Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ภัยเงียบที่มองไม่เห็น ติดต่อทีมงาน

ภัยเงียบที่มองไม่เห็น


หมอเพิ่งยอมให้ออกจากโรงพยาบาลเมื่อวานหลังจากที่นอนรู้สึกตัวแค่ครึ่งๆ กลางๆ อยู่กว่าครึ่งเดือนก็เลยคิดว่าอย่ากระนั้นเลย เอาประสบการณ์คราวนี้มาพยายามเรียบเรียงให้เพื่อนๆ น้องๆ และมิตรรักนักเพลงที่นี่ได้อ่านและได้ทำความรู้จักกับโรคร้ายที่รักษาไม่มีวันหายนี้บ้าง เผื่อจะมีใครโชคร้ายเหมือนตัวเองที่มันคอยตามล้างตามล่าไม่ยอมเลิก

แรกเลย ที่ใช้คำว่า พยายาม เรียบเรียงเพราะตอนนี้การรวบรวมความคิดยังไม่ครบ 100% นะคะ ยังอยู่ในระยะเริ่ม withdraw จากยาเสพติด (จริงๆ) สารพัดชนิดที่หมอจำเป็นต้องใช้เพื่อควบคุมอาการเจ็บปวด ไม่ว่าจะเป็นมอร์ฟีน hydrocodone และที่สำคัญคือ Demerol ยาแก้ปวดสุดที่รัก รักจริงๆ นะคะ Demerol นี่

อย่างที่ 2 คือมีหลายๆ คำที่ไม่ทราบจริงๆ ว่าภาษาไทยว่าอะไร ขอใช้ทับศัพท์ภาษาอังกฤษตามที่ถนัดไปก็แล้วกันนะคะ

เหตุร้ายเริ่มเมื่อวันกลับจากเมืองไทยค่ะ ถึงบ้านบ่ายวันอาทิตย์ก็รู้ทันทีว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ ที่จริงก็รู้ว่ามีอะไรผิดปกติตั้งแต่อยู่บนเครื่องเที่ยวจากนาริตะ ญี่ปุ่น มาดีทรอยต์ มิชิแกนแล้วค่ะ ขากลับเที่ยวนั้นจองที่นั่งด้านหลังเกือบสุดเครื่องเลย เป็นที่นั่งแบบ 2 คน ตัวเองได้ที่ริมหน้าต่าง คนที่นั่งข้างๆ เป็นสาวญี่ปุ่นซึ่งคงทานยานอนหลับอย่างแรงมา เพราะพอขึ้นเครื่องคุณเธอก็หลับเอาๆ ขากลับจากนาริตะถึงดีทรอยต์ใช้เวลา 12 ชั่วโมงนิดหน่อย คุณเธอหลับได้เป็นล่ำเป็นสันจริงๆ คือจะตื่นก็เฉพาะตอนเจ้าหน้าที่เอาอาหารมาเสริฟเท่านั้นเอง เพราะอย่างนั้นก็เลยเกรงใจค่ะ เคยจะขอเข้าห้องน้ำครั้งนึง แตะแขนก็แล้ว เขย่าแขนก็แล้ว ไม่ยอมตื่นแฮะ เลยเลิกพยายามตั้งแต่บัดนั้น

คิดว่าคงเป็นช่วงเวลานั้นแหละค่ะที่ทำให้โรคประจำตัวนี้กำเริบ ตอนถึงดีทรอยต์ ผ่านตรวจคนเข้าเมือง รับกระเป๋า แล้วก็รู้สึกเหมือนจะอาเจียนตลอดเวลา ตอนเจ้าหน้าที่ immigration ที่ port of entry นั้นตรวจพาสปอร์ต หลายๆ ครั้งเขาจะคืนพาสปอร์ตให้พร้อมกับบอกว่า “Welcome home.” หรือไม่ก็ “Welcome back.” แทบทุกครั้งเลยค่ะ เพราะ 20-30 ปีที่ผ่านมา แทบทุกครั้งที่ไปเยี่ยมญาติที่เมืองไทยมักจะกลับเข้าประเทศที่ดีทรอยต์เสมอ แต่ port อื่น อย่าง Los Angeles, Seattle, San Francisco ไม่เป็นแบบนี้แฮะ (นอกเรื่องแล้ว)

กลับเข้าเรื่องนะคะ ตอนนั้นไม่มีเวลาคิดถึงอาการผิดปกติของตัวเองที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกทีค่ะ เพราะต้องไปรับกระเป๋าแล้วโหลดขึ้นเครื่อง domestic เอง เจ้าหน้าที่ของ Delta บอกว่ามีอยู่เที่ยวบินนึงไปบ้านยู จะเปลี่ยนให้เอาไหมเพราะตั๋วที่มีต้องนั่งคอยเครื่องมาบ้านอยู่เกือบ 7 ชั่วโมง ก็เลยโอเคทันทีคะ แม้เจ้าหน้าที่บอกว่าต้องเสียค่าปรับ $50 และที่สำคัญ เครื่องนั้นขึ้นในอีกไม่ถึง 20 นาที และตอนนี้กำลัง board แล้ว ไม่เป็นปัญหาเลยค่ะเรื่องนั้น ปกติแต่ละปีหน้าที่การงานทำให้ต้องเดินทางบ่อยอยู่แล้ว หมายถึงภายในประเทศอเมริกานี่นะคะ ทั้งไปร่วม conference ทั้งไปร่วมประชุมในรัฐต่างๆ เรื่องวิ่งกันสนามบินกระเจิงนี่เป็นเรื่องปกติค่ะ

หลังจากความฉุกละหุกผ่านไปหมด คนที่บ้านไปรับทันเวลา กลับถึงบ้านมีเวลาแค่รื้อกระเป๋าเอาหนังสือที่ขนซื้อจากงานหนังสือได้ 3 ตั้งสูงๆ ออกมาชื่นชมอยู่ประมาณไม่ถึงสิบนาที เอาเลยค่ะ อาการปวดท้องเริ่มเลย ใครๆ ว่าปวดท้องตอนคลอดรุนแรงมาก ตัวเองไม่เคยปวดท้องคลอดเพราะผ่าเอาลูกออก บางคนว่าปวดท้องเพราะไส้ติ่งอักเสบเจ็บสุดๆ ไปเลย ตัวเองก็ไม่เคยปวดแบบนั้นเหมือนกันเพราะตอนผ่าตัดช่องท้องครั้งแรกในชีวิต หมอตัดเอาไส้ติ่งไปให้ด้วยเรียบร้อย แต่หมอทุกคนที่รู้จักบอกเหมือนกันว่าเชื่อเหอะ ใครว่าปวดท้องอะไรทรมานแค่ไหน รับรองไม่มีอะไรรุนแรงและทรมานเท่าปวดเพราะ bowel obstruction อีกแล้วในโลกนี้ คนที่ไม่เคยมีอาการจะไม่มีวันรู้เลยว่ามันปวดขนาดไหน เอาเป็นว่าปวดขนาดถึงตายเพราะความเจ็บปวดนี่เลยนั่นแหละค่ะ

ท้าวความนิดหน่อยเกี่ยวกับ bowel obstruction

ปกติเวลาที่อวัยวะหรือผิวของคนเราถูกทำลาย ร่างกายจะพยายามสร้างเนื้อเยื่อขึ้นทดแทน แต่ก็มีข้อจำกัดคือเนื้อเยื่อนั้นไม่สมบูรณ์เท่าเนื้อเยื่อเก่าที่ถูกทำลายไป เป็นได้ก็เพียงเกราะคุ้มกันเนื้อเยื่อที่ยังคงอยู่เท่านั้นเอง เรียกเนื้อเยื่อนี้ว่า scar tissue ในการผ่าตัดทุกครั้ง ร่างกายคนเราจะสร้าง scar tissue ขึ้นมาปกคลุมเนื้อเยื่อที่เหลืออยู่ ในกรณีปกติ และในแง่หนึ่ง มันเป็นสิ่งที่ดี แต่ในกรณีที่ถ้าคนๆ หนึ่งทำผ่าตัดในบริเวณเดียวกันหลายครั้ง scar tissue ก็จะหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ อย่างกรณีของตัวเองนะคะ ทำผ่าตัดช่องท้องครั้งแรกเมื่อ 20 กว่าปีก่อนเพราะเป็นเนื้องอกที่รังไข่ พอต่อมาลูกคลอดก่อนกำหนด ต้องผ่าคลอดอีก คราวนี้เอาเลย ปีครึ่งหลังลูกสาวคลอดก็มีอาการของ bowel obstruction ครั้งแรก คราวนั้นตอนไปห้อง emergency ครั้งแรกหมอคิดว่าแค่เป็น gas คือไม่เชื่อว่าคนอายุแค่นั้นจะเป็น bowel obstruction เล่นให้ยาแล้วส่งกลับบ้าน มาทรมานแทบเป็นแทบตายอยู่อีก 2 วัน จนเริ่มเพ้อแล้วค่ะ ไม่รู้เรื่องอะไรแล้ว วันนั้นพอดีกับคนที่บ้านไปทำงาน ก็เลยใช้วิธีโทร 911 เจ้าหน้าแผนกฉุกเฉินมารับแล้วเอาไปทิ้งไว้ข้างประตูห้องฉุกเฉินทางด้านหลัง โชคดีที่ลูกสาวเอาไปฝากไว้กับเพื่อนสนิทเพราะตัวเองไม่สบายมาก

จนคนที่บ้านเลิกงานกลับบ้าน ไม่เห็นภรรยาที่ใกล้ตายของตัวเองก็ตามหา ไปเจอนอนแทบไม่รู้เรื่องอะไรแล้วอยู่คนเดียว เลือดทหารมารีนเก่าคงพลุ่งพล่าน ตอนนั้นตัวเองรู้สึกตัวแค่ครึ่งๆ ได้ยินเสียงเขาทะเลาะกับเจ้าหน้าที่ เขาถามว่าทำไมปล่อยให้ภรรยาเขามานอนอยู่คนเดียวในสภาพนี้ ได้ยินเจ้าหน้าที่คนนั้นตอบว่า “She just vomited.” แล้วเขาตอบว่า “(censor) she has been vomiting for six fu—king days.” แล้วเขาก็ทำหน้าที่ของอเมริกันชนที่ดี คือขู่ว่าถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างในวินาทีนี้ เขาจะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายตั้งแต่ผู้บริหารสูงสุดของโรงพยาบาลลงมาจนถึงภารโรงขัดส้วมของโรงพยาบาล นั่นล่ะค่ะเจ้าหน้าที่ถึงได้เข็นเตียงเข้าห้อง X-ray ทันที และจากห้อง X-ray ก็เข้าห้องผ่าตัดเลยทันที ปรากฎว่าลำไส้ถูก scar tissue บล็อกอยู่ 5 จุด และมารู้เอาในภายหลังว่าไม่ถึงเดือนก่อนหน้านั้นผู้ชายคนหนึ่งมีอาการแบบเดียวกันไม่มีผิดเพี้ยนมานอนตายอยู่ตรงบริเวณนั้นเลยค่ะ


*โรงพยาบาลที่ไปคราวนี้ค่ะ เป็นโรงพยาบาลเอกชน ถ้าไปโรงพยาบาลของเขต อาจต้องคอยพบหมอเป็นวัน คราวนี้ก็เลยตัดสินใจไปที่นี่

 
 

จากคุณ : kdunagin
เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 53 23:34:55




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com