7 แพร่ง : แพร่งที่ 1 ปีกของผู้ที่แอบมอง : ตอนที่ 1
|
 |
สวัสดีครับ ผมอัสนีนักเขียนหน้าใหม่ของถนนนักเขียนเองนะครับ หลังจากได้ลง Dragon 's orb 2 หรือสายเลือดมังกร ภาค 2 ลงไปให้ทุกๆท่านได้ชมกันพอสังเขปแล้ว ผมก็อยากขอลงนิยายแนวผีๆ เรื่องแรกนี้ ควบคู่ไปด้วย เพราะ 1 ในแพร่งทั้ง 7 ของรวมนิยายผีชุดนี้ จะมีเนื้อหาที่อิงกับ Dragon 's orb 2 น่ะครับ ยังไงๆก็ขอฝากตัวอีกครั้ง และฝาก 7 แพร่งไว้ด้วยนะครับ
Beholder ’s wing (ปีกของผู้แอบมอง) Part 1 ลำนำวิหคเหินลม “ แสนสุขสมนั่งชมวิหค อยากเป็นนกเหลือเกิน นกหนอนกเจ้าหกเจ้าเหิน ทั้งวันนกเจ้าคงเพลินเหินลอยละลิ่วล่องลม แม้นเป็นนกได้ดั่งใจจินตนา ฉันคงเริงร่าลอยลม ขอเพียงเชยชมทั่วท้องนภาให้สุดขอบฟ้า สุขาวดี... ”
เสียงเพลงดังกล่าว ถูกถ่ายทอดเข้าสู่โสตประสาทของหญิงสาวร่างเล็กที่กำลังนอนอยู่บนเตียงพยาบาลผ่านทางหูฟังมาอย่างต่อเนื่อง จวบจนกระทั่งเสียงอีกเสียงจากหน้าประตูห้อง ได้เข้ามาขัดจังหวะโดยฉับพลัน
“ ได้เวลาทานยาแล้วค่ะน้องเพลิน ”
นางพยาบาลนั่นเอง ผู้ถูกเรียกขานว่า “ น้องเพลิน ” หันไปมองร่างในชุดกาวด์สีขาว ซึ่งเดินถือถาดยาเข้ามาด้วยสีหน้าเนือยๆ พลางกดปุ่มปิดวิทยุพร้อมกับดึงหูฟังออกจากหูทั้งสองข้าง ก่อนจะปล่อยให้นางพยาบาลป้อนยาให้ด้วยท่าทางซังกะตาย “ เพลินตา ” คือชื่อจริงของเด็กสาวผู้อาภัพ ซึ่งสูญเสียมารดาไปตั้งแต่แรกเกิด ซ้ำยังป่วยเป็นโรคโปลิโอตั้งแต่ยังแบเบาะทำให้ไม่สามารถลุกเดินได้เช่นคนปกติ และหลังจากรู้ภาษาได้ไม่นาน ผู้เป็นบิดาก็เดินทางไปบริหารธุรกิจที่ต่างประเทศ ทิ้งให้เธออยู่กับแม่นมและเหล่าบริวารที่บ้านอย่างเดียวดาย เพลินตาเข้ามา admit อยู่ในโรงพยาบาลแห่งนี้ได้เกือบสัปดาห์แล้ว เพราะเธอป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ โชคยังดีที่แม่นมผู้ซื่อสัตย์ช่วยเจรจาจนทางโรงพยาบาลอนุญาตให้เพลินตาสามารถนำนกโรบินตัวโปรดมาอยู่ด้วยได้ ดังนั้นในเวลาที่เธอต้องอยู่คนเดียว เพลินตาก็มีเพียง ๒ ทางเลือกเท่านั้น คือ พูดคุยกับนกตัวโปรดอยู่ฝ่ายเดียวแบบพูดเองเออเองประการหนึ่ง กับฟังเพลงโปรดที่เด็กรุ่นเดียวกันชอบตราหน้าว่า “ โบราณเต่าล้านปี ” อีกประการหนึ่งเท่านั้น
ประตูห้องถูกเปิดออกอีกครั้ง ทว่าคราวนี้ผู้ที่เดินเข้ามามิใช่หมอหรือนางพยาบาลแต่อย่างใด หากกลับเป็นหญิงชราร่างอ้วนในชุดเสื้อคอกระเช้าสีแดงกับผ้านุ่งแบบโบราณแทน
“ คุณหนูคะ นมมาเยี่ยมค่ะ คิดถึงนมไหมคะ ”
ผู้มากวัยกว่ากล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ขณะที่เพลินตาหันไปฝืนยิ้มให้ตามมารยาท เพราะสิ่งที่เธอต้องการมิใช่การเป็นคุณหนูที่ถูกจองจำอยู่แต่ในบ้าน หากสิ่งที่เพลินตาต้องการคือการได้ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกแบบเด็กอื่นๆบ้างต่างหาก ทว่านางนมผู้หัวโบราณก็ทำเป็นเพียงแค่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้านายเท่านั้น นางจึงมิอาจสนองความต้องการของเด็กสาวได้ เพลินตาจึงได้แต่ทำใจกับชะตากรรมที่ตรมทุกข์ของตนเองอยู่เพียงลำพัง
“ นมเองก็คิดถึงคุณหนูทุกคืนเลยค่ะ รู้ว่าคุณหนูอยู่ที่นี่คงจะเบื่อน่าดู นมก็เลยแวะซื้อของมาฝากเพียบเลยล่ะค่ะ ”
แม่ นมของเธอเอ่ยปากไปเรื่อยๆตามประสาคนพูดมาก ก่อนจะหยิบหนังสือในถุงกระดาษที่หิ้วติดมือเข้ามาแต่แรกออกมา แล้วส่งให้เด็กสาวด้วยสีหน้าชื่นบาน
“ ความลับของจิต... ” เพลินตาเบิกตาอ่านชื่อหนังสือเล่มนั้นด้วยสีหน้าประหลาดใจว่านางนมของเธอคิดอย่างไร จึงซื้อหนังสือเล่มนั้นมาให้เธอ
“ ว้ายตายจริง...!!! สงสัยนมจะแก่มากไปแล้ว เลยหยิบผิด...!!! ”
นางนมออกปากพลางหัวเราะแก้เขิน ก่อนจะรีบวางหนังสือเล่มที่หยิบออกมาผิดนั้นไว้ที่ปลายเตียง แล้วหยิบหนังสืออีกเล่มออกมาส่งให้เพลินตา
“ นิทานนกกระจาบ...? ”
เด็กสาวขานชื่อหนังสืออีกเล่มนั้นด้วยโทนเสียงเนือยๆ อันบ่งชัดถึงความไม่สนใจ ขณะที่แม่นมของเธอกล่าวว่า
“ นมเห็นว่าเนื้อหามันน่ารักน่าอ่านดี เลยคิดว่าคุณหนูคงชอบน่ะค่ะ ”
“ ก็คงชอบแหละจ้ะ... ”
เพลินตาออกปากคล้ายตอบรับ พลางชำเลืองออกไปทางหน้าตาด้วยสายตาเหงาซึม
เด็กสาวตื่นขึ้นมาอีกครั้งกลางดึก เธอมักจะเป็นแบบนี้บ่อยๆเมื่อต้องนอนแปลกที่ ครั้นกวาดสายตาไปรอบๆเห็นนางนมผู้ภักดีนอนหลับอยู่ที่โซฟา และนกโรบินตัวโปรดกำลังเกาะคอนเก็บหัวหลับอยู่เช่นกัน เด็กสาวก็ถอนหายใจพลางหยิบวิทยุที่หัวเตียงมา และเสียบหูฟังเข้ากับหูทั้งสองข้างของตนเอง ก่อนจะเปิดเพลงวิหคเหินลม ซึ่งเป็นเพลงโปรดของเธออีกครั้ง
“ แสนสุขสมนั่งชมวิหค อยากเป็นนกเหลือเกิน นกหนอนกเจ้าหกเจ้าเหิน ทั้งวันนกเจ้าคงเพลินเหินลอยละลิ่วล่องลม
แม้นเป็นนกได้ดั่งใจจินตนา ฉันคงเริงร่าลอยลม ขอเพียงเชยชมทั่วท้องนภา ให้สุดขอบฟ้าสุขาวดี ฉิมพลีวิมานเมืองฟ้า
ค่ำคืนจะทนฝืนบินเหินไปทั่วถิ่นที่มันมีดารา เพราะว่าอยากจะรู้เป็นนักเป็นหนา ดาราไปอยู่แห่งใด ยั่วเย้ากระเซ้าหรือไร หรือดาวเกี้ยวใคร เหตุใดดาวจึงซน... ”
เนื้อหาของเพลงที่ตรงกับปรารถนาในหัวใจของเธอนี้เอง ที่เป็นเหตุให้เพลินตาชอบเพลงนี้เหลือเกิน เธอคิดมาตลอดเวลาว่า หากเธอมีปีกแบบเจ้านกโรบินตัวโปรดของเธอ เธอก็คงจะไปที่ใดก็ได้ตามที่ใจปรารถนา ทว่าทุกครั้งที่สติเตือนเธอให้ตื่นออกจากความฝันมาเผชิญกับความจริงที่เป็นอยู่ เพลินตาก็ทำได้เพียงแอบเศร้าอยู่คนเดียว โดยที่มิอาจบอกให้ใครรู้ถึงมูลเหตุแห่งทุกข์ของตนได้เลย เพียงเพราะกลัวคนอื่นๆจะมองตนเองว่า
“ โตจนทำบัตรประชาชนมาได้ตั้ง ๓ ปีแล้ว ยังฝันฟุ้งโง่ๆแบบเด็กๆอีก ”
ฟังเพลงโปรดของตนต่อไปได้ไม่นาน สติเจ้ากรรมของเพลินตาก็เตือนให้เด็กสาวตื่นจากฝันกลับมาสู่ความจริงที่โหดร้ายอีกครั้ง เธอถอนใจเบาๆอย่างปลงตก ก่อนจะตัดสินใจข่มตาให้หลับ เผื่อว่าความฝันยามหลับจะน่ารื่นรมณ์กว่าความจริงที่ประสบอยู่ แต่ความพยายามของเพลินตาก็ไร้ผล เพราะเธอไม่อาจบังคับตนเองให้หลับลงไปได้เลย
สุดท้ายเมื่อร่างกายไม่ยอมให้ความร่วมมือ เพลินตาจึงจำใจต้องเปิดไฟหัวเตียง และหยิบหนังสือที่นางนมซื้อมาเปิดอ่าน ด้วยหมายใจว่าความน่าเบื่อในเนื้อหาของหนังสือที่เธอนึกดูถูกไว้แต่แรกเห็น อาจจะทำให้เธอง่วงขึ้นมาบ้างก็ได้ แต่ด้วยเหตุที่เรื่องนิทานนกกระจาบนั้นถูกผู้ออกเงินซื้อมา หยิบไปอ่านจนหลับคาหนังสือไปแล้ว ซึ่งเพลินตาก็เข้าใจว่าแม่นมของเธอคงจะติดใจหนังสือเล่มนั้นตั้งแต่เปิดอ่านที่ร้าน จึงคิดเองเออเองว่าเธอจะต้องชอบด้วยเลยซื้อมาให้ แต่พอเห็นเธอทำเฉยเมยต่อหนังสือเล่มนั้น จึงได้หยิบไปอ่านเองจนหลับไปดังที่เป็นอยู่นี้ และด้วยเหตุที่หนังสือเล่มที่ตั้งใจจะอ่านอยู่ไกลตัวเกินจะไปหยิบได้ และไม่อยากรบกวนผู้ที่กำลังหลับเพราะไม่อยากให้เรื่องเล็กต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่ เพลินตาจึงตัดสินใจหยิบหนังสืออีกเล่มซึ่งถูกทิ้งอยู่บนโต๊ะหัวเตียงมาเปิดอ่านแทน
หลังจากได้ลองอ่านหนังสือเล่มนั้น เพลินตาก็รู้สึกคล้ายกับได้ฟังบทเพลงๆใหม่ที่โดนใจตัวเองเสียเหลือเกิน เพราะเนื้อหาในหนังสือเล่มนั้น มิได้น่าเบื่อดังที่เธอคิด แต่มันกลับจุดประกายฝันของเธอได้เช่นเดียวกับเพลงวิหคเหินลม และกลับให้ความหวังแก่เธอมากกว่าเพลงดังกล่าวเสียอีก ตั้งแต่ เนื้อหาบทแรกของหนังสือที่ว่าด้วยฤทธานุภาพแห่งอำนาจจิตมนุษย์ ในคำจำกัดความสั้นๆว่า “ ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยใจ...!! ”
เสียงนกร้องข้างหน้าต่างเตือนสติให้เพลินตารู้ตัวว่า ยามเช้าของวันใหม่ได้มาถึงแล้ว เธอไม่นึกฝันเลยว่าตนเองจะสามารถอ่านหนังสือโต้รุ่งทั้งคืนเช่นนี้ได้มาก่อน และพอรู้ตัวความเหนื่อยล้าของร่างกายก็ประดังกันเข้ามา จนเด็กสาวต้องวางหนังสือเล่มนั้นลงบนโต๊ะหัวเตียง ก่อนจะปิดตาลงช้าๆ ซึ่งความทรงจำสุดท้ายของเธอก่อนที่จิตจะจมลงสู่ภวังค์นิทราก็คือ ข้อความในหนังสือเล่มนั้นที่กล่าวว่า
“ จิตคนต้องมีบ้านมีที่สิงสู่ และมันสามารถเคลื่อนย้ายตัวเองไปเกาะหรือไปสิงสิ่งใดก็ได้ ดังเช่น เพียงแค่ตาสีนึกถึงตาสา จิตของตาสีก็ไปอยู่ข้างๆตัวตาสาแล้ว และหากตาสีฝึกสมาธิจนจิตมีพลังก็อาจจะบังคับจิตตนเองให้เข้าไปสิงสู่ในร่างของตาสาได้ เพราะธรรมชาติของจิตมนุษย์ที่ฝึกฝนดีแล้ว ย่อมทรงพลังจนสามารถควบคุมสรรพสิ่งที่ด้อยอำนาจกว่าได้เสมอ...!!! ”
อัสนี
จากคุณ |
:
Tantava
|
เขียนเมื่อ |
:
11 พ.ย. 53 15:34:02
|
|
|
|