|
หมับ
เสียงจับมือดังขึ้นอย่างจังหนับ นาคารินดึงตัวเนร่าขึ้นไปบนเนินเตี้ยๆจุดหนึ่ง ทั้งๆที่มีทางเดินโล่ง แต่ว่าเขากลับไม่เลือกที่จะเดินขึ้นเนินเตี้ยๆ เผื่อฝ่าป่าที่ดูเดินได้ยากลำบากกว่าแทน ดูเหมือนเส้นทางนี้จะส่งผ่านไปถึงภูเขาที่ไม่สูงใหญ่มากนัก
พวกเราจะต้องขึ้นเขากันก่อนนาคารินอธิบาย ไปซักครึ่งนึงของเส้นทางปีนเขาก็พอ พวกเราต้องดูทิศทางก่อนออกเดินทางอีกครั้ง มันเป็นทางเดียวที่พวกเราจะออกไปจากป่าแห่งนี้ได้โดยไม่หลงทิศทางไปซะก่อน ส่วนทางอื่นถึงจะอาจจะออกจากป่าได้ แต่ความอันตรายของมัน สูงกว่ามาก
เนร่าพยักหน้าตามอย่างเงียบงัน เป็นผู้ฟังที่ดี ในใจก็กระจ่างว่าเหตุใดนางถึงหลงป่าได้ง่ายดายขนาดนี้ ป่าแห่งนี้ต้องมีอาถรรพ์บางประการซ่อนเร้นอยู่เป็นแน่แท้
เอาละ พวกเราต้องเดินกันซักยี่สิบนาทีนาคารินพึมพำเบาๆ แล้วมองไปรอบๆ ที่นี่เคยมีสัตว์ผ่านมาประมาณสามสิบนาทีที่แล้ว คงไม่ต้องกลัวอะไรมาก แต่พวกเราเองก็ต้องรีบเดินทาง กลิ่นของเจ้าจะต้องเรียกสัตว์ร้ายมาแน่ๆ
ข้าไม่มีกลิ่นซักหน่อยเนร่าเอ่ยปากเถียง หน้าแดงด้วยความอับอาย
ข้าไม่ได้หมายถึงกลิ่นตัวนาคารินขมวดคิ้ว เมื่อพบความเข้าใจผิดนี้ กลิ่นพลัง และ กลิ่นวิญญาณของเจ้าต่างหาก ที่มันหอมหวนเหลือเกิน...
เนร่าอ้าปากค้าง สีหน้าของนางงุนงงอย่างยิ่ง แต่นาคารินไม่ใส่ใจสีหน้าของนางนัก เพียงเดินนำต่อไปเรื่อยๆ จนเนร่าต้องรีบเดินตามทันที เพราะไม่อยากถูกทิ้งห่าง
ท่านรู้ได้ยังไง ว่ากลิ่นวิญญาณของข้าหอมหรือเหม็นเนร่าเอ่ยปากถามทันที
นาคารินยิ้มเล็กน้อย เจ้าคิดว่ายังไงละเขาถามย้อนกลับ ข้าจะไม่บอกเจ้าหรอก ว่าข้ารู้ได้ยังไง แต่ข้าจะเล่าประวัติของป่าแห่งนี้ให้ฟังหน่อย เพราะเรื่องนี้มันเกี่ยวกับเจ้าโดยตรง... ซึ่งหากข้าเดาไม่ผิด มันจะเกิดกับเจ้าแทบทุกครั้ง หรือทุกครั้งที่เจ้าย่างกรายเข้าไปในป่า ไม่ว่าที่ไหนก็ตามที่มีสัตว์อาศัย
ทั้งคู่เดินมาด้วยกัน นาคารินเห็นว่าเนร่าไม่ได้โต้แย้งอะไร ก็ตัดสินใจเล่าเรื่องแต่โดยดี โดยไม่คิดจะปิดบังอะไร
ในสมัยกาลนับพันปีก่อน มนุษย์นั้นรวมตัวกันได้เพียงแค่กลุ่มก้อนไม่มาก ยุคนั้นเป็นยุคของสัตว์ร้าย... แต่มนุษย์เอาตัวรอดได้ด้วยการพยายามพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งมีอำนาจวิเศษที่เรียกว่า พลังเวท เกิดขึ้นมา สงครามระหว่างมนุษย์กับสัตว์ร้ายเกิดขึ้นเนืองๆ ความสูญเสียเกิดขึ้นกับเหล่าสัตว์ร้ายมากกว่ามนุษย์
นาคารินอธิบายด้วยน้ำเสียงเนิบๆ แต่มันเป็นเพียงแค่ภาพรวมเท่านั้น เพราะเหล่าสัตว์ร้ายที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงยังไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นมาเลยเขาเสริม สาเหตุที่เหล่าสัตว์ร้ายฆ่ามนุษย์เพื่อเป็นอาหาร ไม่ใช่เพราะความแค้นอคติใดๆทั้งสิ้น แต่เพราะว่ามนุษย์นั้นตัวหอมเกินไป
พอกล่าวมาถึงตรงนี้ ดูเหมือนเนร่าจะเริ่มสนใจในคำพูดของนาคารินมากขึ้น หญิงสาวปีนก้อนหินก้อนหนึ่ง แล้วเดินตามนาคารินที่เดินนำมาก่อนแล้วต่อ ในขณะที่หูก็รับฟังเสียงของเขาอย่างมีสมาธิ
ว่ากันว่าสาเหตุที่มนุษย์นั้นมีกลิ่นหอมยั่วยวนสัตว์ร้าย เกิดมาจากมนุษย์นั้นมีความคิดและวัฒนธรรม รู้จักการขัดเกลาจิตใจ รวมทั้งขัดเกลาพลังเวทในตัวเอง ยิ่งผู้ที่ทำงานในโบสถ์หรือศาสนจักร แล้วเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมสูงๆกับองค์เทพที่แท้จริง ยิ่งผลักดันตัวเองให้มีกลิ่นหอมจนยั่วยวนเหล่าสัตว์ร้ายขึ้นไปอีกหลายเท่าตัวนาคารินอธิบาย นั่นทำให้เหล่าสัตว์ร้ายต่างพากันชื่นชอบในการกินมนุษย์อย่างยิ่ง ที่จริงไม่เพียงแม้แต่สัตว์ร้ายหรอก แม้แต่สัตว์ธรรมดา สาเหตุที่มันมาคลอเคลียด้วย ก็เพราะต้องการซึบซับไอวิญญาณเช่นเดียวกัน
นาคารินมองไปรอบๆอีกครั้ง แล้วก้มลงมองสำรวจพื้นที่มีรอยเท้าหลายรอยมากอย่างพิจารณา สีหน้าของเด็กหนุ่มตอนนี้ดูผ่อนคลายขึ้น
เกิดสงครามขึ้นมา มนุษย์สร้างผู้นำขึ้นมาหลายคนที่ไว้ต่อกรกับเหล่าสัตว์ร้าย แต่ดูเหมือนจะไม่ไหวนาคารินยิ้ม มีสัตว์ร้ายที่เรียกตัวเองว่า ราชาแห่งสรรพสัตว์ เป็นสัตว์ร้ายที่ทรงพลังอำนาจเหลือเชื่อเริ่มเคลื่อนไหวบ้าง พวกมันทำให้มนุษย์หลายอาณาจักรล่มสลายลงไป จนในที่สุดเหล่าผู้นำของมนุษย์ก็เริ่มที่จะหาวิธีใหม่ นอกจากการสู้
นาคารินปัดดงไม้ออกไป เผยให้เห็นกระต่ายตัวนึงซ่อนตัวอยู่ ตัวของมันสีขาวเหมือนหิมะ
อ๊ะ กระต่ายเนร่าร้องขึ้น น่ารักจัง
หญิงสาวเดินเข้าไปหากระต่ายน้อย แต่พริบตาเดียวดวงตาของมันก็เบิกกว้าง ปากน้อยๆอ้าขึ้นมาเผยให้เห็นฟันแหลมคม ขนาดตัวของมันขยายใหญ่ขึ้นมาจนกลายเป็นกระต่ายยักษ์พอๆกับเสือตัวนึงที่มีท่าทีดุร้ายสุดขีดในชั่วเสี้ยววินาที ทำให้หญิงสาวที่กำลังเดินไปอุ้มมัน เบิกตากว้าง
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
เนร่ากรีดร้องลั่น แต่พริบตาเดียวกระต่ายยักษ์ก็ถูกผลักไปติดต้นไม้ด้วยพลังอำนาจบางอย่าง นาคารินเดินผ่านเนร่าไปหามัน สีหน้าของเขาเรียบเฉยมากเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาไม่มีอะไร
เจ้านี่เรียกว่า กระต่ายยักษ์เวเดิ้ล มันเป็นนักล่าตัวยงตัวนึงเลยทีเดียวนาคารินอธิบายผิดสถานที่ผิดเวลา เจ้าตัวนี้ไม่เท่าไหร่หรอกสำหรับข้า เพียงแต่ว่าต้องทำให้ไม่มีแรงหน่อยเท่านั้น เพราะข้าเองก็ติดสัญญากับป่าแห่งนี้ว่า ห้ามฆ่าสัตว์ใดๆก็ตาม
นาคารินกล่าวจบก็ชักกริชออกมา กรีดผิวหนังบริเวณหน้าผากของมันบางๆจนเห็นรอยเลือดเล็กน้อย กระต่ายยักษ์พยายามดิ้นรน แต่ก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากมือที่มองไม่เห็นได้เลยแม้แต่นิดเดียว ชั่วพริบตาเดียวมันก็เบิกตากว้าง เมื่อมือของนาคารินแตะลงบนรอยแผลของมันเบาๆ
กี๊....
มันร้องเบาๆอย่างอ่อนแรง ก่อนที่จะหลับตาลง และทิ้งตัวนอนลงบนพื้น เพราะนาคารินปล่อยตัวมันไปแล้ว เด็กหนุ่มเก็บกริชลงไปในกระเป๋า และดึงมือของเนร่าที่ยังตกตะลึงอยู่เดินต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
พวกผู้นำตัดสินใจแปลงพลังวิญญาณของตัวเองให้กลายเป็นภูตนาคารินอธิบายเรื่องเล่าต่อหน้าตาเฉย
ไม่ค่อยรู้กรรมวิธีมากหรอกนะ แต่ดูเหมือนว่าพอเป็นภูตแล้ว พวกเขาจะมีพลังอำนาจเหนือกว่าสัตว์ร้ายมากทีเดียว เหล่าผู้นำทั้งหลายจึงตัดสินใจกำราบเหล่าสัตว์ร้ายผู้ทรงอำนาจทั้งหลาย แล้วเอามาขังไว้อยู่ในป่าร่วมกับตนเอง
พออธิบายถึงตรงนี้ ก็อยู่ขอบหน้าผาพอดี นาคารินมองไปยังเบื้องหน้า แล้วก็พบว่าเบื้องหน้ามีภูเขาสูงใหญ่ปิดกั้นอยู่ แต่หากมองเลยไปลิบๆ จะเห็นภูเขาที่สูงเสียดฟ้าลูกนึง ซึ่งนั่นเรียกว่า เกรทเมาท์เท่น ซึ่งเป็นภูเขาสูงที่สุดในโลกที่เป็นสัญลักษณ์ของเบลุสเซีย นั่นหมายถึงถ้าข้ามภูเขาอีกลูกไป ก็จะเดินทางไปถึงเขตป่าทางใต้ได้
อ่า... ภูเขาลูกนั้นนาคารินบ่นพึมพำ ข้าต้องแวะไปเยี่ยมภูตเจ้าถิ่นหน่อยแล้วมั้ง
เด็กหนุ่มหันหลังกลับมาเล็กน้อย แล้วกระชากหญิงสาวมาอยู่ในอ้อมกอด โดยที่เธอเองก็ยังไม่ทันตั้งตัว พริบตาเดียวหญิงสาวรู้สึกเหมือนร่างกำลังร่วงลงไปข้างล่างอย่างรวดเร็ว โดยมีเสียงคำรามอย่างเจ็บใจดังออกมาจากข้างบน เนร่าสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนที่จะ
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
เลิกกรี๊ดได้แล้ว
นาคารินบ่นอุบ มือปิดบางของหญิงสาวเอาไว้ ในขณะที่ร่างค่อยๆลดความเร็วในการร่วงหล่น จนกระทั่งขาของทั้งคู่แตะพื้นได้ในที่สุด เด็กหนุ่มปล่อยตัวเนร่าออกทันที ซึ่งทำให้หญิงสาวทรุดลงไปกองกับพื้น เพราะขาสั่นจนไม่อาจยืนไหว
กรี๊ดซะหูแทบแตกนาคารินบ่น ข้าไม่ได้ช่วยเจ้า เพื่อให้เจ้ากรี๊ดใส่หูข้านะ
หญิงสาวพยักหน้าถี่ๆเป็นเชิงรับรุ้ แต่ใบหน้าซีดเผือดด้วยความกลัว นั่นเป็นชั่ววินาทีที่นางกลัวที่สุดในชีวิตจริงๆ การร่วงหล่นนั้นเป็นการร่วงหล่นที่น่ากลัวอย่างมากชนิดที่นางไม่เคยพบเคยเจอมาก่อนในชีวิตของนางเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เราต้องรีบแล้วนาคารินพึมพำ กลิ่นของเจ้าแรงเกินไป ข้าไม่รับประกันว่าจะหนีพ้นจากการตามล่าครั้งนี้ได้ไหม
ตาม....ตามล่าเนร่าพึมพำ
ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ข้าจะบอกให้เจ้าได้ทราบนาคารินถอนหายใจยาวเหยียด ในป่านี้มีสัตว์ที่ทรงอำนาจสูงจำนวนมาก นอกจากราชาทั้งห้าแห่งป่าแล้ว สัตว์อื่นมีอิสระในการล่าได้เต็มที่ ตราบที่ยังอยู่ในเขตของป่า และถ้าข้าเดาไม่ผิด สัตว์ที่มีอำนาจที่กำลังตามล่าเจ้าอยู่น่ะ
นาคารินหลับตา แต่ว่าในดวงจิตสามารถสัมผัสถึงคลื่นวิญญาณอันแข็งกล้านั้นได้ มันกำลังเคลื่อนที่อย่างใจเย็น และคอยติดตามดูนาคารินห่างๆ มันล่าอย่างชาญฉลาด และเต็มไปด้วยไหวพริบ
เจ้านี่ชื่อว่าเกรทโกลเด้นวูลฟ์.... ในหนังสือคงมีสินะ ถ้าข้าจำไม่ผิดนาคารินพึมพำคล้ายพูดกับตัวเอง
สารนุกรมสัตว์วิเศษ มีเจ้าตัวนี้จ่าหัวเรื่องความอันตรายระดับต้นๆในหนังสือ ในหนังสือมันเขียนเอาไว้ว่า ขนาดตัวของมันใหญ่ประมาณสองเมตร แต่ว่าเจ้าตัวนี้น่ะ มันใหญ่ประมาณหกเมตร
เนร่าสูดลมหายใจเฮือกนึงอย่างหนาวเหน็บ แค่ขนาดสองเมตรนางก็กลัวจนแทบหัวหดแล้ว แต่นี่จะบอกว่า เจ้าตัวที่ตามล่านาง มีขนาดใหญ่โตถึงหกเมตรเลยหรือ
ข้ากับมันเคยปะทะกันครั้งนึงในป่านาคารินอธิบาย ถ้าโดนมันหมายหัวแล้ว ไม่มีใครรอดจากมันได้เลย
เด็กหนุ่มดึงเนร่าขึ้นมายืน
แล้วท่าน... รอดมาได้ยังไงเนร่าปากสั่น แต่ก็ถามเพราะว่านาคารินเคยปะทะกับหมาป่าตัวนี้มาก่อน
เพราะตอนนั้นมันยังไม่ได้หมายหัวข้าน่ะสิ.... แต่กับเจ้านะ โดนมันหมายหัวแล้วนาคารินยิ้มแห้งๆ แต่ไม่ต้องห่วง ในป่าแห่งนี้ ตราบที่เจ้ายังอยู่ข้างกายข้า เกรทโกลเด้นวูลฟ์ จะไม่กล้าบุกผลีผลาม จนกว่าจะถึงที่สุดของความอดทนมันจริงๆ ถึงตอนนั้นข้าจะเป็นคนถ่วงเวลาเอง เจ้าต้องหนีไปให้เร็วที่สุด หนีเข้าไปในเมืองให้ได้
อธิบายถึงตรงนี้ นาคารินก็เริ่มออกเดินต่อทันทีโดยไม่สนใจท่าทีของเนร่า เพราะตอนนี้ความเร็วในการเดินทางเป็นเรื่องสำคัญกว่ามาก และนาคารินเองก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาในการเดินทางเท่าไหร่กันแน่
ยิ่งเจ้าตัวที่ตามอยู่ แม้ว่านาคารินจะอธิบายเบื้องต้น แต่ความร้ายกาจของมันยังร้ายกาจกว่าที่นาคารินบรรยายให้เนร่าฟังตอนแรกมาก เพราะเจ้าตัวนี้มันมีชื่อเรียกในป่าว่า ทิล-เร ซึ่งเป็นภาษาสมัยก่อน ที่เรียกว่า ราชาแห่งผืนดิน ถัดจากราชาทั้งห้าของป่าแห่งนี้แล้ว จะประกอบด้วยสัตว์จำนวนหยิบมือที่เรียกว่า ผู้ควบคุมกฏระหว่างเขตแดน ซึ่งทิล-เร นั้นถือว่าเป็นผู้อยู่บนจุดยอดปิรามิดของตำแหน่งนั้น เรียกได้ว่าเป็นรองทางตำแหน่งอำนาจเพียงแค่ราชาทั้งห้าผู้ยิ่งใหญ่ไร้ใครเทียมในป่าแห่งนี้
นาคารินเหลือบมามองเนร่า ที่ตอนนี้มีอาการสั่นกลัวเหมือนเจ้าเข้าก็ไม่ปาน ท่าทางของเธอดูเหมือนว่ากลัว ทิล-เร มากๆจนถึงที่สุดด้วยซ้ำ นาคารินเองก็ตั้งใจจะปกป้องเธออยู่แล้ว เพราะเขาเองก็ต้องการจะรู้ว่าตัวต้นเหตุที่ทำให้ราชาถึงสี่ในห้าลุกฮือได้ขนาดนี้ มีอะไรเป็นประเด็นสำคัญกันแน่ถึงต้องหลบหนีการไล่ล่าขนาดนี้
แต่นาคารินไม่คิดจะเค้นคำตอบตอนนี้ เด็กหนุ่มใจเย็นกว่านั้นมาก ตอนนี้เขาต้องมองถึงการรักษาชีวิตของหญิงสาวผู้มีกลิ่นหอมยั่วสัตว์ร้ายผู้นี้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อน
แก้ไขเมื่อ 07 พ.ย. 53 08:17:50
| จากคุณ |
:
กุหลาบฤดูหนาว
|
| เขียนเมื่อ |
:
6 พ.ย. 53 08:56:24
|
|
|
|