‘มังกรน้ำ’ ตกลงพบคนนำสารของผู้สำเร็จราชการ ซึ่งยืนกรานว่าได้รับคำสั่งให้มอบสารลับให้ถึงมือ และทหารยามที่เฝ้าศาลากลางของเมืองเคนมาราก็อนุญาตให้ดูลัสผู้เป็นคนนำสารเข้าไปในห้องทำงานของเจ้ามณฑล หลังจากตรวจค้นจนแน่ใจว่าไม่มีอาวุธ
ไม่ช้า เขาก็มายืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะของชายวัยกลางคนผู้สวมชุดไว้ทุกข์สีดำ ซึ่งมองตรงมาทาง ‘คนนำสาร’ นิ่งอึ้งไปเพียงแวบ ก่อนจะขอบใจทหารนำทาง และบอกให้เขาทิ้งทั้งสองไว้ตามลำพัง
“ท่านราชองครักษ์ดูลัสมาถึงที่นี่ แสดงว่ามีเรื่องใหญ่สินะ” ชายวัยกลางคนพูดกับเขา “นั่งก่อนเถอะ”
“ข้าได้รับมอบหมายให้นำสารลับของท่านผู้สำเร็จราชการมามอบให้ท่าน” ชายหนุ่มพูดหลังจากนั่งหลังตรงบนเก้าอี้ สบตากับมังกรน้ำซึ่งมองมาอย่างพินิจพิเคราะห์ ขณะยื่นซองใส่สารประทับตราครั่งของทางการให้
ดูลัสจับสังเกต ขณะที่เจ้ามณฑลใช้มีดสั้นสำหรับเปิดซองเอกสารแซะตราครั่ง ครั้นแล้วก็หยิบพับกระดาษข้างในมาคลี่ออกอ่านด้วยสีหน้าเรียบเฉย...ดูว่าชายวัยกลางคนมีปฏิกิริยาใดกับคำสั่งให้ตามหาและส่งมอบคนในครอบครัวของอาเมียร์ทั้งหมดให้แก่ทางการเพื่อให้ ‘ความคุ้มครอง’ รวมทั้งโน้มน้าวให้เด็กหนุ่มชาวทรายเข้ามอบตัว
“รับทราบแล้ว ข้าจะปฏิบัติตามบัญชาของท่านผู้สำเร็จราชการ” เป็นคำตอบของเบเรค “ขอบคุณที่ท่านนำสารนี้มาให้ ว่าแต่ด้วยฐานะของท่าน สิ่งที่ได้รับฝากมาให้ข้าคงจะไม่ได้มีเพียงเท่านี้ใช่ไหม”
“ในเมื่อท่านทราบแล้ว ข้าก็จะไม่อ้อมค้อม” องครักษ์หนุ่มพูด “อาเมียร์กับชาลัวห์ไม่เพียงหนีออกจากคุก แต่ยังลักองค์เจ้าหญิงแอชลีนน์ไป ท่านย่อมเข้าใจความร้ายแรงของสถานการณ์นี้ และจะไม่ให้การซ่อนตัวแก่อาเมียร์หรือครอบครัว รวมทั้งไม่ปล่อยให้ลูกชายที่เหลืออยู่ของท่านช่วยเหลือมันเช่นกัน”
มังกรน้ำกลับเลิกคิ้วเพียงแวบกับข่าวร้ายนั้น จะเรียกว่าประหลาดใจ แต่ไม่ถึงกับตื่นตระหนกหรือเห็นเป็นเรื่องร้ายแรงก็คงได้
“ข้าทราบว่าลูกชายคนรองของท่านลอบออกจากด่านของมณฑลไปเมื่อหลายวันก่อน ท่านปฏิเสธได้หรือ ว่าตนเองไม่รู้เห็นเป็นใจ” ดูลัสพูดต่อไป
“ลอบออกไป? ท่านกล่าวหาเขาอย่างนั้นได้อย่างไร” เจ้ามณฑลตั้งคำถาม “มีกฎหมายห้ามเขาออกจากมณฑลนี้ด้วยหรือ”
ชายหนุ่มพยายามรักษาสีหน้าให้เรียบเฉย ข่มอารมณ์ขุ่นมัวเอาไว้...เมื่อเพิ่งตระหนักได้ว่าไม่มีกฎเกณฑ์หรือข้อบังคับใดๆ ตามที่อีกฝ่ายพูดจริงๆ
“แต่หากเขาทำสิ่งใดที่เป็นการช่วยเหลือนักโทษแผ่นดิน เขากับท่านย่อมต้องโทษหนักไปด้วย”
“เขาบอกข้าว่าจะไปดูละครในเมืองหลวงกับ ‘คุณหญิงแมฟ’ ทำไมท่านถึงคิดว่าเขาจะช่วยฆาตกรที่ฆ่าพี่ชายตนเอง”
“แต่พวกท่านดูจะไม่เชื่อว่าอาเมียร์เป็น ‘ฆาตกร’ คนนั้น หรือแม้แต่มีส่วนในเรื่องนี้ด้วยซ้ำ” องครักษ์หนุ่มแย้ง “ท่านเจ้ามณฑล ข้าทราบว่าท่านคงมีเหตุให้ไว้ใจคนทรายนั้นมาก แต่การที่เขาบังอาจลักองค์เจ้าหญิงไป...เป็นคนละเรื่องกับที่เขาถูกกล่าวหาว่าฆ่าเฟลิม”
“แล้วท่านทราบได้อย่างไร ว่าเจ้าหญิงถูกเขาลักองค์ไป” เบเรคกลับย้อนถามเรียบๆ
“หรือท่านจะบอกว่าเจ้าหญิงทรงสมัครพระทัยไปกับคนทรายนั่นกับชาลัวห์ด้วยพระองค์เอง” เสียงของดูลัสแข็งขึ้นโดยไม่ทันห้าม
“เท่าที่ข้าได้ยินในห้องไต่สวน เจ้าหญิงทรงรู้จักอาเมียร์มาก่อน ซ้ำยังทรงเป็นห่วงเขาด้วยไม่ใช่หรือ” ชายวัยกลางคนพูดเป็นนัย “หากคนที่ห่วงใยจะมีอันตรายถึงตาย ก็ต้องช่วยเท่าที่ทำได้ ไม่จริงหรืออย่างไร”
“ท่านรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าหญิงทรงห่วงใยคนทรายนั่น และมันไม่ได้ร่วมมือกับชาลัวห์จริงๆ มันอาจวางแผนชั่วกับชาลัวห์ ฆ่าลูกท่าน และลักองค์เจ้าหญิงไปเพื่อให้ชาลัวห์ได้เป็นกษัตริย์ก็ได้”
เจ้ามณฑลกลับมองเขาอย่างสงบแน่วนิ่ง ราวกับไม่มีความเคลือบแคลงเช่นนั้นเลย
“บิดาของท่านคงฝึกท่านให้สังเกตท่าทางของคนรอบข้างอยู่แล้วสินะ ว่าใครกันที่จริงใจต่อท่าน หรือเพียงแต่เสแสร้งเพื่อผลประโยชน์”
“ขอรับ” ชายหนุ่มรับ เดาสิ่งที่มังกรน้ำจะพูดต่อไปได้ทันที “ท่านจะบอกว่าท่านมองออก...ว่าอาเมียร์จริงใจต่อพวกท่าน?”
อีกฝ่ายพยักหน้า
“ข้าเห็นน้ำตาที่เขาหลั่งให้กับลูกของข้า และนั่นไม่ใช่น้ำตาที่เสแสร้งแน่นอน” เบเรคพูดหนักแน่น “เหมือนน้ำตาที่ข้าเคยเห็นท่านแฟคท์นาหลั่งให้กับพี่ชายทั้งสองของท่าน”
ดูลัสมองอีกฝ่ายอย่างพินิจพิเคราะห์ ขณะคาดเดาว่าเขาต้องการจะสื่อเรื่องใด
“ท่านพูดอะไร”
“ข้าเคยไปงานศพของพี่ชายทั้งสองของท่าน” สายตาที่เจ้ามณฑลส่งมาให้บอกความเสียใจอย่างลึกซึ้ง “ท่านแฟคท์นาบิดาท่านร้องไห้...ใช่ เขาร้องไห้หนักอย่างลืมตัว กล่าวตัดพ้อกระทั่งกษัตริย์และราชวงศ์ที่เขาสู้เพื่อปกป้องมาโดยตลอด...แทบเรียกได้ว่าเกือบหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จนคนอื่นๆ แทบไม่เชื่อเลยว่านี่คือกริฟฟอนแห่งภูผาผู้จงรักภักดีและทระนง แต่ตอนนี้ข้าจึงเพิ่งเข้าใจ ว่าหัวอกพ่อที่สูญเสียลูกเป็นอย่างไร อาเมียร์เองก็ร่วมร้องไห้ไปกับข้า ร้องไห้ในเวลาที่ไม่เห็นต้องบีบน้ำตาหลอกลวงใครๆ ด้วยซ้ำ”
“ทำไมท่านต้องไปงานศพของพี่ชายข้าด้วย” ชายหนุ่มตั้งคำถาม “เจ้ามณฑล...ไม่สิ ถึงตอนนั้นท่านคงยังไม่ได้เป็นเจ้ามณฑล ไม่เห็นต้องรักษามารยาทสังคมถึงเพียงนั้น”
“ข้ากับเขาสองคนเรียนร่วมกันในวิทยาลัยหลวง ข้าเป็นบัณฑิตรุ่นเดียวกับพี่ชายคนโตของเจ้า และบางทีก็พบพี่ชายคนรองบ้าง ที่จริง เราเคยพูดเล่นว่าเมื่อได้เป็นเจ้ามณฑลแล้วทั้งคู่ จะทำโครงการร่วมระหว่างมณฑลกันมากมายเสียด้วยซ้ำ” ชายวัยกลางคนถอนใจ “แต่ไม่นึกเลย ว่าทั้งสองคนจะด่วนจากไปก่อน เพราะศึกครั้งนั้น”
“ท่านตั้งใจจะพูดอะไรกันแน่” องครักษ์หนุ่มจ้องชายผู้มากวัยกว่าไม่วางตา “ถึงได้พูดเรื่องพี่ชายของข้าขึ้นมา”
“ท่านไม่เคยพบพวกเขาเลยใช่ไหม”
“...หากว่าไม่ แล้วทำไม” ดูลัสพยายามสงวนกิริยา “ท่านทั้งสองสิ้นไปก่อนข้าเกิดเสียอีก”
ที่จริง ต้องเรียกว่าหากพี่ชายทั้งสองซึ่งเขาไม่เคยรู้จักไม่ได้ตายไป ดูลัส ลูกชายคนที่สามของเจ้ามณฑลอุลทูร์คงไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นมาด้วยซ้ำ ...เพียงเพื่อเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งและตระกูลแทนคนที่เสียไป
บางที ชายหนุ่มไม่รู้ว่าตนควรรู้สึกอย่างไรดี เมื่อได้รู้ว่าตนเกิดมาเป็นลูกของบิดาที่มีวัยคราวปู่หรือตา ซึ่งหย่าขาดจากภรรยาเก่าที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานาน เพียงเพราะนางให้กำเนิดลูกไม่ได้อีก และแต่งงานใหม่กับแม่ของเขา...ธิดาขุนนางผู้มีชาติตระกูลเหมาะสม ซึ่งอายุห่างกันคราวลูก
ใช่ว่าบิดาไม่รักเขาดอก ดูลัสรู้ว่าท่านห่วงใย และคาดหวังในตัวเขามากในฐานะลูกชายคนเดียว กระนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนตนเองตกอยู่ในเงาของพี่ชายทั้งสอง และต้องขวนขวายเพื่อให้เก่งยิ่งไปกว่าพวกเขามาตลอด...กับคำพูดของบิดาที่มักเอ่ยอย่างโหยหา ว่าพี่ชายแต่ละคนเก่งกาจอย่างไรบ้าง และดูลัสควรจะเจริญรอยตามพวกเขาอย่างไรบ้าง
...’พี่’ สำหรับเขาจึงไม่ใช่สิ่งอื่นใดเลย นอกจากตัวเปรียบเทียบที่ตนเองไม่แม้แต่จะเคยเห็น นอกจากเพียงในภาพสีน้ำมันหลายต่อหลายรูปที่คฤหาสน์...
“ไม่เคยพบ แล้วท่านร้องไห้เสียใจให้การตายของพวกเขาได้ไหม”
องครักษ์หนุ่มไม่ตอบ ทว่าผู้ถามกลับต่อเสียเอง
“ข้าทราบว่าไม่ได้ หากอาเมียร์เผชิญเคราะห์กรรมหรือตายไป ท่านเองก็คงร้องไห้ให้เขาไม่ได้เช่นกัน เพราะไม่รู้จักเด็กคนนั้นเหมือนที่ข้ากับครอบครัวรู้จัก ท่านจะระแวงเขาก็ไม่แปลกหรอก เพราะท่านไม่ได้เห็นเขาอย่างที่ข้าเห็น แต่อาเมียร์ร้องไห้ให้เฟลิมของข้า ข้ารู้ และเห็นเรื่องนี้ชัดเจน”
“แต่ท่านจะเห็นเขาเป็นอย่างไร คงไม่สำคัญไปกว่าหน้าที่และความรับผิดชอบของท่าน” ดูลัสคิดว่าต้องดึงเหตุอื่นมาโต้แย้ง “ในฐานะข้าแผ่นดิน ข้าหวังว่าท่านจะถือความปลอดภัยของเจ้าหญิงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด อย่าปล่อยให้หน้าที่และเหตุผลของท่านถูกบดบังด้วยความรู้สึกส่วนตัวเลย”
“อาเมียร์ยังเป็นแค่ผู้ต้องสงสัยในทั้งสองกรณี ไม่ใช่ผู้ต้องหา” เบเรคแย้ง “ครอบครัวของเขาก็ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้...จนกว่าจะมีหลักฐานว่าพวกเขากระทำผิดเช่นกัน”
“แต่หากไม่ได้ทำผิด ไยจึงต้องหนี”
“หากไม่หนี เขาจะไม่ตาย...หรือไม่พิการไปในคุกกรงน้ำเสียก่อนหรือ” ชายวัยกลางคนขมวดคิ้ว “ทั้งเมอร์คาห์และเคนมาราติดทะเลเช่นเดียวกัน มังกรน้ำจะไม่ได้ยินเสียงของการทรมานบ้างได้อย่างไร”
“นั่นสินะ” องครักษ์หนุ่มรับ “และมังกรน้ำจะไม่โอบอุ้มงูพิษทะเลทรายฝูงหนึ่งไว้ เพราะถึงอยู่ในถิ่นแล้ง...ก็เห็นว่าเป็นชาติงูเหมือนกันได้อย่างไร...คำพูดของท่านบอกชัดแล้ว ว่าท่านตั้งใจขัดบัญชาของท่านผู้สำเร็จราชการ ท้าทายพระราชอำนาจของเจ้าหญิงแอชลีนน์”
“เจ้าหญิงแอชลีนน์เป็นผู้เดียวที่สามารถมีพระวินิจฉัยใช้อำนาจนั้น ไม่ว่าใครก็ไม่อาจกล่าวอ้างใช้อำนาจแทนพระองค์ได้” มังกรน้ำกล่าวตอบอย่างไม่กลัวเกรง
“เช่นนั้น ท่านก็ลบหลู่ท่านผู้สำเร็จราชการ” ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงของดูลัสยิ่งตึงเครียด
“ข้าแค่พูดถึงผู้ใดก็ตาม ที่บังอาจกล่าวอ้างใช้อำนาจที่ไม่ได้เป็นของตน” เบเรคเริ่มมองเขาอย่างแข็งกร้าว “หากอาเมียร์เป็นห่วงครอบครัว เขาก็จะมาตามหาครอบครัวของเขาเอง และหากเจ้าหญิงทรงเห็นว่าเขาปลอดภัยแล้ว ก็คงจะทรงติดต่อให้ข้าแผ่นดินผู้จงรักภักดีอารักขาพระองค์กลับพระราชวังเอง อย่าได้นึกเลย ว่าจะนำชีวิตของเด็กกับผู้หญิงไม่รู้อิโหน่อิเหน่ที่เป็นคนในปกครองของข้ามาบีบคั้นให้เขายอมมอบตัวได้”
“ท่านตั้งใจจะปล่อยให้พวกเขาหนีไป?” ดูลัสขมวดคิ้ว
“ข้าเป็นผู้ปกครองมณฑลนี้” มังกรน้ำเอ่ยช้าๆ “สิ่งใดที่มาจากยาร์ลาธ ข้าย่อมมีสิทธิ์จัดการด้วยตนเอง คนของข้าถูกกล่าวหาว่าฆ่าลูกชายข้า หากเขาได้รับการไต่สวนอย่างยุติธรรม...ข้าจะไม่ว่าสักคำ แต่เห็นได้ชัดเจนว่ามีใครบางคนอยากให้ทั้งเขากับชาลัวห์ตายในคุกในฐานะแพะรับบาป ข้าก็ต้องคุ้มครองพวกเขาเช่นกัน ไม่อย่างนั้นจะทวงความยุติธรรมคืนให้แก่ลูกข้าได้อย่างไร”
“แต่เจ้าหญิง—“
“ข้าเข้าใจว่าท่านกับผู้สำเร็จราชการเป็นห่วงเจ้าหญิง แต่เจ้าหญิงเองต้องทรงมีพระวินิจฉัยบางอย่างแน่ จึงได้พาทั้งสองหนีออกมา หากพระองค์กับผู้ต้องสงสัยทั้งสองมายังมณฑลนี้ตามที่ข้าคาดไว้ ข้าขอรับรองว่าจะส่งเสด็จพระองค์กลับเมอร์คาห์อย่างสมพระเกียรติ คุมตัวอาเมียร์กับชาลัวห์ไว้ และรับรองพระเถระลูเธียน ผู้ตามมาสืบคดีเป็นอย่างดี ข้าเป็นเจ้าทุกข์ มีสิทธิ์รู้เรื่องเกี่ยวกับคดีของลูกตนอย่างละเอียด ไม่จริงหรืออย่างไร”
องครักษ์หนุ่มลอบกัดฟัน เข้าใจถ่องแท้ว่ามังกรน้ำตรงหน้าจะไม่ยอมรั้งน้ำทะเลลงเป็นอันขาด
ถึงอย่างนั้น...
“ข้าเข้าใจเจตนาของท่านชัดเจนแล้ว แต่...ชาวอุลทูร์ก็มีวิธีของเราในฐานะข้าแผ่นดินเช่นกัน” ชายหนุ่มพูดเรียบเฉย “นกเรเวนที่ข้าส่งไปยังบ้านพักของท่านในทราธ...ป่านนี้คงตะปบงูทั้งรังไว้ในกรงเล็บ และพาบินกลับรังของพวกเราได้แล้ว”
สีหน้าของชายวัยกลางคนเปลี่ยนไปเพียงชั่วแวบ
“เรเวน...อย่าบอกว่า...ใช้หน่วยรบพิเศษของมณฑลตัวเองมาลักตัวประชาชนตามอำเภอใจ ราวกับบ้านเมืองไม่มีขื่อไม่มีแป นี่น่ะหรือ...สิ่งที่ข้าแผ่นดินกระทำกัน” เสียงของเจ้ามณฑลบอกความขุ่นมัวชัดแจ้ง “นอกจากพ่อของอาเมียร์ คนอื่นๆ ในบ้านเขาล้วนมีแต่ผู้หญิงกับเด็ก หากพวกเขาบาดเจ็บล้มตาย ท่านรับผิดชอบได้หรือ”
“อย่าห่วงเลย ข้าส่งพวกเขาไปแค่หกคนเท่านั้นเอง” ดูลัสตอบแต่โดยดี ในเมื่อไม่เห็นความจำเป็นของการปิดบัง “เราฝึกคนของเรามาอย่างดี ไม่เหมือนโจรถ่อยของชอร์ซาเป็นอันขาด พวกเขาได้รับคำสั่งให้จับเป็นพวกงูกลับไปทุกตัว โดยไม่ทำอันตรายร่างกายร้ายแรงเท่านั้น ถึงอย่างไร...เราก็ไม่ใจดำพอจะฆ่าฟันลูกสัตว์เล็กๆ โดยไม่มีเหตุสมควรหรอก”
เบเรคกลับดูผ่อนคลายขึ้นอย่างประหลาด
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว”
“หมายความว่าอย่างไร” องครักษ์หนุ่มไม่อาจกลั้นความสงสัย
“นกเรเวนหกตัวนั้นจะได้ไม่ถูกพ่องูฉกตาย ไม่สิ...ข้าว่าน่าจะเป็นพ่อหมาป่ามากกว่า”
* * * * *
คนเขียนขอคุย
ที่จริง ลูเธียนเป็นตัวละครที่ควรจะออกมาในภาคก่อนหน้า ซึ่งเป็นภาคต่อของตำนานคนจร ที่ผมยังไม่ได้เขียนเลย (...ซีรี่ส์ตำนานนี่ช่างยาวนานซับซ้อนจริง) แต่ให้ท่านพระมหาเถระได้ออกมาในภาคนี้ก็มีความรู้สึกแปลกใหม่ดี ผมเองก็อยากเขียนตัวละครแนวนักบวชปากเสีย กัดตรง ไม่ใจดีและรักเด็ก (???) ดูบ้างเหมือนกัน วิชาไม้เท้าของลูเธียน ผมได้แรงบันดาลใจมาจากล็อท (Lot) ในหนังเรื่อง The Last Day of Sodom and Gomorrah ซึ่งใช้ไม้เท้าเลี้ยงแกะหัวโค้งสู้กับดาบ แถมชนะอีกต่างหาก ทำให้รู้สึกว่ามีคทาหัวโค้งเอาไว้เกี่ยวดาบคนอื่นก็ดีไม่หยอก
อีกคนที่คงไม่คุยไม่ได้คือแม่มดดำ มาลิอา สาวน้อยตาบอดลึกลับ ซึ่งก็มีบทบาทสำคัญเช่นกัน เธอมีความเกี่ยวข้องกับตัวละครในเรื่องเซ็ตตำนานที่ออกมาแล้ว แต่ผมก็จะพยายามให้บทของเธอเป็นที่จดจำในภาคนี้โดยไม่ต้องอิงจากภาคก่อนหน้าได้ครับ
ส่วนช่วงท้ายของบท ก็ให้ดูลัสได้โคจรมาคุยกับท่านเบเรคบ้าง เรื่องของพี่ชายดูลัสนี่ก็เป็นเรื่องในอดีตที่มีความสำคัญกับเรื่องและการเติบโตของดูลัสเช่นกัน ส่วนเรื่องหน่วยพิเศษเรเวน ตอนนั้นคิดไว้ค่อนข้างสด โดยอิงชื่อมาจากนกกาดำใหญ่ ที่ตั้งชื่อแบบนี้ก็เพราะสัญลักษณ์ของมณฑลอุลทูร์คือกริฟฟิน หรือกริฟฟอน ซึ่งเป็นสัตว์ปีกในตำนาน จึงน่าจะไปกันได้กับนกครับ
แต่แบบนี้ ถ้ายาร์ลาธมีกองกำลังพิเศษ ก็คงจะต้องใช้ชื่อ งูทะเล (ตามสัญลักษณ์มังกรน้ำ) และถ้าชอร์ซามีกองกำลังพิเศษ ก็คงจะเป็นหน่วยหมูสนาม (ตามสัญลักษณ์หมูป่า???) สินะ ^^a
ป.ล. ฝากรูปของลูเธียนที่วาดไว้สมัยก่อน (ลายเส้นคงเปลี่ยนไปจากเดิมเยอะเหมือนกัน) ไว้นะครับ (เจี๋ยมเจี้ยมน่าดู...)
จากคุณ |
:
Anithin
|
เขียนเมื่อ |
:
7 พ.ย. 53 23:55:09
|
|
|
|