(นิยายกำลังภายใน)วิหคดั้นเมฆา ผู้กล้าฝ่ายุทธจักร ตอนที่ 23-24
|
 |
23.
ไม่เสียแรงได้ชื่อว่าเป็นศิษย์ซินแสเทวะ อาการที่ถูซิ่นจงทำนายว่าต้องพักฟื้นอย่างน้อยสามวัน แต่หลังสุริยาลับหายแค่สองครั้ง สือหย่งหลุนภายใต้การดูแลของฟ่านไป่หนิงก็กลับมาแข็งแรงดังเดิม
ชายเคราดำเพียงเลิกคิ้วฉงนเล็กน้อย แล้วก็ยินยอมฝึกวิชาให้ต่อตามที่เด็กหนุ่มขอร้อง ท่ามกลางสีหน้ามู่ทู่ของดรุณีน้อยที่พยายามอ้อนวอนให้สือหย่งหลุนพักอีกวันแต่ไร้ผล นางจึงทำได้แค่ไปต้มสมุนไพร เตรียมเข็มไว้รอรักษามันต่อเท่านั้น
เหตุการณ์ดำเนินวนเวียนอยู่หลายเพลา จนกระทั่งย่างเข้าวันที่สิบสาม สือหย่งหลุนซึ่งเพิ่งลุกจากเตียงพักฟื้นจึงเอ่ยกับชายเคราดำว่า
พี่ถู ข้าคิดว่าพอจับเคล็ดวิชาได้แล้ว
ถูซิ่นจงคลับคล้ายไม่อยากเชื่อ
สมัยข้ายังใช้เวลาตั้งเกือบสามเดือน ถึงความสามารถนังหนูจะช่วยให้ในช่วงเวลาเท่ากันเจ้าได้ฝึกวิชาบ่อยกว่ารุ่นข้าก็เถอะ แต่นี่มันออกจะเร็วไปหน่อยนะ
แต่ข้ามั่นใจจริง ๆ เด็กหนุ่มยืนยัน ถูซิ่นจงจึงให้มันลองฟาดพลังใส่ตอไม้ซึ่งปกติใช้เป็นที่ผ่าฟืน
สือหย่งหลุนตั้งท่าเพลิงโกรธาที่เบื้องหน้า ขณะหายใจออกในครั้งแรกซึ่งมักเป็นจังหวะที่ชายเคราดำส่งพลังวัตรใส่มันเป็นประจำจนร่างกายจดจำได้ เด็กหนุ่มก็ควบคุมปราณส่งออกพร้อมเหวี่ยงฝ่ามือตะปบยังตอไม้ทันควัน ส่งผลให้ตอไม้สั่นไหวพักใหญ่กว่าสงบลง แต่ร่างสือหย่งหลุนเองก็ทรุดเข่าลง กระอักโลหิตออกมาเล็กน้อย
ถูซิ่นจงเผยสีหน้าพอใจเมื่อเห็นสภาพตอไม้ ก่อนถามขึ้น
เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง
เหมือนมีพลังบางอย่างวนเวียนอยู่แค่ช่วงแขนก่อนถูกผลักออกไป ส่วนอาการบาดเจ็บก็น้อยลงกว่าแต่ก่อน
นั่นเพราะเจ้ายังบังคับลมปราณได้ไม่มากเท่าที่ควร ทำให้ยังมีส่วนใหญ่เล็ดรอดไปทำร้ายภายในร่างกายได้ หากชำนาญแล้วแม้จะมีความรู้สึกเจ็บอยู่บ้าง หากก็น้อยนิดจนทานทนได้ไม่ถึงกับแสดงอาการออกมาดั่งวันนี้
นี่จึงเป็นคำตอบว่าเหตุใดในตอนที่ปะทะกันครั้งแรก ถูซิ่นจงซึ่งโดนฝ่ามือกระเรียนล่าลมของฟ่านไป่หนิงเข้าไปจึงไม่มีท่าทางบาดเจ็บแม้แต่น้อย ความจริงมันย่อมเจ็บปวดจากฤทธิ์ฝ่ามืออยู่บ้าง หากอาศัยว่าเคยชินกับความเจ็บปวดจากการฝึกวิชามานาน จึงสามารถเก็บอาการไม่แสดงออกให้นางรับรู้
เจ้าของวิชาอธิบายเพิ่มเติมอีกว่า
หากก็นับว่าเจ้าก้าวหน้าได้รวดเร็วมาก ต่อแต่นี้คงไม่ต้องอาศัยข้าส่งพลังวัตรช่วยกระแทกลมปราณย้อนกลับอีกแล้ว เจ้าสามารถฝึกวิชาด้วยตัวคนเดียวได้เอง แต่วิชานี้มีข้อจำกัดหลายอย่างที่ข้าเคยบอกไว้ยังจำได้ใช่ไหม นั่นคือยิ่งฝึกขั้นสูงลมปราณที่รุนแรงยิ่งทำให้ร่างกายบอบช้ำมากตามไปด้วยเช่นกัน
ถูซิ่นจงนิ่วหน้าเมื่อนึกถึงความหลัง แล้วย้ำคำสุดท้าย
ฉะนั้นเจ้าห้ามฝึกเกินขั้นที่เจ็ดเด็ดขาด
สองคนฟังย่อมจำได้ว่านั่นเป็นขั้นที่ทำให้มันปางตายจนต้องไปหาซินแสเทวะ กระนั้นสำหรับสือหย่งหลุนแล้ววิชานี้นับเป็นฟางเส้นสุดท้าย มันย่อมไม่อาจยินยอมโดยง่าย
ถ้าข้าเตรียมการรอรักษาไว้พรักพร้อม ก็...อาจลองฝึกขั้นที่เจ็ดดูได้กระมัง
คราวนี้เป็นฟ่านไป่หนิงที่กล่าวขึ้น
เมื่อครั้งนั้นอาจารย์ข้าขนาดต้องเจียดโสมหมื่นปีมาใช้รักษาพี่ถู แล้วพี่หย่งหลุนคิดว่าต้องใช้โสมอีกกี่ต้นกว่าท่านจะฝึกสำเร็จเล่า ยังไงก็เป็นไปไม่ได้
หากเมื่อเห็นสีหน้าผิดหวังของสหาย นางก็บังเกิดความสงสาร จึงร้องถามชายเคราดำว่า
พี่ถู แล้วตอนที่ท่านฟาดตอไม้ป่นในร้านเครื่องเรือนนั่น ท่านใช้วิชาขั้นที่เท่าไหร่หรือ
ขั้นที่สาม
ขั้นที่สามเองหรือ สือหย่งหลุนทวนคำเสียงลั่น นึกไม่ถึงว่าแค่ขั้นที่สามยังรุนแรงขนาดนั้น แล้วขั้นที่หกจะเป็นอย่างไรนะ
ถูซิ่นจงกอดอก ขณะเอียงคอนึกเปรียบเทียบในใจ
ตอนข้าฝึกขั้นที่หกสำเร็จใหม่ ๆ มีโอกาสประมือกับครูฝึกวัดเส้าหลิน ก็นับว่าสูสีกันอยู่
เด็กหนุ่มฟังแล้วหน้าบานด้วยความดีใจ ตรงข้ามกับดรุณีน้อยที่เผลอถอนหายใจเฮือก เล่นเอาชายเคราดำขมวดคิ้ว ด้วยความระแวงที่อีกฝ่ายมักชวนทะเลาะอยู่ตลอดจึงนึกว่าครั้งนี้นางคงแกล้งดูถูกวิชามัน จนเลือดขึ้นหน้าเค้นเสียงถามว่า
นังหนู คงคิดว่าวิชาข้าต่ำต้อยไม่คู่ควรฝึกฝนล่ะซิ
ฟ่านไป่หนิงแตกตื่น รีบโบกมือปฏิเสธพัลวัน
พี่ถูอย่าเข้าใจผิด ข้าแค่....กำลังคิดถึงเจ้าภมรสวาทที่มาจากสมาคมรัตติพิกลอะไรนั่นต่างหาก ขนาดฝีมือระดับครูฝึกวัดเส้าหลินร่วมกับพวกข้าสองคนยังพ่ายแพ้ วรยุทธมันช่างร้ายกาจยิ่ง
ชายทั้งสองนึกตามแล้วอดหวั่นใจเหมือนนางไม่ได้ สมาคมรัตติพิกล...ดูแล้วมีแต่ความลึกลับน่าหวาดหวั่นเสียกระไร
สือหย่งหลุนยกสองมือตบหน้าเรียกสติ เปล่งเสียงฮึกเหิมดุจจะปลุกใจตนเอง
ท่านซินแสเทวะเคยสอนไว้ เรื่องภายภาคหน้านั้นเรายังไม่รู้ ควรมุ่งแต่สิ่งที่ทำได้ในวันนี้ดีกว่า เอาล่ะ...ข้าขอฝึกวิชาต่อ...
ถูซิ่นจงรีบตะเบ็งเสียงค้านมันทันที พอ ๆๆ วันนี้ข้าไม่ให้เจ้าฝึกแล้ว
ทำไมล่ะพี่ถู ข้าเองก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไรมากนี่
เด็กหนุ่มถามด้วยสีหน้าฉงน อีกฝ่ายจึงมองตาขวางตอบว่า
พรุ่งนี้เป็นวันแต่งงานของข้า เจ้าคิดลากสังขารจะตายแหล่มิตายแหล่ไปดื่มเหล้ามงคลงั้นเรอะ
สองหนุ่มสาวมองหน้ากันแล้วรีบหันมาขอโทษว่าที่เจ้าบ่าวเป็นการใหญ่ โทษฐานที่มัวแต่ยุ่งจนลืมเสียสนิท
**********
เจ้าบ่าวเจ้าสาวคำนับกันได้
ถูซิ่นจงในชุดเจ้าบ่าวสีแดงกับทังซื่อเนี่ยนเบื้องหลังผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวต่างน้อมตัวคารวะกันตามคำสั่งแม่สื่อ เป็นอันเสร็จสิ้นพิธีแต่งงานภายใต้สายตาแขกเหรื่อที่มาเป็นสักขีพยานเต็มบ้านตระกูลทัง
ทังฟู้กุ้ยยิ้มแย้มแทบไม่หุบปาก ตรงแล้วลูบหน้าลูบหลังเจ้าบ่าวด้วยความปรีดา ผู้คนที่เคยรู้ข่าวความสัมพันธ์ระหว่างมันกับลูกเขยมาก่อน ล้วนพากันงุนงงไม่หยุด ใครใจกล้าเอ่ยไถ่ถามถึงเรื่องที่เคยมีผู้อื่นมาทาบทามสู่ขอคุณหนูซื่อเนี่ยน ก็จะได้รับคำตอบง่าย ๆ จากเจ้าบ้านทังว่า
ข้ามีตาแต่ไร้แววเกือบหลงเชื่อคนหลอกลวงแต่งงานเข้า โชคดีได้อาถูช่วยไว้ มันเป็นคนดีเมื่อมารักกับลูกสาวข้าก็เป็นเรื่องสมควร
นั่นแหละเสียงร่ำลือเสีย ๆ หาย ๆ จึงพากันชะงัก หันมาชื่นชมบุตรเขยคนใหม่ของคหบดีทังเป็นเสียงเดียว
พี่ถู ยินดีด้วย
สือหย่งหลุนถือจอกเหล้าเข้ามาหาเจ้าบ่าวซึ่งกำลังยืนสนทนากับพ่อตา ถูซิ่นจงหัวเราะลั่นด้วยความปิติเคล้าไปกับฤทธิ์สุรา กระนั้นก็ยังกระดกเครื่องดื่มมงคลที่แขกเหรื่อผลัดกันมาแสดงความยินดีไม่หยุด ทังฟู้กุ้ยมองดูเพื่อนฝูงของลูกเขยฉุดตัวมันไปฉลองยังอีกทางแล้ว ค่อยเหลียวมากล่าวกับแขกทั้งสอง
ขอบคุณคุณชายสือและแม่นางฟ่านที่มาร่วมงานมงคลนี้
เหล่าคู่หูพากันพึมพำพลางยิ้มน้อย ๆ เป็นการตอบรับ ก่อนสือหย่งหลุนจะกดเสียงลงกระซิบถามว่า
ท่านทัง โปรดอย่าหาว่าข้าละลาบละล้วงเลย แต่ข้าไม่อยากให้ท่านคิดมากเรื่องจดหมายและจี้หยกนั่น
ทังฟู่กุ้ยหน้าเคร่งลงเมื่อได้ยิน ฟ่านไป่หนิงอดรำพึงเบา ๆ ไม่ได้
ข้าทั้งสองสังเกตพบว่าบางขณะท่านยังคล้ายมีสีหน้าหม่นหมองอย่างไม่รู้ตัว ช่างขัดกับบรรยากาศรื่นเริงรอบข้างยิ่งนัก
สำหรับถูซิ่นจงซึ่งเคยเป็นเพียงคนนอก และทังซื่อเนี่ยนที่เพิ่งรู้เรื่องได้ไม่กี่วัน ย่อมตัดใจจากเหตุการณ์ได้โดยง่าย แต่กับเจ้าบ้านทังที่ใช้เวลาอยู่กับเรื่องการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตระกูลมาเกือบทั้งชีวิต ต้องยืนมองโอกาสเดียวหลุดลอยไป จะสลัดความรู้สึกทิ้งไปง่าย ๆ ได้เช่นไรกัน ความเหล่านี้สองสหายล้วนทราบดี
ทังฟู้กุ้ยฝืนยิ้มเศร้า ๆ ขอบคุณท่านทั้งสองที่ใส่ใจความรู้สึกข้า ขอเรียนตามตรง ถึงตอนนี้ข้าเองยังไม่อาจทำใจได้ดังปากว่าหรอก แต่เมื่อได้ใคร่ครวญรอบคอบก็อดปลงไม่ได้ สำนึกว่าต่อให้ไม่มีคนมาตัดหน้าเอาจี้หยกไป สุดท้ายข้าก็อาจทำลายมันด้วยมือข้าเองก็ได้ และนั่นคงทำให้ข้าหดหู่ยิ่งกว่านี้เสียอีกกระมัง
เด็กหนุ่มสบายใจขึ้นที่ได้ฟัง ตรงข้ามกับดรุณีน้อยเมื่อคำพูดอีกฝ่ายกลับสะกิดใจนางให้นึกถึงบางเรื่องที่พยายามไม่หวนคิดมาตลอด
สมาคมรัตติพิกลต้องการจี้หยกกับจดหมายของอูซื่อจุนไปทำอันใดกันแน่
ขณะนั้นทังฟู่กุ้ยก็กล่าวขัดความคิดนางขึ้นมาว่า
ที่ผ่านมาพวกท่านพักกับอาถูมาตลอด แต่หลังจากนี้ลูกเขยข้าต้องย้ายมาอยู่บ้านนี้แล้ว จึงอยากถือโอกาสเชิญพวกท่านมาพำนักที่นี่ด้วยกันเถอะ ข้ายินดีต้อนรับเต็มที่
หนุ่มสาวสบตากัน ก่อนสือหย่งหลุนจะเอ่ยว่า
ขอบคุณท่านสือ แต่เนื่องจากข้ากำลังฝึกวิชาอยู่ บ้านพี่ถูจึงสะดวกกว่ามาก น้ำใจท่านคงรับไว้ด้วยใจ
ทังฟู่กุ้ยแสดงสีหน้าผิดหวัง อดกล่าวไม่ได้
เช่นนั้นก็แล้วไปเถอะ แต่บุญคุณพวกท่านใหญ่หลวง ข้าไม่ได้ตอบแทนสักอย่าง รู้สึกละอายจริง ๆ
จังหวะนั้นถูซิ่นจงกลับเข้าร่วมวงพอดี จึงเสนอขึ้น ท่านพ่อ ช่วงนี้พวกหย่งหลุนจำเป็นต้องใช้สมุนไพรรักษาอาการบอบช้ำจำนวนมาก ท่านสั่งให้ร้านขายสมุนไพรในสังกัดคอยจัดส่งให้ที่บ้านข้าดีไหม
ได้ เจ้าบ้านทังรับคำดีใจ ทั้งสองเห็นท่าทางมันแล้วจึงยินยอมรับรับความช่วยเหลือโดยดี
แก้ไขเมื่อ 08 ต.ค. 53 17:07:36
| จากคุณ |
:
จันทร์พันฝัน
|
| เขียนเมื่อ |
:
8 ต.ค. 53 17:04:09
|
|
|
|