...เส้นทางนั้น...
ลึกลงไปใต้ผืนน้ำมืด
...อีกครึ่งหนึ่งของเรา...อยู่ที่นั่น...
ร่างสีดำแทรกซอน ว่ายแหวกผืนน้ำราวกับปลา ทว่ามันมิใช่ปลา มิใช่สิ่งที่ไม่มีเนื้อหนังมังสา ทว่าเป็นกลุ่มก้อนแห่งหมอกดำ หมอกดำอันเปี่ยมด้วยความรู้สึกท่วมท้น ...และพลังอำนาจแห่งความมืด
...แต่เพียงเสี้ยวเดียว...
...เวลาน้อยนิด...โอกาสครั้งนี้...จะให้พลาดไปไม่ได้...
มันรู้ว่ามันไม่สมบูรณ์ และสิ่งที่จะเติมเต็มมันอยู่เบื้องบนนั้น ดังนั้นจึงใฝ่หา ดังนั้นจึงมุ่งหน้า ประหนึ่งแม่เหล็กซึ่งถูกดึงดูดหาอีกขั้วหนึ่ง แม้นมีเวลาเพียงจำกัด
...และเมื่อถึงเวลาที่เข้าถึงอีกครึ่งหนึ่งของตน ก็จะหลอมรวมแนบแน่นเป็นหนึ่งเดียว ไม่ยอมแยกจากกันอีกต่อไป...
* * * * *
อาเมียร์รู้สึกราวกับตนเองนิ่งงันไปแสนนาน กว่าจะตั้งสติได้และพยายามกลบเกลื่อน
“อย่าล้อเล่นแบบนี้สิท่าน” เด็กหนุ่มพูดกลั้วหัวเราะ “ข้าเป็นแค่ลูกพ่อค้า จะไปเป็นราชาได้อย่างไร เวลานี้ธีร์ดีเรกำลังมีเรื่องเศร้า พระคู่หมั้นของเจ้าหญิงเพิ่งเสียไป เรื่องเช่นนี้ไม่ขำหรอกนะ”
หญิงนางรำเพียงหันหน้ามาทางเขานิ่งอยู่ ด้วยดวงตาที่มองไม่เห็น และรอยยิ้มน้อยๆ อันเป็นปริศนา
ราวกับจะบอกโดยนัย...ว่าเธอล่วงรู้สิ่งที่เขาปิดบังซ่อนเร้นไว้ รู้อย่างละเอียดถี่ถ้วน
อาเมียร์ไม่ต้องการต่อเรื่องราว จึงจัดการเปลี่ยนหัวข้อเสีย
“แต่เรื่องนิสัยของข้า ท่านทำนายได้แม่นยำมาก ข้อนี้ข้ายอมรับ แอช...จะลองให้นางทำนายหน่อยไหม”
“ข...ข้าหรือ” เจ้าหญิงในคราบเด็กชายกลับรับอย่างตื่นๆ “ม...ไม่เป็นไรหรอก พี่เอลม์เป็นคนช่วยนาง นางตอบแทนท่...พี่คนเดียวก็พอแล้ว”
ครั้นเห็นแอชดูจะไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจน เด็กหนุ่มจึงไม่เซ้าซี้อีก และนางรำตาบอดผู้ลึกลับก็เอ่ยขึ้นมาเองว่าตนสูดอากาศพอแล้ว ก่อนจะปลีกตัวไปในไม่ช้า โดยยอมให้พวกเขาไปส่งถึงแค่หัวบันไดลงจากดาดฟ้าเรือ และอ้างว่าเธอจำทิศทางได้จากเมื่อตอนขึ้นมา
* * * * *
ลงไปอีกสองชั้น มีชายผิวขาวอย่างชาวตะวันตก ทว่าโพกศีรษะแบบคนทราย รอรับเด็กสาวตาบอดอยู่ที่ปลายบันได
“เป็นอย่างไร” ชายหนุ่มถามเป็นคำแรก
“เขาโตขึ้นแล้วหล่อกว่าที่ข้าคิดเป็นกอง แถมยังเป็นสุภาพบุรุษกว่าเจ้าจนเทียบไม่ติด” อีกฝ่ายตอบหน้าตาย แม้ถ้อยคำเหมือนตัดพ้อ “นักบวชประสาอะไร...ไม่ยอมเข้ามาช่วยสาวน้อยตาบอดน่าสงสารที่กำลังถูกผู้ชายโตๆ ตั้งสามคนรุมรังแกเลย”
พระมหาเถระหนุ่มแค่นเสียงรับ
“ก็เพราะรู้น่ะสิ ว่าถ้าทิ้งไว้ ‘สาวน้อยน่าสงสาร’ จะรังแกผู้ชายหน้าโง่พวกนั้นเอง แล้ว ‘ทัมมุซ’ ก็กำลังเดินเข้ามาใกล้ด้วย” เขาแย้ง ก่อนจะกลับเข้าประเด็น “เป็นอย่างไร เขามีปรารถนาร้ายหรือเปล่า แล้วเด็กผู้ชายที่อยู่กับเขาคนนั้น...”
“เห็นจะไม่มี และนั่นเป็นเด็กผู้หญิง” มาลิอาตอบทันควัน “พูดให้ถูกคือเจ้าหญิงรัชทายาทแห่งธีร์ดีเร”
ครั้นอีกฝ่ายเงียบไปนาน แม่มดในเครื่องนางรำก็เหยียดยิ้ม
“เจ้าชายย่อมคู่ควรกับเจ้าหญิง...หรือไม่ใช่”
“เจ้าลืม ‘คำทำนาย’ ไปแล้วหรือ” ลูเธียนกลับถามเสียงเครียด “หากเขามีเป้าหมายที่เจ้าหญิง...”
“เขาไม่มีความคิดอะไรแบบนั้นเลย และเจ้าหญิงก็ไม่ได้ถูกครอบงำด้วยมนตร์สะกดใดๆ อย่างที่เจ้ากลัวหรอก ...หรือหากจะมี...ก็คงเป็นมนตร์ที่เรียกกันว่า ‘ความรักอันบริสุทธิ์’ กระมัง” เด็กสาวตอบอย่างอารมณ์ดี “ติดตามพวกเขาไปอย่างนี้สักพักก็พอ ถึงอย่างไร ทัมมุซก็ตั้งใจจะกลับไปหาครอบครัว และมอบตัวต่อเจ้ามณฑลยาร์ลาธอยู่แล้ว”
“วิชาอ่านใจคนของพวกมนตร์มืดนี่ช่างสะดวกสบายจริงนะ” นักบวชหนุ่มพูดแห้งๆ
“ถือว่าข้าโชคดีด้วยกระมัง ที่เขายังไม่รู้จักวิธีการเร้นใจจากมนตร์มืดด้วยกัน” น้ำเสียงของมาลิอากลับเป็นครุ่นคิด “แต่เป็นอย่างที่พวกเราคิด...ผนึกเริ่มไม่เสถียรแล้ว เวลานี้พลังต่างๆ ของคัมภีร์อนธการถึงเริ่มสำแดงออกมา โดยที่เขายังควบคุมไม่ได้”
“งั้นรีบผนึกมันไว้อีกครั้งไหม” พระมหาเถระเสนอ “เรามีกันสองคนเหมือนครั้งนั้นแล้ว ยิ่งถ้าเขายังไม่รู้ตัว ทุกอย่างน่าจะสะดวกขึ้น”
แม่มดไม่ตอบ ...ทว่าเงียบไปได้เพียงครู่เดียวก็หันศีรษะขวับ
ลูเธียนมองเธออย่างระแวดระวัง ทว่าคำถามใดๆ ไม่จำเป็น
เขารู้สึกได้เช่นกัน...ถึงเงามืดที่คืบคลานใกล้เข้ามา...แผ่อำนาจฟุ้งกระจายราวกับท้าทาย หรือไม่เห็นความจำเป็นของการปิดบังแม้เพียงน้อย
“ให้เรา...”
เด็กสาวกลับสั่นศีรษะ และสะบัดมือ
เงาที่ใต้เท้าของเธอเคลื่อนไหวเป็นอิสระจากร่างกาย โลดโผนโจนขึ้นบันไดไปราวกับม้าเร็ว กระทั่งแสงตะเกียงไหววูบเป็นแนวยามมันเคลื่อนผ่าน
“ไม่จำเป็น” มาลิอาตอบหลังจากลับเงานั้น “วิชาแสงวูบวาบของท่านเป็นจุดสนใจเกิน ประเดี๋ยวจะแหวกหญ้าให้งูตื่นเสียเปล่าๆ ...ราตรีเป็นเวลาแห่งเงาดำ เงาดำจะปะทะกลืนกินกันเองบ้าง...ใครจะสังเกต”
* * * * *
แอชลีนน์มองตรงไปยังแสงลิบๆ เบื้องหน้า ไฟจากพระราชวังหลวงปรากฏอยู่หลังม่านหมอก ขับปราสาทให้เป็นเงาเงื้อมท่ามกลางผืนน้ำมืด แลดูบิดเบี้ยว ผิดประหลาดจากปราสาทหินสีขาวเจิดจ้าใต้แสงแห่งกลางวันเหลือเกิน
เพราะปราสาทอยู่กลางทะเล เจ้าหญิงย่อมต้องเคยล่องเรือพิธี หรือชมทิวทัศน์บ้างตามโอกาส แต่แน่นอนว่าไม่เคยนั่งเรือยามกลางคืน และมองปราสาทจากที่ไกลลิบ เหมือนสองครั้งที่ผ่านมานี้
“เหมือนคืนนั้นเลยนะ” เธอเอ่ยขึ้นลอยๆ
“หือม์?” อาเมียร์รับ
“คืนที่เรานั่งเรือหนีออกมาจากคุกกรงน้ำ...ท่านจำได้ไหม”
เด็กสาวทบทวนจำนวนวันที่ผ่านมา ครั้นแล้วก็พบว่าเป็นเวลาเพียงไม่นานเลย กระนั้นกลับรู้สึกเหมือนเป็นอดีตอันแสนไกลเหลือเกิน
“คงลืมไม่ลงหรอก” เด็กหนุ่มตอบเท่านั้นก็เงียบไปอีกครั้ง
แอชลีนน์จึงยิ่งนึกเรื่องพูดต่อลำบาก บางทีเธออยากถาม...ว่าเกิดอะไรกับเขาบ้างในที่แห่งนั้น ทว่าอาเมียร์ก็คงไม่อยากพูดเหมือนกัน นั่นย่อมไม่ใช่เรื่องดี...มีแต่การทรมานอันน่าหวาดหวั่น ดังเช่นที่เธอได้ยินจากปากคำของรองราชมัล และเห็นหลักฐานจากแผลที่นิ้วมือขวาของชาลัวห์ ซึ่งค่อยๆ หายดีขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป แต่ก็คงไม่อาจหายสนิทจนใช้มือข้างนั้นได้ดีเท่าแต่ก่อน
แต่เรามีเรื่องอื่นที่อยากถามเขามากกว่า...ไม่ใช่หรือ
เด็กสาวบอกตนเอง แล้วก็ใช้เวลาแห่งการลาจากที่ใกล้เข้ามาเรียกความกล้า จะได้คลายความอยากรู้ที่รุมเร้ามานานเสียที
ยิ่งเมื่อนางรำลึกลับคนนั้นเอ่ยย้ำความสงสัยของเธอแล้ว...
“เมื่อครู่...นางรำชาวทะเลทรายคนนั้นพูดเรื่อง ‘มงกุฎแห่งราชัน’ ใช่ไหม” แอชลีนน์ค่อยๆ เอ่ย “ข้าเองก็...อยากรู้นะ”
“อยากรู้?” เขาทวนคำอย่างประหลาดใจ
“ท่าน...เป็นเจ้าชายใช่ไหม อาเมียร์” เจ้าหญิงแห่งธีร์ดีเรรวบรวมถ้อยคำได้สำเร็จ “ท่านเคยเป็นเจ้าชายของอาณาจักรที่ล่มสลายไปแล้ว...ใช่ไหม”
เด็กสาวไม่รู้เลย ว่าเธอคาดหวังสิ่งใดจากคำถามนั้น
แต่เธอก็ยังคงมองผู้ถูกถาม...และรอคอย
อาเมียร์ไม่ได้มองเธอ แอชลีนน์รู้สึกเหมือนเขาทำราวกับไม่ได้ยินด้วยซ้ำ เด็กหนุ่มเอาแต่เท้ากราบเรือ ทอดสายตาออกไปไกลแสนไกล
เจ้าหญิงเริ่มหวั่นใจ จนจะบอกให้ลืมคำพูดเมื่อครู่ไปเสียแล้ว...จึงได้ยินคำรับแผ่วเบา
“...ใช่”
คำคำนั้นเรียกให้เธออยากพูด...อะไรกันหรือ หากถามเขาว่าการสูญเสียเจ็บปวดมากใช่ไหม คงมีแต่จะยิ่งตอกย้ำ แต่ครั้นจะปลอบโยน ก็ยิ่งไม่อาจเอ่ยคำใด
ดังนั้นจึงมีเพียงมือที่ยื่นออกไป มือที่หมายแตะไหล่ปลอบประโลม...
...แต่กลับชะงักก่อนถึงร่างของอีกฝ่าย ซึ่งจู่ๆ ก็คู้ลงพร้อมกับเสียงร้อง...
“อาเมียร์!” แอชลีนน์เรียกอย่างตกใจ ขณะจ้องมองเด็กหนุ่มที่ยกสองมือขึ้นกุมศีรษะ ท่าทางเจ็บปวดทุรนทุราย
เธอตั้งสติได้ในอีกครู่ต่อมา และทำท่าจะเข้าไปประคองเขา แต่ก็กลับคว้าพลาด...แตะได้เพียงชายเสื้อ
...ในชั่วไม่กี่วินาที ร่างทั้งร่างของอาเมียร์พลันดิ่งละลิ่วลงไปคาตา กระทบผืนน้ำมืดจนฟองขาวกระเซ็นสูงพร้อมเสียงดังครืนครัน...
ครั้นแล้วก็เงียบหายไป
เด็กสาวนิ่งงันไปชั่วอึดใจ ก่อนจะกรีดร้องออกมา...เหมือนครั้งคลุ้มคลั่งบนหลังม้ากลางป่า ขณะที่ความคิดใดๆ อันตรธานไปจากสมองของตนจนสิ้น
มีแต่ภาพของอาเมียร์...ซ้อนกับเสด็จพี่ไอลีช...และเสด็จพ่อกับเสด็จแม่...เหมือนในฝันร้ายที่เธอเห็นทุกๆ พระองค์ถูกกลืนกินหายไปในความมืด ไม่เหลืออยู่อีก...ไม่กลับมาอีก
ดุจดังภาพมายาไร้ตัวตน ที่อันตรธานไปในราตรีอันเวิ้งว้าง
* * * * *
คนเขียนขอคุย
รู้สึกเหมือนช่วงตอนนี้กับตอนหน้าจะตัดฉากบ่อยขึ้น คงเพราะไม่ได้กลับมาเขียนจริงๆ จังๆ อยู่นาน สำนวนเลยเปลี่ยนไปบ้าง แล้วช่วงนี้ก็มีตัวละครกับสถานการณ์ที่อยากพูดถึงเยอะอยู่เหมือนกันแฮะ
มาลิอา ยิ่งเขียนก็รู้สึกชอบเธอในแนวตัวละครจอมกวนขโมยซีนแฮะ (ถ้าต้องมาปะทะฝีปากกับรูอาร์คก็น่าคิดว่าจะออกทะเลไปจนเจ็ดย่านมหาสมุทรขนาดไหนกันนะ ^^a )
และแล้ว เจ้าหญิงก็ได้ฟังคำสารภาพจากเจ้าชาย แต่เขาก็เกิดหน้ามืดตกน้ำไปโดยไม่คาดฝัน ใครจะไปช่วยเขาขึ้นมา และตอนหน้าจะมี “จุมพิตแห่งชีวิต” หรือไม่ ติดตามกันต่อไปได้เลยครับ :D
ป.ล. ฝากรูปของมาลิอา และรูปสีของพระเอกที่เพิ่งลงเสร็จไม่นานครับ
จากคุณ |
:
Anithin
|
เขียนเมื่อ |
:
14 พ.ย. 53 20:39:33
|
|
|
|