮ่องสีได้ฟังก็ร้องไห้คิดถึงสามี และบั้นอั๋นคนใช้ว่า ไม่มีความผิดสิ่งใดเลย มารับโทษแทนคนร้ายหาควรไม่

หลีกิดก็ถามว่ารู้ได้อย่างไร นางฮ่องสีก็ว่า จิวปู่ เป็นคนมาบอกเล่าให้ฟัง

หลีกิดก็บอกว่าตนเองเป็นคนของเปาบุ้นจิ้น ที่ใช้ให้มาสืบหาข่าวคราวเพิ่มเติม

นางฮ่องสีก็ดีใจจึงเอาเงินสิบตำลึง ให้หลีกิดเป็นค่าเดินทางพาจิวปู่ ไปให้การต่อเปาบุ้นจิ้นที่เมืองตังเกีย เป็นการด่วน
เมื่อหลีกิดนำตัวจิวปู่ไปหาเปาบุ้นจิ้นแล้ว
จิวปู่ก็ให้ปากคำเป็นเรื่องราวว่า

ตนเองเป็นคนใช้ของกังยิ้ม ในวันที่กังยิ้มนัดกับเป๋าสุนจะไปค้าขายนั้น
กังยิ้มได้ใช้ให้ ซงจิ้น ซึ่งเป็นหลานชายกับจิวปู่
หาบสุรากับเครื่องของกินไปตั้งที่ท่าริมฝั่งน้ำแห่งหนึ่ง
เป็นที่เปลี่ยว ไม่ใช่ท่าเรือจ้างที่นัดไว้ แล้วก็คอยดักรออยู่

พอเป๋าสุนเดินทางมาเมื่อใกล้รุ่ง กังยิ้มก็ชวนเป๋าสุนว่า

".....เวลานี้เป็นเวลาเช้า ข้าพเจ้าได้ให้คนใช้จัดหาอาหาร
กับสุรามาไว้คอยท่าท่าน
เราไปเสพสุราอาหารเสียด้วยกันก่อน แล้วจึงค่อยลงเรือ....."

แล้วก็ให้จิวปู่นำหน้าไปถึงฝั่งน้ำที่จัดโต๊ะไว้
กังยิ้มกับเป๋าสุนก็นั่งลงเสพสุราด้วยกันประมาณสิบถ้วย
เป๋าสุนก็ว่าเวลาเช้าเสพสุราไม่ได้มาก จะเมาเหลือเกินไป

กังยิ้มก็ทำเป็นโกรธ ตวาดด้วยเสียงอันดังว่า

".....เรานับถือท่านจะให้ท่านกินสุรากับเรา
ท่านกลับมาพูดจาบิดพริ้วดูหมิ่นเรา....."

ว่าแล้วกังยิ้มก็ชักเอาลูกตุ้มที่ซ่อนไว้กับตัวออกมา
ตีเป๋าสุนล้มลงสลบอยู่กับที่

ซงจิ้นหลานชายจึงลงมือช่วยฆ่าเป๋าสุนจนถึงแก่ความตาย
แล้วทั้งสองก็แก้เอาไถ้และเงินทองเป๋าสุนไปทั้งสิ้น
และช่วยกันหามศพเป๋าสุนทิ้งลงแม่น้ำไป

เปาบุ้นจิ้นจึงให้นักการไปจับตัวกังยิ้มและซงจิ้นมาขึ้นศาล
แล้วซักถามต่อหน้าจิวปู่

กังยิ้มก็ไม่อาจปฏิเสธได้ เพราะจิวปู่เป็นผู้รู้เห็นการกระทำ
ด้วยตาของตนเองทุกประการ
จึงจำต้องยอมรับสารภาพตั้งแต่ต้นโดยละเอียดว่า

แต่เดิมกังยิ้มกับเป๋าสุนเป็นเพื่อนที่ค้าขายเกลือเหมือนกัน
แต่เป๋าสุนค้าขายได้กำไรมีเงินทองมาก
ส่วนกังยิ้มกลับขาดทุนไปทุกวัน
จึงคิดอุบายไปหาเป๋าสุนแล้วชักชวนว่า

".....ข้าพเจ้าเห็นช่องค้าขายอยู่แห่งหนึ่ง
มีผลประโยชน์เป็นอันมาก ครั้นข้าพเจ้าจะไปแต่ผู้เดียวเล่า
ทุนรอนข้าพเจ้าก็น้อย ข้าพเจ้าจะขอหุ้นส่วนกับท่าน....."

เป๋าสุนก็ถามว่าผลประโยชน์นั้นจะมีได้อย่างไร
กังยิ้มก็ว่า

"...สินค้าที่เมืองตังเกียมีอยู่เจ้าหนึ่ง
มีแพรอย่างดีอยู่ร้อยหีบราคาถูกยิ่งนัก
แต่ที่เมืองตังเกียนั้นทองคำมีราคากว่าเมืองเรา
ข้าพเจ้าเห็นว่าเราเอาทองคำเมืองนี้
ไปจำหน่ายขายแล้ว ซื้อเอาแพรเมืองตังเกีย
มาขายที่เมืองเรา ข้าพเจ้าเห็นว่าจะมีกำไรมากมายหลายเท่า
ถ้าท่านเห็นด้วยแล้ว จะต้องรีบไปเสียโดยเร็ว
ถ้าช้าอยู่พ่อค้าอื่นจะมากว้านเอาไปเสียหมด
ขอท่านจงรีบคิดอ่านไปซื้อเสียโดยเร็ว....."

เป๋าสุนก็มีความยินดีกำหนดนัดวันที่จะไปเมืองตังเกียด้วยกัน
แล้วกังยิ้มกับซงจิ้นก็ช่วยกันฆ่าเปาสุนตาย
และเก็บเงินทองเอาไปทำทุน ค้าขายโดยไม่มีคู่แข่ง
จนมั่งมี บริบูรณ์ขึ้นกว่าแต่ก่อน

ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง มีหญิงสวมเสื้อกางเกงสีแดง
มาติดต่อถามขอซื้อเกลือของกังยิ้ม
เพื่อเอาไปให้สามีทำปลาเค็มเป็นจำนวนมาก
กังยิ้มก็จะพาหญิงผู้นั้นไปชั่งตวงที่ฉางเกลือ

บังเอิญขณะนั้นจิวปู่คนใช้ยกอ่างน้ำล้างถ้วยชาม
เดินผ่านมาและสะดุดพื้นทำให้น้ำสกปรกในอ่าง
กระฉอกรดเสื้อกางเกงหญิงนั้นเปรอะเปื้อนไปทั้งตัว
กังยิ้มรีบขอโทษว่า

".....คนเช่นนี้ไม่มีกิริยาอัชฌาสัย ทำน้ำโสโครกหกถูกท่าน
แม้ว่าเสื้อของท่านถูกน้ำโสโครกจะเสียหายประการใด
ข้าพเจ้าจะยอมใช้ให้แก่ท่าน...."

แต่หญิงผู้นั้นโกรธมาก จึงกลับบ้านไปโดยไม่ซื้อเกลือ
กังยิ้มก็โกรธที่ต้องเสียลูกค้า
จึงจับจิวปู่มัดไว้เป็นการลงโทษ จิวปู่ก็แค้นใจมาก

วันหลังจึงไปหานางฮ่องสี เล่าเรื่องที่กังยิ้มฆ่าเป๋าสุนสามีให้ฟัง
แล้วจึงได้มาให้การฟ้องร้องต่อเปาบุ้นจิ้นในครั้งนี้

เมื่อเปาบุ้นจิ้นได้ความจริง สมกับคำให้การของบั้นอั๋น
และจิวปู่พยานที่เห็นเหตุการณ์ไม่มีข้อสงสัยแล้ว
จึงตัดสินพิพากษาให้ประหารชีวิตกังยิ้มกับซงจิ้นเสีย
และให้ปล่อยตัวบั้นอั๋นออกจากคุก

ส่วนทองคำของกลางที่ได้คืนมาจากกังยิ้มทั้งห้าสิบตำลึงนั้น
ก็ให้รางวัลแก่จิวปู่ครึ่งหนึ่ง ที่เหลือคืนให้นางฮ่องสีภรรยาเป๋าสุนไป

บั้นอั๋นคนใช้ผู้สัตย์ซื่อ จึงรอดตายกลับมา
อยู่รับใช้นางฮ่องสีต่อไปได้ ด้วยประการฉะนี้.

##########

19 สิงหาคม 2550

จากคุณ : เจียวต้าย
เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 53 19:58:55




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com