อักษรจากหัวใจ และความรักในแผ่นกระดาษ (ตอนที่ 13 - 14)
|
 |
ตอนที่ 13
ชายหนุ่มรูปร่างสันทัด หน้าตาเกลี้ยงเกลา ก้าวเดินไปบนฟุตปาธริมถนนใหญ่ช้า ๆ ผ่านสี่แยกราชเทวี ข้ามสะพานหัวช้างมุ่งไปยังสี่แยกปทุมวัน ก่อนที่จะเดินขึ้นสะพานลอยที่เชื่อมต่อระหว่างห้างสรรพสินค้าใหญ่ตรงสองฝั่งสี่แยก อย่างไม่รีบร้อนอะไร
กานต์มีนัดหมายทานข้าวเย็นกับธี และกวาง เพื่อนรักที่สยามสแควร์ในเย็นนั้น แต่เขียนนิยายตอนใหม่เสร็จและอัพโหลดขึ้นเว็บไซต์เรียบร้อยแล้ว กอรปกับเริ่มเบื่อหน่ายกับการนั่งจุ้มปุ๊กอยู่ในห้องเฉย ๆ เขาจึงตั้งใจที่จะออกจากบ้านมาเร็วหน่อย เผื่อจะได้ไปเดินเล่นและเปลี่ยนบรรยากาศในสยามสแควร์ดูบ้าง หลังจากที่ไม่ได้ไปเดินเล่นที่ไหนไกลที่พักมาหลายวัน
สยามสแควร์ในวันเสาร์ดูพลุกพล่านกว่าทุกวัน และชายหนุ่มอดที่จะรู้สึกไหวหวั่นใจขึ้นมาไม่ได้
เสียงดนตรีที่ดังกังวาลผสมผสานกับเสียงพูดคุย เสียงเครื่องยนต์ และเสียงบีบแตรเป็นระยะ ๆ ทำให้สถานที่ใจกลางเมืองแห่งนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา
แต่ก็ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกอุ่นใจหรือสบายใจขึ้นมาเลย
เขารู้สึกแปลกแยกผิดที่ผิดทางอย่างบอกไม่ถูก เพราะรอบกายเขานั้น รายล้อมไปด้วยวัยรุ่นและบรรดาเด็กหนุ่มสาวมากหน้าหลายตาที่คงมีอายุน้อยกว่าเขาหลายปีนัก ที่ต่างมุ่งหน้าไปยังเป้าหมายของพวกตนอย่างใจจดใจจ่อและไม่ใส่ใจกับความเป็นไปรอบข้างสักเท่าใด
เขาไม่แน่ใจว่า ตัวเองกลายเป็นคนที่หวาดกลัวฝูงชนไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ก็รู้สึกว่านับตั้งแต่ลาออกจากงานประจำมาเป็นนักเขียนนิยายออนไลน์อย่างเต็มตัว เขาก็เก็บตัวมากขึ้น และถอยห่างออกมาจากสังคม และสร้างกำแพงรอบตัวปิดล้อมตัวเองสูงขึ้น ๆ ราวลูกไก่ที่วิ่งหัวซุกหัวซุนกลับไปอยู่ในไข่ คอยหลบหลีกและซ่อนตัวจากสภาพแวดล้อมและผู้คนรอบกาย
นักเขียนนิยายออนไลน์หนุ่มอดรู้สึกว้าเหว่ในใจไม่ได้ และเอื้อมมือไปขยับสายกระเป๋าสะพายที่หลุดลงมาอยู่แถวหัวใหล่ให้กลับขึ้นมาอยู่บนบ่า ราวจะหาความอบอุ่นที่คุ้นเคยจากของที่บรรจุอยู่ข้างในกระเป๋าสะพายนั้น ทั้งคอมพิวเตอร์แล็ปท๊อป และนิยายเรื่อง ฤา แค่เพียง เสียงกระซิบ ของ สายลม สีชมพู ที่เขาไม่ลืมที่จะนำติดตัวมาด้วย เผื่อว่าจะมีเวลาพอที่จะไปนั่งเงียบ ๆ ในร้านกาแฟสักแห่ง และแอบทำงานหรืออ่านหนังสือได้อีกสักพัก ฆ่าเวลาไปพลาง ๆ ระหว่างที่รอธีและกวาง เนื่องจากเขาได้เปรียบเพื่อน ๆ เพราะบ้านอยู่ใกล้แค่นี้เอง จึงไม่ต้องผจญกับรถติด
กานต์เดินผ่านหน้าร้านค้าต่าง ๆ มากมายไปอย่างเนือย ๆ ไม่ได้สนใจที่จะมองหาหรือต้องการจับจ่ายซื้ออะไรเป็นพิเศษ เพราะแต่ไหนแต่ไร ก็มีเพียงหนังสือเท่านั้นที่เป็นสิ่งเดียวที่เขายินดีที่จะจับจ่ายอย่างที่ไม่ต้องคิดมากหรือลังเล
เจ้าของนามปากกา ฯลฯ (เปยยาลใหญ่) บอกกับตัวเองให้สบายใจว่า เขาคงจะต้องเผชิญกับความเหงาใจอีกไม่เท่าไหร่ เพราะเดี๋ยวธีกับกวางก็คงจะมาถึงสยามสแควร์แล้ว พลางหันซ้ายหันขวา ราวจะหาร้านหนังสือสักแห่ง เพื่อที่จะเข้าไปเดินเล่นฆ่าเวลา
พลันมองเห็นอาคารสองชั้นขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างร้านอาหารฟาสต์ฟูดส์และร้านขายเสื้อผ้าสตรี
เขาจึงรีบตัดสินใจเบนเป้าหมายเดินมุ่งหน้าไปยังร้านดังกล่าวในทันทีอย่างโล่งใจและไม่ลังเล
ชายหนุ่มเดินผ่านบานประตูกระจกใสที่แยกตัวออกจากกัน และเปิดโอกาสให้ไอเย็นช่ำของเครื่องปรับอากาศตรงปรี่เข้ามาทักทายและต้อนรับ
เขาก้าวเข้าไปภายในร้านสองสามก้าว พอที่ประตูกระจกอัตโนมัติจะปิดลง พลางกวาดสายตามองดูร้านหนังสือขนาดใหญ่ที่ตกแต่งได้อยู่เรียบง่ายและสวยงามแห่งนั้น โดยเน้นโทนสีขาวสะอาดตา และมีเสียงเพลงบรรเลงขับกล่อมอารมณ์ของผู้ที่มาจับจ่ายซื้อหาหนังสือภายในร้านด้วย และจากป้ายชี้ทาง เขาก็พอสรุปได้ว่า หนังสือไทยส่วนใหญ่อยู่ด้านล่าง และหนังสือต่างประเทศอยู่บนชั้นสอง
แต่สิ่งที่ทำให้กานต์ประทับใจคือ การวางรูปแบบร้านที่มีร้านกาแฟขนาดเล็กตั้งอยู่ตรงกลาง เสมือนเป็นจุดศูนย์กลางของร้านหนังสือเลยทีเดียว
ในบริเวณร้านกาแฟในยามนั้น มีลูกค้านั่งจิบกาแฟอยู่แล้วจำนวนหนึ่ง ในขณะที่มีอีกสองสามคนที่นั่งอ่านหนังสือระหว่างรอคอยกาแฟของพวกตนอยู่ ในขณะที่พนักงานสาวคนหนึ่งยืนรับออร์เดอร์ลูกค้าอยู่ที่แคชเชียร์ ส่วนอีกคนกำลังหันหลังให้เขาและง่วนอยู่กับเครื่องทำกาแฟ
กานต์มองเลยไปที่โต๊ะกาแฟในมุมด้านในที่ยังว่างอยู่ และทำท่าจะเดินไปนั่งที่โต๊ะดังกล่าว แต่ขาที่กำลังก้าวไปข้างหน้าต้องหยุดค้างไว้ชั่วขณะ เมื่อเขารู้สึกและสัมผัสได้ถึงไออุ่นของความคุ้นเคย ที่คลืบคลานเข้ามาแตะหัวใจเขาราวกระแสน้ำที่อบอุ่น
ทำให้เขาแทบจะลืมหายใจไปจังหวะหนึ่ง ด้วยความอดแปลกใจไม่ได้ว่าตัวเองมีความผูกพันหรือเชื่อมโยงกับใคร หรืออะไรในนั้น
ชายหนุ่มกวาดสายมองดูภายในของร้านหนังสือที่มีผู้คนจำนวนมากกำลังเดินเลือกหาหนังสือกันอยู่ ราวกำลังมองหาใครสักคนที่เขารู้จักหรือคุ้นเคย
แต่ในจังหวะนั้น เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น
ฮัลโหล กานต์กรอกเสียงลงไปในเครื่องมือสื่อสารคู่ใจ
เฮ้ย กานต์ อยู่ไหนแล้ว เสียงทุ้ม ๆ ของธีดังขึ้นจากปลายสาย
เราถึงสยามแล้ว กานต์บอกพลางยืนชั่งใจว่าจะเข้าไปในร้านเลยดีหรือไม่ แล้วนายล่ะ
เราก็มาถึงสยามแล้วเหมือนกัน ธีบอก พอดีรถไม่ค่อยติด... เดี๋ยวเจอกันก่อนดีมั้ย แล้วค่อยไปรอยัยกวางด้วยกัน หนุ่มครีเอทีฟบริษัทโฆษณาเสนอ พร้อมเสนอสถานที่นัดพบเสร็จสรรพ
อ๋อ ได้ ๆ นักเขียนหนุ่มรับคำ ก่อนที่จะหันหลัง และเดินออกไปจากร้านหนังสือ มุ่งหน้าไปยังที่นัดหมายกับเพื่อนรักทันที แต่ในใจก็ยังติดใจร้านหนังสือใหญ่แห่งนี้อยู่ และบอกกับตัวเองว่า คงต้องหาเวลากลับมาเดินดูหนังสือหรือนั่งเขียนนิยายที่ร้านนี้สักครั้ง
ลลิตา เอกปุลิน ละสายตาจากเครื่องทำกาแฟที่กำลังทำงานเสียงดัง และหันหลังกลับมาทางเคาน์เตอร์ที่ปอย เพื่อนร่วมงานของเธอกำลังง่วนรับออร์เดอร์ลูกค้าอยู่
หญิงสาวถือกาแฟแก้วใหญ่ที่เพิ่งชงเสร็จอยู่ในมือ พร้อมที่จะเสริฟให้กับลูกค้าที่ยืนรออยู่ที่ด้านหนึ่งของเคาน์เตอร์
แต่ก็รู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาดใจ เหมือนได้รับการทักทายจากสายลมแห่งความคุ้นเคยอันอบอุ่น
หญิงสาวกระพริบตาถี่ ๆ หันมองรอบกายด้วยความแปลกใจ แต่ก็ไม่พบใครที่เธอรู้จักหรือคุ้นเคยด้วยเลย เธอมองไปทางหน้าร้าน ก็ไม่เห็นใคร นอกจากลูกค้าที่กำลังเดินออกจากร้านไปเพียงคนเดียว
ขนมผิงถอนหายใจบาง ๆ บอกตัวเองว่า คงคิดมากไป ก่อนที่อมยิ้มกับตัวเองอย่างเหม่อลอย เมื่อนึกถึงข้อความล่าสุดจาก ฯลฯ (เปยยาลใหญ่) ที่ดูเหมือนว่าจะเริ่มสนิทสนมและเป็นกันเองมากขึ้นเพราะได้คุยกันมาหลายวันแล้ว
และแม้จะยังไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขา แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกตื่นเต้นหรือดีใจน้อยลงเลย
ทุกครั้งที่ได้เห็นข้อความใหม่ที่เขาตอบเธอกลับมา
เสียงกระแอมในคอของใครคนหนึ่ง ฉุดหญิงสาวจากห้วงภวังค์ ทำให้เธอเห็นว่ามีลูกค้าชายวัยกลางคน คนหนึ่งกำลังยืนจ้องแก้วกาแฟในมือเธออยู่
และก็คงจะยืนรอเธอมาสักพักแล้ว
ขอโทษนะคะ ขนมผิงสะดุ้ง ยิ้มบาง ๆ พลางรีบกุลีกุจอขอโทษขอโพยลูกค้า และเดินมาส่งเครื่องดื่มให้เขา อดรู้สึกเขินไม่ได้ ที่ถูกคนอื่นจับได้ว่าเธอกำลังเหม่อลอยอยู่
กานต์ยกมือขวาขึ้นสัมผัสและกุมมือกับเพื่อนรักอย่างสนิทสนม เมื่อธีเดินมาถึงจุดนัดพบ หลังจากเขาเพียงไม่กี่นาที
เป็นไงบ้างวะ เห็นกวางบอกว่าเขียนออกแล้วเหรอ ธีทักอย่างอารมณ์ดี หลังจากที่ถามไถ่ทุกข์สุขกันครู่ใหญ่
ใช่ ๆ กานต์พยักหน้ารับ แต่กว่าจะเขียนออกก็เล่นเอาแทบแย่
นักเขียนหนุ่มทำท่าเหมือนจะเอ่ยอะไรอีก แต่ก็นิ่งไปครู่หนึ่ง เมื่อเปลี่ยนใจไม่บอกเพื่อนถึงเหตุผลที่ทำให้เขากลับมาเขียนได้อีกครั้ง
ดีใจด้วยเพื่อน ธีบอกอย่างจริงใจ ว่าแต่เย็นนี้เราจะทานอะไรกันดี... เมื่อกี้โทรหากวางก็ใกล้ถึงแล้วเหมือนกัน แต่ยัยกวางรีเควสตว่าอยากทานส้มตำ...
ร้านนั้นดีมั้ย... กานต์เสนอขึ้นหลังจากที่นิ่งคิดไปครู่หนึ่ง
ส้มตำ NEWS
ธีนึกถึงร้านส้มตำที่โด่งดังและเป็นที่นิยมของชาวสยามสแควร์ เพราะนอกจากอาหารอีสานจะขึ้นชื่อแล้ว ราคายังไม่แพงด้วย และแม้จะเป็นร้านเล็ก ๆ เพียงสองคูหา แต่ก็แต่งร้านอย่างทันสมัย เรียกว่าโดนใจวัยรุ่นทั้งด้วยรสชาติอาหารและการตกแต่งร้าน มิหนำซ้ำ ยังตั้งชื่อร้านได้อย่างเก๋ไก๋ เพราะเท่าที่เคยคุยกับเจ้าของร้าน เดิมทีกะจะตั้งชื่อร้านว่า ส้มตำทั่วทิศ แต่ก็มาลงตัวที่การย่อคำภาษาอังกฤษสำหรับทิศเหนือ ตะวันออก ตะวันตก และใต้
คนเยอะนะร้านนั้นน่ะ ธีท้วงในที เมื่อนึกถึงแถวของลูกค้าที่ถึงขนาดต้องยืนเข้าคิวกันยาวเหยียด
ก็เราก็รีบไปจองเลยดีมั้ย... พอกวางมาถึงก็คงจะได้โต๊ะพอดีแหละ นักเขียนหนุ่มเสนอ และออกเดินนำเพื่อนรักไปยังร้านอาหารชื่อดังทันที เมื่อเพื่อนหนุ่มพยักหน้าเห็นด้วย
นี่ ๆ วันนี้ แกเลิกงานกี่โมง ยาใจเดินมาคล้องแขนขนมผิง และถามด้วยน้ำเสียงสดใสอย่างมีเลศนัย
ก็เวลาปกติ... มีอะไรเหรอ พนักงานร้านกาแฟย้อนถาม พลางหันไปมองทางเพื่อนร่วมห้องพักด้วยความสงสัย
ก็มดกับตูนจะชวนไปทานส้มตำ ไปด้วยกันนะ... สาวจากภาคเหนือเอ่ยถึงเพื่อนร่วมงานอีกสองคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน และมีความสนิทสนมกันพอสมควร
ที่ไหนเหรอ ขนมผิงถามด้วยความสนใจ
ส้มตำ NEWS ที่เราเคยไปทานกันเมื่อก่อนหน้านี้ไง ยาใจรีบบอก
อู้ย คนเยอะจะตายไป หญิงสาวผิวสีน้ำผึ้งทำหน้ายู่ เมื่อนึกถึงร้านอาหารที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า จนลูกคนต้องยืนเข้าแถวรอกันนานสองนานกว่าจะได้โต๊ะ
ก็อาหารเขาอร่อยนี่แก... นะไปด้วยกันนะ เพื่อนสาวขะยั้ยขะยอ
ก็ได้จ้า ขนมผิงตอบรับในที่สุด
น่ารักที่สุดเลยแกนี่ ยาใจดีใจออกนอกหน้า แล้วยื่นมือมาจับคางแหลมของเพื่อนสาวด้วยความรักใคร่เอ็นดู ฉันกลับไปทำงานก่อนล่ะนะ เจอกันหลังเลิกงานนะ
ขนมผิงพยักหน้ารับ และกลับไปทำงานที่ค้างไว้ต่อไป
เอาอะไรดี... ธีถามพลางยื่นเมนูให้กับเพื่อนรักทั้งสองคนที่นั่งอยู่รอบโต๊ะไม้ทรงสี่เหลี่ยมสีน้ำตาลเข้ม ที่มุมโต๊ะด้านหนึ่งมีรอยร้าว คงจากการที่ถูกยกไปชนกำแพงหรือของแข็งเข้า ในขณะที่รอบข้างแน่นขนัดไปด้วยผู้คนมากมาย และเสียงพูดคุย หัวร่อต่อกระซิก เสียงทำอาหาร สั่งอาหาร และเสียงเพลงดังกังวาลอยู่รอบกาย
น้ำตกหมู ลาบไก่ ไก่ย่าง ส้มตำไข่เค็ม คอหมูย่าง ข้าวเหนียว
หญิงสาวร่างเล็กร่ายยาวโดยที่ยังไม่ได้เปิดเมนูออกดูเลย
นี่ยัยกวาง เธอจะไม่เปิดโอกาสให้เพื่อน ๆ สั่งบ้างเลยเหรอ ธีท้วงเบา ๆ อย่างนึกสนุก
อ้าว ก็พวกนายมัวชักช้าเอง และอีกอย่างนะ พวกนายจะสั่งอะไรนอกเหนือจากนี้มั้ย มาทีไรก็เห็นทานกันอยู่อย่างนี้... กวางเชิดคาง เลิกคิ้วใส่เพื่อนเหมือนจะเอาเรื่อง นี่ฉันก็สั่งให้เรียบร้อยแล้ว ไม่ดีเหรอ
ขอโทษครับท่าน ธีรีบสงบศึกทันที แต่ก็ยังอมยิ้มอยู่
กานต์หัวเราะอย่างชอบใจ ก่อนที่จะหันไปยกมือเรียกพนักงานเสริฟมารับออร์เดอร์อย่างอารมณ์ดี
และเมื่ออาหารที่สั่งทยอยมา เพื่อน ๆ ทั้งสามคนก็ลงมือทานกันอย่างเอร็ดอร่อย และพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ตามประสาเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันนาน
นักเขียนหนุ่มหัวเราะร่ากับเรื่องขบขันและประสบการณ์การเดินทางไปต่างจังหวัดของกวางที่เธอนำมาเล่าได้อย่างมีสีสัน และนั่งฟังธีเล่าเรื่องงานล่าสุดที่ทำอยู่อย่างสนใจ
แต่ตลอดระยะเวลาที่นั่งทานข้าวกับเพื่อนรักอยู่นั้น กานต์ก็อดรู้สึกไม่ได้ว่า มีเสี้ยวหนึ่งของหัวใจที่เรียกร้องอยากที่จะกลับบ้านไว ๆ เพื่อที่จะได้ไปนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เสียที
นี่จะต้องรออีกนานมั้ยเนี่ย ยาใจบ่นอย่างหงุดหงิด ฉันเริ่มโมโหหิวแล้วนะ เดี๋ยวก็เปลี่ยนใจเสียหรอก
ใจเย็น ๆ สิ ก็เธอเองก็อยากทานส้มตำที่นี่ไม่ใช่เหรอ ขนมผิงซึ่งยืนในแถวอยู่ข้างเพื่อนรักท้วงเบา ๆ ในขณะที่เพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ กำลังยืนคุยกันเรื่องดาราคู่รักคู่ใหม่ของวงการบันเทิงไทยอย่างออกรสชาติ รออีกเดี๋ยวก็คงได้โต๊ะแล้วล่ะ
ได้โต๊ะเมื่อไหร่นะ จะทานให้หนำใจเลยทีเดียว ยาใจแกล้งทำท่าฮึดฮัด ทำให้ขนมผิงหัวเราะขันในท่าทางของเพื่อน
ทานเท่าไหร่จ่ายเท่านั้นนะ... มดหันมาแซวอย่างนึกสนุก
เฮ้ยอะไร หารเท่ากันไม่ใช่หรือจ๊ะ... สาวภาคเหนือย้อนกลับไปอย่างอารมณ์ดี
ขนมผิงเอนหลังพิงกำแพง และทอดสายตามองดูท้องฟ้าสีเปลือกมังคุดที่เงียบเหงาปราศจากแสงดาว และอดรู้สึกเหงาไปด้วยไม่ได้
เธอหันกลับไปมองทางเพื่อนทั้งสามคนที่กำลังยืนคุยกันอยู่ แล้วก็อดดีใจไม่ได้ที่คืนนี้ ได้มีโอกาสมาเที่ยวทานข้าวข้างนอก เปลี่ยนบรรยากาศดูบ้าง
แต่กระนั้น หัวใจเธอเหมือนกำลังลอยไปหาใครคนหนึ่ง ซึ่งไม่ได้อยู่ที่นี่
ขนมผิง ยันตัวเองขึ้นยืนตรง แล้วเขยิบกายมองผ่านกระจกใสหน้าร้านเข้าไปด้านใน ราวจะตรวจสอบดูว่าจะมีโต๊ะไหนใกล้ทางเสร็จแล้วหรือยัง
อั่นแน่... หิวแล้วเหมือนกันล่ะสิ แก ยาใจแซว และยิ้มกว้างเมื่อเห็นเพื่อนรักพยักหน้ารับ เราคิวต่อไปแล้วล่ะ... ตูนหันมาบอกอย่างมีความหวัง ก่อนที่จะหันกลับไปคุยกับมดต่อไป
อิ่มมาก ๆ เลย กวางบอกพลางเดินนำเพื่อนสนิททั้งสองคนออกมาจากร้าน ที่ด้านหน้ายังมีผู้คนตั้งแถวรอจะเข้าไปทานอาหารอีกยาว นี่หากเราเปิดร้าน แล้วขายได้ดี ๆ มีลูกค้าเยอะ ๆ อย่างนี้ก็คงจะดีสิเนอะ
มันขึ้นอยู่กับหลาย ๆ อย่างนะ ทั้งการนำเสนอผลิตภัณฑ์ การสร้างแบรนด์ สถานที่ตั้ง รวมถึงโชคและจังหวะของคนด้วยนะ ไม่ใช่ว่าเปิดปั๊บแล้วจะดังหรือรวยเลยเสียเมื่อไหร่ ธีเอ่ยขึ้นอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
โอย ขอโทษทีพ่อนักโฆษณา... กวางหันไปต่อปากต่อคำกับธีอย่างสนุกสนาน ก่อนหันมาหลิ่วตาให้กับกานต์ ซึ่งรู้ดีว่าเพื่อนทั้งสองเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว และเมื่อทั้งคู่อยู่พร้อมหน้ากัน ก็จะไม่มีความเงียบเหงาหรือน่าเบื่อเลย ฉันก็บ่นของฉันไปอย่างนั้นแหละ ไม่ได้หมายความว่าจะมาเปิดร้านจริง ๆ สักหน่อย
กานต์อมยิ้มอย่างอารมณ์ดี พลางเดินตามเพื่อนทั้งสองที่ยังคงส่งเสียงโต้เถียงกันอย่างสนุกสนาน ออกมานอกตัวร้านอาหาร และเลือกที่จะเดินไปอีกด้านหนึ่ง แทนที่จะต้องเบียดเสียดกับลูกค้าที่ยืนเข้าแถวอยู่
เขารู้สึกได้ถึงความอบอุ่นของกระแสความคุ้นเคยอีกครั้ง
แต่ใจของเขาในตอนนั้นไม่มีกระจิตกระใจจะใส่ใจอะไร เพราะมันลอยไปถึงการกลับไปนั่งที่ห้องพัก และเปิดคอมพิวเตอร์แล็ปท๊อปเพื่อตรวจสอบ รอคอย หรือตอบกลับข้อความใหม่จาก แก้วตายาใจ แล้ว
ขนมผิงและเพื่อน ๆ พากันนั่งลงบนโต๊ะไม้ทรงสี่เหลี่ยมสีน้ำตาลเข้ม ที่มุมโต๊ะด้านหนึ่งมีรอยร้าว คงจากการที่ถูกยกไปชนกำแพงหรือของแข็งเข้า และรู้สึกถึงไออุ่นของกระแสความคุ้นเคยอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้คิดหรือใส่ใจ อะไรมาก เพราะมัวสนุกสนานอยู่กับการสั่งอาหารกับเพื่อน ๆ
ก่อนที่จะนั่งฟังเพื่อน ๆ คุยกันเรื่องสัพเพเหระ รอคอยอาหารค่ำอย่างใจจดใจจ่อ
แต่ก็ไม่เท่ากับการรอคอยที่จะกลับไปบ้านเพื่อที่จะเปิดคอมพิวเตอร์และตรวจสอบดูว่า เปยยาลใหญ่ ได้ส่งข้อความใหม่มาถึงเธอแล้วหรือไม่
หญิงสาวอมยิ้มกับตัวเอง ด้วยดวงตาที่สุกใสชวนฝัน
ก่อนที่จะยกแขนขึ้นชันศอกบนโต๊ะ และใช้มือข้างหนึ่งรองคางไว้ ในขณะที่เริ่มอดสงสัยและอยากรู้ไม่ได้ว่า แท้จริงแล้ว ตัวตนของเปยยาลใหญ่ เป็นอย่างไร หน้าตาเขาเป็นเช่นไร และนิสัยใจคอเขาจะเหมือนกับถ้อยคำสุภาพอ่อนโยนของตัวอักษรของเขาหรือไม่
| จากคุณ |
:
ชาครีย์นรทิพย์
|
| เขียนเมื่อ |
:
11 ต.ค. 53 15:08:26
|
|
|
|