(นิยายกำลังภายใน)วิหคดั้นเมฆา ผู้กล้าฝ่ายุทธจักร ตอนที่ 27
|
 |
ฟ่านไป่หนิงชะงัก เมื่อรู้สึกได้ถึงสายลมที่ปะทะผ่านผิวหนังที่เคยอยู่ใต้หน้ากากแผลเป็น ดวงตาโตแตกตื่นเบิกค้างคล้ายลูกกวางระแวงภัย จับจ้องสือหย่งหย่งหลุนนิ่งด้วยเหตุการณ์กะทันหันจนนึกแก้ปัญหาไม่ทัน
นั่นเพราะที่ผ่านมาฟ่านไป่หนิงร้องไห้อยู่เนิ่นนาน กาวที่แปะติดหน้ากากไว้พอโดนน้ำตามากเข้าก็จึงคลายฤทธิ์หลุดลอกออกบางส่วนอยู่ก่อนแล้ว ประจวบกับวันนี้สือหย่งหลุนเพิ่งไปขุดหาหัวมันในป่าจนดินเลอะชายแขนเสื้อเป็นแผ่นแข็ง เมื่อชายเสื้อตำแหน่งนั้นไปเกี่ยวเข้ากับขอบแผลเป็นปลอม ๆ ซึ่งเผยอขึ้นมา จึงกลายเป็นการเปิดเผยความลับฟ่านไป่หนิงโดยที่นางไม่ทันตั้งตัวแม้แต่น้อย
อีกฝ่ายเองก็ตกใจไม่ต่างจากนางนัก สือหย่งหลุนกระหวัดสายตาจ้องแผ่นหนังในมือ ก่อนเบือนหน้ามาคิดไถ่ถามนางด้วยความสงสัย พลันต้องอ้าปากค้าง ตะลึงมองสหายนิ่งราวถูกสาป
จันทร์เต็มดวงกระจ่างกลางฟากฟ้า สาดแสงทองอำพันต้องกระทบใบหน้างามหมดจดที่แอบซ่อนไว้มาเนิ่นนาน นัยน์ตาดำขลับแสดงอารมณ์ประหวั่นตื่นตกใจ หากในสายตามันกลับเห็นแต่ประกายระยับอ้อล้อแสงจันทรา ขนตาหนาเป็นแพรของนางกะพริบปริบ ๆ ได้สองสามครั้ง ผิวเนื้อนวลละออก็กลับปรากฏรอยแดงเรื่อด้วยความอุธัจจากวัยแรกสาว พิศแล้วยิ่งนึกอยากไล้นิ้วลูบสัมผัสความละมุนนั้น
ฟ่านไป่หนิงห่อไหล่อย่างขัดเขิน ริมฝีปากบางสีกุหลาบยื่นออกน้อย ๆ ด้วยท่าทางสำนึกผิด ก่อนจะขยับกล่าวบางอย่างออกมา แต่สือหย่งหลุนผู้ตกอยู่ในภวังค์ละเมอคล้ายไม่ได้ยินแม้แต่น้อย พลันมือบอบบางของคนตรงหน้าก็พุ่งมาคว้าหน้ากากในมือมันไปซ่อนไว้ด้านหลังตัว นั่นแหละมันถึงได้สติ อดใจหายวาบไม่ได้ นี่ถ้ามันยังไม่รู้สึกตัวคงได้เผลอใช้มือข้างนั้นทำกิริยาเสียมารยาทใส่นางตามอารมณ์ปรารถนาเป็นแน่
ความละอายตอกย้ำจนมันหน้าแดงวูบ แต่ดรุณีน้อยเห็นอาการมันกลับตีความว่าเด็กหนุ่มกำลังโกรธที่นางปิดบัง ได้แต่ระล่ำระลักแก้ตัวว่า
พี่อย่าเพิ่งโมโหนะ ข้าไม่ได้คิดหลอกลวงพี่เลยแต่ที่ต้องทำเช่นนี้เพราะความจำเป็นบางอย่าง...
ข้างสือหย่งหลุนผู้พยายามรวบรวมสติที่กระเจิดกระเจิงกลับมาได้เพียงครึ่ง ภาพดรุณีน้อยซึ่งก้มหน้างุดกล่าวเสียงละห้อยนั่นยิ่งชวนน่ารักน่าเอ็นดูเสียกระไร ขณะเดียวกันก็นึกอยากแกล้งนางขึ้นมา จึงปั้นหน้าเคร่งกล่าวห้วน ๆ ว่า
อ้อ ไหนลองว่ามาซิ
อีกฝ่ายยังไม่ทันรู้ตัว รีบตะกุกตะกักเล่าเรื่องราวยืดยาว เด็กหนุ่มฟังแล้วย่อมคล้อยตามได้ไม่ยาก ด้วยประสบกับตัวเองเลยว่าใบหน้างามตรงหน้าสร้างความปั่นป่วนต่อมันได้ถึงเพียงไหน อดนึกชื่นชมความรอบคอบของอาจารย์นางไม่ได้ กระนั้นก็ยังจงใจขมวดคิ้วบึ้งตึงเช่นเดิม แสร้งเอ่ยเสียงหนัก
แต่เราคบกันมาตั้งนาน เจ้าไม่คิดบอกให้ข้ารู้เลยรึ
ข้า...ข้า... ผู้ปราดเปรื่องเช่นนาง ตอนนี้กลับจนใจหาคำพูดแก้ตัว จำต้องยอมรับซื่อ ๆ ความจริงข้าก็คิดจะบอกพี่หลายครั้งแล้ว ทว่าหาจังหวะเหมาะไม่ได้เสียที ข้าขอโทษจริง ๆ ต้องทำยังไงพี่ถึงจะหายโกรธหรือ
สือหย่งหลุนเม้มริมฝีปากแน่นกลั้นเสียงหัวเราะ พักใหญ่กว่าจะเอ่ยสั้น ๆ ด้วยกลัวหลุดบท
งั้น...หลับตาลง
ดรุณีน้อยทำตามว่าง่ายทั้งที่นึกหวั่นว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรต่อ
ปิดปากแน่นหยั่งงั้นดูกระไรอยู่ เผยอปากหน่อยซิ...นิดเดียวก็พอ เด็กหนุ่มสั่งต่ออย่างได้ใจ แต่ฟ่านไป่หนิงฟังแล้วใจหายวาบ
นี่...นี่มันคงไม่คิดจะ...
เอ้า รออะไรอยู่ไม่อยากให้ข้าหายโกรธรึไง
พอสือหย่งหลุนสำทับเช่นนั้น นางก็จำต้องทำตาม หัวใจระรัวสะท้อนในอกจนรู้สึกได้ ความร้อนผะผ่าวไล่ตามสองข้างแก้มขึ้นมาอีกครั้งเมื่อชายตรงหน้าเงียบกริบไร้สุ้มเสียง สมองชาดิกคิดอันใดไม่ออก พลันริมฝีปากบางก็ถูกกระทบด้วยสัมผัสระอุอุ่นนิ่มนวล...
ฟ่านไป่หนิงลืมตาฉับพลัน มือรีบยกก้อนแป้งซาละเปาที่ถูกยัดใส่ปากออกดู ท่ามกลางความงุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก นางก็รีบกระหวัดสายตามองสหาย
สือหย่งหลุนยกซาละเปาที่เหลือมาปิดรอบตาซ้าย ฉีกยิ้มสัพยอกนางว่า
กินซาละเปาลูกนั้นหมดแล้ว ช่วยบอกทีนะว่าหน้าข้าตอนนี้อัปลักษณ์แค่ไหน
ฟ่านไป่หนิงทั้งโกรธทั้งอาย สองมือจึงเผลอตวัดออกผลักใส่มันเต็มแรง สือหย่งหลุนไม่ทันระวังเสียหลักวูบผลัดตกจากหลังคาทันที คนผลักตกใจรีบคว้ามือมันไว้แต่ด้วยน้ำหนักอีกฝ่ายที่มากกว่า กลายเป็นว่านางถูกฉุดหล่นพื้นพร้อมกันแทน
ฝุ่นดินบนพื้นโปรยคละคลุ้งด้วยแรงกระแทก ฟ่านไป่หนิงไอค็อกแค็กพลางยันตัวขึ้น ก่อนพบว่าตัวนั้นนอนพังพาบอยู่บนร่างเด็กหนุ่มจึงแทบไม่บาดเจ็บอันใดเลย นางจึงรีบพลิกตัวคว่ำหน้าร้องถามว่า
พี่หย่งหลุน เป็นอะไรไหม
เพราะดรุณีน้อยยังนั่งทับมันอยู่ สือหย่งหลุนจึงทำได้แค่ยกหน้าขึ้นสะบัดไปมา เอ่ยเสียงอู้อี้
ไม่หรอก มันกะพริบตาปริบ ๆ พอเริ่มเห็นใบหน้าผู้ถามเรือนลาง มือก็เอื้อมไปลูบผมนางแล้วถามบ้างว่า เจ้าล่ะ เป็นอะไร...
คำพูดชะงักค้างแค่นั้น เมื่อใบหน้างามพิศใต้แสงจันทร์ปรากฏเต็มคลองจักษุ กลิ่นหอมระรวยจากร่างบางที่แนบใกล้ พลันสมองพร่าเลือนสติหลุดหาย มือข้างเดิมเลื่อนต่ำลงมาลูบผ่านแก้มนวลเชื่องช้าก่อนหยุดอยู่ที่ริมฝีปากบางนั้น
ฟ่านไป่หนิงนิ่งอึ้งกับกิริยานั้น แต่ก็มิได้หลบหลีกเลี่ยงหนี เพียงหลุบตาลงสบนัยน์ตาลึกล้ำของมัน แล้วค่อยเลื่อนใบหน้าลงช้า ๆ ตามแรงดึงแผ่วเบาของมือที่ช้อนใต้คาง จนสัมผัสถึงไออุ่นจากลมหายใจของชายตรงหน้า...
ทำอะไรกัน!
สองร่างผละจากกันทันทีที่เสียงตะโกนดังกังวานขึ้น ต่างคนต่างเสมองไปคนละทาง ปล่อยให้เหอเสี้ยวเทียนเจ้าของเสียงมองทั้งคู่ไปมาด้วยสับสน แล้วเสียงเจื้อยแจ้วก็ไล่ซักต่อทันควัน
ดึกดื่นยังทำเสียงดังลั่นบ้าน ข้าสะดุ้งจนนอนไม่หลับเลย
เหอหมิงเฉิงค่อยเดินเชื่องช้ามารวมกลุ่ม บ่งให้รู้ว่าที่โดนปลุกไม่ได้มีแค่หลานมันคนเดียว สือหย่งหลุนกลืนน้ำลายแห้ง ๆ ลุกขึ้นกล่าวแทนดรุณีน้อยที่ยังนั่งก้มหน้างุดว่า
คือข้าปีนขึ้นหลังคาไปเอาซาละเปาให้ไป่หนิง เผอิญเสียหลักตกลงมาเท่านั้น
ถ้าเหอหมิงเฉิงจะเดาสิ่งใดได้มากกว่านั้น มันก็ไม่ได้พูดความในใจออกมานอกจากอมยิ้มน้อย ๆ มีเพียงหลานมันที่ชี้ใส่ดรุณีน้อยพลางเอ่ยว่า
แผลเจ้าหายไปไหนแล้ว
ฟ่านไป่หนิงผงะอย่างเพิ่งนึกได้ ยกมือลูบแก้มแดงก่ำของตนที่ตอนนี้ปราศจากหน้ากากอัปลักษณ์อย่างเผลอไผล ก่อนจะรีบปั้นหน้าบึ้งกลบความขวยเขิน ระหว่างขยี้หัวเจ้าเด็กน้อยอย่างนึกหมั่นเขี้ยว
เฮอะ ข้าใส่หน้ากากไว้ลองภูมิเจ้าดูว่าจะมองออกไหม แล้วอีกอย่าง ใช้คำเจ้านู่นเจ้านี่ได้อย่างไรกัน บอกแล้วไงว่าให้เรียกข้าพี่ไป่หนิง
เหอเสี้ยวเทียนสะบัดหัวหลบอย่างถือตัว ตอบว่า
เชอะ เจ้าชมชอบกลั่นแกล้งข้า ทำไมข้าจะต้อง...อ๊ะ เอาคืนมานะ!
ร่างเล็ก ๆ กระโดดหยองแย็งพยายามยื้อยุดเอาลูกแก้วน้ำแข็งศักดิ์สิทธิ์ที่นางแอบคว้าตอนทีเผลอ ฟ่านไป่หนิงเห็นเข้าก็ยิ่งชูของออกสุดแขนยั่วเย้ามัน ปากก็ว่า
เรียกข้าพี่ไป่หนิงเสียดี ๆ แล้วจะยอมคืนให้
แม้จะเป็นเรื่องบังเอิญแต่นับว่าโชคดียิ่งที่ตอนพบกันครั้งแรก สือหย่งหลุนเกลี้ยกล่อมให้นางคืนลูกแก้วนี้แก่เหอเสี้ยวเทียนไป ด้วยเพราะพิษในร่างมันทำให้ออกห่างจากลูกแก้วได้ชั่วคราวเท่านั้น ถ้าตอนนั้นนางดื้อดึงไม่ยอมปล่อยคืนแก่เด็กน้อย ผลคงเลวร้ายสุดหยั่ง ฟ่านไป่หนิงรู้แก่ใจครานี้จึงคิดแกล้งมันเพียงเล็กน้อย
เหอหมิงเฉิงส่ายหัวนึกระอา ก่อนแตะมือลงบนบ่าหลาน กล่าวเนิบ ๆ
อาเทียน คนเราต้องรู้จักสัมมาคารวะ ไม่เช่นนั้นตาคงโดนหาว่าสั่งสอนเจ้าไม่ดี อีกอย่างพรุ่งนี้จำต้องจากกันแล้ว ควรหรือที่จะอำลากันด้วยการทะเลาะ
ฟ่านไป่หนิงเบิ่งตากว้างกับข่าวใหม่ พวกท่านจะไปแล้ว
สือหย่งหลุนตอบคำถามแทนว่า
ใช่ พอดีตอนเย็นอารมณ์เจ้าไม่ปกติท่านเหอจึงมาบอกข้าแทน ท่านว่าอาการป่วยทุเลามากแล้ว ทั้งยังคิดถึงคนที่บ้านจึงอยากรีบกลับ มันนิ่งไปสักพักแล้วกล่าวอีกว่า ข้าเองก็อยากปรึกษาเจ้าเหมือนกัน ตอนนี้ข้าฝึกวิชาถึงขั้นสามแล้ว นับว่าก้าวหน้าไวกว่าที่คิด อีกทั้งวันเกิดท่านย่าก็ใกล้เข้ามามาก จึงคิดชวนเจ้าเดินทางกลับบ้านในวันพรุ่งนี้เช่นกัน เจ้าคิดว่าอย่างไร
ดรุณีน้อยครุ่นคิดชั่วแวบก็พยักหน้ารับ ในเมื่ออาจารย์ไปแล้ว นางจะรั้งอยู่ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์ ในช่วงนั้นเองนางเผลอลดมือลง เหอเสี้ยวเทียนได้จังหวะคว้าลูกแก้วน้ำแข็งศักดิ์สิทธิ์ไว้ได้ แต่ดรุณีน้อยยังกำเชือกที่พันลูกแก้วไว้แน่น ย่อตัวลงประสานตากับเด็กน้อย เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังที่ไม่เคยใช้มาก่อน
อาเทียน เจ้ารู้ใช่ไหมว่าทำไมตัวเองถึงต้องพกของชิ้นนี้ติดตัวตลอดเวลา เหอเสี้ยวเทียนชะงัก ก่อนผงกศีรษะรับ ลึกลงไปในแววตามันปรากฏประกายสุขุมคล้ายลักษณะผู้ใหญ่มากกว่าเด็กน้อยไม่รู้ความ
ท่านตาเล่าให้ฟังว่านี่เป็นหลักฐานแสดงว่าข้าติดหนี้ชีวิตเพื่อนคนหนึ่งไว้ ต่อไปต้องดูแลรักษาตัวให้ดี เติบโตเป็นผู้กล้าที่ผดุงคุณธรรมทดแทนบุญคุณคน ๆ นั้น
ฟังจบแล้วฟ่านไป่หนิงค่อยยอมปล่อยมือโดยดี ส่งยิ้มที่แฝงทั้งอารมณ์ภูมิใจและรันทดอย่างบอกไม่ถูก อดกระหวัดไปถึงองค์ชายน้อยที่อยู่บนสวรรค์ไม่ได้
นับว่าอาจารย์ข้าเลือกคนไม่ผิด
เด็กน้อยทำตาแดง ๆ แม้นปากจะพูดดื้อดึงใส่หญิงตรงหน้า หากความจริงหลายวันที่ผ่านพ้นล้วนเคยหยอกเย้าเคยเล่นด้วยกันมา บัดนี้ย่อมบังเกิดความอาลัยอยู่หลายส่วน พลันส่งเสียงละห้อย
พี่ไป่หนิง พี่หย่งหลุน จากกันคราวนี้ไม่รู้จะได้พบอีกเมื่อไหร่ สือหย่งหลุนยิ้มแย้มลูบหัวมันด้วยความเอ็นดู ฟ่านไป่หนิงเองก็หัวเราะน้อย ๆ ดึงตัวมันเข้ามากอด พูดว่า
รอเจ้าอายุครบสิบหกปีเมื่อไหร่ อาจารย์กับข้าจะเดินทางไปรักษาเจ้าให้หายแน่ ข้าสัญญา
เหอเสี้ยวเทียนพลันน้ำตาปริ่ม ถึงกับรีบผลักนางออกวิ่งตื๋อหนีเข้าห้องไปทันที เหอหมิงเฉิงได้แต่นึกขำกิริยาหลานก่อนเอ่ยขอตัว เดินตามหลานหลบไป
| จากคุณ |
:
จันทร์พันฝัน
|
| เขียนเมื่อ |
:
5 พ.ย. 53 17:11:09
|
|
|
|