“ช่วงนี้ดูท่าจะงานหนักนะขอรับ” ชายร่างผอมสูงแต่กลับลงพุง ไว้หนวดเคราสีดำเช่นเดียวกับผมที่ค่อนข้างยาว ถามทหารยามซึ่งกำลังเคาะข้างๆ ถังไม้ที่ไม่อาจเปิดดู ฟังเสียงให้แน่ใจว่าข้างในคือของเหลวมึนเมาตามคำอ้างจริงๆ
“ก็เอาเรื่องอยู่” ทหารผู้นั้นตอบ “ไม่รู้ไอ้พวกฆ่าพระคู่หมั้นมันใช้คาถามุดดินไปที่ไหน ยิ่งนานพวกเราสิยิ่งโดนเคี่ยวเข็ญ เมื่อวานก็โดนพวกพ่อค้าบ่นโขมงว่าให้รอจะครึ่งชั่วยาม โมโหมากก็ด่าเข้าให้อีก พวกข้าน่ะไม่อยากทำหรอก แต่เบื้องบนเขาสั่งมา”
“ข้าเข้าใจขอรับ ครั้งนี้เรื่องใหญ่ไม่น้อย ได้แต่หวังว่าจะจับคนร้ายได้เร็วๆ อุกอาจยังงี้ แถมมีเรื่องภูตผีปีศาจเวทมนตร์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอีก”
หญิงสาวร่างสูงเกินมาตรฐานหญิงธีร์ดีเรทั่วไป ซึ่งสวมหมวกปีกกว้างมีผ้าผูกรั้งใต้คาง กับชุดอย่างภรรยาของพ่อค้าแตะแขนชายลงพุง แล้วก็บีบไว้ค่อนข้างแน่นโดยไม่พูดอะไร แต่อีกฝ่ายก็ยังพูดต่อไปโดยไม่สนใจ จนกระทั่งทหารยามเสร็จสิ้นการตรวจถังไวน์ทั้งห้าถัง แล้วหันมาสนใจสัมภาระอย่างอื่น
“นี่หีบเสื้อผ้าของพวกเราขอรับ” ชายลงพุงบอก “หีบใหญ่หน่อย ท่านคงทราบแหละนะว่าปกติผู้หญิงก็ช่างแต่งตัว ช่างเผื่อนั่นเผื่อนี่เยอะแยะ ว่าแต่เมียข้านี่จริงๆ นะท่าน ถึงพูดไม่ได้ ก็ยังแสดงออกได้ชัดเจนแจ่มแจ้งเลยว่าหึงสะบัด ถึงได้ตามมาด้วยทุกครั้งเชียว อ้า...นั่นเสบียงของพวกเรา ถังชาดานแซร์ อ้อ ที่วางทับไว้ข้างบนคือเนยเถระเหม็น – โธ่!...ข้าคงไม่ได้บอกช้าไปใช่ไหมขอรับ”
ทหารที่เพิ่งเดินเข้าไปใกล้ถังปลาหมักวกตัวกลับมาทันที สีหน้าเหยเกกำลังได้ที่
“ก็ดีกว่าบอกตอนข้าเปิดถังแล้วกระมัง” กระนั้นเขายังพูดแห้งๆ
พ่อค้าโคลงศีรษะ ยิ้มเจื่อนๆ และขอโทษขอโพย ก่อนจะคว้ากระติกไม้ที่ข้างเอว รินน้ำสีขาวใสในนั้นลงฝากระติก ซึ่งทำเป็นถ้วยสำหรับดื่มอยู่แล้ว
“ท่านดื่มเหล้าพีราล้างปากหน่อยไหม บ่มเสียกลิ่นหอมกำลังดีทีเดียว ตัวอย่างสินค้าของข้าเองน่ะ”
ทหารพูดอ้อมแอ้มทำนองว่ากำลังอยู่ในเวลางาน แต่เมื่อเหลียวไปเห็นว่าหัวหน้าหน่วยตรวจตรากำลังง่วนอยู่กับการซักประวัตินักเดินทางอีกกลุ่ม ซึ่งดูเหมือนจะเป็นนางรำชาวทรายร่างเล็ก กับนักดนตรีที่โพกศีรษะ และสะพายเครื่องสายรูปร่างแปลกตาไว้ข้างหลัง ก็รีบรับถ้วยมาดื่มรวดเดียวโดยเร็ว ก่อนจะส่งคืนเร็วไม่แพ้กัน
จากนั้น เขาก็บอกให้พ่อค้าขายเหล้าช่างคุย กับภรรยาที่ปิดปากเงียบตลอดการตรวจค้นผ่านไปขึ้นเรือได้
* * * * *
อาเมียร์นั่งพิงผนังห้องพักเล็กๆ ของเรือ และกำลังจะบ้าตาย
เขาอยู่ในชุดผู้หญิง...แม้เวลานี้จะพยายามทำให้มันสวมใส่สบายที่สุด หมวกระบายลูกไม้ถูกถอดทิ้งเป็นอย่างแรกหลังจากเข้ามาในห้อง เรือนผมดำที่กระรอกตัวแสบบรรจงเกล้าเป็นมวยเสียดิบดี (ชนิดที่แอชเห็นแล้วทำตาโต ว่าหมอนี่มันไปเอาฝีมือทำผมผู้หญิงมาจากที่ไหน) ถูกคลายและผมรวบมัดหางม้าง่ายๆ ไว้ตามเดิม จากนั้น เด็กหนุ่มจึงขอให้ผู้หญิงตัวจริงของกลุ่มช่วยคลายสายรัดทรงแสนอึดอัดและกระดุมเสื้ออะไรก็ตามข้างหลัง รวมทั้งขยุ้มกระโปรงขึ้นสูงที่สุด แล้วก็นั่งเหยียดขาที่ยังคงสวมกางเกงผู้ชายไว้ข้างใน
อดีตลูกศิษย์ตัวแสบที่จัดแจงแปลงโฉมอดีตอาจารย์แอบกระซิบไว้ว่า “เจ้าจะออกไปเดินเล่นรับลมบนดาดฟ้าเรือกับข้าก็ได้นะ อามีรายอดรัก” ...แต่ให้ออกไปในสภาพทรงเครื่องแบบนั้น อาเมียร์ยอมถูกถ่วงน้ำตายในคุกกรงน้ำยังดีกว่า
ทว่า ที่อยากยิ่งกว่าถูกถ่วงน้ำตาย คือถีบใครบางคนตกเรือจมน้ำตายก่อนเป็นที่สุด ...ขณะมองแอช ที่ (ในที่สุดก็ได้) ออกจากหีบเสื้อผ้ามานอนระโหยอยู่บนเตียงพับติดผนังเล็กๆ ในห้อง ในชุดผู้ชายอย่างที่เคยสวมจนชิน แต่เวลานี้ปล่อยผมสยาย กับชาลัวห์ที่กำลังโน้มคอตัวโก่ง ใช้บริการของกระโถนในห้องพักเป็นคำรบสอง เพื่อคลายความคลื่นไส้ที่เด็กหนุ่มผมดำใช่จะไม่เข้าใจ
เป็นเขาถูกจับใส่อดีตถังชาดานแซร์ (แม้จะพยายามล้างให้เหลือกลิ่นน้อยที่สุดแล้วก็ตาม) แถมมีเนยแข็งกลิ่นเหม็นที่สุดในธีร์ดีเร...และอาจจะในสากลโลกวางทับบนฝา แช่อยู่แบบนั้นนานเป็นชั่วยาม ก็คงจะคายของเก่าทิ้งในสภาพไม่ต่างกัน (ต่อให้เขาคงพยายามกลั้นสุดชีวิต พยายามไม่ให้ทำเลอะรดตัวเองกับเสื้อผ้าในถังอย่างอีกฝ่ายเป็นแน่)
ดังนั้น คนที่เขาอยากถีบตกเรือจึงไม่ใช่คนที่กำลังอาเจียนอยู่คาตา แต่เป็นคนที่ทำให้ตนเองต้องแต่งตัวเป็นผู้หญิง และพวกเขาต้องเสียเวลานานเกินไปโดยไม่ควร จนอาจเกิดเรื่องนี้ขึ้นต่างหาก
รูอาร์คตีบทพ่อค้าแตกกระจุยจนเกินไป
เขายอมรับว่าเด็กหนุ่มหัวแดง (ที่บัดนี้กลายเป็นชายผมดำไว้หนวดลงพุง) เข้าใจหาวิธี จัดวางโน่นนี่ให้ไม่มีช่องว่างในการตรวจค้นที่ซ่อนของเพื่อนร่วมทางอีกสองคน รวมทั้งพูดดึงความสนใจของทหารได้มีจังหวะพอเหมาะ อย่างที่อาเมียร์เองคงทำไม่ได้ แต่มันดูท่าทางจะ ‘เข้าถึง’ บทพ่อค้าเกินไปจนลืมสวัสดิภาพของคนในที่แคบเสียแล้ว
พอมันขึ้นเรือได้เสร็จ ก็โดนพวกพ่อค้ากับนักเดินทางร่วมเรือดึงตัวไปขอชิมเหล้าในกระติกหลายต่อหลายคน กระทั่งดูเหมือนจะลืมเรื่องที่ต้องขนข้าวของ (และคนที่ซ่อนอยู่ข้างใน) เข้าห้องพักไปเสียสนิท มิหนำซ้ำ...ครั้นเด็กหนุ่มผมดำจะยกถังลากหีบเอง ก็ยังพบว่าเป็นเรื่องถึกเกินกำลังสภาพการปลอมตัวของตน
และครั้นจะเรียกลูกเรือให้มาช่วย ก็จนใจที่ไม่สามารถพูดออกไปในสภาพนี้ด้วย
อาเมียร์จึงได้แต่เดินตามไปพลางดึงแขนบ้าง สะกิดพ่อค้ากำมะลอบ้าง ด้วยหวังจะให้อีกฝ่ายรู้ตัวเสียที กว่าจะได้ผลก็ปาเข้าไปอีกราวๆ สิบกว่านาที ผลเมื่อถึงห้องพักคือเจ้าหญิงในหีบเสื้อผ้าเกือบเป็นลมไปแล้ว และอดีตคุณชายในถังก็เปรอะของเหม็นเปรี้ยวบางอย่างแทนชาดานแซร์ไปเรียบร้อย
ยังดีที่รูอาร์คพอมีน้ำใจออกไปขอน้ำจืด โดยอ้างว่าให้ภรรยา (มาเช็ดหน้า ล้างตัว หรือทำอะไรก็ตาม) ชาลัวห์จึงได้ทำความสะอาดตัว และผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ถึงอย่างนั้น เด็กหนุ่มผมแดงก็หลบหายไปนอกห้องอีกเป็นนาน โดยบอกว่าพ่อค้าร่วมเรือที่คุยกันถูกคอเชิญไปร่วมโต๊ะ (ที่จริง รูอาร์คเสริมว่าเขาให้พาภรรยาไปด้วยก็ได้ แต่อาเมียร์ปฏิเสธ เนื่องจากไม่อยากไปนั่งเป็นหญิงใบ้ต่อหน้าคนไม่รู้จักอีกมากมาย รวมทั้งเดาได้ว่าตนอาจถูกกระรอกกะล่อนเผาไฟจนสุกเกรียมแทนอาหารด้วยคำพูดทำนองไหนได้บ้าง)
อาเมียร์ไม่สนหรอกว่ามันไปสำราญอยู่ที่ไหน ไม่อยู่ทำอะไรให้เขาหงุดหงิดยิ่งกว่านี้อาจนับเป็นพระคุณกว่า แต่เรื่องของเรื่องที่เด็กหนุ่มจะบ้าตายคือมันหายตัวไปนานเกิน ขณะที่มีอะไรบางอย่างต้องจัดการอย่างเร่งด่วน
ถังไม้ที่เปื้อนยังคงอยู่ในห้อง มันใหญ่เกินกว่าจะจับทิ้งออกนอกหน้าต่างเรือ ซึ่งเป็นแค่แผ่นกระจกกลมหุ้มขอบเหล็ก กว้างกว่าฝ่ามือเพียงเล็กน้อย พอให้ยื่นปลายกระโถนออกไปเทอะไรก็ตามทิ้งข้างนอก และแม้จะปิดฝาไว้แล้ว มันก็กำลังโชยกลิ่นไม่พึงประสงค์อบอวลในห้อง หนำซ้ำสภาพของชายหนุ่มธาตุอ่อนที่พ่วงอาการเมาเรือเข้าไปก็ไม่ยอมกระเตื้องขึ้นเลย
เพื่อสวัสดิภาพของทุกๆ คน ต้องรีบนำถังไปทิ้ง และอย่างน้อยก็หายาหอมยาลมมาให้ชาลัวห์สักหน่อย
“อาเมียร์” เด็กสาวบนเตียงเรียกเขาเสียงอ่อนๆ “ท่านว่านี่กี่โมงแล้ว”
เด็กหนุ่มผมดำเหลือบดูความยาวของไส้ตะเกียง
“เราคงนั่งเรือมาได้สองชั่วยามกว่าแล้ว ก็น่าจะราวสองสามทุ่ม”
“...รูอาร์คกินอาหารเย็นนานขนาดนั้นเชียว”
“เขากินเลี้ยง ก็คงติดคุยฮาเฮไม่ยอมเลิกกระมัง” อาเมียร์พูดอย่างปลงอนิจจัง “เจ้าก็รู้นิสัยเขา”
แอชเงียบไปอีกครู่ จึงค่อยๆ ยันตัวขึ้นนั่ง
“ท่านว่าเวลานี้คนจะเยอะไหม ออกไปเดินข้างนอกหน่อยจะได้หรือเปล่า”
“คงไม่กระมัง ค่ำๆ ดึกๆ ไม่น่าจะมีใครอยากขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือหรอก มืดแล้วก็คงอยากอยู่ในห้องพักมากกว่า” อาเมียร์พูดแล้วก็นึกอะไรได้ จึงลุกขึ้นยืน และสลัดชุดรุ่มร่ามไปให้พ้นตัว “แต่ใครจะเห็นก็ช่างมัน คนบนเรือมีกันเยอะแยะ พวกเขาจำกันไม่ได้หรอกว่าใครเป็นใคร”
“ท่านอยากไปเหมือนกันหรือ” เด็กสาวถาม และเขาคงไม่ได้คิดไปเอง...ว่าเสียงของเธอฟังร่าเริงขึ้น
“ข้าก็เบื่อที่ต้องอุดอู้เหมือนกัน แล้วเรายังต้องเอาถังไปกำจัดด้วย ทิ้งน้ำตอนกลางคืนจะสะดวกกว่า”
แอชดูดีใจอย่างเห็นได้ชัดจริงๆ และรีบรวบผมของตนซ่อนไว้ในคอเสื้อ สวมช้องผมทับโดยไว
ชาลัวห์เพียงเงยหน้าอ่อนระโหยจากกระโถนขึ้นมาเหลือบมองทั้งสอง แล้วก็โบกมือก่อนจะพูดอย่างเพลียๆ ว่าเชิญไปตามสบาย จะอยู่เฝ้าห้องให้ จนอาเมียร์นึกในใจขึ้นครามครันว่า...บางทีหมอนี่ก็ทำตัวน่ารักว่าง่ายกว่ารูอาร์คอย่างไม่น่าเชื่อ
* * * * *
“ไม่เอาน่า อย่าเล่นตัวเลยน้องสาว”
เด็กหนุ่มกับเด็กสาวยังไปได้ไม่ถึงดาดฟ้าเรือ ก็บังเอิญได้ยินเสียงโฮกฮากจากแถวบันไดเสียก่อน
อาเมียร์รีบกางแขนกั้นหน้าแอช ส่งสายตาท่าทางเป็นเชิงให้เธอเงียบและอยู่รอ จากนั้นจึงก้าวเข้าไปใกล้ แม้จะยังหนีบถังไม้ติดข้างเอวอยู่
ใต้แสงตะเกียงที่ตามไว้เป็นระยะๆ ในครอบแก้วบนผนังเรือ เด็กหนุ่มเห็นชายร่างใหญ่สามคนยืนค้ำร่างเล็กกว่าอยู่แถวซอกใต้บันไดไม้ลงไปชั้นล่าง ซึ่งนำไปสู่ห้องพักรวมของบรรดาผู้โดยสารชั้นสาม ที่มักเป็นนักเดินทางกลุ่มเล็กๆ หรือตัวคนเดียว ซึ่งจ่ายค่าโดยสารน้อยที่สุด...เพื่อไม่แลกกับความสะดวกสบายอะไรเลย
ครั้นเข้าไปใกล้ขึ้นอีก เขาจึงเห็นว่าร่างนั้นเป็นเด็กสาว อายุราวสิบสี่สิบห้า แต่งกายอย่างนางรำชาวทะเลทราย
อาเมียร์รู้สึกคุ้นๆ เหมือนเคยพบเธอ ...คงตอนรอตรวจสินค้าอยู่ที่ท่าเรือกระมัง
“รำให้พวกข้าดูหน่อยไม่ได้รึไง มีเงินจ่ายนะ” คนพูดไม่พูดเปล่า แต่เขย่าถุงที่ข้างเอวให้เกิดเสียงกรุ๋งกริ๋งด้วย “เผลอๆ จะให้ดีกว่าไอ้พวกพ่อค้าเมื่อกี้ ทั้งที่เหนื่อยน้อยกว่าด้วย”
“ขอโทษนะ ข้ารำอะไรแบบที่พวกเจ้าอยากดูไม่เป็นหรอก” เสียงเล็กๆ ของอีกฝ่ายตอบอย่างไม่กลัวเกรง “ยิ่งถ้าจะให้รำเนื้อแนบเนื้อในที่รโหฐาน...แบบที่พวกเจ้าคิดอยู่ยิ่งไม่เอา เงินน่ะข้าไม่สนหรอก แต่วิธีขอของพวกเจ้ามันไม่น่าพิสมัยเลย ไปต้มตำราสุภาพบุรุษกินสักสิบเล่ม ให้ซาบซึ้งในวิธีปฏิบัติต่อสุภาพสตรีก่อนดีกว่าไหม”
“นังนี่!” หนึ่งในสามชายโฉดสบถ “วอนเจ็บตัวรึไง ไอ้เรารึอุตส่าห์มาซื้อดีๆ!”
“อยากโดนถ่วงน้ำเป็นผีเฝ้าทะเลนักเรอะ นังหนู” อีกฝ่ายกรรโชก มือทั้งสองคว้าข้อมือของเด็กสาว บีบแน่นตรึงกับผนังเรือ “หลังจากพวกข้าเสร็จธุระกับแกแล้วนะ”
“ก็ลองดูสิ” หญิงชาวทรายร่างเล็กกลับตอบเหมือนไม่ยี่หระ ...แต่อาเมียร์คิดว่าตนคงอยู่เฉยอีกไม่ได้
ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่บุ่มบ่ามพรวดเข้าไป แต่รีบวิเคราะห์สถานการณ์อย่างใจเย็น พวกมันมีกันถึงสามคน และต่อให้เด็กหนุ่มคาดว่าตนมีฝีมือมากกว่า ก็ยังไม่อยากลงไปคลุกกลางวงตรงๆ ให้เสี่ยงเจ็บตัวโดยใช่เหตุ
...ก็นับว่ายังดีที่มี ‘อุปกรณ์ช่วย’ ไม่ใช่หรือ...
เด็กหนุ่มกะองศาถ้วนถี่ ให้แน่ใจว่าคนที่เขาต้องการช่วยจะไม่ถูกลูกหลงไปด้วย ครั้นแล้วก็จับถังตะแคง ผลักเต็มแรงให้กลิ้งหลุนๆ ลงบันได
ได้ผลเกินคาด มันชนชายร่างใหญ่คนแรกไปชนคนที่สอง...แล้วก็คนที่สามล้มระเนระนาด เสียงร้องจากความตกใจดังอยู่ครู่เดียวก็กลายเป็นโอดโอย ปนขยะแขยงเมื่อถังไม้เก่าผุถึงกับแตก และเผยให้เห็นของเสียข้างใน
“โอ๊ะ” อาเมียร์แสร้งอุทาน “ขอโทษที ถังมันหลุดมือไป น่าเสียดายจริง”
น่าเสียดาย บันไดไม่ได้ชันหรือยาวมาก ความเร็วและแรงของถังจึงไม่ได้เพิ่มขึ้นมากพอจะทำให้พวกมันสลบเหมือดในทีเดียวจากแรงปะทะ แต่เด็กหนุ่มอดคิดไม่ได้ว่าเป็นอย่างนี้ก็ใช่จะเลวร้าย
ได้ยืดเส้นสายหลังจากเดินตัวเกร็งเป็นผู้หญิงมาค่อนวันก็ดีเหมือนกัน
* * * * *
คนเขียนขอคุย
ตอนนี้ ฉากสู้ของซิอ์บุลกับหน่วยเรเวน ต้องขอขอบคุณพี่ Dark Master ผู้ช่วยคิดคิวบู๊มือเปล่าต่อดาบแบบเจ๋งๆ รวมทั้งรีไรท์ฉากนี้ให้ไหลลื่นขึ้นมากๆ เลยด้วย m[_ _]m
ส่วนการบู๊ของสิมา ก็เกิดมาจากความคิดของผมว่าพวกนั้นไม่น่าจะบุกเข้าหาซิอ์บุลหมดทุกคน แต่แบ่งไปดักผู้หญิงกับเด็กคนอื่นๆ บ้าง เผื่อจับมาเป็นตัวประกันขู่ให้พ่อหมาป่ายอมถอนเขี้ยวเล็บได้ เลยเกิดเป็นแผนซัดถั่วฟาดกระทะอย่างนี้ละครับ ^^a
ฉากคุยของดูลัสกับท่านเบเรค แอบรู้สึกเหมือนดูลัสโดนไล่จนมุมอีกแล้ว ^^;;; จะบอกว่าพ่อ-ลูก (หรือลุง-หลาน?) คู่นี้เป็นประเภทที่ปราบดูลัสอยู่หมัดซะหรือเปล่านะ แต่ด้วยวัย ผมก็รู้สึกว่าท่านเบเรคย่อมรอบจัดกว่าหนุ่มบัณฑิตจบใหม่หลายขุมอยู่ ต่อให้อีกฝ่ายเป็นอัจฉริยะแค่ไหนก็เถอะ
ตั้งแต่ฉากตรวจก่อนขึ้นเรือมาเป็นฉากที่ค่อนข้างใหม่ ทีแรกว่าจะรวบรัดตัดความตอนไปเจอด่านของดูลัสเลย แต่ก็นึกได้ว่าบนเรือน่าจะมีอะไรให้ดูได้มากกว่านี้ แล้วก็เลยนึกบทที่จะดึงแม่มดมาลิอา กับพระมหาเถระลูเธียนเข้ามามีส่วนร่วม ไปจนถึงสร้างความใจเต้นให้ความสัมพันธ์ของคู่พระ-นางได้ด้วย แต่จะเป็นอย่างไรก็รอชมกันต่อไปนะครับ
และแล้วตอนนี้ก็สรุปความจริงได้อย่างนึง ว่าอาเมียร์เป็นลูกของซิอ์บุลกับสิมาแน่ๆ เพราะเกิดอาการคันมือคันเท้าอยากเตะเกรียนเหมือนพ่อ แถมยังใช้วิธีกลิ้งถังเหมือนกับที่แม่กลิ้งถั่วไม่มีผิด (แม่กลิ้งถั่วลูกกลิ้งถัง...ตามสำนวนพี่ Dark Master ^^a )
แล้วพบกันตอนหน้านะครับ :)
จากคุณ |
:
Anithin
|
เขียนเมื่อ |
:
11 พ.ย. 53 22:17:58
|
|
|
|