ศึกพิพากษา เทพธิดาจักรกล : Space Valkyrie - ตอนที่ 4 "Angel in blazing Dream"
|
 |
Space Valkyrie Episode 04 – Angel in blazing Dream
อากาศร้อนระอุจากเปลวไฟสีแดงที่ชุกโชติช่วงไปทั่วบริเวณ ควันไฟสีดำคละคลุ้งไปทั่วกองซากปรักหักพัง เสียงสัญญาณเตือนภัยดังหวีดหวิวแทรกคลื่นเสียงความถี่ต่ำจากการโหมไหม้ของไฟและกระแสอากาศ เสียงฝีเท้าที่วิ่งเหยียบผ่านกองเศษซากที่เกลื่อนกลาดทั่วพื้น เสียงหอบหายใจพลางสำลักควันพลางชวนให้อึดอัด
“พี่!!” เด็กชายร้องเรียก “อยู่ที่ไหนน่ะ!?”
ความจำเส้นทางของสถานที่ไม่สามารถใช้การได้ เมื่ออาคารทั้งหลังพังพาบราบลงกับพื้น เด็กชายต้องใช้วิธีเดาสุ่มวิ่งไปตามซอกหลืบของซากกำแพงที่แทบไม่เหลือชิ้นดี สะดุดล้มบ้าง แต่ก็ยังลุกขึ้น เจอกองไฟหรือกำแพงพัง ๆ ขวางทาง ก็วิ่งหลบ จนกระทั่งมาพบกับเงาดำทะมึนที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มควันและเปลวไฟ
เสียงคำรามสั่นเครือราวกับสัตว์ร้าย ลมหายใจที่พ่นออกมาปัดเป่าควันออกให้จากรอบหัวของมัน เผยให้เห็นศีรษะอัปลัษณ์คล้ายกบของสิ่งมีชีวิตประหลาดขนาดยักษ์ แต่สิ่งทีน่าเป็นห่วงกว่า คือสิ่งที่อยู่บนพื้น ใกล้กับปากของมัน
“พี่!” เด็กชายมองออกในทันที เด็กสาวอีกคนนอนไม่ได้สติอยู่บนพื้น ปลายจมูกของมันพอดี ไม่พอดี ดูเหมือนมันผ่านมาเห็น และพยายามทดสอบกลิ่นอยู่มากกว่า
มันส่งเสียงคำรามเบา ๆ ตอนนี้มันแค่ดม แต่ใครจะรู้ ว่าอาจจะอยากชิมรสขึ้นมาอีกก็ได้
“หนอย” เด็กชายก้มลงคว้าก้อนหินขนาดเหมาะมือ แล้วขว้างออกไปสุดแรง พร้อมกับร้องตะโกน “ไอ้บ้าเอ๊ย!!”
ก้อนหินปะทะเข้าเบ้าตาของพอดี ทำให้มันสะดุด และพุ่งความสนใจมาที่เขาแทน
“อย่าแตะต้องพี่ฉันนะ :-)ประหลาด!!” เด็กชายตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด พลางหยิบก้อนหินขึ้นมาปาใส่ ก้อนแล้ว ก้อนเล่า แต่ละก้อน เขาตะโกนด่าทอไม่ว่างเว้น
สัตว์ประหลาดคำรามใส่เต็มเสียงจนเด็กชายหูอื้อ แรงลมจากปากพัดเขาแทบหงายหลัง ก้อนหินที่ปาใส่ เข้าเป้าหมดก็จริง แต่ถ้าหวังจะให้เกิดความเสียหาย มันคือศูนย์ นอกจากเรียกความสนใจและสร้างความรำคาญให้มันเท่านั้น
“แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก” เด็กชายทุ่มเรี่ยงแรงปาก้อนหินที่ใส่จนเหนื่อยหอบ “ถ้าแกแตะพี่ชั้นสักนิดล่ะก็...” เขาก้มลงอีกครั้ง หยิบก้อนหินก่อนใหญ่เกือบเท่าลูกบอลขึ้น
“ชั้นไม่เอาแกไว้แน่!!” เด็กชายทุ่มก้อนหินก้อนสุดท้ายไปจนสุดแรง
พริบตา ก็เกิดลมกรรโชกจากด้านหลังพร้อมกับเสียงดังสนั่น บางสิ่งพุ่งผ่านตัวข้ามหัวเขาไป จังหวะพอดีเป๊ะกับก้อนหินที่เด็กชายขว้างไปปะทะเข้าที่ใบหน้า ท่อนขาเรียวงามทว่าใหญ่โตก็ถีบยันเข้าที่กลางหัวของเจ้าสัตว์ประหลาด จนมันกระเด็นลอยห่างออกไปหลายสิบเมตร
“ไอ้หนู!!”
เสียงผู้ชายดังขึ้น พร้อมกับทีมกู้ภัยที่กรูกันเข้ามาช่วยอุ้มเขาขึ้น ขณะที่อีกสองคนเข้าไปช่วยกันพาเด็กผู้หญิงอีกคนออกมา โดยมีโครงร่างแผ่นหลังของหญิงสาวในชุดเกราะขนาดใหญ่พร้อมกับปีกช่วยกันพวกเขาจากสัตว์ประหลาดยักษ์ เด็กชายและเด็กผู้หญิงอีกคนได้รับการช่วยเหลือออกมาอย่างปลอดภัย เขารีบเข้าไปหาพี่สาวที่ยังไม่ได้สติ ใบหน้าของเด็กหญิงมอมแมม ผมเผ้าที่เคยเรียบร้อยก็กระเซอะกระเซิง เผยให้เห็นใบหูขนาดใหญ่บนศีรษะ ภายนอกไม่มีบาดแผลอะไร นอกจากรอยฟกช้ำ นับว่าโชคดีสุด ๆ หากดูจากความเสียหายที่เกิดขึ้น
เสียงร้องดังสนั่นก่อนจะเงียบหายไปของเจ้าสัตว์ยักษ์ตัวนั้น บ่งบอกว่ามันเพิ่งจะถูกดับชีพไปสด ๆ ร้อน ๆ พวกหน่วยกู้ภัยที่กำลังเร่งตรวจค้นซากและลำเลียงคนเจ็บต่างส่งเสียงดีใจในชัยชนะ
หลังทุกอย่างกลับสู่ความสงบ ทีมงานดับเพลิงเข้าเร่งฉีดน้ำเพื่อควบคุมไฟ บรรยากาศร้อนระอุก็หายไป ควันไฟก็เริ่มกระจายตัว สีฟ้าของท้องฟ้าเริ่มกลับมาอีกครั้ง ภายหลังการตรวจเช็ค ทั้งเด็กชายและพี่สาวไม่บาดเจ็บอะไรมาก เจ้าหน้าที่จึงทำแผลให้ที่ยานพยาบาล
ระหว่างที่เด็กชายกำลังปล่อยให้เจ้าหน้าที่หญิงทำแผลให้ เขาก็ได้ยินเสียงแว่ว ๆ ว่า ขอพบเด็กคนนั้นหน่อย
ผู้ที่มาขอพบเขา เป็นผู้หญิงสาว เด็กชายเห็นหน้าไม่ชัดเพราะย้อนแสง จำได้แต่เพียงท่วงท่าการปล่อยผมที่ม้วนเก็บอยู่หลังศรีษะให้สยายออกพร้อมกับสะบัดหน้าไปมาอีกเล็กน้อย
เธอยิ้มให้อย่างอ่อนโยน พร้อมกับยื่นมือมาหาเขา
“สู้ได้ดีมากจ้ะ... น่าประทับใจจริง ๆ”
.............................................................
- ห้องทดสอบสภาพนักบิน, เซ็นทรัลคอร์, อิกดราเซียโคโลนี่ -
อัตราการเต้นของหัวใจปกติ ความดันปกติ คลื่นสมองปกติ ค่าการผสาน เจ็ดสิบเจ็ดเปอร์เซ็นต์
เสียงคอมพิวเตอร์ประกาศ ทีมนักวิจัยหลายนาย ยืนจ้องแผงควบคุมอย่างเงียบงัน กราฟเส้นขนานยี่สิบเส้นสองชุดซ้อนกันอยู่ เหลื่อมออกมาเพียงเล็กน้อย แถบสีไล่ลำดับอยู่ที่สีเขียวอ่อน และตัวเลขแสดงค่าการซิงโครไนซ์แน่นิ่งอยู่ที่ระดับเจ็ดสิบเจ็ดเปอร์เซ็นต์
ประตูห้องเปิดออก ทีแมนเดินเข้ามา “เป็นยังไงบ้าง?”
หนึ่งในทีมนักวิจัยส่ายหน้า “ไม่ครับ... ไม่มีวี่แววจะสูงกว่าเจ็ดสิบเจ็ดเลย”
ทีแมนพยักหน้ารับรู้ เดินไปที่กระจกด้านหลังแผงควบคุม อีกด้านของกระจกคือแคปซูลแก้วทรงกระบอกใส ที่มีสายระโยงระยางต่ออกมา ภายใน คือเรย์ นั่งหลับตา สงบนิ่งอยู่บนที่นั่งนักบิน
“ผมว่าเราน่าจะพอได้แล้ว” นักวิจัยอีกคนเสนอ “ถ้าฝืนนานกว่านี้ จะเป็นอันตรายกับเค้านะครับ”
ทีแมนถอนหายใจอย่างแผ่วเบาก่อนจะพยักหน้า “ก็ได้” เอื้อมไปกดปุ่มที่ฐานไมค์บนแผงควบคุม “เรย์ พอได้แล้ว ออกมาได้”
เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ในแคปซูลได้ยินดังนั้นก็ลืมตาขึ้นและถอนหายใจเฮือกใหญ่ การพยายามทำสมาธิเพื่อเพิ่มค่าการผสานนี่มันเหนื่อยจริง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องทำต่อเนื่องสองชั่วโมง
ที่นั่งของเรย์เลื่อนลงมาด้านล่างสู่ห้องอีกห้อง แองเจลีนผู้เป็นคู่หูและพี่สาวได้รออยู่ก่อนแล้ว เข้ามาช่วยพยุงเขาลงจากที่นั่งทันที การนั่งนิ่ง ๆ ภายใต้แรงกดดันทำให้ขาเขาเปลี้ยไปพักหนึ่ง
“เป็นไงบ้าง?” เธอถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง ขณะพาเขาไปนั่งที่ม้านั่งยาวริมผนังติดทางเข้าออก
“เมื่อยน่ะสิ นั่งนิ่ง ๆ ตั้งสองชั่วโมง...” เขาหยิบผ้าขึ้นมาซับเหงื่อ “ไม่รู้ตาลุงทีแมนคิดอะไรของเค้า จู่ ๆ ก็ให้มาทดสอบการซิงโครแต่เช้าเลย”
ทั้งสองคนยังไม่รู้เรื่องที่ค่าการผสานของเขากับอาร์มในการฝึกซ้อมเมื่อวานพุ่งสูงมากจนน่าตกใจ ทีแมนตัดสินใจจะปิดเรื่องนี้เอาไว้ก่อน จนกว่าจะได้ทดสอบจนแน่ใจ แต่ผลก็ออกมาอย่างที่เห็น...
ประตูทางเข้าที่อยู่ข้าง ๆ เปิดออก และทีแมนก็เดินเข้ามา “ขอโทษด้วยที่ต้องให้ทำเรื่องแบบนี้นะ ไม่เป็นไรใช่มั้ย?”
“ครับ” เขาตอบ “ว่าแต่ นี่มันเรื่องอะไรกันเหรอครับ?”
“ตอนนี้ฉันยังบอกอะไรเธอไม่ได้ แต่วางใจเถอะ ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรหรอก” ทีแมนกล่าวยิ้ม ๆ “เธอสองคนไปพักผ่อนได้ตามสบายนะ วันนี้คงไม่มีอะไรแล้วล่ะ”
เรย์กับแองเจลีนลุกขึ้นทำความรพ ก่อนจะออกจากห้องไป...
ทีแมนทอดสายตามองตามหลังเด็กหนุ่มอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับเข้าไปในห้องเดิม ภายใน ทีมนักวิจัยกำลังมุงดูอะไรบางอย่างที่แผงควบคุม พร้อมทั้งยังส่งเสียงวิพาย์กวิจารณ์ต่าง ๆ นา ๆ ถึงความเป็นไปได้ สิ่งที่พวกเขาดูอยู่ ก็คือไฟล์การต่อสู้ของเรย์นั่นเอง ภาพถูกหยุดอยู่ในจังหวะที่ค่าการผสานสูงถึงเก้าสิบสองเปอร์เซ็นต์พอดี
“เหลือเชื่อเลยนะครับเนี่ย ถึงจะแค่แป็บเดียวก็เถอะ...” พวกนักวิจัยตื่นเต้นไปกับตัวเลขนี้มาก เนื่องจากตลอดห้าพันปีตั้งแต่มีระบบการซิงโครขึ้นมา เพิ่งจะมีสองคนที่ทำระดับได้สูงขนาดนี้ “ดร. คิดว่าไงครับ?”
“อา...” ชายแก่ร่างเตี้ยในชุดนักวิจัยขานรับเฉย ๆ โดยไม่ตอบ
“เรื่องความผิดพลาดของระบบ เป็นไปไม่ได้แน่” ทีแมนกล่าว เดินมาดูที่แผงควบคุม “แต่พอทดสอบดูตรง ๆ กลับอยู่แค่เจ็ดสิบเจ็ด... มันยังไงกันแน่”
“อย่าใจร้อนซี่” ชายแก่กล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง “มันก็เรื่องของจังหวะเวลาเท่านั้นแหละ”
“??” ทีแมนหันมามองด้วยแววตาสงสัย
“ไม่ต้องรีบร้อน” ชายแก่หัวเราะ “ข้อมูลที่เห็น ไม่ได้โกหกหรอก ถ้าเจ้าหนูนั่นมีความสามารถขนาดนี้ สักวัน... เราต้องได้เห็นเค้าออกลายแน่ ๆ...”
.............................................................
ทางด้านเรย์กับแองเจลีน ทั้งสองยืนอยู่บนฐานเลื่อนที่กำลังวิ่งไปตามทางเชื่อมต่อยาวหลายร้อยเมตรมุ่งหน้ากลับสู่พื้นที่รอบนอกของอิกดราเซียโคโลนี่ที่เป็นส่วนหลักของกองทัพ แกนกลางโดยมากจะเป็นส่วนของศูนย์บัญชาการ ห้องวิจัยพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ และเตาพลังงานซึ่งจะมีแต่พวกนายทหารชั้นผู้ใหญ่และนักวิจัยที่ที่เกี่ยวข้องโดยตรงอยู่กัน
ขณะที่ทั้งคู่กำลังเคลื่อนไปตามทางเลื่อน สิ่งที่ขวางกั้นระหว่างพวกเขากับอวกาศ คือม่านพลังที่บางเพียงไม่กี่ไมครอน แต่กลับมีคุณสมบัติในการสะท้อนรังสีอันตรายจากดาวฤกษ์เทียบเท่าชั้นโอโซนหนาหลายร้อยกิโลเมตร ม่านพลังงานนี้ เป็นหนึ่งในผลพวงของลอสเทคโนโลยี วิทยาการลึกลับที่มนุษย์ค้นพบในยุคบุกเบิกอวกาศเช่นเดียวกับวัลคิวรี่เฟรม
แน่นอนว่าที่ตลอดห้าพันปี มนุษย์อาศัยอยู่ในอวกาศ สร้างโคโลนี่และยานอวกาศยักษ์ขนาดหลายสิบกิโลเมตรได้ ก็เพราะพลังของลอสเทคโนโลยีนี้เอง
“เค้าอาจจะเห็นแววเธอก็ได้” แองเจลีนเสนอความเห็น “ถึงได้ให้มาทดสอบการซิงโครแต่เช้าแบบนี้”
“แต่มันก็เกินไปนะ ติด ๆ กันสองชั่วโมงเนี่ย” เด็กหนุ่มพูดพลางเอามือลูบบั้นท้าย “อีกอย่าง ผมว่าสายตาหัวหน้าอยากจะพิสูจน์อะไรบางอย่างมากกว่าเห็นแววผมนะ”
“คิดงั้นเหรอ...?” หล่อนดุนริมฝีปากล่างด้วยนิ้วชี้ นี่คือท่าขบคิดในแบบของเธอ
จากนั้นทั้งคู่ก็เงียบไป จนแองเจลีนสังเกตได้ ไม่ใช่แค่ตอนนั้น ตั้งแต่เช้ามา ถ้าไม่มีใครเริ่มคุยอะไรกับเขาตรง ๆ เรย์ก็จะเงียบเฉยและมองไปที่จุด ๆ เดียวแบบไม่ใส่ใจ มันเป็นอากัปกิริยะของคนที่กำลังเหม่อลอยใช้ความคิด
“เป็นอะไรไปเรย์?” เธอถาม “ตั้งแต่เช้าแล้ว”
“ออ... อืม...” เขาตัดสินใจว่ายังไงก็คงหลอกสายตาเธอไม่ได้ “พอดีจู่ ๆ เมื่อคืน... ผมฝันถึงเรื่องเมื่อหกปีก่อน...”
“ออ...” แองเจลีนนึกออกแต่จำรายละเอียดไม่ได้ เพราะเธอหมดสติอยู่ “แล้ว... ทำไมจู่ ๆ มาฝันเอาตอนนี้ล่ะ?”
“ไม่รู้สิ...” เรย์ส่ายหน้า ความจริงคือเขาคาดเดาสาเหตุเอาไว้แล้ว แต่ยังไม่แน่ใจเท่านั้น
ทั้งสองคนเดินคุยกันจนถึงส่วนของร้านอาหาร ที่นี่ ประชากรของโคโลนี่ที่ไม่ใช่ทหารจะเปิดร้านขายอาหารคอยบริการ เปิดปิดตามเวลาของโคโลนี่ ซื้อขายโดยรูดบัตรประจำตัวของผู้ซื้อลงกับเครื่อง เงินจะถูกหักจากบัญชีส่วนตัวโดยอัตโนมัติ แต่ไม่มีการให้เครดิต เงินหมดก็คือหมด อดไป และที่นั่น กลุ่มผู้หญิงเพื่อน ๆ ของแองเจลีนก็จับกลุ่มนั่นกินอยู่ก่อนแล้ว
“แองจี้! ทางนี้ ๆ!” ยูริโกะโบกมือเรียก
“จ้า จ้า” เธอโบกมือตอบ หันจะหันไปชวนน้องชาย “กินข้าวด้วยกันมั้ย?”
“...” เรย์นึกในใจ ไม่ได้กินข้างด้วยกันกับแองเจลีนมาสามปีแล้วนี่นา สักหน่อยจะเป็นไรไป ธุระไว้กินข้าวเสร็จค่อยไปก็ได้ ไม่เสียอะไร ไหน ๆ ก็ว่างทั้งวันอยู่แล้ว “... ก็ดี แต่พี่เลี้ยงนะ”
............................................................
| จากคุณ |
:
Hyper Takuto
|
| เขียนเมื่อ |
:
8 ต.ค. 53 09:05:44
|
|
|
|