Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ตำนานสงครามบัลลังก์เหนือ 1 (รีไรท์) - บทที่ 11 - 15 ติดต่อทีมงาน

ตำนานสงครามบัลลังก์เหนือ

ในเด็กดี

ภาคแรก เจ้าชายไร้บัลลังก์กับเจ้าหญิงไร้อำนาจ
http://writer.dek-d.com/Anithin/writer/view.php?id=471973

ภาคสอง เจ้าชายแห่งความมืดกับเจ้าหญิงแห่งความฝัน
http://writer.dek-d.com/Anithin/writer/view.php?id=623553

- - - - -

ในพันทิพ

บทนำ - บทที่ 5
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W9892447/W9892447.html

บทที่ 6-10
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W9906021/W9906021.html

ฉากที่เขียนใหม่ในฉบับรีไรท์

- คห. 2 บทที่ 12 ท้ายฉากที่ 2
- คห. 3 บทที่ 12 ทุกฉาก
- คห. 4 บทที่ 13
- คห. 5 บทที่ 13
- คห. 7 บทที่ 14
- คห. 8 บทที่ 15 ฉากที่ลีชากระโดดลงจากเขา


* * * * *


คุณแก้วกังไส - ขอบคุณครับ ^^


* * * * *


บทที่ ๑๑
วันลูคนาซัธ


“อาจารย์ มะรืนนี้หยุดเรียนไม่ได้หรือ” คำถามนั้นมาจากรูอาร์ค หลังสิ้นสุดการซ้อมดาบในบ่ายวันที่ยี่สิบเก้าเดือนเจ็ด

“ทำไมหรือ” อาเมียร์ถาม

“โธ่...อาจารย์ก็น่าจะรู้ว่ามะรืนนี้วันอะไร”

แอชลีนน์รู้เช่นกัน และภาวนาว่าจะได้หยุดเรียนตามคำขอของเพื่อนร่วมชั้น ทว่าเด็กหนุ่มผมดำกลับเลิกคิ้ว สีหน้าบอกว่าไม่รู้จริงๆ

“ข้าไม่รู้ วันอะไรหรือ”

“ก็วันคลุมถุงชนประจำปีอย่างไรเล่า วันนี้มีธรรมเนียมให้ชายหญิงจับมือผ่านรูบนแผ่นไม้โดยไม่เห็นหน้า ใครได้มือใครก็ทดลองอยู่กินกันปีหนึ่ง ถ้าไม่เข้ากันค่อยแยกทางไปหาคู่ใหม่ในปีต่อมา” รูอาร์คตอบหน้าตาเฉย “ข้ากำลังลุ้นอยู่ว่าจะได้มือลีชาของอาจารย์หรือเปล่า”

สีหน้าของอาเมียร์เปลี่ยนทันควันกับชื่อผู้หญิงซึ่งเด็กสาวเพิ่งได้ยิน ซ้ำเขายังพูดเคร่งเครียด

“อยากให้ข้าไปบอกท่านเบเรคให้กักบริเวณเจ้าไหม”

“โธ่...อาจารย์ ข้าแค่ล้อเล่น แต่ข้าอยากไปงานเทศกาลจริงๆ ...ท่านก็รู้นี่ว่าเทศกาลอะไร” เด็กหนุ่มผมแดงคราง

เฟลิมเหลือบมองไปมาระหว่างทั้งสอง แล้วก็รีบแทรกแซงเมื่อเห็นสถานการณ์ไม่ดี

“รูอาร์คเขาหมายถึงเทศกาลลูคนาซัธ เทศกาลเก็บเกี่ยวของธีร์ดีเรขอรับ ที่ให้เอามือลอดแผ่นไม้ก็แค่จับคู่เต้นรำเท่านั้นเอง” ชายหนุ่มอธิบาย “วันนั้นเราจะนำพืชผลไปเซ่นสรวงสุริยเทพ ปีนเขาไปเก็บผลแบลเบอร์รี ทำอาหารเลี้ยงฉลอง แล้วก็ร้องเพลงเต้นรำรอบกองไฟกันขอรับ”

“แต่เจ้าไม่ควรพูดถึงลีชาอย่างนั้น” อาเมียร์ยังพูดเสียงแข็งกับใครอีกคน “ห้ามล้อเล่นเรื่องนางเด็ดขาด”

รูอาร์คกลับยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจนัก

“ข้าจะไปสนผู้หญิงมีสามีแล้วทำไมเล่า แค่เห็นอาจารย์หวงนักเลยขอแหย่สักหน่อยเถอะ”

“แค่แหย่ก็ไม่ได้” เด็กหนุ่มผมดำพูดขึงขัง “ข้าไม่ชอบ วันหลังอย่าพูดถึงลีชาทำนองนี้อีก เดี๋ยวก็ไม่ให้ไปงานเทศกาลจริงๆ เสียหรอก”

เด็กหนุ่มผมแดงกลับหูผึ่ง หันกลับมาอย่างสนใจเต็มที่อีกครั้ง

“หมายความว่า...อาจารย์จะให้พวกเราไปหรือ”

“ถ้าท่านเบเรคอนุญาต” อาเมียร์พูดง่ายๆ “แล้วค่อยมาเรียนชดเชยในวันพัก”

รูอาร์คดีดนิ้วเปาะ ก่อนจะหันไปมองเฟลิมด้วยสายตาแฝงนัย ยังผลให้อีกฝ่ายถอนใจเบาๆ และยิ้มอ่อนๆ

“ก็ได้ พี่รู้แล้ว”

คงหมายความว่าชายหนุ่มต้องไปขออนุญาตบิดา เพราะมีโอกาสสำเร็จมากกว่ากระมัง...เด็กสาวคิด ที่จริงคนดูแลเธอย่อมไม่อนุญาตแน่นอน แต่เธอพอมีวิธีออกมาเที่ยวงานเทศกาลได้เหมือนกัน และอยากไปฉลองกับใครอีกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ด้วยจริงๆ

“อาจารย์จะฉลองเทศกาลกับครอบครัวไหมขอรับ” แอชลีนน์ถาม แต่อาเมียร์กลับนิ่งเงียบไปเหมือนลังเล

“ไปเถอะขอรับ” เฟลิมสนับสนุนอีกเสียง “จะได้ไปพักผ่อนกับครอบครัวด้วย”

“...ข้าคงขอดูก่อน” เด็กหนุ่มผมดำตอบเบาๆ สีหน้าเคร่งเครียดเหมือนไม่ได้เห็นว่านั่นเป็น ‘การพักผ่อน’ จนเด็กสาวประหลาดใจ จึงเสริมบ้าง

“ไปสิขอรับ วันแบบนี้ ใครๆ ก็อยากอยู่กับครอบครัวทั้งนั้นไม่ใช่หรือ”

“อือม์” อาจารย์หนุ่มกลับรับสั้นๆ

“แล้วเจ้าไปด้วยหรือเปล่า เจ้าเปี๊ยก” รูอาร์คหันมาถามเธอ

“เอ้อ...” เด็กสาวอยากตอบว่าได้...แต่ก็เกรงว่าตนจะมาในแบบที่พวกเขาจำไม่ได้เสียมากกว่า “ไม่รู้สิ คงต้องดูก่อนว่าเจ้าหญิงจะประทานอนุญาตหรือเปล่า”

“ถ้าได้ก็ดีนะ” เฟลิมพูดยิ้มๆ “พวกเราสี่คนจะได้ไปด้วยกันหมด หมู่บ้านของอาจารย์ก็ไม่ไกลเท่าไรด้วย ไม่รบกวนใช่ไหมขอรับ”

แอชลีนน์พยายามยิ้มน้อยๆ แต่เมื่อสังเกตอาเมียร์ ก็เห็นว่าเขายิ่งดูเงียบและครุ่นคิดขึ้น ถึงจะตอบแผ่วเบาว่าได้ก็ตาม

...แสดงว่า...ไม่อยากให้พวกเราไปด้วยอย่างนั้นหรือ...

เธอพยายามไล่ความคิดนั้นออกไป แล้วก็ตัดสินใจว่าจะลองเอ่ยปากตามที่หวังไว้สักครั้ง


* * * * *


โชคดีที่วันนั้นดูลัสยังมาไม่ถึงจวน เด็กสาวจึงได้ขอพูดกับอาเมียร์ก่อนถึงประตูหน้าสักครู่หนึ่ง

“อาจารย์...ข้าขอร้องอะไรสักอย่างได้ไหม”

“หือม์...” เด็กหนุ่มรับ เลิกใจลอยแล้วหันมามองเธออย่างสงสัยทันควัน “มีอะไรหรือ”

“คือ...ข้าอยากไปเที่ยวงานเทศกาล”

“ก็ไปได้นี่...หรือเจ้ากลัวจะขอดูลัสออกมาไม่ได้”

“ข้า...” แอชลีนน์ตัดสินใจพูดตรงๆ “ข้าว่าจะไม่บอกเขาว่ามะรืนไม่มีเรียน ให้เขาพามาส่งที่นี่แล้วค่อยไปที่หมู่บ้านของอาจารย์ ตอนเย็นค่อยกลับมาที่จวนก่อนเวลาเขามารับ”

“อ้อ” อาเมียร์รับเรียบๆ “เอาอย่างนั้นก็ได้”

“แต่ว่า...” เธอเริ่มอึกอัก ลิ้นกลับแข็งขึ้นมาทันใด

“แต่ว่า...ทำไมหรือ”

“แต่...ข้า...อยากไปเที่ยวเทศกาล...ในฐานะ...ผู้หญิง...มากกว่า”

“หือม์” เสียงรับของเขาฟังตกใจน้อยๆ

“คือ...ในงานมีเต้นรำใช่ไหมล่ะ...ข้า...ข้าไม่อยากถูกผู้หญิงด้วยกันขอเต้นรำ ล...แล้วข้าก็ไม่อยากดื่มเหล้าด้วย ถ้าเป็น...เป็นผู้ชาย ข้าคงถูกคะยั้นคะยอให้ดื่มให้ได้...ไม่ใช่หรือ”

“หมายความว่า...เจ้าอยากถูกผู้ชายขอเต้นรำหรือ” คนถามกะพริบตาปริบๆ

คำพูดนั้นทำให้เด็กสาวต้องก้มซ่อนใบหน้าร้อนผ่าวทันควัน...เพราะเผลอเอาคนพูดไปแทนที่ ‘ผู้ชาย’ ในมโนภาพโดยไม่ทันห้าม

“ป...เปล่านะ คือข้า...ข้า...ไม่ได้...”

“ข้าล้อเล่น” อาเมียร์หัวเราะน้อยๆ ก่อนจะยักไหล่ “เพียงแต่...แต่งตัวเป็นเด็กผู้ชายก็ปลอดภัยอยู่แล้วนี่ คงไม่มีผู้หญิงคนไหนขอเต้นรำกับเด็กผู้ชายที่ไม่รู้จักก่อนหรอก แล้วถ้าไม่อยากดื่มเหล้า บอกเขาไปเลยก็ได้ว่าผู้ใหญ่ห้าม ถ้ารูอาร์คหรือใครดึงดันให้เจ้าดื่มนักก็ให้เขามาชนกับข้าแทน”

“แต่ว่า...” แอชลีนน์อยากหาเหตุผลมาแย้ง กระนั้นกลับนึกไม่ออก เป็นอาเมียร์เสียเองที่มองเธออยู่อีกครู่หนึ่ง แล้วก็พูดอย่างครุ่นคิด

“แต่ถ้าเจ้าแต่งตัวเป็นผู้หญิงจริงๆ ก็ดีนะ ถ้าไม่ต้องปลอมตัว ไปอยู่ในคนมากๆ จะวางตัวได้ง่ายขึ้น เพียงแต่...ดูลัสคงไม่ยอมให้เจ้าแต่งตัวเป็นผู้หญิงออกมาแน่ๆ ไม่ใช่หรือ”

เด็กสาวยิ้มเฝื่อนๆ นึกชมความหัวไวของเขาขึ้นมาทันที

“อ...อันที่จริง ข้าก็คิดไว้อย่างนั้นเหมือนกัน เลยมีเรื่องอยากขอร้องท่าน”

“อะไรหรือ”

“คือ...ท่าน...” ลิ้นของแอชลีนน์เริ่มแข็งขัดและเสียงแผ่วลงอีกครั้ง “...ท่านจะช่วย...ข...ขอยืม... ชุด...ของ...ภรรยาท่าน...มา...ได้...ไหม”

“หา!” อาเมียร์อุทานทันควัน “เจ้าว่าอะไรนะ”

“ก...ก็ชุดของ...ภ...ภรรยาท่าน...อย่างไรล่ะ” เด็กสาวกลั้นใจพูดอีกครั้ง

เด็กหนุ่มกะพริบตาปริบๆ แก้มของเขาดูมีสีเรื่อๆ ขึ้นมา

“ม...ไม่ได้หรือ” เธอตัดสินใจจี้

“ก็ไม่ได้น่ะสิ” คำตอบเสียงแข็งทำให้แอชลีนน์ใจร่วงวูบ แต่คำขยายความต่อมากลับนำความประหลาดใจ “ข้ายังไม่ได้แต่งงาน”

“อ้าว!” แอชลีนน์อุทาน กระนั้นยังนึกได้ถึงคำของรูอาร์ค “ล...แล้วผู้หญิงชื่อลีชา...ที่รูอาร์คพูดถึง...ที่อยู่บ้านท่าน...คนที่ส...สวมแหวนแต่งงานน่ะ”

“รูอาร์คกับเฟลิมยังไม่ได้บอกเจ้าอีกหรือ” อาเมียร์ย้อนถาม แล้วก็พูดต่อเมื่อเธอสั่นศีรษะ “นางเป็นม่าย แล้วก็ไม่มีญาติที่อื่น แม่ข้าเลยให้อยู่ช่วยงานบ้านกับดูแลน้องๆ เจ้าเด็กนั่นก็เหลือเกินจริงๆ”

“ย...อย่างนั้นหรือ” เด็กสาวค่อยยิ้มออก “โล่งอกไปที”

“หือม์” เด็กหนุ่มเลิกคิ้วน้อยๆ “โล่งอกอะไร”

“ก...ก็...ข้าหลงนึกว่าอาจารย์แต่งงานแล้วแต่ไม่ยอมสวมแหวนแต่งงาน...ไม่ยอมบอกใคร แล้ว...แล้วรูอาร์คยังพูดด้วยว่าถ้า...ถ้าเฟลิมได้แต่งงานกับ...เจ้าหญิง ท่านเจ้ามณฑลจะให้อาจารย์แต่งงานกับ...คุณหนูฟิเดลมา...เป็นการตอบแทน”

คนฟังโคลงศีรษะ และถอนใจ

“กุเรื่องขึ้นมาเองทั้งนั้น น่าจับเจ้านั่นกักบริเวณคัดลายมือ ห้ามไปงานเทศกาลเสียให้เข็ด ตอนนี้ข้ายังไม่คิดจะแต่งงานหรอก ยิ่งคุณหนูฟิเดลมายิ่งไม่คิดเลย”

“จริงนะ” แอชลีนน์ถามทันควันจนตนเองประหลาดใจ ทั้งอายที่ตนหลงเชื่อมาได้นาน และทำท่าเหมือนละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของเขา “ข...ขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจ ที่จริงข้าไม่ควร...”

“ไม่เป็นไร เรื่องชุด ยืมของแม่ข้าก็ได้” ครั้นเธอเงียบไปกลางคัน อาเมียร์พูดอ่อนโยนขึ้น “ข้าพอนึกออกว่าจะขออย่างไรดี แม่คงไม่ว่าอะไร”

“จริงหรือ!” เด็กสาวเงยหน้าขึ้น ความดีใจกลบทับจนลืมเรื่องน่ากระอักกระอ่วนเมื่อครู่จนสิ้น

“ฮื่อ” เด็กหนุ่มพยักหน้าพร้อมกับยิ้มน้อยๆ “เย็นนี้ข้าจะลองไปขอดู พรุ่งนี้ถ้าได้ชุดแล้วจะเก็บไว้ให้”

“ขอบคุณ....ขอบคุณมากจริงๆ!” เด็กสาวยิ้มกว้าง


* * * * *


อาเมียร์รีบบอกเธอในวันต่อมาว่าเรียบร้อยดี ตอนเย็นหลังเลิกเรียนเขาจะไปรับชุดที่แม่บอกว่าจะค้นให้ เด็กสาวจึงเรียนอย่างอารมณ์ดีไปทั้งวัน อารมณ์ดีแม้ในตอนดูลัสมารับกลับ อารมณ์ดีจนกลายเป็นตื่นเต้น อยากให้คืนนี้ผ่านไปเป็นพรุ่งนี้เร็วๆ

“วันนี้องค์หญิงดูทรงพระสำราญเป็นพิเศษนะเพคะ” เคียราทักขณะหวีผมให้เธอก่อนนอน

“ก็...พรุ่งนี้เป็นวันลูคนาซัธนี่” แอชลีนน์บอกไปโดยไม่คิดอะไร

“แต่พรุ่งนี้องค์หญิงก็ยังทรงเรียนนี่เพคะ...น่าเสียดาย ถ้าไม่ได้เรียน คงได้เสด็จไปดูงานเทศกาลกับท่านดูลัสแล้วแท้ๆ”

“หือม์...” เด็กสาวเลิกคิ้ว มองเงาสะท้อนในกระจกด้วยหวังจะดูสีหน้าของเคียรา ทว่าอีกฝ่ายก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตาหวีผมให้เธอ

“เมื่อวานซืน ท่านดูลัสขอให้หม่อมฉันทูลถามองค์หญิง ว่ามีพระประสงค์จะเสด็จไปงานเทศกาลใกล้แถวนี้หรือเปล่า แต่เห็นองค์หญิงตรัสว่าต้องเรียน ท่านดูลัสเลยบอกว่าไม่ต้องแล้ว น่าเสียดายนะเพคะ ทรง...โดดเรียนสักวันไม่ได้เลยหรือ”

แอชลีนน์ไม่ตอบ ได้แต่กะพริบตาปริบๆ อย่างไม่อยากเชื่อนัก

“คนเข้มงวดอย่างดูลัสนี่นะ”

“เป็นอย่างที่หม่อมฉันบอกไม่ใช่หรือเพคะ...ท่านดูลัสเองก็อยากให้องค์หญิงทรงพระสำราญมากๆ นะเพคะ” เสียงของนางกำนัลสาวออกจะภูมิใจแทนคนที่พูดถึง

เด็กสาวพยายามมองเงาของคนพูดอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่เห็นอะไร ที่จริงเธอเสียดายอยู่บ้างที่ตกลงกับคนอื่นไว้แล้ว จึงต้องปฏิเสธน้ำใจขององครักษ์หนุ่ม กระนั้นก็อยากให้คนใกล้ชิดทั้งสองได้ผ่อนคลายในวันเทศกาลเช่นกัน เลยเสนอ

“เคียราไม่ไปงานเทศกาลกับดูลัสล่ะ”

ความเงียบบังเกิดขึ้นกะทันหันราวกับวงกระเพื่อมของน้ำ...มันสงบลงเมื่อแอชลีนน์เอ่ยต่อ

“ก็...เคียรากับดูลัสน่าจะได้พักผ่อนบ้าง หมู่นี้เคียราต้องอยู่แสดงตัวเป็นเรา ส่วนดูลัสก็คอยรับส่งเรามาตลอด ไม่ได้หรือ”

“หามิได้เพคะ หม่อมฉัน...ไปไม่ได้หรอก ก็หม่อมฉันมีหน้าที่อยู่แทนองค์หญิงนี่นา แต่ไม่เป็นไรเพคะ” นางกำนัลสาวเอ่ยเบาๆ ก่อนจะรีบเสริม “ตอนเด็กๆ หม่อมฉันเคยเห็นงานเทศกาลเก็บเกี่ยวในหมู่บ้านที่เคยอยู่แล้ว เสียดายแค่องค์หญิงไม่ได้เสด็จประพาสกับท่านดูลัสเท่านั้นเอง”

แอชลีนน์เงียบไป ความรู้สึกผิดเริ่มเกาะกุมใจ ยิ่งเมื่อต้องเก็บงำความจริงว่าพรุ่งนี้เธอจะไป...แต่พรุ่งนี้อีกฝ่ายจำต้องอยู่แทนเธอ

“แต่คืนนี้...เขาเล่ากันว่ามีพิธีที่น่าสนใจนะเพคะ” เคียรากระซิบ

“พิธี...อะไรหรือ” เด็กสาวถามอย่างสงสัย

“ในคืนก่อนเทศกาลลูคนาซัธ ให้หญิงสาวบริสุทธิ์สวมชุดขาว  ถือกระจกเงาออกไปรับแสงจันทร์ตอนสองยาม อธิษฐานต่อพระแม่ธรณี แล้วเดินถอยหลังกลางแสงจันทร์ยี่สิบก้าว จากนั้นหงายกระจกส่องดูพระจันทร์ จะเห็นคู่ครองของตนในอนาคต องค์หญิงจะทรงลองดูไหมเพคะ”

แอชลีนน์ลังเล ใจหนึ่งอยากรู้ แต่อีกใจหนึ่งกลับกลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ไม่ว่าจะเห็นใบหน้าของชายที่เธอไม่รู้จัก...หรือดูลัสหรือเฟลิมก็ตาม เธอคงบอกไม่ได้ว่าตนยินดี

ดังนั้นขอไม่รู้เสียเลยดีกว่า...อย่างน้อยก็จนถึงเวลาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ...

“ไม่ล่ะ” เด็กสาวปฏิเสธ “พรุ่งนี้ต้องรีบไปเรียนแต่เช้า ไม่อยากสัปหงกในห้องเรียน เคียราก็...ลองดูในคืนนี้สิ ถ้าได้ผลจริงๆ ค่อยบอกให้เราทำบ้างก็ได้”

“องค์หญิงนี่ละก็” นางกำนัลสาวหัวเราะเฝื่อนๆ “กว่าจะถึงคืนก่อนเทศกาลปีหน้า องค์หญิงก็คงอภิเษกสมรสไปแล้วนะเพคะ”

แอชลีนน์ชะงักเมื่อตระหนักได้ และพบว่าตนพูดอะไรไม่ออกอีก กระนั้น เมื่อเคียราถามว่าเป็นอะไรจึงได้เงียบไป เธอก็บอกเพียงแค่ง่วงนอน และรีบเข้านอนเสีย...ทั้งที่ในความเป็นจริง ทั้งความตื่นเต้นและกระวนกระวายทำให้เธอลืมตาโพลงอยู่เป็นนาน...

แอชลีนน์ยังไม่หลับเมื่อเคียราซึ่งปูฟูกนอนบนพื้นห้องของเธอลุกขึ้นเงียบๆ แล้วหยิบกระจกเงาที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งออกไปจากห้อง...

และเธอก็ยังนอนไม่หลับ เมื่อประตูห้องเปิดออกอย่างเร่งรีบหลังจากนั้นครู่ใหญ่ เคียราผลุบเข้ามาโดยเร็วพร้อมกับหอบเบาๆ เด็กสาวเหลือบเห็นอีกฝ่ายยกมือขึ้นทาบอกใต้แสงจันทร์สลัวจากหน้าต่าง ยืนอยู่เช่นนั้นครู่หนึ่งก่อนจะถอนใจ วางกระจกแล้วเข้านอนอีกครั้ง

เมื่อนั้น...แอชลีนน์จึงได้พยายามข่มตาหลับ เธอไม่กล้าถามอีกฝ่ายว่าเห็นภาพใครในกระจกเงา แม้จะอยากรู้เหลือเกิน


* * * * *

แก้ไขเมื่อ 16 พ.ย. 53 21:57:24

จากคุณ : Anithin
เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 53 21:43:36




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com