Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
Valhalla - บทที่ 1 เซราฟ ติดต่อทีมงาน

ตอนก่อนหน้านี้

บทนำ 1-2
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W9892294/W9892294.html


บทที่ 1
เซราฟ

       
        ปี E.A ที่ 0015  
        ยานโดยสารอวกาศ        
        สถานที่เป้าหมาย : วัลฮัลลา


        “อีก 30 นาที ยานของเราจะไปถึงวัลฮัลลา ขอให้ผู้โดยสารทุกคนประจำที่และรัดเข็มขัดให้เรียบร้อยค่ะ”
        เสียงแจ้งจากคอมพิวเตอร์ดังขึ้นทั่วภายในยานโดยสาร
        ในฐานะผู้โดยสารคนหนึ่ง อนาสตาเซียทำตามอย่างไร้อารมณ์ พลางทอดสายตาผ่านกระจกกั้นยานออกไปยังห้วงอวกาศอันดำมืด
        เธอถอนใจเบาๆ พลางม้วนผมสีแดงยาวของตนเล่น ผิวของเธอขาวราวปุยเมฆ แม้จะมีอายุเพียง 14 ปี แต่ลักษณะภายนอกของเธอนั้นดูสง่าและเป็นผู้ใหญ่เกินอายุ
        เธอก้มมองอุปกรณ์สวมที่สวมอยู่ที่ข้อมือ มันเป็นเครื่องมือที่ถูกเรียกว่าลิ๊งค์ (Link) ซึ่งใช้ในการบันทึกข้อมูลต่างๆที่สำคัญสำหรับคนผู้นั้น เช่นประวัติโดยทั่วไปเพื่อยืนยันสถานะในการเป็นพลเรือนหรือนายทหาร นอกจากนี้มันยังเป็นอุปกรณ์ที่สามารถเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายต่างๆที่กระจายอยู่ทั่วไปเพื่อให้สามารถอัพเดทข้อมูลข่าวสารต่างๆได้ทันที
        เธอเปิดใช้งานลิ๊งค์ของตน มันฉายภาพสามมิติแสดงข้อมูลส่วนตัวของเธอขึ้นมา จากนั้นจึงเลือกดูแฟ้มข้อมูลที่เก็บไว้ในส่วนของหนังสือรับรอง เมื่อเข้าไปแล้วมันจึงแสดงเอกสารฉบับหนึ่งขึ้นมา ด้านบนของเอกสารนั้นมีเครื่องหมายรูปปีกคู่ อันเป็นสัญลักษณ์ของวัลฮัลลาประทับอยู่ เลื่อนลงมาด้านล่างนั้นคือรูปถ่ายและประวัติโดยคร่าวๆของตัวเธอเอง นั่นคือเอกสารรับรองการเข้าร่วมในหน่วยรบของวัลฮัลลา
        กว่าจะมาถึงขั้นนี้ได้นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เด็กหนุ่มสาวจากดารันดร์และอาณานิคมที่อยู่ใกล้เคียงเพียงไม่กี่แห่งที่ยังคงหลงเหลืออยู่นั้น จำต้องเข้ารับการทดสอบความสามารถมากมายไม่ว่าด้านร่างกายและสติปัญญาเพื่อที่จะคัดเลือกให้เข้าร่วมในกองทัพ และผู้มีคุณสมบัติสูงสุดจำนวนหนึ่งก็จะถูกส่งเพื่อเข้าร่วมในหน่วยรบที่ประจำอยู่บนวัลฮัลลา
        ยานลำนี้ออกเดินทางจากอาณานิคมโรเซียได้ราว 3ชั่วโมงเมื่อเทียบจากเวลาสากลของดารันดร์ ทั่วทั้งยานมีผู้โดยสารรวมเธอด้วยเป็น 4 คน จะว่าไปนี่เป็นเพียงยานโดยสารระดับกลางที่ใช้สำหรับการเดินทางข้ามดวงดาวที่มีระยะทางไม่ไกลเกินไปนัก
         อนาสตาเซียสังเกตว่าผู้โดยสารทั้งหมดเป็นเด็กหนุ่มสาวที่ดูแล้วอายุไล่เลี่ยกับเธอ พวกเขา 3 คนนั้นเป็นเด็กหญิง 1 คน ซึ่งกำลังนอนหลับอยู่ อีก 2 คนเป็นชาย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็นั่งหลับอยู่เช่นกัน ส่วนอีกคนกำลังนั่งมองอวกาศด้านนอกอยู่
         อนาสตาเซียรู้สึกคุ้นหน้าชายหนุ่มคนที่นั่งมองอวกาศ แต่เธอก็ไม่คิดจะทักหรือชวนคุยอะไร เธอรู้ดีว่าแต่ละคนไม่มีอารมณ์จะพูดคุยกันเท่าไรนัก เพราะอีกไม่ช้าทุกคนที่อยู่ในยานโดยสารลำนี้ก็จะได้รับการบรรจุเข้าเป็นเจ้าหน้าที่ของวัลฮัลลาไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่ง
        เนื่องจากวัลฮัลลาเป็นศูนย์รวมของวิทยาการทั้งมวล จึงไม่ได้มีเพียงนายทหารหรือนักบินที่ต้องออกรบ แต่ยังประกอบไปด้วยบุคลากรระดับสุดยอดจากทุกแขนงเพื่อสนับสนุนในสงครามทุกวิถีทาง และการเพาะสร้างบุคลากรเหล่านั้นก็จำเป็นต้องเริ่มตั้งแต่วัยเยาว์ ดังนั้นในแต่ละปีจึงมีการส่งเยาวชนที่ได้รับการเสนอชื่อและผ่านการคัดเลือกเป็นอย่างดีจากอาณานิคมต่างๆไปยังวัลฮัลลา ในฐานะของเจ้าหน้าที่ฝึกหัด
         อนาสตาเซียจึงไม่รู้ว่าทั้ง 3 คนนั้นจะกลายเป็นเจ้าหน้าที่ฝึกหัดของหน่วยงานหรือแผนกใด อาจจะมีหนึ่งในนี้เป็นนักบินฝึกหัดเหมือนเธอก็ได้ แต่เธอก็ไม่คิดสนใจ เธอไม่ใช่เด็กน้อยที่กำลังนั่งรถโรงเรียนเพื่อเข้าโรงเรียนประถมในวันแรก ไม่มีความจำเป็นต้องหาเพื่อนหรือแสร้งทำตัวเป็นมิตร เธอสำนึกเสมอว่าการมายังวัลฮัลลาก็เพื่อที่จะเป็นทหารและเข้าร่วมในสงครามชี้ชะตาของมวลมนุษย์เท่านั้น
         ขณะนั้น ตัวยานเกิดสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง พร้อมการแจ้งออกมาจากห้องนักบินว่ายานกำลังเข้าสู่เขตที่มีสะเก็ดดาวและอุกกาบาตชุกชุม จึงมีการสั่นสะเทือนบ้าง แต่ตัวยานนั้นมีความแข็งแรงทนทาน จึงไม่มีอะไรต้องกังวล
         “อะไรเนี่ย กำลังหลับสบายเลย”
         แรงกระแทกของยานทำให้เด็กสาวที่นั่งอยู่ด้านหลังของอนาสตาเซียตื่นขึ้น
         “...อะไรกัน ยังไม่ถึงสักหน่อยนี่นา” เด็กสาวคนนั้นเริ่มพูดเสียงใส พลางลุกขึ้นบิดขี้เกียจ จากนั้นก็ส่งเสียงร้อง “ว้าว สะเก็ตอุกกาบาตเต็มเลย”
         อนาสตาเซียไม่คิดจะหันไปมอง แต่ฟังก็เดาได้ไม่ยากว่าเด็กคนนั้นกำลังส่องดูด้านนอกของกระจกยาน
         คนอื่นๆเห็นท่าทางของเด็กสาวแล้วก็ไม่ได้พูดอะไร อนาสตาเซียเองก็รู้สึกรำคาญเล็กน้อย เธอบรรยากาศเงียบๆอย่างก่อนหน้านี้มากกว่า แต่คงยากแล้ว เพราะเด็กสาวคนนั้นเอาแต่ส่งเสียงร้อง ว้าว สวยจัง อุกกาบาตดูแข็งจัง ถ้ายานชนสงสัยพังแน่
         “นี่เธอ ช่วยเงียบหน่อยได้ไหม”
         ความอดทนของอนาสตาเซียถึงขีดจำกัด เธอพูดออกไปโดยที่ตัวเองก็ไม่ทันคิด  
         “พูดกับฉันอยู่หรือเปล่า” อีกฝ่ายตอบกลับ
         “ก็ใช่น่ะสิ”  
        “อะไรกัน ทำหน้าบึ้งตึงขนาดนั้นเดี๋ยวก็แก่เร็วหรอก” จู่ๆเด็กสาวคนที่ว่าก็ยื่นใบหน้ามาจากด้านหลัง
        “...อะไรของเธอน่ะ” อนาสตาเซียทำตาขวางใส่
        “แน่ะ พูดแล้วยังจะทำตาขวางใส่อีก แบบนั้นมันทำให้คิ้วย่นแล้วจะยิ่งแก่เร็วนะ”
        “นี่คิดจะกวนประสาทกันหรือไง แล้วเธอถือวิสาสะอะไรมายุ่งกับฉัน” อนาสตาเซียจ้องมองอีกฝ่ายเขม็ง ดวงตาสีแดงของเธอยิ่งขับเน้นอารมณ์อันพลุ่งพล่านให้ดูน่าเกรงขามยิ่งขึ้น แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้รู้สึกรู้สาเลยแม้แต่น้อย
         คู่กรณีของอนาสตาเซียเป็นเด็กสาวอายุประมาณ 13-14 ปี ดวงตากลมโตสีดำสนิท ผมยาวสีดำขลับมัดรวบเป็นเปียสองข้าง ใบหน้าของเด็กคนนี้ขาวผ่องและดูสดใสราวกับเด็กเล็กๆ
        “นี่ๆ เธอก็จะไปที่วัลฮัลลาเหมือนกันเหรอ” เด็กหญิงยิ้มกว้างให้อย่างไร้เดียงสา ทั้งที่เมื่อครู่ยังพูดจากวนประสาทอยู่แท้ๆ
        อนาสตาเซียไม่อยากจะต่อปากต่อคำกับเด็กที่ท่าทางไม่ประสีประสาเช่นนี้ จึงเบือนหน้าหนีไปอีกทาง
        “ฉันเองก็จะไปที่วัลฮัลลาเหมือนกันนะ” เด็กหญิงยังคงพูดไม่หยุด
        รู้แล้วน่า...ก็ยานโดยสารลำนี้มีจุดหมายอยู่ที่วัลฮัลลาอยู่แล้ว ถามออกมาได้ไง โง่ชะมัด
        เด็กหญิงผมดำร้องต่อ “นี่ๆ แล้วเธอชื่ออะไร”
        หากไม่ยอมบอก คงไม่ยอมเลิกราแน่
        “...อนาสตาเซีย แอ็คเซล”
        อนาสตาเซียไม่ได้พูดเสียงดังก็จริง แต่ก็ทำให้ชายหนุ่มอีกสองคนได้ยินบทสนทนานั้ทั้งทั้งหมด โดยเฉพาะนามสกุลแอ็คเซลนั้น ทำให้ทุกคนต้องสนใจเป็นพิเศษ เหตุเพราะประวัติศาสตร์จักรวาลได้บันทึกไว้ว่า ซีโร่ แอ็คเซล คือวีรบุรุษผู้มีบทบาทสำคัญในการนำพามวลมนุษย์ออกสู่ระบบสุริยะจักรวาลเมื่อกว่าห้าร้อยปีก่อน และยังเป็นผู้มีส่วนอย่างยิ่งต่อการทำให้วิทยาการแขนงต่างๆพัฒนาอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะวิทยาการที่เกี่ยวข้องกับการสำรวจอวกาศ จนกระทั่งมวลมนุษย์สามารถก่อตั้งอาณานิคมนับร้อยแห่งขึ้นจนทั่วกาแล็คซี่ทางช้างเผือกได้ในเวลาเพียงไม่กี่ร้อยปี  
         แต่ผู้สืบสายสกุลแอ็คเซลกลับมีจำนวนน้อยนิด นอกจากนี้ลูกหลานของตระกูลนี้ก็มักเป็นผู้มีความสามารถสูงในด้านใดด้านหนึ่ง จึงมักเข้ามามีบทบาทต่อการปกครองอาณานิคมต่างๆ บางคนถึงกับเป็นผู้นำที่มีความสำคัญในสหพันธ์มนุษย์ซึ่งถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อปกครองทางช้างเผือก แต่ในยุคหลังผู้สืบสายสกุลนี้กลับหายหน้าไปจากประวัติศาสตร์และไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับสหพันธ์เท่าไรนัก
        “ชื่อแปลกชะมัดเลยแฮะ” มาน่าตีหน้าตาย
        อนาสตาเซียประหลาดใจกับปฏิกิริยาของอีกฝ่าย ทุกครั้งที่พูดชื่อสกุลแอ็คเซล ผู้คนมักให้การตอบรับที่แสดงออกว่าเธอไม่ใช่คนธรรมดา เป็นครั้งแรกที่เจอคนที่ทำราวกับไม่เคยรู้จักนามสกุลนี้มาก่อน
        “แต่ชื่อก็เพราะดีนะ ฟังแล้วเหมือนกับเป็นเจ้าหญิงในนิทานเลย”
        อนาสตาเซียเริ่มหน้าแดงก่ำ “ยุ่งน่า แล้วเธอล่ะ การแนะนำตัวเองกลับเมื่อคนอื่นแนะนำตัวไปแล้วถือเป็นมารยาทที่สำคัญนะ!!”
        “จริงด้วยสิ...” เด็กสาวเกาศีรษะเบาๆ พลางแลบลิ้นใส่ จากนั้นจึงยื่นมือออกมาให้จับ
        “ฉันชื่อมาน่า แองเจิล ยินดีที่ได้รู้จัก”
        อนาสตาเซียยื่นมือออกมาจับตอบอย่างไม่เต็มใจนัก พลางคิดไปว่าทำไมเด็กกะโปโลอย่างนี้ถึงถูกส่งมาที่วัลฮัลลาได้นะ เพราะดูแล้วเด็กคนนี้ไม่น่าจะผ่านเกณฑ์การทดสอบคุณสมบัติและความสามารถได้เลย
        “นี่ๆ แล้วเธอมาจากที่ไหนเหรอ” มาน่ายิงคำถามต่อ
        อนาสตาเซียได้แต่คิดว่าคำถามถูกยิงมาอีกแล้ว แต่เธอก็ไม่วายตอบกลับไป “ดารันดร์”
        “จริงหรือ ฉันเคยไปที่ดารันดร์แค่ครั้งเดียวเอง”
        “แล้วเธอมาจากอาณานิคมไหน”
        “ฉันหรือ” มาน่ายิ้มกว้าง “อวกาศไง”
        “หมายความว่าไง” อนาสตาเซียเลิกคิ้ว
        “ก็หมายความแบบนั้นแหละ ก่อนจะมาที่นี่ฉันเดินทางไปมาทั่วอวกาศเลยไงละ”
        อนาสตาเซียนิ่งไปเล็กน้อย “เธอเป็นพวกเร่ร่อนหรือ”
        “อืม คนอื่นๆก็เรียกแบบนั้นเหมือนกัน”
        “เป็นไปไม่ได้ พวกเร่ร่อนจะถูกส่งมาที่วัลฮัลลาได้ยังไงกัน”
        “ไม่รู้สิ แต่มีคนๆหนึ่งบอกให้ฉันมาที่นี่ให้ได้น่ะ และฉันก็คิดว่ามันน่าสนใจดีออก”
        อนาสตาเซียขึ้นเสียงใส่ “นี่เธอ สถานที่เราจะไปมันไม่ใช่สนามเด็กเล่นนะ วัลฮัลลาคือปราการอันเป็นแนวหน้าสุดของสนามรบ ทุกคนที่ถูกส่งไปที่นั่นย่อมต้องถูกทดสอบมากมายและผ่านการคัดเลือกมาอย่างดีแล้วว่าเป็นบุคลากรชั้นยอดที่มีคุณสมบัติพอจะเป็นผู้แบกรับอนาคตของมนุษยชาติได้ เธอพูดแบบนี้ราวกับจะบอกว่าตัวเองนึกจะไปก็ไปได้อย่างนั้นแหละ"
        “พูดถึงเรื่องทดสอบเหรอ ฉันก็เข้าร่วมนะ แล้วก็มีการแจ้งกลับมาว่าฉันผ่านน่ะ อันนา” มาน่าตอบกลับ
        “...ฟังแล้วไม่อยากจะเชื่อเลย...เดี๋ยวก่อน เมื่อกี้เธอเรียกฉันว่าอะไรนะ”  
        “อันนาไง...ก็แหม เรียกชื่ออนาสตาเซียเต็มๆน่ะยากออก เรียกเป็นชื่อเล่นแบบนี้สะดวกกว่า” มาน่ายิ้มกว้างราวกับเด็กไร้เดียงสา
        อนาสตาเซียถึงกับหน้าหงิก “...นี่เธออย่ามาเที่ยวตั้งชื่อเล่นให้คนอื่นตามใจชอบได้ไหม!!!”
        “แต่ในเมื่อเราเป็นเพื่อนกันแล้วก็ต้องเรียกชื่อเล่นกันสิ ไม่ใช่เหรอ”
        “เป็นเพื่อน...”
        “ใช่แล้ว”
        “อย่าเหมาเอาง่ายๆสิ เราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เมื่อไหร่”
        “เราจับมือกันแล้ว ก็เท่ากับเป็นเพื่อนกันแล้วไงละ”
        อนาสตาเซียถึงกับอึ้ง “...นั่นฉันแค่จับมือตามมารยาทนะ”
        มาน่ายักไหล่ “แหม แต่นี่เป็นธรรมเนียมของที่ฉันจากมานะ”
        “...ธรรมเนียมบ้าอะไรกัน!!!”          
        “พวกเธอสองคนเงียบหน่อยได้ไหม” ทันใดนั้นเด็กหนุ่มผมบลอนด์ที่นั่งมองดูอวกาศด้านนอกอยู่ก็หันมาขึ้นเสียงใส่ด้วยสีหน้าที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเหลืออดเต็มที “นี่ไม่ใช่รถโรงเรียนนะ ฟังแล้วน่ารำคาญชะมัด”
        “อย่าเหมารวมกันสิ ฉันไม่เกี่ยวนะ” อนาสตาเซียแย้ง พลางมองอีกฝ่ายอย่างไม่วางตา
        อนาสตาเซียรู้สึกคุ้นหน้าอีกฝ่าย ใช้เวลานึกอยู่ชั่วขณะจึงนึกออก เธอและชายคนนี้เคยเข้าทดสอบที่หน่วยฝึกเดียวกัน และเมื่อมีการแจ้งผลออกมาให้ผู้เข้ารับการทดสอบทุกคนรับทราบนั้น ใบหน้าของชายผู้นี้ก็ขึ้นมาเป็นลำดับหนึ่ง
        ชื่อของเขาคือ ซิกมันด์ วาเลเรียน อายุ 15 ปี มีจุดเด่นที่หน้าผากกว้าง ใบหน้าคมเข้มและหล่อเหลาไม่น้อย รูปร่างสูงโปร่ง สีหน้าท่าทางแลดูหยิ่งทระนงอย่างชัดเจน
        “ก็น่ารำคาญพอกันทั้งคู่นั่นแหละ คนหนึ่งก็พวกเร่ร่อน ส่วนอีกคน...” ซิกมันด์จ้องอนาสตาเซียเขม็ง “ถึงจะลูกหลานของวีรบุรุษในยุคโบราณ แต่มีเยอะไปที่ลูกหลานกลายเป็นพวกไม่ได้เรื่อง แล้วสนามรบมันก็ไม่มีที่ให้คนไร้ความสามารถหรอกนะ”
        “พูดแบบนี้คิดจะหาเรื่องหรือไง” อนาสตาเซียเริ่มเดือด ในขณะที่มาน่าดูจะไม่แยแสคำดูหมิ่นของอีกฝ่าย เธอกลับเดินตรงไปหาชายหนุ่มด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
        “ยิ้มอะไรของเธอ” ซิกมันด์แค่นเสียง
        มาน่าจ้องหน้าเขาเล็กน้อย “...กำลังคิดอยู่”
        “คิดอะไร”
        “รู้แล้ว!!!” แล้วเธอก็ดีดนิ้วดังเผาะ “เรียกนายว่าผากกว้างก็แล้วกัน”
        “อะไรนะ!!!”
        “ก็ฉายาของนายไง”
        อนาสตาเซียถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น สร้างความอับอายให้ซิกมันด์อย่างมาก คนซึ่งมีความหยิ่งทระนงและเชื่อมั่นในตัวเองสูงนั้น เมื่อถูกล้อเลียนอย่างหน้าซื่อเช่นนี้จึงโกรธจัดจนแทบทำอะไรไม่ถูก
        “เธอรู้ตัวไหมว่ากำลังพูดอยู่กับใคร” ซิกมันด์ขึ้นเสียง ใบหน้าแดงก่ำ
        “ก็พูดกับนายผากกว้างอยู่ไง ถามแปลกๆ” มาน่าตอบหน้าซื่อ
        “ฮ่าๆๆ ก็จริงนะ ผากกว้างจริงๆด้วย” อนาสตาเซียหัวเราะจนตัวงอ
        “เลิกยุ่งกับหน้าผากฉันเสียทีได้ไหม” ซิกมันด์ขึ้นเสียง “แล้วก็ฟังไว้ ชื่อของฉันคือ ซิกมันด์ วาเลเรียน ทายาทของตระกูลวาเลเรียน ผู้ปกครองแห่งอาณานิคมอาณานิคมชวาเบ้น รู้เอาไว้ซะ!!!”
        “ฟังดูยิ่งใหญ่จัง” อนาสตาเซียทำหน้าเหรอหรา “แต่เมื่อกี้นายบอกเองนะว่ามีเยอะที่ไปลูกหลานของคนเก่งๆกลายเป็นพวกไม่ได้เรื่องน่ะ นายจะเป็นแบบนั้นด้วยหรือเปล่าเนี่ย”
        ซิกมันด์เลือกขึ้นหน้าถึงขีดสุด “พูดแบบนี้ก็สวยสิ มาเจอกันหน่อยดีกว่าไหม”
        “ขอโทษที แต่ฉันไม่ขอเสียแรงไปกับเรื่องไร้สาระหรอก ฉันมาที่นี่เพื่อเข้าร่วมสนามรบ ไม่ได้จะมาวิวาทไร้สาระเหมือนเด็กไม่รู้จักโตแบบนี้”
        “ปากดีนักนะ ก็แค่ลูกหลานของคนดังเมื่อหลายร้อยปีก่อน แต่ทำตัวเย่อหยิ่งเสียจริง ครอบครัวของเธอคงสั่นสอนกันมาแบบนี้สินะ”
        คำว่าครอบครัวนั้น ทำให้อนาสตาเซียฉุนขาด เธอลุกพรวดขึ้นแล้วกระชากคอเสื้ออีกฝ่าย “ถอนคำพูดเดี๋ยวนี้!!!”
        “แบบนี้แสดงว่าจะมีเรื่องกันใช่ไหม!!!” ซิกมันด์ตวาดกลับ เขาเงื้อหมัดขึ้นเตรียมจะชกใส่
        แต่พริบตานั้น หมัดของซิกมันด์กลับถูกหยุดไว้ด้วยฝ่ามือของใครบางคนที่แทรกเข้ามา
        “อย่ามีเรื่องกันเลยน่า” ผู้ที่ขวางไว้คือมาน่า
        ซิกมันด์ถึงกับตาโต เพราะเขาไม่ทันเห็นเลยว่ามือของมาน่าเข้ามาหยุดหมัดของเขาไว้ตอนไหน อนาสตาเซียก็ตกใจไม่น้อย เพราะเธอก็มองตามไม่ทันเช่นกัน

แก้ไขเมื่อ 11 พ.ย. 53 14:38:34

จากคุณ : eagle1000
เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 53 14:36:47




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com