เช้าวันนั้น อาเมียร์รอเธออยู่แล้ว พอคล้อยหลังดูลัสได้สักหน่อย ทั้งสองก็เดินออกจากจวนไปที่ชุมทางรถม้ารับจ้าง ระหว่างทางเขายื่นผ้าคลุมผืนยาวที่มีหมวกคลุมศีรษะให้กับเธอ บอกให้เธอสวมไว้และเปลี่ยนเสื้อผ้าในรถม้าเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต เด็กหนุ่มรับรองเป็นมั่นเหมาะว่าจะไม่แอบดู และเสนอให้เธอเอาผ้าผูกตาเขาไว้
กระนั้น ใจของแอชลีนน์ยังเต้นรัว ความตื่นเต้น เขินอาย บวกความแคบของรถม้าทำให้การเปลี่ยนเสื้อผ้าและทำผมเองขลุกขลักจนใช้เวลามากกว่าที่คิด เด็กสาวคงบอกอาเมียร์เกินสามครั้งด้วยซ้ำว่า “อย่าเพิ่งมอง” แต่เขาก็นิ่งเฉยและรักษาคำพูดตามเดิม
รถม้าเกือบถึงอาแดร์แล้ว เมื่อแอชลีนน์บอกให้เขาถอดผ้าผูกตาในที่สุด
“เป็นอย่างไรบ้าง...” เด็กสาวลูบผมของตนอย่างประหม่า “ข้า...ข้าลองผูกผมเองดู เบี้ยวหรือเปล่า”
“ไม่หรอก” อาเมียร์ตอบยิ้มๆ “น่ารักดี ผ้าผูกผมเข้ากับสีชุดพอดีเลย เจ้านี่สังหรณ์แม่นนะ”
แอชลีนน์ก้มหน้าลง ลอบยิ้มเขินๆ ขณะเก็บช้องผมกับเสื้อผ้าผู้ชายพับใส่กระเป๋าผ้า ที่จริงเธอนำผ้าผูกผมทุกสีที่มีติดตัวมาด้วยเป็นสิบๆ ผืน เพราะไม่รู้ว่าชุดที่เขานำมาให้สีอะไร ปรากฏว่าชุดกระโปรงทับเสื้อแขนยาวสีขาวนั้นเป็นสีแดงเลือดหมู มีซับในสีฟ้าอ่อนเหมือนท้องฟ้า เธอเลยใช้ผ้าผูกผมเส้นเล็กบางสีฟ้ากับแดงสองผืนผูกสลับกันตามที่เคียราเคยสอนได้พอดี
“ชุดนี้แม่ท่านซื้อจากไหนหรือ” เด็กสาวก้มมองอกเสื้อ ซึ่งเดินขอบด้วยดอกไม้เล็กๆ อ่อนช้อยแปลกตา ไม่ใช่ลายปักแบบธีร์ดีเร “ปักสวยดี”
“แม่ตัดแล้วก็ปักเอง” เด็กหนุ่มตอบ “ว่างๆ แม่ข้าชอบปักผ้า เสื้อผ้าของทุกคนในบ้านแม่เป็นคนทำให้ทั้งนั้น ตอนอยู่ทะเลทรายแม่ยังทอผ้าเองด้วย”
“เก่งจัง” แอชลีนน์พูดลอยๆ ก่อนจะสะท้อนใจ “ข้าสิ...เย็บปักถักร้อยไม่เอาไหนเลย”
“แต่ก็มีอย่างอื่นที่ถนัดไม่ใช่หรือ” อาเมียร์กลับบอกง่ายๆ “ใครๆ ก็มีทั้งเรื่องที่ถนัดกับไม่ถนัดทั้งนั้น พยายามทำเรื่องที่ถนัดให้ดีที่สุดก็พอ ส่วนเรื่องที่ไม่ถนัดไม่ต้องฝืนทำก็ได้...ถ้าไม่จำเป็นต้องทำด้วยตัวเอง”
“แต่...ผู้หญิงที่ไหนก็ต้องเย็บปักถักร้อยได้ดีทั้งนั้นนี่นา” เด็กสาวเปรย “ไม่อย่างนั้นใครๆ คงไม่บอกว่านั่นเป็นงานของผู้หญิงหรอก”
“มันก็แค่เรื่องที่คนอื่นตั้ง” เด็กหนุ่มตอบ “ถ้าไม่ใช่หน้าที่ของเรา ไม่ใช่เรื่องที่เราอยากทำก็ไม่เห็นต้องฟังเลย”
“...ไม่รู้สิ” แอชลีนน์เลื่อนสายตาลงมองกระโปรงที่สวมอยู่ นึกถึงคำพูดของแม่นมที่พยายามเคี่ยวเข็ญให้เธอฝึกเย็บปักถักร้อย
“องค์ราชินีทรงชำนาญมากนะเพคะ ผ้าคลุมพระเศียรในพระราชพิธีอภิเษกสมรส กับผ้าซับพระพักตร์ของฝ่าพระบาท พระนางทรงปักเองทั้งนั้น”
ผ้าเช็ดหน้าหลายผืนที่เสด็จแม่ทรงปักให้เสด็จพ่อ บัดนี้กลายเป็นของดูต่างหน้าที่ตกทอดมาถึงเธอ พวกมันล้วนเดินขอบด้วยลูกไม้งดงามประณีต แล้วยังผ้าลูกไม้โปร่งบางยาวระพื้นสำหรับคลุมศีรษะ ปักไข่มุกและลูกปัดแก้วเจียระไนเลื่อมพราย ราวกับฟองคลื่นทะเลซึ่งสาดซัดผาที่ตั้งปราสาท
ผ้าผืนนั้นเองที่เธอต้องสวมในอีกไม่ถึงปีข้างหน้า ในพิธีแต่งงานของตน บางทีแม่นมกับนางกำนัลอื่นๆ คงอยากให้เธอปักผืนใหม่แทน มิเช่นนั้นก็ปักผ้าเช็ดหน้าให้พระสวามีประทับใจบ้าง แต่พอเห็นรอยด้ายที่ยึกยือเป็นตัวหนอนตลอดกาลคงถอดใจกันเสียแล้ว
แอชลีนน์สั่นศีรษะน้อยๆ ไม่อยากคิดต่อ เธอโล่งอกที่รถม้าหยุดในตอนนั้น อาเมียร์กำชับให้เธอคลุมผ้าให้เรียบร้อย เขาลงไปจ่ายเงินให้คนขับรถ แล้วเดินนำเธอไป บอกว่าแม่นัดเฟลิมกับรูอาร์คไปรับประทานอาหารเช้าที่บ้านด้วยกัน ก่อนออกไปเก็บผลไม้หรือร่วมงานเทศกาล
เพิ่งหัววัน แต่ลานกลางหมู่บ้านมีผู้คนคึกคักพอสมควร พวกผู้ชายกำลังเรียงไม้ฟืนสำหรับก่อกองไฟขนาดใหญ่ที่กลางลาน ที่มุมหนึ่งของลานตั้งไม้แผ่นใหญ่และสูงจนเอี้ยวมองคนอีกฝั่งไม่เห็น เจาะรูไว้เป็นระยะๆ ให้สอดมือลอดได้ คงเป็นแผ่นไม้สำหรับจับคู่เต้นรำ
เธอนึกขึ้นว่าหากลองจับคู่เต้นรำแล้วได้เต้นกับอาเมียร์สักครั้งคงดี กระนั้นก็เตือนตนเองไม่ให้หวังมากนัก ในเมื่ออีกฝ่ายไม่มีทีท่าอะไร
ครั้นเคาะประตูบ้านแล้วมีคนเปิด เสียงใสๆ ก็ดังขึ้นทันที นาสิราวิ่งเข้ามาหาเด็กหนุ่ม ตามด้วยฟาร์ฮานาห์ แอชลีนน์มองเขาอุ้มน้องสาวทั้งสองจนตัวลอยคนละทีเหมือนวิธีทักทายเฉพาะตัว ก่อนจะพาเธอเข้ามาแนะนำตัวกับครอบครัว ทั้งท่านซิอ์บุลผู้เป็นพ่อ ท่านสิมาที่เป็นแม่ กับลีชา ดูเหมือนอาเมียร์จะสนิทกับแม่เป็นพิเศษ เพราะตอนท้ายเขาบอกท่านอย่างเจาะจง
“นี่พี่สาวของแอช...คนที่ข้าบอกเมื่อวานขอรับ”
“เคียราค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก” เด็กสาวบอกชื่อปลอมที่ตนตกลงกับอาเมียร์ และโค้งคำนับพ่อแม่ของเขาอย่างนอบน้อม
“จ้ะ ตามสบายเถอะ” ท่านสิมายิ้มรับอย่างเป็นกันเอง ก่อนจะผายมือไปทางโต๊ะอาหารซึ่งวางตะกร้าขนมปังกับชามซุป “นั่งก่อนสิจ๊ะ เดี๋ยวโคลแคนนันก็จะเสร็จแล้ว เห็นเขาว่าเป็นอาหารมงคลในเทศกาลนี้สินะ”
“ค่ะ” เด็กสาวเหลือบมองทางครัว เห็นลีชากำลังใช้ไม้พายเคี่ยวอาหารในหม้อใบใหญ่ที่ตั้งเหนือเตาไฟ คงเป็นโคลแคนนัน อาหารพิเศษประจำงานเทศกาลลูคนาซัธ อันประกอบด้วยมันฝรั่งชุดแรกที่เก็บเกี่ยวได้ของปี ผสมกะหล่ำปลี หอมหัวใหญ่กับกระเทียม กลิ่นเริ่มโชยหอม
แอชลีนน์นั่งลงบนเก้าอี้ที่อาเมียร์เลื่อนให้ เด็กหญิงทั้งสองซักถามเธออย่างกระตือรือร้นตามประสาเด็กว่าเป็นนางกำนัลต้องทำอะไรบ้าง และเจ้าหญิงสวยมากไหม (แอชลีนน์ได้แต่ตอบข้อหลังอย่างประหม่าว่าก็น่ารักดี) อีกครู่หนึ่งก็มีเสียงเคาะประตู อาเมียร์เปิดให้เฟลิมกับรูอาร์คเข้ามา ดูเหมือนพวกเขาเคยพูดคุยกับญาติๆ ของเด็กหนุ่มชาวทะเลทรายก่อนหน้านี้ เพราะเด็กหญิงทั้งสองคุ้นเคยกับพวกเขา และท่านซิอ์บุลกับท่านสิมาทักทายพวกเขาด้วยชื่อได้ในทันที ไม่ช้า อาเมียร์ก็แนะนำให้สองพี่น้องรู้จักเธอในชื่อ ‘เคียรา’
ทุกคนนั่งสนทนาที่โต๊ะได้ไม่นาน อาหารจานสำคัญในครัวก็เสร็จ เด็กหนุ่มผมดำเข้าไปช่วยลีชายกจานเปลใบใหญ่ที่มีมันฝรั่งบดเคี่ยวกับผักวางเรียงอยู่รอบนอก และมีเนยร้อนกับนมราดในแอ่งตรงกลาง ส่งควันฉุยกับกลิ่นหอมกรุ่น
ทุกคนตักโคลแคนนันคำแรกเข้าปากพร้อมกัน แล้วพูดว่า “ยายแก่ผมแดงจงหายไป!” ตามธรรมเนียม มีรูอาร์ค เฟลิม กับแอชลีนน์ซึ่งเป็นชาวธีร์ดีเรโดยกำเนิดเป็นต้นเสียงดังกว่าใครเพื่อน
“ทำไมต้องให้ยายแก่ผมแดงหายไปล่ะจ๊ะ” นาสิราตั้งคำถามหลังจากนั้น
“ยายแก่ผมแดงหมายถึงความหิวโหย เพราะอย่างนั้นเลยต้องไล่นางไป ปีนี้จะได้มีผลผลิตเยอะๆ อยู่ได้จนถึงฤดูเก็บเกี่ยวหน้า” เฟลิมอธิบาย
เด็กหญิงกะพริบตาปริบๆ ขณะมองคนหัวสีแดงเพลิงโดดเด่นที่นั่งร่วมโต๊ะ
“แต่ไม่ต้องไล่พี่รูอาร์คไปใช่ไหม ถึงพี่รูอาร์คจะผมแดง แต่ก็ไม่ได้เป็นยายแก่นี่นา”
อาเมียร์กับเฟลิมหัวเราะออกมา ส่วนคนถูกพาดพิงยักไหล่
“ถ้าไล่พี่จะโป้ง ไม่ให้เราขี่หลังขึ้นเขาไปเก็บแบลเบอร์รีด้วย” รูอาร์คแกล้งทำหน้างอน...ซึ่งแอชลีนน์คิดว่าดูน่าต่อยมากกว่าน่าง้อ
“ถึงพี่รูอาร์คไม่พาไป ข้าไปกับพี่อาเมียร์ก็ได้” นาสิราตอบอย่างหัวไว “พี่อาเมียร์จะให้ข้าขี่หลังขึ้นเขาใช่ไหม”
“แน่นอนสิ” คนถูกเรียกรีบรับ “แต่ต้องสลับกับฟาร์ฮานาห์นะ”
ท่ามกลางบรรยากาศครื้นเครง แอชลีนน์ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะตักโคลแคนนันเข้าปากอีกคำ แล้วชะงักไป...
...อร่อย...
เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เธอรู้สึกว่าโคลแคนนันอร่อยขนาดนี้ ย่อมไม่ใช่เพราะวัตถุดิบซึ่งมีแต่ของพื้นๆ ไม่เหมือนโคลแคนนันจากห้องเครื่องที่ใช้เครื่องปรุงชั้นเลิศ และมีเนื้อแกะย่างเครื่องเทศชิ้นโตวางประกอบ ฝีมือของคนทำอาจมีส่วน แต่คงไม่ใช่ทั้งหมดแน่นอน ความอร่อยนี้มาจากความรู้สึกโหยหาและคุ้นเคยอย่างประหลาดจนบอกไม่ถูก
เสียงหัวเราะและพูดคุยร่าเริงทำให้เด็กสาวนึกถึงหลายปีก่อน...เมื่อครั้งเสด็จพ่อเสด็จแม่ยังทรงมีพระชนม์ชีพ มีการฉลองเทศกาลลูคนาซัธอย่างครึกครื้นในลานใหญ่หน้าพระราชวัง มีงานออกร้าน การแสดงมหรสพ รวมทั้งการประลองและกีฬาอื่นๆ ในสนามประลองทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออก
เช้าวันนั้นเริ่มด้วยโคลแคนนันร้อนๆ ที่โต๊ะเสวย จากนั้นเสด็จพ่อจะเสด็จไปทรงเป็นประธานการแข่งขัน ส่วนเธอกับเสด็จพี่ไอลีชก็สามารถออกมาเดินเล่นดูงานได้โดยมีองครักษ์อารักขา เสด็จแม่ประทานเงินให้เสด็จพี่กับเธอซื้อหาของในงานออกร้านได้ตามความต้องการ แต่ทุกร้านก็ยินดีถวายของที่ทั้งสองต้องการให้เสมอ ไม่ว่าถูกแพงใหญ่เล็กแค่ไหน สุดท้ายเมื่อโตขึ้นบ้าง เธอกับเสด็จพี่จึงตกลงกันว่าหากเห็นของถูกใจจะเงียบไว้ เดินชมงานอย่างสำรวมก่อนจะส่งดูลัสกับเคียราออกมาซื้อของให้แทน
...ไม่มีงานเทศกาลหลวงเลยตั้งแต่ปีที่เสด็จพ่อ เสด็จแม่ กับเสด็จพี่จากเธอไป...แม้เธอจะได้รับประทานโคลแคนนันร้อนๆ จากห้องเครื่อง รวมทั้งอาหารอื่นๆ ของเทศกาลต่างๆ ซึ่งห้องเครื่องทำถวายหลังจากนั้นทุกปี พวกมันก็ไม่เคยอร่อยเหมือนเมื่อก่อน บนโต๊ะเสวยที่เดียวดายรอกษัตริย์พระองค์ใหม่...ในห้องเสวยที่กว้างใหญ่และเยียบเย็นเกินไป...กระทั่งส้อมเคาะขอบจานนิดเดียวก็มีเสียงสะท้อนก้อง จนหากไม่จำเป็นจริงๆ แอชลีนน์จะขอรับประทานอาหารในห้องของตนเอง ห้องหนังสือ หรือห้องอื่นๆ ที่สะดวก แทนห้องเสวยซึ่งเลี่ยงไม่ได้ในเวลาพิธีการที่สุดเท่านั้น
สามปีแล้วสินะ ที่เธอไม่ได้รับประทานโคลแคนนันร่วมโต๊ะกับใครๆ อย่างนี้ บางที ความอร่อยของอาหารอาจมาจากการมีคนร่วมโต๊ะ มีเสียงของความสนุกสนานยินดีอยู่รอบด้านกระมัง
ทั้งๆ ที่...ในความสุขนั้นยังมีบางสิ่งทิ่มแทงห้วงลึกของใจ
“เคียรา”
ต้องใช้เวลาอีกครู่ แอชลีนน์จึงระลึกได้ว่ามีคนเรียกเธอ แล้วหันไปทางอาเมียร์ซึ่งเป็นเจ้าของเสียง
“ท...ทำไมหรือ”
“ตาเจ้าดูแดงๆ นะ มีอะไรหรือเปล่า”
“ม...ไม่มีอะไรหรอก” เด็กสาวรีบปาดน้ำตา “ข้า...แค่คิดว่าไม่ได้รับประทานโคลแคนนันกับครอบครัวมานานแล้วเท่านั้นเอง”
“แล้วเจ้าเปี๊ยก...แอชน่ะ ทำไมไม่ตามพี่สาวมาด้วยล่ะ” รูอาร์คตั้งคำถามทันควัน
“แอชมีงานยุ่งพอดี เลยน่าเสียดาย ที่จริงข้าก็อยากให้เขามาด้วยเหมือนกัน” แอชลีนน์ตอบ
“แล้วปีก่อนๆ นี่พี่สาวกับแอชไม่ได้ฉลองเทศกาลด้วยกันเลยหรือ” เด็กหนุ่มผมแดงถามต่อ
“ช...ใช่ เวลาว่างไม่ตรงกันเลย” เธอรีบกลบเกลื่อน และได้อาเมียร์ช่วยดึงหัวข้อสนทนาไปเรื่องอื่นหลังจากนั้น
* * * * *
หลังมื้อเช้า ท่านซิอ์บุลบอกว่าจะอยู่เฝ้าบ้านกับท่านสิมา ส่วนลีชาเอาแต่สั่นศีรษะปฏิเสธ ครั้นรูอาร์คพยายามชวนต่อ ก็ถูกสายตาดุของท่านซิอ์บุลกับคำพูดของอาเมียร์ปรามไว้ คณะเดินทางขึ้นเขาไปเก็บแบลเบอร์รีจึงประกอบด้วยอาเมียร์ เฟลิม รูอาร์ค แอชลีนน์ นาสิรา กับฟาร์ฮานาห์รวมเป็นหกคน
แอชลีนน์ตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง เพราะแน่นอนว่าในวังไม่มีพุ่มแบลเบอร์รี อย่างดีพวกนางกำนัลกับมหาดเล็กก็ให้เจ้าชายเจ้าหญิงน้อยได้เล่นสนุกตามเทศกาลโดยนำช่อแบลเบอร์รีที่ซื้อจากตลาดหน้าพระราชวังไปปักแซมแอบตามพุ่มไม้ในอุทยานให้เก็บมารับประทาน และทั้งสองก็จะเลือกช่อที่สวยที่สุดไปวางบนก้อนหินริมชะง่อนผาด้านหนึ่งของวัง เป็นเครื่องเซ่นสรวงเทพแห่งการเก็บเกี่ยวเสมอ
เมื่อพวกเขาหิ้วตะกร้า สวมหมวกฟางกันแดดคนละใบขึ้นเนินสู่ดงแบลเบอร์รีที่ใกล้ที่สุด แสงแดดก็จ้าขึ้นแล้ว ทว่าอากาศต้นฤดูใบไม้ร่วงยังเย็นสบาย และต้นไม้ริมทางก็มีใบสีเหลือง ส้ม ทอง แดง น้ำตาลคละกันราวออกดอกเต็มต้น รูอาร์คสอนเพลงฤดูเก็บเกี่ยวให้เด็กหญิงทั้งสอง (หลังถูกเฟลิมกับอาเมียร์ห้ามเสียงแข็งว่าอย่าเอ่ยถึงเพลงไหนที่ไม่เหมาะกับเด็กเป็นอันขาด) แล้วก็เดินนำหน้าไปด้วยกันสามคนพลางร้องเพลงเสียงดัง ขณะที่อีกสามคนรั้งท้าย
“ท่านเฟลิมกับท่านรูอาร์คมาที่นี่บ่อยหรือ...คะ” แอชลีนน์ต้องเตือนตนเองไม่ให้พูดกับเฟลิมเหมือนที่เคยพูดในฐานะแอช...เพื่อไม่ให้ความแตก แต่ยังดีที่อีกฝ่ายดูจะไม่สงสัยอะไร
“ที่จริง ข้าไม่ได้มาบ่อยหรอกขอรับ” ชายหนุ่มซึ่งสุภาพอยู่แล้วยิ่งสุภาพกับเธอกว่าแต่ก่อน “แต่รูอาร์คคงมาบ่อยกว่า เขาชอบมาข้างนอก บางทีก็แอบหลบมาโดยไม่บอกใคร ท่านพ่อของข้ายังอ่อนใจเลย”
“อย่างนั้นหรือคะ...” เด็กสาวรับลอยๆ ไม่ได้คิดอะไรมากนอกจากว่า...นั่นก็สมเป็นรูอาร์คดี
“แอชคงไม่ดื้ออย่างนั้นใช่ไหมขอรับ” เฟลิมถามบ้าง “ข้าว่าเขาน่าจะเป็นน้องชายที่เรียบร้อยดีนะ”
“ก็...ไม่ถึงกับเรียบร้อยหรอกค่ะ” แอชลีนน์ยักไหล่เมื่อนึกถึงตนเองในสายตาของเคียรากับดูลัส “เขาก็ชอบหลบมาโดยไม่บอกใครเหมือนกัน ทำให้พี่สาวกับคนรอบข้างลำบากใจก็หลายครั้ง”
“แต่แอชดูไม่เหมือนคนอย่างนั้นเลยนะขอรับ”
“คนเราดูไม่เหมือนกับที่เห็นได้นี่นา” อาเมียร์ผสมโรงด้วยสีหน้ายิ้มๆ ซ้ำแอบสบตากับเธอเหมือนสื่อความนัยที่รู้กันเพียงสองคน
“ก็จริง เห็นอย่างนั้นรูอาร์คก็เป็นคนดีนะขอรับ ข้ายังอิจฉาเลยที่เขาเข้ากับพวกชาวบ้านได้ดีขนาดนั้น ข้าคิดว่าเขาน่าจะเป็นเจ้ามณฑลที่ดียิ่งกว่าข้าเสียอีก” เฟลิมพูดต่ออย่างไม่รู้อะไร
“รูอาร์คมีข้อเสียเหมือนกัน ส่วนท่านก็มีข้อดีของท่าน อย่ากังวลเลย” เด็กหนุ่มผมดำพูด “ที่จริง ข้อเสียของรูอาร์คยังมีมาก ทั้งชอบทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโต ขี้เล่นไม่รู้กาลเทศะ แถมยังดื้อเหลือเกิน ข้าปรามเขาเรื่อยว่าอย่ายุ่มย่ามกับลีชาก็ไม่ยอมฟังเลย”
“รูอาร์คเขาเป็นคนอย่างนี้เองขอรับ” เฟลิมยักไหล่ “ถูกใจใครหรืออะไรง่ายๆ ไม่มีเหตุผล แล้วถ้าเกิดถูกใจขึ้นมาจะตามไม่หยุดจนกว่าจะเบื่อไปเอง เหมือนที่ชอบล้อเล่นกับอาจารย์หรือแอชบ่อยๆ แต่เขาไม่ทำอะไรไม่ดีหรอกขอรับ ข้ารู้”
“เอาเถอะ ข้าก็เชื่ออย่างนั้น” อาเมียร์พูดเสียงขรึมขึ้น “แต่ถ้าขืนรังควานลีชาเกินไป ข้าคงต้องขอให้ท่านเบเรคช่วยห้ามเสียแล้ว”
“รู้สึกอาจา...ท่านอาเมียร์จะเป็นห่วงลีชามากนะคะ” แอชลีนน์อดเปรยไม่ได้
“ก็นางเป็นเหมือนน้องสาวข้าคนหนึ่ง ที่จริงสามีของนางเป็นเพื่อนข้าที่กลาสเดล เขาถูกพวกโจรป่าฆ่าต่อหน้าต่อตานาง นางเลยสะเทือนใจจนพูดไม่ได้ พ่อแม่สามีก็ไม่ยอมรับนาง เอาตัวลูกของนางไว้ แต่ไล่นางออกจากบ้าน ถ้าเป็นไปได้...ข้าไม่อยากให้เกิดเรื่องร้ายอะไรกับนางอีกเลย”
หลังคำบอกเล่าของเด็กหนุ่มผมดำ สองผู้ฟังนิ่งเงียบไปนาน แอชลีนน์เพิ่งรู้แน่ว่าลีชาพูดไม่ได้ หลังจากสะกิดใจว่าเธอไม่เพียงไม่ยิ้ม...ทั้งๆ ที่เป็นวันเทศกาล แต่ยังไม่พูดอะไรเลยตลอดเวลาอาหาร ตอนร้องไล่ยายแก่ผมแดงก็เหมือนพึมพำแผ่วๆ ตามไปด้วยเท่านั้น
คงเหมือนตอนที่เธอเคยปิดตัวเอง ไม่ยอมพูดคุยกับใคร ไม่ยอมรับรู้เรื่องอะไรก็ตามในโลกภายนอกอยู่นานเป็นเดือนๆ หลังพระราชพิธีศพของเสด็จพ่อ เสด็จแม่กับเสด็จพี่ ถึงจะไม่ได้เห็นความตายของทั้งสามต่อหน้าต่อตา หรือไม่ได้เห็นแม้แต่พระศพก็ตาม
คงมีแต่เวลาเท่านั้นที่จะรักษาได้...เธอไม่เคยเชื่อคำพูดนี้เลย แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความหมดอาลัยตายอยากในครั้งนั้นก็ทุเลาลงได้จริงๆ แม้นความโศกเศร้าแค้นเคืองทั้งหมดไม่อาจคลายไปก็ตาม
“...ข้า...เสียใจด้วยขอรับ” เฟลิมพูดขึ้น “ข้าไม่รู้เลย เดี๋ยวจะไปบอกรูอาร์คเอง ได้ยินอย่างนี้เขาคงไม่รบกวนนางอีกแล้ว”
“ไม่เป็นไรหรอก ข้าว่าข้าพูดกับเขาเองจะดีกว่า” อาเมียร์เอ่ย “ข้าก็แค่...อยากบอกให้ผู้ปกครองในอนาคตรู้ไว้...จะได้ทำให้ธีร์ดีเรเป็นที่ที่สงบสุขและปลอดภัยขึ้น ถึงจะเป็นความทุกข์หรือความสูญเสียของคนคนเดียวก็ไม่อาจมองข้าม ผู้มีอำนาจและความสามารถควรใช้ทั้งสองอย่างช่วยเหลือผู้อื่นเท่าที่จะทำได้...จริงไหม”
“...ข้าจะพยายามขอรับ” เฟลิมพยักหน้าช้าๆ
“ข้าก็...จะนำเรื่องนี้ไปกราบทูลเจ้าหญิงเหมือนกันค่ะ” แอชลีนน์ตัดสินใจพูดขึ้น “ข้าเชื่อว่า...เมื่อได้ขึ้นครองราชย์แล้ว เจ้าหญิงจะทรงพยายามทำให้ธีร์ดีเรเป็นที่ที่ดียิ่งกว่านี้จนสุดความสามารถแน่ค่ะ”
เด็กสาวเอ่ยประโยคหลังอย่างหนักแน่น ราวกับปฏิญาณต่อตนเองไปพร้อมกัน
เธอยังตั้งใจว่าเมื่อวางผลแบลเบอร์รีที่เก็บมาเองกับมือเป็นครั้งแรกบนหินสังเวย...จะอธิษฐานขออย่างเดียวกันด้วยใจทั้งดวง ต่อองค์สุริยเทพผู้ปกป้องคุ้มครองธีร์ดีเร
* * * * *
จากคุณ |
:
Anithin
|
เขียนเมื่อ |
:
16 พ.ย. 53 21:44:15
|
|
|
|