นั่นคือครั้งแรกเมื่อ 12-13 ปีก่อน มาคราวนี้ทันทีที่เห็นหน้าหมอห้องฉุกเฉินก็เลยได้บอกทันทีว่าเป็น bowel obstruction แน่นอน อาการเดียวกัน คือเจ็บจนทนแทบไม่ไหว อาการเจ็บของมันเป็นแบบนี้ค่ะ ลองคิดถึงภาพลำไส้คนเราเวลาที่มันพยายามขับอาหารที่ย่อยแล้ว ถ้าลำไส้บีบตัวไล่อาหารไปได้สะดวกก็ไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหมคะ แต่ถ้าบังเอิญมีอะไรไปขัดขวางอยู่ มันจะยิ่งพยายามบีบตัวแรงขึ้นๆๆ และแรงขึ้นทุกที มันจะเจ็บจนแทบเป็นลมแหละค่ะ และเมื่ออาหารนั้นลงข้างล่างไม่ได้ มันก็จะย้อนขึ้นข้างบนแทน ยิ่งนานเข้าถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง เราก็จะอาเจียนเอาทุกอย่างที่ผ่านเข้าไปในช่องท้องออกมาหมด
หมอคนที่ได้คราวนี้ด้วยความหวังดี แกบอกว่าลองให้โอกาสมันคลายตัวเองก่อนสักพักดีกว่าไหม เพราะตัวเองทำผ่าตัดช่องท้องมาแล้วถึงบัดนี้ 5 ครั้ง ถ้าจะผ่าตัดคราวนี้อีกก็จะเป็นครั้งที่ 6 และแต่ละครั้งที่ทำผ่าตัด scar tissue จะก่อตัวเพิ่มมากขึ้นและรุนแรงขึ้นทุกที
ตอนนั้นหมอว่าไงก็ว่าตามนั้นแหละค่ะ หมอใช้วิธีสอดสายยางเข้าทางจมูกผ่านลำคอลงในกระเพาะเพื่อดูดเอาทุกอย่างในช่องท้องออกมา เห็นแล้วไม่น่าเชื่อเลย วันแรก canister พลาสติกขนาด 1 แกลลอน ต้องเปลี่ยน 4 ครั้งค่ะ แล้วสีของมันนี่ไม่น่าดูเลย เป็นสีคล้ำปนเลือด มีเศษอาหารปนออกมาด้วย วันต่อๆ มาก็ประมาณเดียวกัน แต่เศษอาหารไม่มีแล้ว ทำให้คิดว่าทำไมคนเราถึงได้มีอะไรในท้องมากขนาดนั้น พอถึงประมาณวันที่ 5 เหลือแต่เลือดกับน้ำสีเขียวอ่อนๆ
แล้วกิจวัตรตลอดเวลา 7 วันนั่นก็สุดแสนจะทรมาน แต่ละวันเริ่มจากตี 5 เจ้าหน้าที่ห้องแลบจะมาเจาะเลือด ทุกวันเลย พอตี 5 ก็เอาแล้ว หิ้วตะกร้ามีอุปกรณ์เจาะเลือดมาแล้ว จนเริ่มคุ้นเคยกับเจ้าหน้าที่พวกนั้นเพราะมักเป็นคนเดิมๆ วันหลังๆ พอเปิดประตูห้องเข้ามาก็จะส่งเสียงเข้ามาก่อน “Ms. Dunagin, we want more blood. เหอ เหอ เหอ” (อันหลังเติมเอาเอง) พอสิบโมงก็ถูกเข็นไปห้อง X-ray หรือไม่ก็ทำ CT scan เจ้าหน้าที่เข็นเตียงก็เหมือนกัน เห็นหน้าทุกวันจนวันหลังๆ เขาจะถามเล่นๆ ว่าวันนี้ยูต้องการยานพาหนะแบบไหนดี คือก็แค่เข็นไปทั้งเตียง หรือถ้าต้องการเปลี่ยนบรรยากาศก็เปลี่ยนเป็นนั่งรถเข็นแทน แล้วตลอดเวลานั้นสายยางก็ยังคงเสียบอยู่ที่จมูกลงไปในลำคอถึงกระเพาะทางด้านขวา แขนซ้ายเสียบเข็มพร้อมยาสารพัดประเภท รวมทั้งอาหารเหลว แล้วก็น้ำเกลือ เพราะทานอะไรไม่ได้เลย จนครบ 7 วันไม่มีอะไรคืบหน้าเลย หมอก็เลยสั่ง X-ray แบบพิเศษ (ได้ยินพยาบาลกับเจ้าหน้าที่เรียกกันอย่างนั้น) ได้ยินเขาคุยกันว่าตั้งแต่ทำงานที่โรงพยาบาลนี้เคยรู้จักคนไข้คนไหนที่ถูกสั่งให้ X-ray แบบนี้ไหม ทุกคนบอกเหมือนกันว่าไม่เคย มีคนเข็นเตียงชื่อ patrick คนเดียวบอกว่าเคยเห็นแค่คนเดียว
X-ray ที่ว่านั่นจะพิเศษยังไงไม่รู้ แต่ทรมานทรกรรมจริงๆ ค่ะ เริ่มเลยคือเขาให้ดื่มอะไรไม่รู้ เป็นน้ำใสๆ ที่รสชาติชั่วร้ายที่สุดในโลกนี้ (ใครเป็นคนคิดค้นไอ้น้ำที่ว่านี่ขึ้นมาควรตายแบบนอนตาไม่หลับ จริงๆ ด้วย ขอแช่ง) ไม่รู้ว่าจะเอารสของมันไปเทียบกับอะไรดี เพราะคงหาอะไรในโลกนี้ที่รสเหมือนไปเอามาจากนรกขุมต่ำสุดได้ขนาดนั้น สิ่งเดียวที่ดีที่สุดของความพยายามจะ X-ray รอบนั้นคือเจ้าหน้าที่ผิวสีชื่อ Charles ซึ่งน่ารักมากเลยค่ะ แกพยายามเอาใจช่วยตลอดเวลา ขนาดแค่จิบแรกก็ขย้อนในท้องแล้ว นี่ต้องดื่มให้หมด 2 ขวด แกบอกว่าเพื่อสร้าง contrast ให้เห็นได้ชัดๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นในท้อง
พอจิบที่ 2 ก็บอกแกตรงๆ ว่าไอต้องอาเจียนแน่ๆ (ทั้งๆ ที่ถึงวันนั้นในท้องไม่มีอะไรเหลืออีกแล้วนะคะ) แกก็บอกว่าดื่มเท่าที่จะดื่มได้ก็แล้วกัน แล้วก็จริงๆ ค่ะ พอจิบที่ 3 ทุกอย่างที่เหลือในท้องขย้อนลงพื้นห้องหมดเกลี้ยง เห็นหน้า Charles ตอนนั้นแล้วอยากร้องไห้เสียเอง ห้อง X-ray สะอาดๆ ของแกกลายเป็นอะไรไม่รู้ในชั่วพริบตา แต่แกก็ยังใจเย็นนะคะ แกว่าเอาแค่นี้ก็แล้วกัน ลอง X-ray ไปก่อน ได้แค่ไหนก็แค่นั้น
หลัง X-ray ครั้งนั้นก็รู้ว่าที่ทดลองให้เวลาลำไส้ได้พัก 7 วันเพื่อจะได้คลี่ตัวมันเองนั่นไม่ได้ผลเลยแม้แต่นิดเดียว หมอรีบจองห้องผ่าตัดทันทีเลยค่ะ แกบอกว่าปกติผ่าตัดแบบนี้ใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมง แกจองห้องไว้ 45 นาที
บอกไม่ถูกค่ะว่าพอหมอตกลงใจจะผ่าตัดแล้วโล่งขนาดไหน ตัวเองไม่เคยกลัวเลยเรื่องผ่าตัด โตมากับครอบครัวหมออ่ะค่ะ คุณพ่อเป็นผู้เชี่ยวชาญศัลยกรรมกระดูก อุปกรณ์ผ่าตัดประเภทอื่นดูเล็กน้อยไปเลยเมื่อเทียบกับอุปกรณ์ผ่าตัดกระดูก วันผ่าตัดก็เลยเข้าห้องผ่าตัดด้วยจิตใจที่เบิกบาน มีความรู้สึกว่าความทุกข์ทรมานนี้จะได้จบสิ้นเสียที
ก็เป็นไปตามขั้นตอนการผ่าตัดที่เคยผ่านมา 5 ครั้งแล้ว รู้สึกตัวครั้งแล้วงงๆ ไม่ปวดตรงไหน แต่ครึ่งวินาทีต่อมา อ๊าาากกกก เจ็บๆๆๆ แล้วได้ยินเสียงใครพูดอยู่ใกล้ๆ ว่า 6 ชั่วโมง ตอนนั้นไม่เข้าใจความหมายว่าพูดถึงอะไร จนเขาเข็นเตียงกลับเข้าห้องพัก ปกติหมอที่เป็นคนทำผ่าตัดจะตามไปด้วยเพื่ออธิบายอะไรต่ออะไรให้ฟัง แต่หมอไม่อยู่แล้ว ก็ยังไม่เข้าใจในทันทีนะคะว่าหมายความว่าอะไร จนเจ้าหน้าต่อสายอะไรต่ออะไรให้ที่แขนทั้ง 2 ข้าง (คราวนี้ให้ยาทั้ง 2 แขนเลย) คุณสามีก็ลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียง เห็นหน้าเขาก็รู้แล้วว่าเรื่องใหญ่ ประโยคแรกที่เขาบอกว่าคือ “It was severe.” แล้วก็ได้รู้เป็นครั้งแรกว่าที่หมอกะว่าครึ่งชั่วโมงเสร็จ กลับกลายเป็น 6 ชั่วโมง หมอต้องตามหมออีกคนซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้ให้มาช่วยด้วย
วันรุ่งขึ้นหมอมาอธิบายปัญหาว่า scar tissue กับลำไส้นั่นติดกันแน่นจนแยกไม่ออกว่าตรงไหนเป็นอะไร และปกติ scar tissue จะเป็นเนื้อเยื่อที่อ่อนนุ่ม แต่ในบางกรณีจะแข็ง เหมือนที่ตัวเองเป็นนี่แข็งเหมือนซีเมนต์เลย จะตัดออกก็ไม่ได้ แล้วมีอยู่ 2 ส่วนของลำไส้เล็กที่ scar tissue ไปกดทับอยู่นานจนเนื้อเยื่อตายสนิท ต้องตัดออก
แก้ไขเมื่อ 16 พ.ย. 53 23:51:52
แก้ไขเมื่อ 16 พ.ย. 53 23:48:56