Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
นาคสวาท (บทที่ 4 ดอกบัวสีขาว) ติดต่อทีมงาน

บทที่ 4 ดอกบัวสีขาว

กลิ่นจันทร์ก้าวขาฉับๆ ฝ่ากลุ่มนักศึกษาที่เดินอย่างรีบเร่งจนกระทั่งปลายนิ้วเรียวสวยแตะเข้าที่ต้นแขนของภุชคินทร์ ชายหนุ่มรีบหันขวับมาตามสัญชาตญาณ ดวงตาคมกริบกลายเป็นสีแดงขุ่นข้นในบัดดลแต่เมื่อเห็นว่าเป็นกลิ่นจันทร์ดวงตาคู่นั้นจึงกลับแปรเปลี่ยนเป็นสีคล้ำเขียวโอนอ่อนในทันใด

“สวัสดี มีเรื่องอะไรเหรอ...” น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยถาม กลิ่นจันทร์ยังตกใจกับสองตาคู่นั้นอยู่จนตัวแข็ง

“ชั้นถามว่าเธอมีอะไรยัยบื้อ” กระชากเสียงใส่อีกฝ่ายจนหญิงสาวสะดุ้งโหยง

“เอ่อ... คือ...” กลิ่นจันทร์ยกสองมือขึ้นขยี้ตา จ้องมองดวงตาบนใบหน้าได้รูปอย่างพินิจ

“นี่เธอจะมาดูฮวงจุ้ยหน้าชั้นรึไง มีอะไรก็รีบว่ามาชั้นมีเรียนรู้ไม๊” ภุชคินทร์ออกเดินอย่างไม่ใส่ใจหากแต่ว่าหางตายังเหลือบมองอีกฝ่ายอยู่ กลิ่นจันทร์รีบก้าวขาตามไปติดๆ

“ทำไมนายต้องใส่คอนแทคเลนส์ด้วย” ภุชคินทร์หยุดกึกก่อนจะหันขวับมายังร่างบางข้างๆ

“ตาชั้นก็สีนี้มาตั้งแต่เกิดแล้ว เธอมีเรื่องอะไรก็รีบว่ามา” ชายหนุ่มหันกลับก้าวเดินอีกครั้ง

“ชั้นอยากถามเรื่องที่เธอช่วยชั้นเมื่อหลายวันก่อน”

“แล้วยังไง...” สีหน้าภุชคินทร์ยังคงเรียบเฉย

“ชั้นจมน้ำอยู่ตรงวังน้ำมรกต มันห่างจากฝั่งมากๆ บอกชั้นหน่อยได้ไม๊ว่านายช่วยชั้นได้ยังไง”

“แทนที่เธอจะขอบคุณชั้นที่อุตส่าห์ช่วยเธอ แต่นี่กลับมาถามว่าช่วยได้ยังไง เธอไม่ตายนี่มันก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ?” น้ำเสียงห้วนตอบหญิงสาว กลิ่นจันทร์เริ่มฉุนกับสีหน้าและคำพูดกวนๆ ของอีกฝ่าย

“ชั้นก็แค่อยากรู้” มือเรียวฉุดข้อมือใหญ่ไว้ ดวงตากลมโตปานลูกแก้วจ้องลึกลงไปยังสองตาคมกริบของชายหนุ่มเหมือนค้นหาความจริง

“บางครั้งการที่เราไม่รู้มันก็ดีกว่าที่จะต้องรู้เรื่องไม่ควรรู้นะ...” มือหนาเอื้อมไปปลดเรียวมือบอบบางของกลิ่นจันทร์ออกอย่างนุ่มนวลก่อนที่เสียงเรียกของอรวินทร์จะทำให้สองร่างหันขวับมาพร้อมกัน

“ว่าไงจันทร์ สวัสดีจ๊ะ...” อรวินทร์คลายยิ้มกว้างเหมือนอย่างเคย กลิ่นจันทร์ยิ้มตอบอย่างอ่อนโยน

“นี่รู้จักกันด้วยเหรอ” สีหน้าของอรวินทร์คล้ายเสแสร้งยามจ้องมองภุชคินทร์ที่ขึงตาใส่ หญิงสาวยกยิ้มอย่างมีเลศนัยน์ก่อนหันมาหากลิ่นจันทร์

“หมายความว่าไง เธอกับ...” ดวงตากลมใสตวัดมาหาชายหนุ่มที่ยืนเมินหน้าหนีไปอีกทาง อรวินทร์หัวเราะอย่างชอบใจก่อนบอกความจริง

“ก็ภุชคินทร์กับชั้นอยู่บ้านหลังเดียวกันน่ะจ๊ะจันทร์ ไม่นึกว่าคนที่นายช่วยเมื่อวันก่อนจะเป็นผู้หญิงคนนี้หรอกหรือนี่... มันช่างบังเอิ๊ญ บังเอิญดีจริงเพราะว่าเมื่อวานชั้นเองก็เพิ่งเอาสมุดคู่มือนักศึกษาไปคืนกลิ่นจันทร์เหมือนกัน”

“ดะ...เดี๋ยว นี่หมายความว่านายคนนี้อยู่บ้านนิลนาคงั้นเหรอ...” หญิงสาวที่เพิ่งจากเมืองกรุงมาได้ไม่ถึงเดือนจ้องเสี้ยวหน้าคมคายตรงหน้าปานจะกลืนกินเค้าไปทั้งตัว

“ใช่จ๊ะ นี่ยังไม่รู้ชื่อกันอีกเหรอเนี่ย เห็นคุยกันตั้งนานนึกว่ารู้จักกันแล้วซะอีก” อรวินทร์กอดอกว่า

“มันไม่ใช่เรื่องอะไรที่ชั้นจะต้องรู้จักชื่อผู้หญิงคนนี้นี่อร...” น้ำเสียงห้วนบอกปัด พอกลิ่นจันทร์ได้ยินแทบลมออกหู อยากจะเอาหนังสือฟาดปากเชิดๆ ตรงหน้านี้จริง

“แต่เห็นทีจันทร์คงมีเรื่องอยากคุยกับเธอนะภุช เป็นอย่างนั้นใช่ไม๊กลิ่นจันทร์” อรวินทร์พูดเหมือนอ่านใจหญิงสาวออกจนหมด นาคาสาวชักจะหมั่นไส้ความใจแข็งของเพื่อนหนุ่มคนนี้มากขึ้นทุกที เมื่อวานตอนที่เธอนำสมุดไปคืนกลิ่นจันทร์ตัวเองก็แปลงกายเป็นงูเขียวตัวน้อยเลื้อยตามไปโดยที่เธอไม่รู้ แต่พอมาอยู่ต่อหน้ากลับทำถือตัวไม่ยอมเจรจาเยี่ยงสุภาพบุรุษกับมนุษย์สาวผู้เลอโฉมคนนี้

เมื่อเห็นทีท่าของสองหนุ่มสาวตรงหน้าที่เอาแต่ก้มหน้าเงียบกริบไม่พูดไม่จาอรวินทร์จึงรีบตัดบทในทันใด “ถ้านายมีเรียนก็ไปเถอะภุช” หญิงสาวสะบัดหน้ามาทางภุชคินทร์ ผมยาวประบ่าพลิ้วสวยเป็นประกาย

ภุชคินทร์มองหน้าอรวินทร์อย่างสงสัยก่อนจะเบนสายตามาหาดวงตากลมโตคู่สวยที่เอาแต่จ้องหน้าเค้า พออีกฝ่ายหันมามองหน้ากลิ่นจันทร์ก็เสทำเป็นมองฟ้ามองฝนภุชคินทร์จึงเอี้ยวตัวเดินจากไป เมื่อร่างสูงสมส่วนเดินห่างออกไปหญิงสาวจึงได้แต่ทอดมองตามแผ่นหลังหนาจนสุดสายตาเหมือนครั้งแรกที่พบกัน

อรวินทร์เป็นผู้หญิงที่รูปร่างปราดเปรียว ผิวกายขาวสะอาดเหลืองนวลดุจขมิ้น เครื่องหน้าที่จัดวางราวถูกแกะสลักมาอย่างประณีตลงตัวทำให้เธอเป็นที่สะดุดตาของทุกคนในวิทยาลัยโดยเฉพาะหนุ่มๆ และนิสัยที่ร่าเริง พูดเก่งและเป็นมิตรของเธอก็ทำให้กลิ่นจันทร์อดนึกถึงเพื่อนรักคนหนึ่งสมัยเรียนประถมกรุงเทพฯ ไม่ได้ วันแรกที่เปิดเรียนเธอยังต้องนั่งกินข้าวในโรงอาหารคนเดียว ไม่มีใครให้คุยด้วย ไม่มีใครคอยเดินเป็นเพื่อนด้วยอยู่เลย แต่พอมาตอนนี้สิ่งเหล่านี้กลับถูกแทนที่ด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้มของอรวินทร์จนหมดสิ้น

“ตามสัญญา...” เสียงของอรวินทร์ดังขึ้น กลิ่นจันทร์คลี่ยิ้มให้กับเพื่อนคนใหม่ขณะที่อรวินทร์ค่อยๆ ทรุดนั่งลงบนม้าหินอ่อนใต้ร่มจามจุรี ดวงตาสีเขียวขุ่นข้นเช่นเดียวกับภุชคินทร์กระทบกับแสงอาทิตย์ที่เล็ดลอดผ่านเงาไม้มองดูคล้ายรุกขเทวดาผู้มีพลังน่าเกรงขามจนกลิ่นจันทร์ขนลุกซู่

“ดูทำหน้าเข้าสิ ไม่ต้องกลัวชั้นหรอก ชั้นไม่ใช่ผีนะจันทร์” กลิ่นจันทร์ฝืนยิ้ม หากแต่ใจยังสงสัยกับการคาดเดาของฝ่ายตรงข้ามที่ถูกเผงทุกครั้ง

“อยากรู้เรื่องอะไรบ้างล่ะ ถามมาได้เลย” เพื่อนสาวคนใหม่เริ่มก่อน รอยยิ้มสดใสของอีกฝ่ายทำให้กลิ่นจันทร์รู้สึกผ่อนคลายลงอย่างไม่รู้ตัว

“ก็ตั้งแต่ตอนที่ชั้นจมน้ำแล้วมีคนมาช่วย ชั้นมีความรู้สึกว่าตอนพ้นจากน้ำแล้วชั้นมานอนอยู่บนริมฝั่ง เห็นเป็นรั้วไม้คล้ายมีระเบียงบ้านคนอยู่ใกล้ๆ...”

“บ้านริมน้ำ...” อรวินทร์เสริมก่อนที่กลิ่นจันทร์จะพยักหน้ารับ

“คงเป็นตอนที่ภุชคินทร์เค้าช่วยเธอขึ้นมาได้น่ะ หมอนั่นอาจหมดแรงเลยวางเธอลงบนริมฝั่งเสียก่อน”

“แล้วเธอรู้ได้ยังไง อยู่ในเหตุการณ์ด้วยรึเปล่าอรวินทร์” น้ำเสียงและสีหน้าของกลิ่นจันทร์ร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด อรวินทร์เม้มริมฝีปากเข้าหากันก่อนยิ้มเรียบๆ

“เผอิญว่าตอนนั้นชั้นเดินลงมาจากห้อง ว่าจะมานั่งสูดอากาศริมระเบียงแต่ก็เห็นนายภุชกำลัง...” เพื่อนสาวคนใหม่ลากเสียงค้างไว้อย่างนั้น สองตาคล้ายมีบางอย่างซ่อนเร้นปิดบังเหมือนต้องการแกล้งให้กลิ่นจันทร์ใจเต้นเล่นๆ

“นายนั่นกำลังทำอะไร บอกมาสิอร” หญิงสาวคะยั้นคะยอทั้งสายตาและน้ำเสียง อรวินทร์ทำทีกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ก่อนเปิดปากบอกความจริง

“ก็...ตอนนั้นเธอคงหมดสติน่ะ นายภุชคินทร์ก็เลยจูบเธอ แบบที่เรียกว่าผายปอดน่ะ” คนเล่าถอนหายใจคล้ายโล่งอกแต่พวงแก้มสองข้างของกลิ่นจันทร์กลับแดงระเรื่อขึ้นมาตั้งแต่ตอนที่ได้ยินคำว่า ‘จูบ’ แล้ว ก้อนเนื้อสีแดงที่อกซ้ายมันเต้นระรัวไปหมด เหมือนว่าโลกนี้มันหมุนเร็วขึ้นทุกทีๆ นี่...นี่แปลว่าผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นได้จูบแรกของเธอไปแล้วเหรอเนี่ย

“เป็นอะไรรึเปล่าจันทร์” อรวินทร์แตะมือลงบนท่อนแขนเย็นเฉียบของหญิงสาวที่ดูเหมือนกำลังเหม่อลอย กลิ่นจันทร์สะดุ้งเฮือก หันมาหาอรวินทร์เหมือนจะมีบางอย่างอยากจะเอ่ยแต่ก็พูดไม่ออกเสียอย่างนั้น

“เธอไม่สงสัยอะไรแล้วใช่ไม๊” อรวินทร์ถามย้ำ รอยยิ้มสวยยังคงปรากฏบนใบหน้า กลิ่นจันทร์สีหน้าสลดลงอย่างเห็นได้ชัด เธอยิ้มแห้งๆ ส่งให้ก่อนจะขอตัวไปเรียนคาบบ่าย ตอนนี้ในหัวสมองมันว้าวุ่นไปหมด ภาพเรียวหน้าคมเข้มของภุชคินทร์ปรากฏวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาจนเธอแทบจะเป็นบ้า นี่มันอะไรกันน่ะจันทร์...ทำไมเธอถึงปล่อยให้ผู้ชายแปลกหน้าคนนึงมีอิทธิพลกับเธอได้ถึงขนาดนี้

วารีในชุดเสื้อแขนกุดสีฟ้าอ่อนและกางเกงสามส่วนสีเขียวขี้ม้าเดินลิ่วตรงมายังสองหนุ่มสาวที่นั่งสนทนากันอยู่ริมระเบียงบ้าน ในมือมีถาดใส่แก้วน้ำสองใบก่อนจะวางน้ำมะนาวผสมน้ำผึ้งที่ทำเองกับมือลงบนโต๊ะไม้กลมที่คั่นกลางระหว่างเก้าอี้ของภุชคินทร์และอรวินทร์

“ขอบคุณค่ะ...” อรวินทร์หันไปยิ้มให้คนมีศักดิ์เป็นน้าก่อนยกน้ำมะนาวขึ้นจิบ “รสชาติดีจัง”

“เป็นไงบ้าง ไปเรียนมาสองสามวันแล้ว สนุกกับการใช้ชีวิตร่วมกับมนุษย์ไม๊” มือเรียวยกไปแตะไหล่หลานชายเบาๆ หันไปยิ้มให้อรวินทร์พลางเหลือบตาสำรวจอากัปกิริยาของหลานชายวัยหนุ่มที่เอาแต่นั่งนิ่ง

“การที่เราต้องมาอยู่บนเมืองมนุษย์เนี่ยมันก็ดีเหมือนกันนะค่ะน้าวารี เพราะว่าภุชเค้าจะได้เจอสาวๆ เมืองมนุษย์ทุกวัน...” อรวินทร์ลากเสียงหวานจนน่าเลี่ยนก่อนตบท้ายด้วยเสียงหัวเราะคิกคักจนภุชคินทร์ต้องหันมามองตาขวาง

“หรือจะเถียงว่ามันไม่จริงจ๊ะพ่อนาคหนุ่ม ช่วยเค้าไว้จนเกิดปิ๊งเค้าแล้วยังมาทำเป็นหยิ่งอีก ระวังเถ๊อะ มัวแต่เล่นตัวแบบนี้จะไม่มีใครเอานะจ๊ะ”

“ไม่เห็นต้องสน นาคสาวๆ มีถมไปทำไมชั้นต้องไปสนใจยัยมนุษย์ซื่อบื้อคนนั้นด้วย” ภุชคินทร์ตอบกลับเสียงแข็ง ฝ่ายน้าสาวก็เอาแต่ฟังอย่างเงียบๆ พลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

“แต่ชั้นว่าผู้หญิงคนนี้เค้าสนใจเธอมากเชียวล่ะภุช สงสัยเกี่ยวกับพวกเราด้วย บางที...นายก็ไม่ควรจะช่วยเธอซะด้วยซ้ำ” น้ำเสียงอรวินทร์เริ่มกลายเป็นเคร่งขรึม วารีเอียงคอมองหลานสาวคล้ายกำลังคาดเดาความคิดอีกฝ่าย

“ถ้าไม่ช่วยไว้ป่านนี้คงไม่ได้มาวิ่งตามชั้นต้อยๆ เพื่อจะถามว่าชั้นช่วยเจ้าหล่อนมาได้ยังไงหรอก ชั้นเองก็ไม่รู้จะตอบว่ายังไงเหมือนกัน ดีเท่าไหร่แล้วที่ท่านปู่ไม่เอาเรื่องที่แม่นั่นไปรบกวนการบำเพ็ญภาวนาครั้งสุดท้ายของท่านก่อนที่จะไปจุติยังภพภูมิใหม่”

“เรื่องนั้น วันนี้ชั้นบอกกลิ่นจันทร์ไปหมดแล้ว” สองตาบนเสี้ยวหน้าคมเข้มเบิกกว้าง

“จริงเหรอ...แล้วเธอไม่สงสัยอะไรแน่นะ” น้ำเสียงและสายตาเหมือนว่าชายหนุ่มยังไม่ปักใจเชื่อ

“ถ้าสงสัยคงมาถามนายอีกน่ะแหละ” อรวินทร์หัวเราะเบาๆ มองภุชคินทร์คล้ายตัวตลกยังไงยังงั้นก่อนที่จะหันขวับไปหาน้าสาวเหมือนว่าฉุดนึกบางอย่างขึ้นมาได้

“เอ่อ...น้าวารีค่ะ ปกติเนี่ยนาคกับมนุษย์จะสมสู่กันได้หรือไม่ค่ะ” คำถามเถรตรงของหลานสาวทำให้วารีถึงกับพูดไม่ออก นายหญิงของบ้านค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกอย่างช้าๆ ก้มมองดวงหน้ากลมสวยพร้อมคลี่ยิ้ม

“ทำไมเหรออร นี่อย่าบอกนะว่าเราไปชอบมนุษย์เข้าน่ะ”

“ไม่หรอกค่ะ หนูถามแทนภุชคินทร์เค้าน่ะ” หญิงสาวตวัดสายตามาหาชายหนุ่มที่กัดฟันกรอดๆ หากแต่ว่าใจส่วนลึกกลับรอฟังคำตอบจากน้าสาวอย่างใจเต้น

“ก็...ถ้าสมสู่ อาจจะได้ แต่ถ้าอยู่ร่วมกันเป็นคู่รัก เป็นครอบครัว น้ายังไม่เคยรู้มาก่อนแต่ว่าถ้าอยากรู้จริงๆ ก็ลองไปถามคุณปู่ตริณราชดูสิ ท่านคงให้คำตอบกับเราได้” วารีเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน

“โอ้ย...หนูไม่กล้าหรอกค่ะ ท่านเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ควรถามเรื่องไร้สาระ” หญิงสาวค้อมศีรษะมนลงเล็กน้อยก่อนยกน้ำมะนาวขึ้นจิบอีกครั้ง วารียกเรียวมือขึ้นลูบศีรษะมนเบาๆ อย่างเอ็นดู จ้องมองอรวินทร์ที่หันไปยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้กับภุชคินทร์ที่กำลังปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปไกลแสนไกล

“เออ...น้าวารีค่ะ หนูมีเรื่องนึงอยากจะถาม” อรวินทร์ผินหน้ามาหาน้าสาว เมื่อภุชคินทร์ได้สติจึงเอียงคอมาทางวารีเช่นกัน

“คือ...เรื่องที่ท่านตริณราชบอกกับพวกเราเมื่อวันก่อนน่ะค่ะ เรื่องมณีนาคสวาท” เมื่อได้ยินชื่อวัตถุอันทรงพลังยิ่งดวงตาคมกริบของภุชคินทร์ก็ยิ่งเปล่งประกายเขียวเจิดจ้า... สิ่งที่อรวินทร์กล่าวถึงคืออัญมณีอันมีฤทธิ์ของนาคาซึ่งสูญหายไปแสนนาน แต่ทว่าเมื่อเพ็ญเดือนก่อนกลับพบรัศมีสีเขียวมรกตเจิดจรัสอยู่กลางหนองน้ำมณีนิลแห่งนี้

“เราอาจจะเป็นผู้ที่ถูกเลือกให้ดูแลมัน เหมือนกับที่ตระกูลของเราดูแลที่นี่มาหลายร้อยปี” วารีจุดยิ้ม ดวงตาเป็นประกายสุกสว่างทอดมองหลานสาวผู้ไร้เดียงสา

“การที่เจ้าและภุชคินทร์ถูกเรียกตัวให้ออกมาจากเมืองที่เคยอยู่ก็อาจจะเป็นเพราะเหตุนี้ การดูแลของสำคัญไม่ใช่เรื่องง่าย เราจึงต้องมีผู้คอยพิทักษ์เพียงพอ”

“ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่ามีใครบางคนต้องการแย่งชิงสิ่งทรงอิทธิฤทธิ์อันนี้ไปงั้นหรือค่ะ” อรวินทร์ลากเสียงยาว ดวงหน้าเจือด้วยความตื่นตระหนก วารีเบือนหน้าไปหาภุชคินทร์ที่ยังคงจับจ้องทุกอิริยาบถของเธออย่างไม่กระพริบตา

“อนาคต...คือสิ่งที่ไม่มีใครสามารถหยั่งรู้ได้หรอก พวกเจ้าแค่ทำหน้าที่ของพวกเจ้าให้ดีที่สุดก็พอ...”

“พี่จันทร์ค่ะ พี่จันทร์...” เสียงตะโกนเรียกสลับกับเสียงเคาะประตูห้องทำให้กลิ่นจันทร์รีบลุกจากเตียงนอนก่อนจะวางสมุดบันทึกเล่มเล็กลงรีบตรงไปเปิดประตูให้มะลิที่ยืนรออย่างหน้าบาน

“มีอะไรรึเปล่าจ๊ะ” ยักคิ้วถามอีกฝ่ายที่ไม่พูดอะไรก่อนรีบมุดตัวลอดเข้าไปในห้อง ตรงสู่เตียงนอนนุ่มนิ่มและทิ้งก้นลงนั่งอย่างสบายใจ

“มะลิมีข่าวดีจะมาบอกค่ะพี่จันทร์” สีหน้าและท่าทางของมะลิดูตื่นเต้นสุดๆ ฉีกยิ้มกว้างจนเห็นไรฟันขาว ดวงตาเหมือนเหม่อลอยคิดถึงใครบางคน

กลิ่นจันทร์หรี่ตามองเด็กสาว “ข่าวดีอะไรเหรอ?” มะลิหันมาสบตากลิ่นจันทร์ตรงๆ ก่อนบอก

“ก็พี่สุดหล่อคนที่ช่วยพี่จันทร์ตอนจมน้ำน่ะสิค่ะ รู้ไม๊ว่าเค้าเป็นหลานชายตระกูลนิลนาค อยู่ใกล้ๆ เราแค่นี้นี่เอง...” พี่สุดหล่อที่มะลิว่านั้นทำให้กลิ่นจันทร์ใจเต้นถี่ขึ้นมาในทันใด ภาพดวงหน้าคมคายยังคงตราตรึงในใจของเธอทุกวินาที แต่ข่าวที่ว่านี้เธอกลับรู้ก่อนเด็กสาวหลายวันแล้ว

“เหรอจ๊ะ แล้วไงเหรอ” หญิงสาวแกล้งเล่นตามน้ำ เดินมาหยิบสมุดบันทึกสีดำเล่มเล็กก่อนสอดเก็บไว้ในลิ้นชัก มะลิมีสีหน้าเหมือนผิดหวังนิดนึงที่พี่สาวไม่สนใจหนุ่มที่ว่า

“ก็ต่อไปนี้เราอาจจะได้เห็นพี่สุดหล่อคนนั้นอีกบ่อยๆ ไงค่ะ” พูดจบเด็กสาวก็ทำท่าเหมือนจะล่องลอยเป็นอากาศธาตุยังไงยังงั้น สองตาหวานฉ่ำปานน้ำผึ้ง ริมฝีปากฉีกยิ้มกว้างอย่างมีความสุข

“เค้าชื่อภุชจ๊ะ เรียนอยู่ที่เดียวกันกับพี่” บอกเสียงเรียบก่อนที่มะลิจะแทบกระโดดกรี๊ด

“จริงเหรอพี่จันทร์ อุ๊ย...นี่รู้ชื่อกันแล้วเหรอเนี่ย แสดงว่าพี่จันทร์ต้องได้คุยกับเค้าอีกครั้งใช่ไม๊ค่ะ” มะลิเข้าไปกระเซ้าหญิงสาว อ้อนวอนทั้งน้ำเสียงและสีหน้า

“จ๊ะ...แต่เค้าคงไม่อยากจะคุยกับพี่ซักเท่าไหร่” พูดแล้วก็เบือนหน้าหนีไปอีกทาง น้ำเสียงห้วนที่พูดกับเธออย่างไร้เยื่อใยในวันนั้นกลิ่นจันทร์ยังจำได้ดี หากว่านิสัยของเค้าดีเหมือนหน้าตาก็คงไม่ไกลจากเทพบุตรที่กลิ่นจันทร์วาดฝันไว้เท่าไหร่นัก

“ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะค่ะ...” มะลิถามเสียงหดหู่เหมือนทุกร้อนแทนหญิงสาวยังไงยังงั้น

“ไม่มีอะไรหรอกจ๊ะมะลิ เรื่องไร้สาระน่ะ เรารีบไปนอนเถอะพรุ่งนี้เปิดเทอมไม่ใช่เหรอ” กลิ่นจันทร์ตบไหล่เด็กสาวเบาๆ

“แต่ว่า...” มะลิเหมือนจะยังไม่จบง่ายๆ กลิ่นจันทร์จึงทำเป็นเฉยไม่ว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรก็ตาม

“หนูกลับก็ได้ค่ะ” สุดท้ายมะลิก็สะบัดก้น เดินหน้าบูดหน้าบึ้งออกจากห้องไป กลิ่นจันทร์เลยได้นั่งถอนใจให้กับน้องสาวที่คลั่งไคล้ผู้ชายยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด เมื่อตอนเริ่มแตกวัยสาวเธอก็เคยเป็นแบบมะลิแต่ไม่ถึงขนาดนี้ นี่ไอ้หน้าปลาไหลคนนั้นมันทำให้น้องสาวเธอเป็นได้มากถึงขนาดนี้เชียวเหรอนี่ อยากรู้นักว่านายจะรู้สึกยังไงที่มีผู้หญิงมากมายมารักมาชอบ คงหยิ่งยโสยิ่งกว่าเดิมล่ะสิ หรือไม่ก็คงทำตัวเป็นเสือผู้หญิง... แต่จะทำยังไงมันก็เป็นเรื่องของนาย อย่างน้อยก็มีกลิ่นจันทร์คนนี้แหละที่ไม่มีวันจะหลงเสน่ห์นายแน่ภุชคินทร์

กลิ่นจันทร์ค่อยๆ ลืมเปลือกตาขึ้นทีละนิดก่อนจะได้พบกับไอหมอกสีขาวขุ่นรายล้อมกายอยู่ทุกทิศทาง สองตาที่ควานหาแสงสว่างมองลงสู่พื้นที่ทรงตัว มันคือไม้...ไม้ที่น้ำมาต่อกันเป็นพื้นเรือ ตอนนี้เธออยู่บนเรือ เรือที่กำลังล่องลอยไปอย่างไร้จุดหมาย

กลิ่นจันทร์ใจสั่น... หวาดระแวงในทุกวินาทีที่ลมหายใจเข้าออก มองซ้ายขวาก็พบเพียงแต่ม่านหมอกสีขาวข้น พื้นน้ำเบื้องล่างเป็นสีขุ่นดำเหมือนน้ำหมึก ความเย็นยะเยือกแผ่ซ่านเข้าสู่ทุกอณูขุมขนในขณะที่ลำเรือยังคงมุ่งหน้าต่อไป หญิงสาวไม่กล้าเปิดปากร้องเรียกหาใคร กลัวว่าภายในบริเวณผืนน้ำแห่งนี้จะไม่ได้มีแค่เพียงเธอ

จนม่านหมอกเริ่มจางลงจนเผยให้เห็นผืนน้ำอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ความรู้สึกเคว้งคว้างเริ่มเกาะกุมหัวใจหญิงสาวอย่างเงียบๆ สองดวงตากลมโตเบิกกว้างก่อนจะพบกับกอบัวที่อยู่ห่างออกไปตรงหน้า ลำเรือค่อยๆ ลอยเข้าไปหาดอกบัวที่เกาะกลุ่มกันอยู่กลางหนองน้ำ บัวสีขาวดอกใหญ่เบ่งบานอวบอูมน่าสัมผัส งดงามดังเช่นดอกบัวสีขาวที่เธอเคยอยากได้เมื่อครั้งพายเรือเข้าไปในวังน้ำมรกต... รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนดวงหน้างดงามอย่างไม่รู้ตัว สองเนตรจ้องมองศตบงกชสีขาวบริสุทธิ์ตรงหน้า มันช่างงดงามเสียนี่กระไร

กลิ่นจันทร์ค่อยๆ เอื้อมมือเข้าไปใกล้เหล่าปัทมาก่อนกดนิ้วหักก้านออกมาเชยชม ใช้อีกมือคลี่กลีบเนียนละเอียดออกทีละนิด พลันนั้นหัวใจกลับเต้นแรงขึ้นมาในทันใด รัศมีสีเขียวส่องกระทบดวงตาเป็นประกายวูบวาบ กลิ่นจันทร์ฉวยหยิบอัญมณีขนาดกว้างราวห้าเซนติเมตรขึ้นมาดูอย่างพินิจ เหมือนว่าเคยเห็นของสิ่งนี้มาก่อน... ปลายนิ้วสัมผัสผิวมันวาวไปมา เหมือนว่าเคยสัมผัสกับมันมาก่อน... ความรู้สึกคุ้นเคย ผูกพัน และหวงแหนก่อตัวขึ้นในทันใด

“พี่จันทร์... พี่จันทร์ค่ะ” มะลิทุบประตูห้องเสียงดังตึงตังจนหญิงสาวสะดุ้งตื่น ทันทีที่ลืมตาขึ้นก็พบกับแสงสว่างอันร้อนแรงของดวงอาทิตย์ที่เล็ดลอดผ่านม่านสีขาวเข้ามา

“พี่จันทร์สายแล้วนะค่ะไม่ไปเรียนเหรอ...” มะลิใช้มือตีประตูอีกครั้งพลางร้องถามคนข้างใน

“จ๊ะๆ พี่ได้ยินแล้ว” เมื่อได้สติจึงร้องบอกเด็กสาวไป มะลิในชุดนักเรียนสีขาวสะอาดตาจึงหันไปสบสายตากับนางสายบัวที่ยืนอยู่เบื้องหลัง

“สงสัยเมื่อคืนพี่จันทร์คงอ่านหนังสือดึกไปน่ะค่ะ” เด็กสาวรีบแก้ตัวแทนคนในห้อง

“บอกให้รีบแต่งตัวเข้าล่ะเดี๋ยวเอ็งนั่นแหละมะลิที่จะไปโรงเรียนสาย” นางสายบัวตวัดสายตามองไปยังประตูไม้บานหนาที่ปิดสนิทตรงหน้าก่อนจะเอี้ยวตัวเดินลงบันไดไป

“พี่จันทร์...เดี๋ยวมะลิรออยู่หน้าบ้านนะค่ะ”

“จ๊ะ...พี่ขอเวลาสิบนาทีนะ” หญิงสาวร้องบอกขณะรีบผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะคว้าเอาผ้าขนหนูมาห่อหุ้มร่างกายเตรียมอาบน้ำ มะลิเดินทอดน่องไปนั่งรอที่ม้าหินอ่อนใต้ต้นมะยมหน้าบ้าน วันนี้เปิดเรียนวันแรก เด็กสาวไม่รีบร้อน เรือนหน้าขาวสะอาดมีเลือดฝาดของเด็กสาววัยแรกรุ่นคลายยิ้มกระหยิ่ม ไปสายสิยิ่งดี เธอจะได้เป็นตัวเด่นกว่าใครๆ ในโรงเรียนยามที่เดินมาเข้าแถวเคารพธงชาติคนสุดท้าย ทุกคนก็จะได้มองมายังเธอยังไงล่ะ

โรงเรียนมณีนิลอยู่ห่างจากหมู่บ้านราวห้ากิโลเมตร กลิ่นจันทร์ต้องขับมอเตอร์ไซด์คันเก่าของนางสายบัวไปส่งมะลิที่โรงเรียนก่อนที่จะได้ขับไปเรียนที่วิทยาลัยในตัวอำเภอซึ่งอยู่ห่างจากโรงเรียนไปอีกห้ากิโลเมตร รวมแล้วเธอต้องขับรถเป็นระยะทางกว่าสิบกิโลเมตรกว่าจะถึงที่หมาย ซึ่งมันก็นานพอดูสำหรับเธอ

เกลียวกลีบที่ซ้อนทับกันอย่างประณีตบรรจง ศตบงกชสีขาวบริสุทธิ์ที่เบ่งบานกลางหนองน้ำแห่งนั้น ในความฝันอันพิลาศ... ภายในดอกบัวหลวงอันงดงามซุกซ่อนอัญมณีสีเขียวมรกตเอาไว้ รัศมีสีเขียวเรืองรองยังคงติดตรึงตาตรึงใจของหญิงสาวอยู่ทุกครา ความฝันเมื่อคืนนี้...มันหมายความว่าอย่างไรกันนะ

การตื่นสายในวันนี้ทำให้หญิงสาวต้องรีบสาวเท้าไปให้ถึงตึกเรียนเพราะเกรงว่าอาจารย์สุดโหดประจำวิชาบัญชีเบื้องต้นในคาบตอนเช้านี้จะเช็คเธอสาย แต่จังหวะที่กำลังเอี้ยวตัวเลี้ยวตรงมุมตึกร่างบางก็ชนเข้ากับใครบางคนจนกลิ่นจันทร์เซถลา หนังสือสองสามเล่มที่ถือไว้หล่นกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง หญิงสาวลนลานเก็บข้าวของก่อนจะมองหาอีกร่างที่เธอชนเข้าเมื่อครู่

“เป็นอะไรไม๊” แววตาอาทรในดวงเนตรสีเทาของหญิงสาวแปลกหน้าทอดมองกลิ่นจันทร์

“เธอ... เจ็บตรงไหนรึเปล่า” พศิตาถามขึ้นอีกครั้ง

“ไม่... ไม่เป็นไรจ๊ะ” กลิ่นจันทร์ค่อยๆ ดันกายลุกขึ้น รู้สึกแสบที่ข้อเท้า พอก้มมองลงดูก็เห็นเลือดสีแดงสดไหลซิบๆ ลงมาตามแผลที่ถลอก

“ต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะ เดี๋ยวชั้นพาไปห้องพยาบาลนะจ๊ะ ว่าแต่เธอพอจะเดินไหวรึเปล่าล่ะ”

“ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ แผลแค่นี้เอง ชั้นเองก็ต้องขอโทษเธอเหมือนกัน” กลิ่นจันทร์ตอบเสียงอ่อนโยน มองหญิงสาวในชุดนักศึกษาเช่นเธออย่างพินิจพิเคราะห์ อีกฝ่ายสูงโปร่ง ปราดเปรียว ดูเหมือนคนที่เชื่อมั่นในตัวเองสูง แต่ก็ยังมีความอาทรแม้ว่าจะถูกกลิ่นจันทร์ชนเอาเต็มๆ ซะขนาดนั้น แต่เธอก็ยังเป็นฝ่ายเอ่ยขอโทษกลิ่นจันทร์ก่อน

“แล้วเธอเป็นอะไรรึเปล่าล่ะ...” กลิ่นจันทร์ยิงคำถามก่อนที่พศิตาจะฉีกยิ้มกว้าง สองตาบนใบหน้างามเฉกเช่นคนตรงหน้าจ้องมองอีกฝ่ายเหมือนกำลังอ่านความคิด

“ไม่จ๊ะ ชั้นไม่เป็นไร”

“ถ้างั้น...ชั้นต้องขอตัวก่อนนะ” ศีรษะมนค้อมลงทีนึงพร้อมกับรอยยิ้มแห้งๆ กลิ่นจันทร์รีบลนลานวิ่งขึ้นตึกเรียนส่วนอีกฝ่ายก็หันขวับมาทางโรงอาหาร สายตาสอดส่ายหาใครบางคน ก่อนจะจุดยิ้มเมื่อเห็นภุชคินทร์กำลังนั่งทานอาหารเช้ากับเพื่อนคนใหม่ภายในโรงอาหารที่เสียงดังจอแจ

จากคุณ : ผีเสื้อสีดำ
เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 53 10:33:48




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com