บทนำ ฝันสีแดง
ทัมมุซ...รอดชีวิต...ให้ได้......ไม่ต้องล้างแค้นให้พ่อ......ไม่ต้องกอบกู้อาณาจักร......เลือกเส้นทางชีวิตของลูกเอง...ตามที่...ต้องการจริงๆ...
...คำพูดลอยแว่ว แสงสีแดงเจิดจ้าไหวระริก กลิ่นไหม้และกลิ่นคาวชวนคลื่นเหียนอวลในอากาศ...
เบื้องหน้า เด็กหนุ่มเห็นชายร่างสูงโปร่งสวมชุดสีน้ำเงินภูมิฐาน มงกุฎบนศีรษะประดับเพชรพลอยแพรวพราว และเขาสัตว์เด่นสง่า เขาจำชายนั้นได้ดี...เช่นเดียวกับซากหักพังรอบด้าน อาณาจักรของทั้งสองกำลังมอดไหม้ในกองเพลิงแดงฉาน กลางม่านไฟ เงาสีดำมากมายถือศาสตราวุธ...คมสะท้อนแสงแปลบปลาบ พวกมันกรูเข้ามา...รุมล้อมชายสวมมงกุฎ เด็กหนุ่มอยากร้องห้าม...แต่ไม่ทันประกายดาบฟันวาบ...ชายนั้นอันตรธานประหนึ่งสลายเป็นเถ้าธุลี
“เสด็จพ่อ–!”
เขาร่ำร้อง วิ่งไปยังที่ที่พระราชบิดาเคยยืนอยู่ แล้วก็ชะงักเมื่อเห็นกองร่างแน่นิ่ง ระเกะระกะบนของเหลวแดงฉานนองกว้าง เท้าสัมผัสความข้นหนืดน่าขยะแขยง นัยน์ตาจ้องตอบดวงตาเบิกกว้างไร้แววนับร้อยพัน มือที่ไร้ร่าง ทารกที่แหลกเหลว เครื่องในกองนอกช่องท้อง ผิวขาวเปลือยเปล่าของหญิงไร้หัว ทุกสิ่งขาวซีด...ตัดกับสีแดงที่ครอบคลุมต่างอาภรณ์แห่งความตาย
ร่างคุดคู้ของหญิงหนึ่งเด่นชัดที่สุด สองแขนของเธอประสานกอดบางสิ่งแนบอก แผ่นหลังมีรอยกรีดยาว เนื้อฉีกเหวอะหวะ สีแดงชุ่มโชก
“เสด็จแม่–!”
เขากรีดร้องอีกครา เสียงแหบโหย...แผ่วเบา...ขาดห้วง ลำคอเหมือนถูกแผดเผา...สำลักรสเค็มเฝื่อน ความมืดครอบคลุมบีบรัด ทิ้งเพียงกลิ่นสาบคาว ความเปียกชื้นค่อยๆ ท่วมทับจากใต้เท้า เสียงโหยหวนบาดหูสะท้อนก้องในกำแพงแคบๆ ห่อหุ้มตัวดุจเปลือกไข่เปราะบาง
ร่างของเขาถูกฉีกกระชากเป็นชิ้นๆ เมื่อมันแตกออก เหลือเพียงเลือดปนเศษเนื้อกองทับถมกัน ไร้ชีวิต...ไร้ตัวตน
* * * * *
ขื่อ...เพดานไม้...สีเทาเย็นตา...ตรงข้ามกับสีแดงฉานเมื่อครู่
เด็กหนุ่มผ่อนลมหายใจ ห้ามสิ่งที่เต้นแรงในอก เขาลุกขึ้นนั่งเงียบกริบ ไม่ให้คนอื่นๆ พลอยตื่นขึ้น มือเสยปอยผมเปียกเหงื่อเย็นเฉียบพ้นหน้าผาก ใช้สัมผัสบอกตนเอง...ว่านี่ต่างหากคือความจริง นี่คือปัจจุบันที่เขามีชีวิตอยู่ มิใช่โลกในเปลือกไข่เมื่อครู่...
...แม้นห้องที่ตนอยู่ยามนี้กลับแปลกตา...ไม่คุ้นชิน...เหมือนฝันยิ่งกว่า...
แสงสีเงินรางๆ จากหน้าต่างบอกว่าฟ้ายังไม่สาง เขาไม่ได้ง่วงจนอยากนอนต่อ จึงลุกจากฟูก กระนั้น เสียงแสกสากแผ่วเบาก็ไม่อาจเล็ดรอดประสาทหูของหัวหน้าครอบครัว
“ยังไม่เช้าเลยนี่” เสียงทุ้มต่ำอู้อี้ทักจากฟูกสองใบต่อกันในอีกมุมห้อง...ที่นอนชั่วคราวของท่านอา แม่ กับน้องสาวทั้งสอง
“ข้าไม่ง่วง เริ่มงานเร็วหน่อยจะไถนาได้มากขึ้น” เขาตอบเบาๆ ครั้นเห็นท่าเงาร่างของอีกฝ่ายจะลุกเช่นกันก็ชิงพูด “ท่านนอนต่อเถอะ ข้าจัดการเอง ข้าจำวิธีเทียมวัวกับไถนาได้หมดแล้ว”
ชายสูงวัยกว่าเพียงมองเขานิ่งอยู่ เหมือนประเมินความน่าเชื่อถือของคำพูดนั้น
“ได้ แต่อย่าหักโหมนัก ไม่ว่าเจ้าหรือวัว เหนื่อยก็พักเสียบ้าง”
อีกฝ่ายเอนลงตามเดิม เด็กหนุ่มผลุบออกนอกประตู แล้วปิดมันเบาๆ
* * * * *
ในแดนเหนือ อากาศยามเช้ามืดฤดูใบไม้ผลิเย็นกว่าที่เขาเคยคุ้น วัวหนุ่มในคอกร้องอุทธรณ์เล็กน้อยเมื่อถูกตามตัวเร็วกว่าปรกติ แต่เด็กหนุ่มมีประสบการณ์ดูแลสัตว์มาสามสี่ปีแล้ว จึงทำให้มันสงบลงได้ไม่ยาก ไม่นานทั้งสองก็ค่อยๆ เดินไปช้าๆ ท่ามกลางผืนดินว่างเปล่าล้อมรั้วไม้หยาบๆ มีคันไถหนักอึ้งคั่นกลางระหว่างคนกับวัว กรีดพลิกหน้าดินเป็นทางยาว
ความคิดของมนุษย์หลังคันไถก็ดูจะพลิกผัน ให้สิ่งเก่าๆ ที่ถูกซ่อนเร้นอยู่ภายใต้เผยขึ้นมา
หกปีแล้วสินะ...
หกปีแล้ว ที่เขาถือกำเนิดจากซากของชีวิตอีกชีวิตหนึ่ง ในอาณาจักรอีกแห่งหนึ่งซึ่งไม่เหลืออยู่ในโลกนี้อีก
...เป็นซากแสนประหลาด เพราะมีทุกสิ่งพร้อมมูล ทั้งชื่อ และครอบครัวที่คนนอกบอกว่าอบอุ่น...แต่สำหรับตนเองดูไม่เป็นจริงเสียยิ่งกว่าความทรงจำที่บางครั้งก็ขาดห้วงเลือนราง และความฝันถึงสีแดงที่ตามหลอกหลอน...
ฝันนั้นหมุนวันวิปโยคให้เขาดูซ้ำๆ ย้อนย้ำวันที่เขาสูญเสียบิดาแท้ๆ กับตัวตนไปพร้อมชีวิตมากมาย โลหิตหลั่งนองรอบกายเด็กชายที่นั่งขดตัวซ่อนในถังไม้ ฝากกลิ่นคาว ภาพติดตาสีแดงฉาน และเสียงกรีดร้องหลอกหลอนเขาเรื่อยมา
...แล้วข้าจะลืมได้อย่างไร...
“ตื่นเช้านะ” เสียงห้าวๆ ฉุดเด็กหนุ่มจากห้วงความคิด เขาหันขวับ พบชายอีกคนยืนพิงรั้วไม้นอกไร่ ข้างตัวมีลาบรรทุกไม้ฟืนบนหลัง
“สวัสดี” เขาทักตอบ “ข้ากลัวจะเพาะปลูกไม่ทัน เลยรีบทำงานหน่อย”
“ทันถมไป ไร่ข้ายังไม่ได้ไถเลย” อีกฝ่ายพูดกลั้วหัวเราะ “ได้ยินว่าครอบครัวเจ้าอพยพมาจากทะเลทรายหรือ”
“ใช่”
“ข้าชื่อเกล็น บ้านอยู่ตรงนี้เอง” คนพูดชี้ไปทางหลังคามุงฟางที่เห็นไม่ไกล “พ่อบอกว่าคนซื้อกระท่อมกับไร่ของเฒ่าฟินน์เพิ่งมาเมื่อวาน เลยว่าจะมาทักทาย”
“ข้าชื่ออาเมียร์” คนตอบนิ่งนึกครู่หนึ่งจึงเอ่ยเสริม “ยินดีที่ได้รู้จัก”
“ตอนแนะนำตัว บ้านเราเขาจับมือกัน” เกล็นยื่นมือข้างหนึ่งข้ามเหนือรั้ว
“อ้อ” เด็กหนุ่มต่างถิ่นเพิ่งระลึกได้ “แต่มือข้าเปื้อนดิน”
“ข้าเพิ่งไปตัดไม้ มือก็เลอะเหมือนกัน” อีกฝ่ายตอบยิ้มๆ
อาเมียร์เช็ดมือกับชายเสื้อ แล้วไปที่รั้ว ความสูงทั้งสองไม่ต่างกันมาก แต่เกล็นดูกำยำกว่า ชายหนุ่มมีผมสีฟาง ตาสีฟ้าสว่างแบบคนเหนือที่มีทั้งสีผมและสีตาหลากหลาย ผิดกับชาวอาณาจักรทางใต้ที่มีผมสีดำสนิท และตาสีน้ำตาลเข้มหรือดำ ทุกคนในบ้านของอาเมียร์เป็นเช่นนั้น เว้นเพียงแม่ที่มีนัยน์ตาสีอำพัน แปลกตากระทั่งกับคนอาณาจักรเดียวกัน
มือของเกล็นใหญ่หนาและสากกร้านกว่าเขามาก เด็กหนุ่มจึงโล่งอกเมื่ออีกฝ่ายไม่ทักเรื่องมือที่ค่อนข้างบาง และนิ้วยาวเรียวของตน ซึ่งหากพิจารณาร่วมกับผมยาวสีดำที่เขารวบมัดไว้ ก็ยิ่งขับให้เค้าหน้าค่อนไปทางผู้หญิงขึ้นอีก
“บ้านเจ้ามีกี่คนหรือ” เกล็นซัก
“ห้า แต่เดี๋ยวจะเป็นหก มี ‘พ่อ’ แม่ ข้ากับน้องสาวอีกสองคน ไม่นาน...อีกสักครึ่งปี...จะมีน้องอีกคน”
“ดีจริง มีพี่น้องเยอะๆ ท่าจะครึกครื้น ข้าเป็นลูกคนเดียว เลยอยากมีพี่น้องเหมือนกัน”
อาเมียร์ยิ้มรับแห้งๆ ที่จริงเขาเคยอยากมีน้อง...เมื่อพ่อแท้ๆ ยังมีชีวิตอยู่ น้องสาวทั้งสองคนเกิดหลังตนหลายปีเหลือเกิน ตอนนี้มีอายุเพียงห้าขวบกับสามขวบเท่านั้น เขาโตเกินกว่าจะอยากวิ่งเล่นกับพวกแกเสียแล้ว
ที่สำคัญ ถึงจะรักและเอ็นดูพวกแกอย่างไร บางสิ่งก็สะกิดใจอยู่นั่นเองว่าทั้งสองมีพ่อคนละคนกับเขา ซ้ำพ่อของน้องครึ่งสายเลือดทั้งสองยังเป็นอาของเขาเอง...
“เจ้าอายุเท่าไร” คำถามต่อไปของเกล็นกระตุกเขาจากห้วงความคิด
“สิบเจ็ด”
“เท่ากับข้าเลยนี่นา”
อาเมียร์เงยหน้ามองอีกฝ่ายอย่างประหลาดใจ ทีแรกเขาคิดว่าเกล็นอายุมากกว่า แต่แสงแดดที่เริ่มส่องสว่างก็ทำให้เห็นว่าใบหน้านั้นอ่อนเยาว์กว่าที่คิด
“เอ้อ...ข้าต้องไปก่อน แล้วเจอกัน” เด็กหนุ่มเจ้าถิ่นนิ่งนึกชั่วอึดใจ ก่อนทิ้งท้าย “หวังว่าเจ้าคงชอบกลาสเดลของเรา”
“ฮื่อ” อาเมียร์ยิ้มรับคนรุ่นราวคราวเดียวกันที่เขาพบเป็นคนแรกในกลาสเดล...หมู่บ้านเล็กๆ ในอาณาจักรธีร์ดีเร
เขาหวังว่าชีวิตใหม่จะลบเลือนฝันสีแดงของตนได้...แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี
* * * * *
แก้ไขเมื่อ 07 พ.ย. 53 23:32:23
จากคุณ |
:
Anithin
|
เขียนเมื่อ |
:
7 พ.ย. 53 23:31:39
|
|
|
|