เมื่อวานซืนมีคนคนหนึ่งที่หมดลมหายใจ ก็คงเหมือนกับที่ใครๆ หลายคนในโลกใบนี้ได้หมดลมหายใจไป โดยที่เราไม่รู้ ไม่เห็น หรือถึงรู้เห็น ก็แทบไม่ได้รู้สึกอะไร
แต่กับคนคนนี้ เรารู้ เราเห็น และเรารู้สึก
เราเรียกความรู้สึกนี้ไม่ถูก จะเรียกว่าเศร้าเสียใจ ไม่อยากให้เขาจากไป บางขณะเราก็คิดว่า เขาจากไปสบายดีกว่าอยู่ ยิ่งเมื่อช่วงหลังๆ เขาเองก็ไม่มีสติที่จะโต้ตอบกับเราอีกแล้ว
ก็คงเป็นความรู้สึกว่า...ชีวิตมนุษย์มีเท่านี้ จากไปเหมือนหายไปเสียเฉยๆ และไม่ช้าก็คงจะถูกลืมเลือนไป เมื่อคนรู้จักใกล้ชิดค่อยๆ ทยอยตามไป ตามกาลเวลาของแต่ละคนกระมัง
ก็คงเป็นความรู้สึกว่า...คนที่ยิ้มอย่างมีความสุขอยู่ในรูปหลังช่อดอกไม้สีขาวพวกนั้น รู้สึกยังไงอยู่นะ ขณะที่ถ่ายรูปนั้น โดยรู้ตัวและตั้งใจว่าจะให้เป็นภาพถ่ายหน้าร่างไร้วิญญาณของตนเอง
บัดนี้ก็ยังไม่รู้ และคงไม่มีวันได้รู้ ทำได้เพียงคิดไปเอง ขณะมองรูปของเขา มองแล้วก็ยิ้มตอบ ทั้งๆ ที่บางครั้งน้ำตายังอยากไหลลงมา
คนที่ยอมรับความตายของตัวเองได้ตั้งแต่แรกนี่ช่างเข้มแข็งเหลือเกิน
ปู่ หรือที่พวกเราเรียกกันว่า 'อากง' เป็นคนอย่างนี้มาตลอด เป็นคนเข้มแข็ง อยู่มาได้ด้วยตัวเอง จนบางทีผมยังอดไม่ได้ว่ารั้นจนเป็นเอาแต่ใจ ทำไมถึงไม่หาบ้านอยู่ด้วยกันทั้งครอบครัว จะได้ดูแลกันได้สะดวกๆ ทำไมถ้าออกจากโรงพยาบาลแล้วจะไม่ยอมให้หาพยาบาลพิเศษ ...และยังอีกหลายๆ ทำไม
แต่บางทีก็ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจ และถึงจะดื้อจะรั้นยังไง ก็ยังรู้สึกอยากดูแลอากงให้เต็มที่ ก็ยังวางเฉยไม่ได้อยู่ดี
ตอนรู้ข่าวเรื่องผ่าตัด ผมยังเที่ยวสนุกอยู่ที่ไกลถึงหนึ่งเดือน กลับมาได้รู้เรื่องทั้งหมดจากพ่อก็เรียกได้ว่าตกใจ ไม่นึกว่าแค่การผ่าตัดที่เรามองว่าไม่น่ามีปัญหา จะมีอะไรซ่อนอยู่อีกลึกกว่านั้นมาก
แล้วเพราะเป็นคนที่ว่างที่สุดในบ้าน มีแต่ทำวิทยานิพนธ์กับสอนพิเศษ จึงได้รับหน้าที่ดูแลอากงช่วงกลางวันวันธรรมดา ขณะที่แม่เฝ้ากลางคืน และน้องเฝ้าวันหยุดไป เพิ่งได้กอด ได้สัมผัส ได้ปรนนิบัติท่านอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนก็ตอนนี้
เพราะอย่างนี้ถึงได้รู้ ได้เห็น ได้เข้าใจว่าที่จริงผมกับอากงก็มีอะไรเหมือนกันอยู่มาก เพิ่งตระหนักว่าอากงอายุมากเท่าไหร่ และก็เหมือนจะได้รู้เกี่ยวกับชีวิตของอากง กับญาติพี่น้องเพิ่มขึ้น...แม้ต้องยอมรับว่าไม่อาจรู้ ไม่อาจเข้าใจละเอียดถี่ถ้วนทั้งชีวิตก็ตาม
เพิ่งได้รู้ว่าอาเหล่ากงมาจากเมืองจีน มาอยู่เมืองไทยก็ขายข้าวหน้าเป็ด เลี้ยงอากงมาจนโต อากงก็ทำเบาะรถยนต์ แต่งงานกับอาม่า มีพ่อเป็นลูกคนเดียว แต่อากงก็เลี้ยงลูกพี่ลูกน้องของอากง (ลูกๆ ของน้องชายอาเหล่ากง) ที่อยู่ในวัยไล่เลี่ยกับพ่อด้วย อากงขับรถหาซื้อวัตถุดิบทำเบาะให้ช่างในวันธรรมดา ส่วนวันอาทิตย์หรือวันพระจะไปไหว้พระ พาเด็กๆ ไป บางทีก็พาน้องชายของอาม่าที่ตอนนั้นยังเด็กๆ อยู่ไปด้วย ส่วนมากไปที่วัดพระแก้ว ซื้อดอกบัวไปพับกลีบกันเองในวัด และถ้าไปพระพุทธบาทสระบุรีก็ต้องตื่นไปตั้งแต่ตีสองตีสาม ถวายกระป๋องนมข้นหวานให้พระเป็นลังๆ กระป๋องละห้าบาท
ตอนผมยังเด็กอยู่ อากงขับรถเองได้ก็ยังไปไหว้พระเหมือนกัน แต่โดยทั่วไปก็ขึ้นไปไหว้พระในห้องพระ เช้าครั้ง บ่ายครั้ง วันโกนก็ซื้อดอกบัวกับพวงมาลัยมา ดอกบัวพับกลีบ ใส่แจกันในห้องพระ วันพระตอนเช้ากินเจ วันสงกรานต์ ทั้งบ้านก็อยู่สรงน้ำพระด้วยกัน
และแม้ตอนหลัง เมื่อสิบสามปีก่อน อากงถูกรถชน บาดเจ็บสาหัส ซี่โครงหักทิ่มปอด เส้นเลือดขาขาด อากงก็ยังสู้จนหายดี เดินได้เอง แม้จะไม่อาจขับรถอีก แล้วก็ชอบขึ้นรถเมล์ไปเที่ยวด้วยตัวเอง กินอยู่อย่างง่ายๆ
ถ้ามองอย่างนี้ก็เข้าใจเหมือนกัน ว่าทำไมอากงจึงอยากออกจากโรงพยาบาล กลับไปอยู่ที่บ้านถ้าทำได้ แต่ก็เหมือนพอตั้งใจจะกลับบ้านทีไร อาการเป็นต้องทรุดลงเรื่อยๆ จนสุดท้าย ก็อยู่จนเกือบสามเดือนสุดท้ายของชีวิต คิดว่าท่านคงได้กลับบ้านตอนพวกเราไหว้เจ้าที่ให้ท่านได้เข้าบ้าน เข้าไปไหว้พระที่ห้องพระ...ไม่ก็อาจจะก่อนหน้านั้นในภาวะของจิต ตอนที่ร่างกายหลับลึกไม่ตอบสนองแล้วกระมัง
แต่ที่รู้ที่เล่ามา ก็คงเป็นแค่เสี้ยวหนึ่งของชีวิตของอากง ไม่ใช่เจ็ดสิบเจ็ดปีที่ผมไม่เคยรู้เห็น หรือถึงรู้เห็นบ้างก็ไม่เคยใส่ใจ จนวันที่รู้ว่าท่านใกล้จะจากไป จนวันที่ท่านค่อยๆ เปลี่ยน สิ่งที่ทำได้ค่อยๆ น้อยลง จากสัปดาห์ต่อสัปดาห์ เป็นวันต่อวัน
จนวันที่อยู่ข้างๆ และวินาทีที่เห็นลมหายใจสุดท้ายของท่าน
จนชั่วขณะที่รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจหวนคืนมาถึงแล้ว
ตั้งแต่ทุ่มสี่สิบห้าของวันอาทิตย์ ซึ่งอากงหลับไป จนถึงเมื่อวานที่รดน้ำศพ และสวดพระอภิธรรมคืนแรก ทุกอย่างดูเหมือนความฝัน ถึงจะไม่รู้ว่าในงานคือความฝัน หรือชั่วชีวิตที่ผ่านมาที่มีอากงอยู่เป็นความฝันกันแน่
แต่บางที ทั้งชีวิตของคนเรา จนเกิดและดับไป ก็คงเหมือนเป็นความฝันตื่นหนึ่งที่ไม่ช้าเราต้องลืมเลือนไป ในความฝันเป็นพันเป็นหมื่นครั้ง ก่อนไฟที่แผดเผาในตัวจะสิ้นเชื้อกระมัง
และบางที ผมก็อาจจะอยากแค่จารึกบางอย่างเกี่ยวกับความฝันนี้ ก่อนที่มันจะจบสิ้นและถูกลืมเลือนไปเช่นกัน
จากคุณ |
:
Anithin
|
เขียนเมื่อ |
:
26 ต.ค. 53 12:10:45
|
|
|
|