"'เถระเหม็น' นี่คืออะไร" เด็กสาวตั้งคำถามกับคนข้างตัว เมื่อรถม้าเริ่มเคลื่อนไปตามทาง
"ชื่อเนยแข็งที่มีชื่อเสียงในแถบนี้น่ะ เห็นว่าหมักกับไวน์พีราของดาวิมี ข้าเคยกินบ้างในขบวนสินค้า แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้ตั้งชื่อแปลกๆ อย่างนี้ นอกจากว่ามัน...ก็เหม็นเอาเรื่องอยู่" อาเมียร์ตอบด้วยสีหน้ายุ่งๆ ในตอนท้าย ราวกับจะสื่อถึงกลิ่น
"เหม็นเหมือนชาดานแซร์น่ะหรือ" แอชลีนน์ซักต่อ
"ปลากับเนยแข็งจะไปเหม็นเหมือนกันได้ยังไง" คราวนี้ผู้พูดกลับเป็นรูอาร์ค "ถ้าถามข้า ข้าว่าเจ้าเถระเหม็นเนี่ย เหม็นเหมือนชุดพระเถระที่ไม่ได้ซักมาแรมปีกระมัง ในวังคงไม่อนุญาตให้เอาของเหม็นๆ อย่างนี้เข้ามากินละสิ ถึงไม่รู้จัก"
เด็กสาวย่นจมูก
"ไม่รู้จักแล้วมันผิดตรงไหน"
"ไม่ผิดหรอก แต่รู้จักไว้จะดีกว่า ผู้ปกครองที่ดีควรรู้จุดอ่อนจุดแข็งของแต่ละท้องถิ่นที่ตนปกครอง แล้วก็ส่งเสริมให้ดีที่สุด หาทางให้แต่ละชุมชนพึ่งพา ดูแลตนเอง และเกื้อกูลชุมชนอื่นๆ ได้โดยที่ตนเองไม่ลำบาก อย่างนี้ถึงจะทำให้ดินแดนในปกครองเข้มแข็งและสงบสุข" อาเมียร์ตอบเป็นการเป็นงาน ยังผลให้รูอาร์คยักไหล่บ้างในครั้งนี้
"อย่างที่ดาวิมีมีสวนเอรีกับพีราควบคู่กับโรงหมักไวน์ แล้วก็มีการเลี้ยงวัวกับทำเนยแข็งหมักไวน์ในที่เดียวกัน ส่งเป็นสินค้าออกของตนเองน่ะหรือ" แอชลีนน์พูดตามความคิด "นั่นสิ จะว่าไป...หมู่บ้านที่พวกเราผ่านมาก็มีแต่ไร่นาอย่างเดียว แต่ไม่มีการแปรรูปผลผลิตอย่างนี้เลย"
"แล้วพอแปรรูปผลผลิตได้ในชุมชน ก็เป็นการเพิ่มมูลค่าสินค้า จริงไหม" เด็กหนุ่มผมดำอธิบายต่อ "ข้าได้ยินมาว่าที่ดาวิมีปลูกพืชผลได้มาก ก็เพราะดินและอากาศดี ไวน์กับเนยแข็งของพวกเขาจึงมีคุณภาพ แต่ข้าก็คิดว่าน่าจะเป็นเพราะได้วัตถุดิบที่สดใหม่ ไม่ต้องขนส่งมาจากไหนไกลด้วย พอได้วัตถุดิบที่สดและดี รวมทั้งมีสูตรเฉพาะที่สืบทอดกันมาเป็นเอกลักษณ์ สินค้าของพวกเขาเลยมีชื่อเสียง เป็นที่ต้องการมากขึ้น และแน่นอน...ราคาดีขึ้น จนเป็นชุมชนที่เข้มแข็งได้อย่างนี้"
"หมายความว่า...ถ้าข้าส่งเสริมให้แต่ละหมู่บ้านทำการแปรรูปผลิตผลของตนเองก็จะดี อย่างนั้นสินะ อย่างถ้าหมู่บ้านไหนปลูกข้าว ก็ให้พวกชาวบ้านตั้งโรงสีข้าวขึ้นมาเองที่นั่น ถ้าที่ไหนปลูกฝ้ายก็ให้ทอผ้าด้วยเลย แล้วทุกเมืองกับทุกหมู่บ้านก็จะเป็นอย่างดาวิมีได้ อย่างนั้นใช่ไหม" เด็กสาวเสนอ...เมื่อนึกย้อนไปถึงปัญหาโรงสีกดราคาข้าวสาลีและธัญพืชอื่นๆ กับปัญหาโรงทอผ้ากดราคาฝ้ายและค่าแรง ซึ่งเธอเคยได้ยินมาบ้าง แต่ก็ไม่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจแก้ปัญหา
"นั่นก็ใช่ แต่จะเอาเงินที่ไหนมาทำล่ะเจ้าเปี๊ยก" รูอาร์คแย้ง "แล้วต่อให้เอาเงินในคลังหลวงมาสร้างโรงสีหรือโรงทอผ้า เจ้าคิดว่าจะคุ้มกันหรือ ถ้าสร้างหนึ่งโรงสีต่อหนึ่งหมู่บ้าน แล้วก็ใช้ได้แค่ปีละครั้งหรือสองครั้ง ข้าวที่ต้องสีหรือโม่เป็นแป้งก็มีไม่มาก ไม่คุ้มกับค่ารักษาอุปกรณ์ที่เสื่อมไปตามกาลเวลาหรอก แล้วอีกอย่าง กิลด์โรงสีตามเมืองต่างๆ ไม่ยอมแน่นอน เจ้าคิดว่าพวกเขารวมตัวกัน จดทะเบียนเป็นกิลด์เสียภาษีให้ทางการเพื่ออะไรล่ะ"
"ก็..." เด็กสาวนึกถึงสิ่งที่เธอเคยเรียนมา "เพื่อรับประกันว่าจะมีงานป้อนเข้ามาให้สมาชิกอย่างทั่วถึง และรักษาผลประโยชน์ของตนเองโดยเพิ่มอำนาจต่อรอง"
"นั่นล่ะ กุญแจสำคัญมันอยู่ตรงนี้" รูอาร์คดีดนิ้วเปาะ
แอชลีนน์ขมวดคิ้วขณะคิดตาม ก่อนจะตระหนักได้
"พวกเราไม่มีกิลด์ชาวไร่ชาวนาเลยนี่นา...แต่ทำไมล่ะ"
"การทำไร่ทำนาเป็นเรื่องที่ไม่ต้องใช้ความรู้หรืองานฝีมือ เลยไม่มีใครจดทะเบียนตั้งเป็นกิลด์น่ะสิ" เด็กหนุ่มผมแดงขยายความ "แล้วอีกอย่าง ชาวไร่ชาวนาส่วนมากอยู่กระจายกันตามหมู่บ้านในชนบท น้อยคนจะมีความรู้พอที่จะคิดเรื่องรวมตัวเป็นกลุ่ม จดทะเบียนตั้งกิลด์ในเมืองเพื่อรับประกันผลตอบแทนของตนเอง ไม่อีกทีก็เป็นพวกคนงานติดที่ที่ได้รับการดูแลอยู่แล้ว อย่างคนของสวนผลไม้กับทุ่งเลี้ยงวัวต่างๆ ของดาวิมีนี่ก็เหมือนกัน"
"คนงานติดที่..." แอชลีนน์ค่อยๆ คิด ก่อนจะนึกออกว่าอีกฝ่ายหมายถึงพวกชาวไร่ชาวนาที่ไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง แต่ทำงานให้กับเจ้าของที่ดินหรือขุนนางที่ดูแลท้องถิ่นนั้น โดยได้รับค่าจ้างและค่าเลี้ยงดูตามอัตราที่กำหนดไว้เป็นระยะๆ ขณะที่กำไรตกเป็นของเจ้าของที่ดินเอง
คนพวกนี้มักเป็นลูกหลานของทาสติดที่ดินในสมัยก่อน หลังจากที่ธีร์ดีเรประกาศเลิกทาสแล้ว พวกเขาจึงได้รับเงินค่าแรงงานเป็นของตนเอง รวมทั้งมีอิสระที่จะออกจากงานและย้ายถิ่นฐานได้ต่างจากในอดีต ทว่าหากอดีตนายทาสเป็นผู้ที่มีเมตตา คนพวกนี้ส่วนมากก็มักผูกพันกับตระกูลของพวกเขา จนยังคงทำงานให้ตระกูลนั้นสืบทอดต่อกันเป็นรุ่นๆ
"แสดงว่า...พวกเขาทำงานให้พ่อค้าใหญ่อยู่แล้วหรือ"
"ยิ่งกว่าพ่อค้าใหญ่อีก" รูอาร์คยักไหล่อีกครั้ง "เจ้าไม่รู้จักเซอร์ฌอน ดาวิมีเลยเหรอ"
"เอ..." เด็กสาวเร่งนึก "เขาเป็นอัศวินคนไหนที่ข้าเคยพบรึเปล่า"
"ถ้าเคยพบคงจับไข้หัวโกร๋น เพราะเขาเป็นอัศวินที่ลงไปนอนอยู่ในหลุมตรงเนินเขาโน้นเมื่อร้อยกว่าปีก่อนกระมัง" รูอาร์คบุ้ยใบ้ไปทางโบสถ์ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้คฤหาสน์หลังหนึ่ง ห่างจากความวุ่นวายของบริเวณจัตุรัสกลางหมู่บ้านที่มีโรงแรม ร้านค้า และกระทั่งย่านสวนผลไม้ ทุ่งเลี้ยงสัตว์ โรงหมักไวน์กับโรงทำเนยต่างๆ
"แล้วเขาเกี่ยวข้องอะไรกับที่นี่ล่ะ"
"เซอร์ดาวิมีได้รับพระราชทานหมู่บ้านนี้เป็นที่ดินของตระกูลอย่างถาวร เพราะเขาทำหน้าที่เป็นนักรบแทนองค์กษัตริย์ในพิธีราชาภิเษก อย่าบอกล่ะ...ว่าเจ้าไม่รู้อีกว่านักรบแทนองค์กษัตริย์เขามีไว้ทำอะไร" เด็กหนุ่มผมแดงทำเป็นเกาศีรษะแกรกจนแอชลีนน์ไม่พอใจขึ้นมา เธอเลยหันไปมองอาเมียร์เหมือนจะขอคำตอบ แต่เด็กหนุ่มผมดำก็กลับยิ้มแห้งๆ แม้จะช่วยพูดแทนเธอ
"นักรบอะไรนั่นน่าสนดี ข้าเองก็ยังไม่รู้เรื่องของธีร์ดีเรละเอียดขนาดนั้น ช่วยอธิบายหน่อยได้ไหมว่าเขามีไว้ทำอะไร"
รูอาร์คพ่นลมหายใจเสียงดังกับการรับลูกของทั้งสอง แต่ก็ยอมเล่าแต่โดยดี
"นักรบแทนองค์กษัตริย์คือผู้ที่จะประลองตัวต่อตัวกับผู้ท้าชิงอำนาจของพระราชาในพิธีราชาภิเษก เพื่อปกป้องสิทธิในบัลลังก์แทนราชา ในเมื่อราชามีฐานะสูงส่งกว่าบุคคลอื่นๆ ในฐานะผู้สืบสายพระโลหิตแห่งเทพเจ้า จึงไม่อาจลดพระองค์ลงมาสู้รบกับมนุษย์ธรรมดาน่ะสิ"
"ผู้สืบสายพระโลหิตแห่งเทพเจ้า...หมายถึงพระราชวงศ์ของธีร์ดีเรในสมัยก่อนน่ะหรือ" อาเมียร์ตั้งคำถาม
"ในตอนนี้ก็ด้วย" แอชลีนน์เป็นผู้ตอบบ้าง "บรรพบุรุษของราชวงศ์อลาชตาร์เคยสู้รบเพื่อดินแดนในบริเวณนี้ จนตอนหลังถึงก่อตั้งอาณาจักรธีร์ดีเรขึ้นมา ต้นตระกูลของเราสืบขึ้นไปได้ถึงนักรบหญิงนามบูดิกา นางสู้รบกับกองทัพของอสุรเทพที่พยายามรุกรานดินแดนของพวกเรา เอริน ธิดาของบูดิกามีโอรสกับสุริยเทพลูค และโอรสพระองค์นั้นก็เติบโตขึ้นเป็นนักรบที่มีความสามารถ ตั้งตนเป็นกษัตริย์พระองค์แรกของธีร์ดีเร"
"หมายความว่า..." เด็กหนุ่มมองเธออย่างไม่อยากเชื่อ ขณะลดเสียงลงเพื่อไม่ให้คนบนเกวียนที่แล่นสวนมาพอดีได้ยิน "...เจ้ามีสายเลือดของสุริยเทพหรือ ทำไมข้าถึงไม่เคยได้ยินได้อ่านเรื่องพวกนี้เลย"
เด็กสาวผู้ถูกบอกว่ามีสายเลือดแห่งองค์สุริยเทพกลับยิ้มเจื่อนๆ
"ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ตำนานว่ากันมาอย่างนั้น แต่ถึงข้าจะมีสายเลือดขององค์สุริยเทพจริง ก็คงเจือจางมากจนไม่มีอำนาจอะไรอีก ไม่อย่างนั้นข้าคงใช้อำนาจพวกนั้นช่วยเหลือธีร์ดีเรไปนานแล้ว แล้วอีกอย่าง ถึงตอนนี้เราจะเจริญสัมพันธไมตรีกับซาเกรดา โซล จนไม่ต้องรบกันอีก พวกเขาก็ไม่มีวันยอมรับเด็ดขาดว่าองค์สุริยเทพมีทายาทที่เป็นมนุษย์ ถึงเรากับเขาจะนับถือเทพเจ้าสูงสุดองค์เดียวกัน จึงสามารถยอมรับศาสนาของซาเกรดา โซลได้ไม่ยาก พวกเราก็ยังมององค์สุริยเทพต่างไปอยู่ดี ...สำหรับซาเกรดา โซล องค์สุริยเทพเป็นเทพแห่งแสงสว่างที่บริสุทธิ์ที่สุด พระองค์ประทานแสงสว่างและความคุ้มครองให้แก่มวลมนุษย์ แต่ไม่มีทางปรากฏพระองค์ให้เห็นหรือข้องแวะกับมนุษย์เป็นอันขาด"
"ยกเว้นเหล่านักบวชแห่งซาเกรดา โซล ที่ 'ได้ยินพระวจนะ' ขององค์สุริยเทพ ปฏิบัติตาม 'พระวจนะ' เหล่านั้น และ 'เผยแผ่พระวจนะ' เหล่านั้นให้ฝูงชนผู้มืดบอดได้ 'เห็นแสงสว่างที่แท้จริงของพระองค์' ด้วยการไล่ล่ากวาดล้างพวกผู้มีมนต์มืดของจอมปีศาจหรืออสุรเทพให้ตายตกไปเป็นร้อยเป็นพันนั่นล่ะ" รูอาร์คแทรกอย่างเสียดสี
แอชลีนน์ไม่อยากออกความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงตัดสินใจพูดต่อ
"แต่ชาวธีร์ดีเรเห็นองค์สุริยเทพเป็นทั้งเทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ และเทพวีรบุรุษผู้มอบโอรสที่มีอำนาจให้เอรินปกป้องดินแดนของเราจากปีศาจของอสุรเทพ ถึงอย่างนั้น เพราะอำนาจทางการเมืองของเรายังเป็นรองต่อซาเกรดา โซล พวกเขาจึงห้ามไม่ให้พวกเราอวดอ้างตนเช่นนั้น เอกสารบันทึกต่างๆ หรือบทกวีที่กล่าวอ้างว่าองค์สุริยเทพมีโอรสกับมนุษย์จึงถูกห้ามเผยแพร่เด็ดขาด แต่ในหมู่ชาวธีร์ดีเรก็ยังมีคำบอกเล่าปากต่อปากสืบทอดกันมา แล้วพวกพระราชวงศ์กับคนในวังก็รู้กันอยู่เป็นการภายใน อย่างข้ารู้เพราะเสด็จแม่ทรงเป็นผู้บอก"
"แล้วข้าก็รู้เพราะพ่อข้าเป็นคนบอก" เด็กหนุ่มผมแดงเสริม ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง "ว่าแต่จะฟังเรื่องของเซอร์ดาวิมีต่อหรือเปล่านี่"
"ต่อสิ" อาเมียร์ตอบ
"เตือนข้าหลังเสร็จธุระกับเถระเหม็นโฉ่พวกนั้นก็แล้วกัน เพราะท่าทางเราจะต้องเผชิญหน้ากับพวกมันในไม่ช้านี้แล้ว" รูอาร์คตัดบท ขณะพยักพเยิดไปยังทางเข้าโรงทำเนยที่อยู่ไม่ไกล
* * * * *
จากคุณ |
:
Anithin
|
เขียนเมื่อ |
:
2 พ.ย. 53 20:24:39
|
|
|
|