มื้อเย็นผ่านไปอย่างเงียบๆ บนโต๊ะที่มีคนนั่งเบียดเสียดรอบๆ เช่นเคย จากนั้นลีชาจึงเก็บรวบรวมจานไปล้างตามกิจวัตร ส่วนแม่ซึ่งตั้งครรภ์ได้หกเดือนกว่าและเริ่มทำงานบ้านต่างๆ ไม่สะดวกนักพาลูกสาวทั้งสองเข้านอน
อดีตนักรบนั่งพักอยู่ที่โต๊ะ อาเมียร์ตัดสินใจเข้ามาพูดกับท่านตรงๆ
ทำไมถึงปฏิเสธเขา
ท่านอาสบตากับเด็กหนุ่ม นิ่งไปครู่หนึ่งเหมือนประหลาดใจ เสียงตอบราบเรียบ...แต่แฝงแววเหมือนจะถามกลับในทีว่า...ทำไมเด็กหนุ่มไม่เข้าใจ
ก็บ้านไม่เหมาะกับพวกเรา
ไม่ใช่เรื่องบ้าน เรื่องงานต่างหาก อุตส่าห์มีโอกาสขนาดนี้แล้วแท้ๆ อาเมียร์คิดว่าท่านต่างหากที่ทำเป็นไม่เข้าใจ
ข้าไม่อยากจับดาบอีกหากไม่จำเป็นจริงๆ เจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือ
กระทั่งจับดาบสอนคนอื่นก็ไม่ได้เลยหรือ เขารีบรุกเมื่ออีกฝ่ายนิ่งเงียบ เจ้ามณฑลยาร์ลาธเห็นความสามารถของท่าน ถึงขั้นให้เกียรติเชิญไปสอนลูกชายเขา ทำไมไม่ลองไปดูสักครั้ง ถ้าเห็นว่าพวกเขาเป็นคนไม่ดี ค่อยปฏิเสธทีหลังก็ยังได้
เจ้าคิดว่าคนดีคนไม่ดีดูออกง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ อดีตนักรบแย้ง ถ้าเป็นพวกเลวแล้วกร่างอย่างลูกเจ้ามณฑลชอร์ซายังพอว่า แต่ถ้าเป็นพวกที่เลวแล้วซ่อนหางมิดชิดจะไปรู้ได้อย่างไร
ประสบการณ์อย่างท่าน...อย่างน้อยต้องมองออกบ้างว่าพวกเขาเชื่อถือได้แค่ไหน ถ้าเป็นขุนนางที่ดี ก็ควรมีโอกาสทำประโยชน์ให้บ้านเมืองมากกว่านี้ไม่ใช่หรือ...หรือจะปล่อยให้คนอย่างเจ้ามณฑลชอร์ซากับลูกได้อาณาจักรไปครอง
พวกมันไม่เก่งพอจะทำได้หรอก คำแย้งของท่านอาแสดงว่าท่านมองคนออก...ขัดกับที่บอกเมื่อครู่ ขัดกันเกินไปจนเด็กหนุ่มเคืองนัก
แล้วถ้ามีคนที่เลวเหมือนพวกมันแต่เก่งกว่า...และซ่อนหางได้แนบเนียนกว่าล่ะ ถ้ารู้ว่ามีคนดีอยู่ตรงนี้แต่ไม่ยอมส่งเสริมเขา ก็เหมือนนิ่งดูดาย...ไม่ยอมทำอะไรให้ที่นี่มันดีขึ้นนั่นล่ะ!
อาเมียร์ เจ้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นคนดีหรือไม่ดี
ท่านจะไปรู้ได้อย่างไรถ้าไม่ลองไปดู ข้ารู้ว่าท่านทำได้...มากกว่าแค่สอนดาบเสียด้วย แต่ก็ไม่ยอมทำเอง เด็กหนุ่มลดเสียงลง แทบเป็นอ้อนวอน...ต่อใครอีกคนที่เขาเคยรู้จักในร่างตรงหน้า ข้ายังเชื่อในจอมทัพเนมอสอยู่ ข้าคิดว่า...ถ้าเป็นท่านผู้นั้น...จะต้องไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องแบบหมู่บ้านกลาสเดลอีก จะไม่ปล่อยให้ใครต้องเจอเคราะห์กรรมอย่างลีชา และจะไม่ปล่อยให้ทรราชได้ปกครองอาณาจักรแน่ๆ
อดีตนักรบกลับเบือนหน้าไปอีกทาง คำตอบของท่านเบาแทบเป็นกระซิบเช่นกัน
จอมทัพเนมอสเป็นแค่ตำนานไปแล้ว แต่ถึงมีตัวตนจริง เขาก็เปลี่ยนแปลงทุกอย่างไม่ได้หรอก มันไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น อาเมียร์
ใช่...มันไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น แต่แน่ใจหรือว่ามันไม่ได้ยากเช่นกัน...เพราะท่านไม่แม้แต่จะพยายามเอง เด็กหนุ่มเม้มปากแน่น
ในเมื่อมีโอกาสแล้ว...กระทั่งส่งเสริมให้คนดีเป็นกษัตริย์ก็ไม่ได้เลยหรือ
เราไม่มีทางรู้หรอกว่าใครเป็นคนดีจริงๆ จะให้ทำอย่างนั้นได้อย่างไร
ถึงอย่างนั้น...ก็เอาแค่คนที่ดูดีที่สุดเท่าที่มีอยู่ก็ได้
เจ้าอยากให้ข้าไปช่วยคลุมถุงชนให้คนอื่นนักหรือ! เขาฟังออกว่าท่านอาเริ่มเหลืออด ไม่ว่าใครจะขึ้นเป็นราชาก็ต้องแต่งงานกับเจ้าหญิง เคยคิดบ้างไหมว่าเจ้าหญิงจะมีความสุขที่ต้องแต่งงานกับคนที่ตัวไม่รู้จักหรือเปล่า
การแต่งงานของเชื้อพระวงศ์เป็นหน้าที่ เจ้าหญิงต้องยอมรับเรื่องนี้ได้อยู่แล้ว! ซิอ์บุลเบิกตากว้าง เหมือนไม่คาดฝันกับคำนั้น อาเมียร์ประหลาดใจ ชะงักไปครู่หนึ่ง แต่แล้วก็ตัดสินใจพูดต่อ ที่สำคัญกว่าคือคนคนนั้นต้องเป็นราชาที่ดีและมีความสามารถ
หยุดเดี๋ยวนี้! อดีตนักรบพลันเงยหน้าขึ้น เสียงกร้าวเหมือนคำสั่งแม้จะยังแผ่วเบา
อาเมียร์นิ่งงันทันที เมื่อครู่เขายังพูดได้เหมือนน้ำบ่า ต้อนอีกฝ่ายด้วยวาจาใกล้จนมุม แต่แค่เพราะคำพูดสั้นๆ กับสายตาแข็งกร้าวเท่านั้น...เขากลับรู้สึกเหมือนตนเองถูกกดไว้ กดและบีบให้หดเล็กลง...ไร้พลัง...เป็นแค่ส่วนเกินที่พล่ามอะไรไม่เข้าเรื่อง
ข้าไม่อยากทำ ไม่ว่าใครพูดอย่างไรก็จะไม่ทำ พอเสียที เขาจ้องหน้าเด็กหนุ่ม อาเมียร์พยายามมองตอบด้วยสายตาแข็งกร้าวเช่นเดียวกัน แต่สุดท้ายก็ต้องเป็นฝ่ายก้มหน้าลงก่อน
เขาแพ้...สายตานั้นบ่งบอกชัดแล้วว่าตนสู้ไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้น...
ถ้าเป็นเสด็จพ่อต้องไม่คิดอย่างนี้แน่ๆ... อาเมียร์กระซิบเบาๆ ถ้าเป็นเสด็จพ่อคงจะทำอะไรมากกว่านี้...ถ้าเป็นเสด็จพ่อล่ะก็...
คนคนนั้นตายไปแล้ว ซิอ์บุลพูดทันควัน พูดถึงขึ้นมาจะมีประโยชน์อะไร
ตายไปแล้ว...ใช่สิ เสด็จอาก็ต้องการให้เป็นอย่างนั้นนี่ ไม่อย่างนั้นจะมีวันที่เสด็จอากับเสด็จแม่ได้ครองคู่กันหรือ! เด็กหนุ่มเริ่มเหลืออดจริงๆ เสียงของเขาห้วนแข็งและดังขึ้นโดยไม่ทันห้าม มือยกขึ้นกำจี้เขี้ยวราชสีห์ที่สวมติดคอซึ่งเคยเป็นต่างหูเครื่องรางของเสด็จพ่อ หวังจะดึงพลังจากสิ่งที่พระองค์มอบไว้ แต่ข้ายังไม่ลืมหรอก...ว่าเสด็จพ่อ...ว่าพ่อแท้ๆ ของข้าคือพระเจ้าดอร์มิน อะไรบางอย่างในตัวทำให้ข้าอยู่เฉยไม่ได้ เพราะข้ารู้ว่าเสด็จพ่อไม่ต้องการให้ข้านิ่งดูดายอย่างนั้น
อาเมียร์... เสียงของท่านอาแหบพร่า
ข้าคือทัมมุซต่างหาก! เขาตวาดโดยไม่เงยหน้าขึ้น สายตาจับจ้องอยู่แต่ที่เขี้ยวราชสีห์ของเสด็จพ่อ เจ้าชายทัมมุซยังไม่ตาย เจ้าชายทัมมุซจะตายไม่ได้...
ใช่...เขาจะไม่ปล่อยให้ตนเองเป็นซากศพแปลกประหลาดอีกต่อไป อาเมียร์ต่างหากที่ไร้ชีวิต...ได้แต่ถูกหลอกหลอนด้วยฝันสีแดงจนไม่เป็นอันทำอะไร...ขณะที่เจ้าชายทัมมุซที่ควรตายไปแล้วยังคงอยู่ มีสำนึก...มีตัวตน...มีจุดมุ่งหมาย...
เลิกพูดจาเหลวไหลเสียที!
ข้าไม่ได้เหลวไหล! เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาร้อนผ่าวพร่าเลือน คำพูดหลั่งไหลรวดเร็วกว่าหยดน้ำเหล่านั้น เสด็จอาได้แต่งงานกับเสด็จแม่สมใจ มีลูกๆ ของตัวเอง...อยากทำไร่ไถนาก็ได้ทำ...มีชีวิตตามที่ต้องการทุกอย่าง...แต่เสด็จอาเคยคิดบ้างไหมว่าข้าต้องการอะไร!
ก็เจ้าไม่เคยบอก
ไม่เคยบอก...หรือท่านไม่เคยคิดจะฟังกันแน่! อาเมียร์โต้กลับ ข้าพยายามหาหนังสืออ่านเท่าที่ทำได้ ข้าอ่านออกเขียนได้...ข้าทำได้มากกว่านั้น แต่ก็ได้แต่ช่วยท่านทำไร่เลี้ยงสัตว์ ข้าว่าจะลองเป็นเสมียน...แต่ท่านกลับบอกให้ข้าไปทำงานโรงแรม คอยยกกระเป๋า...คอยยกอาหาร...คอยเลี้ยงม้าให้คนอื่น!
งานที่นั่นมันใกล้บ้านมากกว่า ท่านอาใช้เสียงหนัก พูดช้าๆ เหมือนพยายามข่มใจ แล้วตอนที่ข้าไม่อยู่ก็ต้องมีคนคอยดูแลบ้าน
แต่ข้าจำเป็นต้องทำงานแบบนั้นด้วยหรือ! ถึงตอนนี้จะไม่ได้เป็นเจ้าชายอีกแล้ว...แต่ทุกอย่างที่ข้าเรียนมา...ทุกอย่างที่เสด็จพ่อเสด็จแม่กับท่านสอนให้...ข้าจะเรียนไปทำไมถ้าลงท้ายก็ได้แค่ทำไร่ ใช้แรงงานแบบนั้นไปวันๆ!
อาเมียร์ ถ้าเจ้าอยากทำอย่างอื่น พ่อ
ท่านไม่ใช่พ่อข้า!
ทั้งผู้พูดและผู้ฟังชะงักพร้อมกัน อดีตนักรบก้มหน้าลง อาเมียร์เสมองไปทางอื่น ไม่นึกเลยว่าเขาเผลอหลุดคำพูดที่ไม่มีใครในบ้านอยากได้ยินออกไปอย่างง่ายดาย ทั้งๆ ที่มันเป็นความจริง
ซิอ์บุลเป็นแค่พ่อเลี้ยง ถึงจะเป็นอาและญาติผู้ใหญ่ที่เขาเคารพ ก็ไม่มีทางเทียบเท่าเสด็จพ่อไปได้ ทุกวันนี้เขายอมเรียกอีกฝ่ายว่า พ่อ ต่อหน้าคนอื่นๆ แค่เพราะอยากให้แม่สบายใจ และไม่อยากอธิบายเรื่องยุ่งยากให้คนนอกครอบครัวฟัง...ก็เท่านั้นเอง
ถ้าเจ้าอยากทำอย่างอื่น ข้าก็ไม่ว่าอะไร ท่านอาพูดขึ้นเบาๆ เพียงแต่รอให้เรามีที่อยู่ลงตัว แล้วก็...รอเจ้าโตกว่านี้อีกหน่อย ขอแค่งานไม่ผิดกฎหมายและศีลธรรม เจ้ามีสิทธิ์เลือกทำตามใจชอบทั้งนั้น
แล้วเมื่อไรท่านถึงจะคิดเสียทีว่าข้าโตแล้ว อายุสิบเจ็ดเขาไม่ถือว่าเป็นเด็กแล้วไม่ใช่หรือ... อาเมียร์นึกอยู่ในใจ
ไม่ทันได้พูดถาม แม่ก็เข้ามาในห้องเสียก่อน เด็กหนุ่มจึงรีบขอตัวไปเข้านอนโดยอ้างว่าต้องรีบไปทำงานแต่เช้า และท่านอาก็ไม่รั้งเขาไว้
อาเมียร์แทบลืมตาโพลงในคืนนั้น เขาคิด...คิดแล้วคิดอีก คิดอะไรมากมายในฐานะทัมมุซ คิดจนเช้ามืด สุดท้ายลุกขึ้นแต่งตัว หยิบสิ่งของเท่าที่จำเป็นใส่ย่าม แล้วออกจากบ้านเช่าเสียก่อนตะวันขึ้น
แต่เขาไปที่โรงแรมครู่เดียว และไม่ไปทำงานที่นั่นอีกเลย
* * * * *
จากคุณ |
:
Anithin
|
เขียนเมื่อ |
:
11 พ.ย. 53 15:30:07
|
|
|
|