Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ตำนานสงครามบัลลังก์เหนือ 2 - บทที่ 17 - มายาในราตรี ติดต่อทีมงาน

อ่านเนื้อหาภาค 1 ได้ที่นี่ครับ

http://writer.dek-d.com/Anithin/writer/view.php?id=471973

เนื้อเรื่องต่อภาค 2

http://writer.dek-d.com/Anithin/writer/view.php?id=623553


* * * * *


ขอบคุณคุณ Mnemosyne สำหรับกิฟท์นะครับ ^^


* * * * *

บทที่ ๑๗
มายาในราตรี


“ทำบ้าอะไรของแกวะ!” ชายร่างใหญ่คนแรกที่ตะเกียกตะกายลุกขึ้นได้ชี้หน้าเด็กหนุ่มบนหัวบันได สีหน้าของมันแดงก่ำจนเห็นได้ชัดใต้แสงตะเกียง

“ขอโทษขอรับ พี่ชาย ข้าทำถังหลุดมือน่ะ” อาเมียร์ตอบอย่างไม่ใส่ใจจะแสร้งสำนึกผิดนัก “แต่พวกท่านไม่ได้บาดเจ็บอะไร...ก็ดีแล้วนี่”

“อย่ามาทำไขสือ! ก็เห็นกันชัดๆ ว่าแกจงใจ! อยากกลายเป็นผีเฝ้าทะเลมากนักใช่ไหมวะ!” ชายคนที่สองขึ้นเสียงบ้าง

“เอ๊ะ พวกท่านนี่เป็นอะไรกัน” เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว “เป็นจ้าวแห่ง ‘ผีทะเล’ รึ เมื่อครู่ก็บอกว่าจะทำให้แม่นางคนนั้นเป็นผีทะเล ตอนนี้ก็บอกจะทำให้ข้าเป็นผีทะเล ผีอย่างอื่นมีให้เป็นตั้งเยอะ ช่างไม่มีความคิดสร้างสรรค์เอาเสียเลย”

“ไอ้—!!” ชายคนแรกผรุสวาท “แน่จริงก็ลงมาต่อยกันตัวตัวเลยสิวะ!”

“บนนี้กว้างกว่า พวกท่านสิขึ้นมา แล้วเลิกยุ่งกับแม่หญิงน้อยคนนั้นก่อนดีกว่าไหม” อาเมียร์เริ่มหักข้อนิ้วตนดังกรอบแกรบ “จะหนึ่งต่อหนึ่งสามรอบ หรือสามต่อหนึ่งรอบเดียว...ก็เชิญตามสบาย ข้าไม่เกี่ยงอยู่แล้ว”

“แต่ข้าเกี่ยง”

ทุกคนในที่นั้นหันไปทางผู้พูด ซึ่งส่งเสียงเล็กๆ ทว่าดังกังวานขึ้นมาอย่างไม่คาดฝัน

เป็นเด็กสาวชาวทรายคนนั้นเอง

เจ้าหล่อนนวดข้อมือที่ติดกำไลกระพรวนกรุ๋งกริ๋งของตน...ซึ่งบัดนี้เป็นอิสระจากการเกาะกุม ครั้นแล้วก็สะบัดหมุนข้อมือทั้งสองข้าง จนเกิดเสียงดังช้าๆ เป็นจังหวะ...เรื่อยๆ เรื่อยๆ

...ราวกับกำลังชักนำเข้าห้วงภวังค์...

“นี่เป็นเรื่องของข้ากับพวกเจ้าสามคน จะปล่อยให้คนอื่นเข้ามายุ่งเกี่ยวได้อย่างไร...จริงไหม”

“...จริง...ขอรับ...”

เด็กหนุ่มผมดำเบิกตากว้าง ขณะที่ชายทั้งสามตอบเสียงยานคางพร้อมกันอย่างไม่น่าเชื่อ ตัวที่เคยยืนจังก้า ดูใหญ่โตคุกคาม บัดนี้ห่อไหล่ลีบเล็กโงนเงน สองมือปล่อยข้างกาย แลประหนึ่งภูตผีดิบที่คอยฟังบัญชานายในตำนานก็ไม่ปาน

ไม่รู้อาเมียร์คิดไปเองอีกเช่นกันหรือไม่...ว่าแสงตะเกียงบริเวณบันไดดูจะหรี่สลัวลง ซ้ำไหววูบเป็นจังหวะตามเสียงกระพรวนที่ยังคงดังต่อเนื่องอยู่

“ค่ำมืดดึกดื่นแล้ว เป็นเด็กดีต้องทำอย่างไรจ๊ะ” หญิงร่างเล็กเอ่ยถามต่อไป เสียงทอดหวานเรียบเรื่อยอย่างหยอกเย้า

“...ไปนอน...ขอรับ...”

“อือฮึ จ๋าจ้ะ ไปนอนซะน้า ก่อนนอนก็อย่าลืมแปรงฟันด้วยล่ะ เมื่อกี้กลิ่นปากแร้งแรง ข้าแทบเป็นลมแน่ะรู้ไหม” เด็กสาวโบกส่งทั้งสองมือ ประสานเสียงกระพรวนเป็นจังหวะต่อไป “อ้อ นอนแล้วก็ลืมเรื่องทั้งหมดไปเสียด้วยนะ แต่อย่าลืมต้มตำราสุภาพบุรุษกินล่ะ...ถ้าทำได้”

ชายทั้งสามเพียงรับช้าๆ ว่า “...ขอรับ...” อีกครั้ง ก็หมุนตัวเดินเรียงหนึ่งลงบันไดชั้นล่างไปอย่างว่าง่าย

ไม่ช้า เสียงฝีเท้าของพวกเขาก็เลือนหายไป ทิ้งไว้เพียงความเงียบ และเสียงกรุ๋งกริ๋งไม่เป็นจังหวะเมื่อนางรำร่างเล็กจัดผ้าคลุมของตน

อาเมียร์กะพริบตาปริบๆ ดูเหมือนแสงตะเกียงจะกลับมาสว่างเป็นปกติดังเดิมแล้ว

“ที่จริงไม่จำเป็นหรอก แต่...ก็ขอบใจที่ช่วยนะ” เด็กสาวเงยหน้าขึ้นบอกพวกเขา ก่อนจะเอื้อมมือไปแตะผนัง ค่อยๆ เดินขึ้นมาจนสุดหัวบันได “ข้าดีใจ ที่ได้รู้ว่ามีชาวธีร์ดีเรที่มีน้ำใจอยู่เหมือนกัน”

“ม...ไม่เป็นไร” เด็กหนุ่มนิ่งงัน เมื่อครู่เขาพยายามสบสายตาคู่สนทนาตามธรรมเนียม แต่กลับพบว่าตนเองกำลังมองสิ่งที่ดูเหมือนลูกแก้วสีน้ำตาลเหลืองสองดวง ในที่ที่เป็นดวงตาของเธอ “ท่าน...ตาบอดหรือ”

เด็กสาวร่างเล็กพยักหน้า

“แต่ไม่ต้องห่วงหรอก เป็นมานานจนชินแล้ว ไอ้พวกที่ชอบวอแวแบบนี้ ข้าก็รับมือมาจนชินเหมือนกัน” เจ้าหล่อนเอียงคอ ทำท่าเหมือนมองเขาอย่างสนอกสนใจ

“ท...ท่านทำได้อย่างไร” แอชถามขึ้นบ้าง ขณะก้าวมายืนข้างๆ อาเมียร์ “ทำไมพวกนั้นถึงยอมไปง่ายๆ ล่ะ”

“เขาเรียกว่าการสะกดจิต” เด็กสาวนางรำตอบ “ใช้เสียงนำ แล้วก็...กลิ่นหอมนิดหน่อย”

เธอล้วงมือที่เขียนสีเป็นลวดลายเถาไม้เข้าไปในอกเสื้อใต้ผ้าคลุมโปร่งบาง หยิบถุงผ้าสีสดที่ปักดิ้นทองออกมาใบหนึ่ง คลี่ให้ดูของในนั้น...ผงซึ่งมีกลิ่นหอมคล้ายกำยานผสมฝิ่น

“...แค่นี้เองหรือ” แอชถามอย่างไม่อยากเชื่อ “อย่างกับ...เวทมนตร์แน่ะ”

“ข้าเคยได้ยินเรื่องสะกดจิตมาเหมือนกัน” อาเมียร์เผลอตัวออกความเห็น “ตอนอยู่ในทะเลทราย แล้วก็เคยแต่เห็นในพิธีกรรมไกลๆ ไม่เคยเห็นชัดๆ กับตาอย่างนี้”

“ท่านเคยไปแดนทะเลทรายหรือ” เสียงของนางรำสาวกระตือรือร้นขึ้นทันที

“ก็...เคย” เด็กหนุ่มผมดำตัดสินใจปด “แต่แค่ครั้งเดียว ตอนช่วยพ่อค้าขาย”

อีกฝ่ายอาจจะตาบอด มองไม่เห็นหน้าค่าตาพวกเขาก็จริง แต่หากเธอบอกทหารยามที่ท่าเรือของยาร์ลาธว่าบนเรือนี้มีชายคนทรายขึ้นมาด้วย ทางนั้นอาจตรวจค้นเรือลำนี้อย่างเข้มงวดกว่าเดิมก็เป็นได้

“อา” เด็กสาวพยักหน้ารับช้าๆ “แต่แปลกดีนะ ข้าว่าสำเนียงพูดของท่าน...ฟังเหมือนคนทรายมากกว่าคนธีร์ดีเรเสียอีก”

อาเมียร์ชะงักกึก นิ่งอึ้งไปทันที

“ท่านเรียนวิชาสะกดจิตมาจากไหนหรือ” เป็นแอชที่รีบแก้สถานการณ์ “ยากไหม แล้วก็นานไหม ถึงจะทำได้”

“ถ้าจับหลักได้ แล้วมีตัวช่วยนิดหน่อยก็ไม่ยากหรอก” คู่สนทนาตอบ ครั้นแล้วก็เงียบไปอีกครู่ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงที่สั่นและขาดห้วงกว่าแต่ก่อน “ว่าแต่...ช่วยพาข้าขึ้นไปดาดฟ้าเรือหน่อยได้ไหม อากาศแถวนี้ไม่ค่อยดีเลย”


* * * * *


อาเมียร์บอกให้แอชพยุงเด็กสาวตาบอดขึ้นบันไดไปก่อน ขณะที่ตนเก็บรวบรวมซากถังในความรับผิดชอบจากพื้น นำขึ้นไปทิ้งลงข้างกราบเรือ

คืนนั้นมีเมฆครึ้มจนแทบไม่เห็นดาวเดือน แต่ในสมัยนี้ เรือเดินทะเลล้วนมีเข็มทิศกันหมดแล้ว จึงไม่เป็นไร และถึงจะแทบไม่มีทิวทัศน์ใดให้เห็น ลมทะเลที่พัดแรงจนรู้สึกว่าผมจะยิ่งจับเหนียวจากไอเกลือ ก็ยังสดชื่นกว่าอากาศอุดอู้ภายในห้องแคบๆ มากเหลือเกิน

“ค่อยยังชั่วขึ้นหน่อย” นางรำร่างเล็กยืนเกาะกราบเรืออยู่ข้างๆ แอช เสียงพูดของเธอยังกลั้วหอบอย่างประหลาด “เพราะเจ้าสามตัวนั่นเชียว ข้าว่าจะขึ้นมาสูดอากาศสักหน่อย ทำเสียเวลาหมด”

อาเมียร์ทิ้งเศษถังไม้ไป แล้วก็เหลือบมองเด็กสาว ซึ่งล้วงหยิบของที่มีรูปร่างคล้ายกล้องยาขึ้นมาจรดริมฝีปาก ไม่ช้าก็ได้กลิ่นฉุน และเห็นหมอกสีขาวลอยอ้อยอิ่ง

“ท่าน...ไม่สบายหรือ”

“โรคประจำตัวนิดหน่อย” นางรำสาวตอบ หลังจากสูดกล้องนั้นอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่ได้ร้ายแรงอะไร แต่ทั่วไปก็น่ารำคาญอยู่ ข้าไม่ชอบแสดงรำก็เพราะอย่างนี้ล่ะ วันนี้ถ้าไม่ติดว่าพวกพ่อค้านั่นรบเร้ามากเข้า ข้าก็ไม่อยากลุกขึ้นมาทำอะไรแบบนี้ให้เหนื่อยหรอก”

“พวกพ่อค้าที่ไหนหรือ” แอชถาม

“ก็พ่อค้าบนเรือนี่แหละ ต่อให้มาค้าขายก็ยังอยากเลี้ยงฉลองกัน เห็นข้าขึ้นเรือมาด้วยเลยมาทาบทามให้ไปแสดงหน่อย ก็อยากปฏิเสธอยู่หรอกนะ”

“แต่ท่านเป็นนางรำ ทำไมจะปฏิเสธล่ะ” เจ้าหญิงในคราบเด็กหนุ่มซักต่อ

อีกฝ่ายหัวเราะ

“ปกติข้าไม่ได้รำหาเลี้ยงชีพหรอก ถึงจะเห็นแต่งตัวอย่างนี้ก็เถอะ ข้าแค่รู้สึกว่ามันสวยดี”

“เอ๋?” แอชทำเสียงสงสัย “ถ้าอย่างนั้นท่าน...ทำอะไรกันล่ะ”

“อือม์...นั่นสิ บริการพิเศษให้พวกท่านหน่อยดีไหมนะ ถือว่าตอบแทนที่ช่วยข้าไว้เมื่อครู่นี้ก็แล้วกัน” เด็กสาวว่าแล้วก็เก็บกล้องยา มือข้างหนึ่งคลำจนเจอมือของอาเมียร์ที่เท้ากราบเรืออยู่ข้างๆ แล้วจากนั้นจึงแตะไล่ขึ้นมาถึงไหล่ “ท่านอยู่นิ่งๆ สักครู่นะ”

เด็กหนุ่มทำตามคำบอกแม้จะสงสัย แต่แล้วก็พลันตกใจ...เมื่อสองมือของหญิงชาวทรายประคองเข้าที่สองข้างศีรษะของเขา แล้วก็โน้มใบหน้าของเขาลงมาใกล้ใบหน้าของเธอ

ทว่าเขาไม่ใช่คนอุทานออกมา...กลับเป็นแอชซึ่งยืนอยู่อีกฟากแทน

“ใจเย็นๆ น่า แม่สาวน้อย ข้าไม่คิดจะแย่งจูบคนรักของเจ้าหรอก” นางรำร่างเล็กกลับพูดกลั้วหัวเราะ ราวกับตนอายุมากกว่าอีกฝ่ายหลายปี ขณะที่มือทั้งสองยังคงลูบคลำศีรษะของเด็กหนุ่มช้าๆ อย่างตั้งอกตั้งใจ

“ข...” เจ้าหญิงในคราบเด็กชายสบตากับอาเมียร์อย่างประหลาดใจ ครั้นแล้วก็รีบแย้ง “ข้าไม่ใช่ผู้หญิงสักหน่อย แล้วก็...ไม่ได้เป็นคนรักของเขาด้วย เขาเป็นพี่ชายข้าต่างหาก”

“อ้าวรึ” นางรำรับสั้นๆ “ข้าคิดว่าเจ้าเป็นผู้หญิงเสียอีก”

“ล...แล้วทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะ...ขอรับ” เด็กสาวถามอย่างระแวดระวัง ขณะลอบส่งสายตาให้เด็กหนุ่มที่ยังถูกคลำรอบศีรษะต่อไป

“อือม์...เสียงหนึ่ง แต่เสียงเจ้าคงยังไม่แตก อย่างที่สองก็ผิว ตอนที่ข้าจับมือเจ้า รู้สึกว่ารูปมือเล็ก ผิวก็ละเอียดบอบบาง ไม่น่าจะเป็นผู้ชาย อย่างที่สามก็กลิ่น...ไม่รู้สินะ แต่เพราะตาเป็นอย่างนี้ ข้าเลยแยกแยะกลิ่นได้มากกว่าคนปกติกระมัง”

“อา...” แอชรับแล้วก็เงียบไป

อย่างไรก็ดี เด็กสาวชาวทรายดูเหมือนไม่ใส่ใจจะไถ่ถามต่อ เธอง่วนอยู่กับการสัมผัสศีรษะของอาเมียร์ นิ่งเงียบราวกับอยู่ในสมาธิ บางครั้งก็ใช้ฝ่ามือ บางครั้งก็ใช้ปลายนิ้ว ทำราวกับลากอักขระโบราณซึ่งเด็กหนุ่มไม่อาจทราบความหมาย จนสุดท้ายจึงได้ลดมือลง ปล่อยให้เขาได้เป็นอิสระอีกครั้ง

“จากรูปศีรษะ...” เธอเริ่มเอ่ยช้าๆ “ท่านเป็นคนมีสติปัญญาดี รอบคอบ แต่ก็ออกจะคิดมากจนเป็นวิตกกังวล ดื้อเงียบ รักความสมบูรณ์แบบ และกลัวการผิดพลาด ท่านชอบใช้เวลาให้เป็นประโยชน์สูงสุดโดยไม่ปล่อยให้เสียเปล่า ดังนั้นจึงชอบความสันโดษ แต่ก็บังคับตนเองให้เข้าสังคมได้ในระดับหนึ่ง...”

อาเมียร์เริ่มทึ่งขึ้นมาอีกครั้ง แต่ครั้นจะชมความแม่นยำของการทำนาย อีกฝ่ายก็เอ่ยต่อเสียก่อน

“นั่นแค่โดยทั่วไป แต่ดูเหมือนท่านจะมีอะไรพิเศษกว่านั้น” เสียงของเด็กสาวฟังเคร่งขรึมขึ้น “ท่านมีรอย ‘มงกุฎแห่งราชัน’ ที่รอบศีรษะ”

“มงกุฎ...แห่งราชัน?” เด็กหนุ่มทวนคำ รู้สึกทั้งสงสัยและไม่สบายใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

“ผู้ที่มีรูปศีรษะอย่างนี้...สามารถเป็นผู้ยิ่งใหญ่ได้ ทั้งในทางดีและร้าย หากถึงจุดสูงสุด ก็อาจจะเป็นมหาราช...หรือทรราช ย่อมได้ทั้งนั้น” หญิงชาวทรายเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาทั้งสองดวงที่ไม่อาจสะท้อนภาพใดดูเหมือนกำลังจับจ้องเขาอย่างใคร่รู้ “เป็นท่าน...จะเลือกทางใดกันล่ะ”


* * * * *

จากคุณ : Anithin
เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 53 20:38:01




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com