Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ตำนานสงครามบัลลังก์เหนือ 2 - บทที่ 18 - ไขว่คว้า ติดต่อทีมงาน

อ่านเนื้อหาภาค 1 ได้ที่นี่ครับ

http://writer.dek-d.com/Anithin/writer/view.php?id=471973

เนื้อเรื่องต่อภาค 2

http://writer.dek-d.com/Anithin/writer/view.php?id=623553


* * * * *


ขอบคุณคุณ Mnemosyne สำหรับกิฟท์นะครับ ^^

เมื่อวันก่อนเพิ่งไปไล่ดูกระทู้เก่าตัวเอง ถึงได้พบว่าน้องแตมมาตอบคอมเมนต์ให้ในตอนที่ 12 แล้วผมไม่ทันเห็นเลยไม่ได้ตอบเลย ขอโทษจริงๆ นะครับ m[_ _]m

น้องแตม - แอชคงรู้สึกว่าไหนๆ รูอาร์คก็มองออกเป็นกูรูขนาดนี้ แต่แก้ไขเรื่องที่ตัวเธอไม่อาจคู่กับอาเมียร์ก็คงไม่ได้ เลยค่อนข้างจะกึ่งรับกึ่งปฏิเสธอยู่น่ะครับ

ความกลัวหมายถึงความกลัวของทั้งสองคน ทั้งอาเมียร์กับแอชก็มีเรื่องที่กลัวจะพูดออกมา เกี่ยวกับความจริงของตัวอาเมียร์ ส่วนคำลวงก็คือเรื่องที่เสด็จพ่อ เสด็จแม่ กับเสด็จพี่สัญญาไว้ กับเรื่องที่อาเมียร์ไม่อาจบอกได้ว่าที่ไม่อยากจับมือกับแอช เพราะกลัวจะล่วงเกินความทรงจำของแอชมากไปกว่านี้ครับ

(ว่าแล้วก็คิดถึงน้องแตมนะ ช่วงนี้เรียนหนักหรือเปล่า เห็นเงียบๆ ไป หวังว่าคงสบายดีนะครับ)

ป.ล. จากนี้ไป จะพยายามใจดีกับพวกพี่ๆ ชายมากขึ้นนะครับ ^^a


คุณ runaway guy - แหะๆ ก็ต้องมีกระบวนการเก็บกู้ก่อนละครับ หนูแอชไม่เทพขนาดนั้น ^^a

ที่จริงก็น่าคิดนะ ว่ามาลิอาจับโหงวเฮ้ง หรือใช้ความสามารถเฉพาะตัวกันแฮะ ^^a


คุณ scottie - ดีใจที่ชอบมาลิอานะครับ ^^



* * * * *


บทที่ ๑๘
ไขว่คว้า


ไยจึงลืม ไยจึงลืม ไยจึงลืม ไยจึงลืม

อาเมียร์ได้ยินเพียงถ้อยคำนั้น ดังอึงอลซ้ำไปมาอยู่ในศีรษะ ขณะที่ภาพทะเลมืดของธีร์ดีเรแปรกลายเป็นทะเลอีกแห่ง...ทะเลซึ่งสะท้อนภาพแสงไฟพวยพุ่ง กับเงาเงื้อมของซากเมืองที่กำลังมอดไหม้

ทะเลที่เจ้าชายทัมมุซในวัยสิบเอ็ดชันษามองทั้งอัสสุชลนองหน้า...ในครั้งสุดท้ายที่ได้เห็นอาณาจักรของตน

เด็กหนุ่มก้มหน้าหนีภาพซึ่งดูราวกับภาพหลอนนั้น แต่ครั้นเห็นผืนน้ำที่ริมกราบเรือ...ก็ต้องเบิกตาโพลงยิ่งกว่า

...ไยจึงลืม...

เด็กชายตัวเปลือยเปล่าผมยาวสยาย หน้าตาเหมือนตัวเขา ผิดกันเพียงมีดวงตาสีทองเจิดจ้า

เด็กนั้น...ภูตพรายพิลึกพิลั่นที่เขาเคยเห็นในทะเลใต้คุกกรงน้ำครั้งนั้น เวลานี้ไม่ได้อยู่ใต้น้ำ แต่เกาะอยู่บนกราบเรือได้ราวกับกำลังหมอบบนพื้นราบ ...มิหนำซ้ำยังคืบคลานเข้ามาใกล้...เร็วขึ้น...เร็วขึ้น

อาเมียร์ไม่ทันตั้งตัวเลย เมื่อมือซีดขาวทั้งสองตะปบเข้าที่ไหล่ ดึงตัวเขาลงไปสู่ความมืดมิดเย็นเยียบรอบด้าน


* * * * *


เจ้าเปี๊ยก!

แอชลีนน์ได้สติเอาเมื่อถูกตบเข้าที่แก้ม จนใบหน้าเปียกชื้นสะบัดไปทางหนึ่ง แม้จะไม่ได้แรงมากนัก

ที่อยู่ตรงหน้าคือรูอาร์ค รูอาร์คซึ่งยังสวมช้องผมกับหนวดปลอมอยู่ ทว่าสีหน้าเคร่งเครียดอย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน

“เกิดอะไรขึ้น อาเมียร์ไปไหน อย่าบอกนะว่าตกเรือ?”

เด็กสาวได้แต่พยักหน้า เมื่ออีกฝ่ายถามแล้วสรุปเองเสร็จสรรพ

“ตั้งสติดีๆ รออยู่นี่ ห้ามโดดลงไปช่วยเองเด็ดขาด ถ้าเห็นเขาโผล่ขึ้นมาก็บอกให้แข็งใจประคองตัวไว้ ข้าจะรีบไปตามคนมาช่วย”

เด็กหนุ่มผมแดงพูดเท่านั้นก็ไม่รอฟังคำตอบ แต่วิ่งตึงตังพลางตะโกนไปยังอีกทางโดยเร็ว ทิ้งให้แอชลีนน์ได้แต่โน้มตัวเกาะกราบเรือด้วยสองมือสั่นเทา บังคับตนเองให้มองลงไป บอกตัวเธอที่ยังหวั่นผวาว่านี่ไม่ใช่ความฝัน...ไม่ใช่ฝันที่เธอไม่อาจไขว่คว้าเสด็จพ่อ เสด็จแม่ กับเสด็จพี่ไอลีชไว้ได้

“อาเมียร์! ขึ้นมาเร็วสิ!” เด็กสาวร่ำร้อง “ท่านต้องไม่เป็นไร...ท่านต้องไม่เป็นไรนะ!”

...ไร้วี่แวว...

มีเพียงน้ำที่ยังกระเพื่อมไหวโอบล้อมเรือ เกลียวคลื่นที่ซัดสาดต่อไปอย่างไม่รู้เรื่องราว แต่ไม่มีวี่แววของเด็กหนุ่ม...ไม่มีมือหรือศีรษะของเขาโผล่ขึ้นมาเลย

แอชลีนน์พยายามห้ามน้ำตาอย่างไร้ผล ทะเลมืดในคลองจักษุยิ่งพร่าเลือนลงทุกที...ยิ่งมัวหม่นและบิดเบี้ยวเหมือนฝันร้าย

เธอไม่อยากทำได้แค่นี้เลย ถ้าเพียงแต่ลงไปช่วยเขาได้ละก็...

ชั่วแวบหลังความคิด...เด็กสาวรู้สึกเหมือนมีลมแรงพัดผ่านวูบหนึ่ง

หางตาของเธอทันเห็นเพียงร่างเงาคนสีดำๆ กระโจนลงไป ก่อนที่ผืนน้ำจะแตกกระจายเป็นฟองขาวพร้อมเสียงดังครืนครัน บ่งบอกให้รู้ว่าเธอไม่ได้อุปาทานไปเอง

จะเป็นใคร...แอชลีนน์ไม่ได้สนใจเลย เธอจดจ่ออยู่แต่การร่ำร้องภาวนา ขอแค่เขาช่วยอาเมียร์ขึ้นมาได้ก็เพียงพอแล้ว


* * * * *


มืดมิด และหนาวเย็น

...เหมือนครั้งนั้น...

อาเมียร์รู้สึกรางๆ ...เหมือนร่างกายของตนกำลังดำดิ่งลงไปในห้วงน้ำ ราวกับถูกถ่วงด้วยโซ่ตรวน เขาพยายามกลั้นหายใจ รวบรวมเรี่ยวแรงขยับแขนขา ไขว่คว้าหนทางขึ้นไปสูดอากาศ แต่ยิ่งทีก็ยิ่งจมดิ่ง ไม่ต่างจากครั้งที่คุกกรงน้ำอีกเช่นกัน

...ไยจึงลืม...ลืมไปได้อย่างไร...สิ่งที่ทำให้ข้าเป็นข้า...และเจ้าเป็นเจ้า... เสียงเล็กๆ ของเด็กชายทวงถามอีกครั้ง

...สิ่งที่ทำให้ ‘เรา’ เป็น ‘เรา’...

เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นในน้ำเค็มได้โดยไม่รู้สึกแสบเคือง และเห็นชัดเจนอย่างประหลาดอีกครั้ง นัยน์ตาสีทองนั้นอยู่ห่างจากนัยน์ตาของตนเพียงหนึ่งฝ่ามือ ดวงหน้าอ่อนเยาว์เหมือนกระจกสะท้อนตัวเขาในอดีต บิดเบี้ยว ทรมาน ฉายแววทั้งตัดพ้อ...เคืองแค้น...และโหยหา

นัยน์ตาที่ทำให้เขาเบิกตาโพลง...เมื่อนึกถึงเงาสะท้อนของดวงตาคล้ายกันที่ตนเคยเห็น

ใช่ อาเมียร์เห็นเงาสะท้อนของดวงตาของตน ในดวงตาสีฟ้าเยียบเย็นเหมือนห้วงน้ำของชายอีกคน...พระเถระมาดายผู้ชรา

แกต้องตายที่นี่... เสียงของชายชราดังก้องขึ้นในใจ ...พวกแกทั้งหมดต้องตายอยู่ที่นี่! ไอ้ปีศาจ!

พร้อมกับเสียงนั้นคือแรงมือที่บีบรัดลำคอ และความปวดแสบร้อนยิ่งกว่าเพียงเค้นด้วยกำลัง แสงสว่างปรากฏขึ้นแวบๆ ที่เบื้องล่างของคลองจักษุ มาดายกำลังใช้มนตราแห่งแสงสว่างใส่เขา

อย่านะ! อย่าทำร้ายพี่อาเมียร์นะ! เสียงเร่งร้อนสั่นเครือของนาสิรา

หลีกไป! นังเด็กเกะกะ!

เสียงกรีดร้องของเด็กหญิง

เด็กชายเห็นทางหางตา...ร่างของน้องสาวของเขากระเด็นไปไกลหลังจากแสงสว่างวาบ ตกกระทบครูดพื้นเต็มแรง จากนั้นจึงมีเสียงร้องไห้จ้าด้วยความเจ็บปวด

แล้วบางสิ่งก็พลันพลุ่งพล่านขึ้นในใจของเด็กชาย

ฆ่า!

ฆ่า ฆ่า ฆ่า ฆ่า ฆ่า


เงาดำเริ่มปั่นป่วนรอบกายเขา

อาเมียร์ใช่จะมองเห็น แต่รู้ พวกมันก่อร่างขึ้น ทั้งที่เป็นรูปร่างอย่างมนุษย์ อย่างสัตว์ และที่เป็นเพียงกลุ่มหมอกฝุ่นธุลี ชายชราผู้คุกคามร้องอย่างตกใจ และปล่อยมือจากคอของเขา กลับโบกเปะปะอย่างจนตรอกขณะที่ความมืดรุมล้อมเข้ามา

...เจ้าชาย เราจะฆ่ามัน เราจะฉีกกระชากมันเป็นชิ้นๆ ตามบัญชาแห่งท่าน...

...ประสงค์ของท่านคือประสงค์ของเรา...


ใช่ ประสงค์ของพวกมันคือประสงค์ของเขา อาเมียร์รับรู้และเชื่อตามนั้น เขาจะสั่งมันให้บิดหักแขนขา ฉีกกระชากเนื้อหนัง บีบรัดเส้นเลือดไอ้คนชั่วช้า บดขยี้อวัยวะภายในของมันให้แหลกเป็นภัสม์ธุลี...

...ก่อเกิดเป็นน้ำพุสีแดงฉาน...

น้ำพุ น้ำพุ น้ำพุ น้ำพุ

หากมิได้อยู่ในสภาพกึ่งภวังค์ ร่างกายของอาเมียร์ซึ่งจมอยู่ในทะเลของอ่าวเมอร์คาห์คงคลื่นไส้อาเจียน หรือถึงแก่สิ้นสติไปเพราะภาพที่เห็นแล้ว ทว่าเด็กหนุ่มยังคงซึมซับภาพที่ผุดขึ้นในใจเข้าไปอย่างรวดเร็ว...ดุจทรายซึมซับน้ำอย่างหิวกระหาย

ทีแรก เขานึกว่าเลือดที่พวยพุ่งเหล่านั้นเป็นของมาดาย แต่แล้วก็ตระหนักได้ว่าไม่ใช่ เสียงร้องนั้นอึงอลจนเกินไป เลือดเหล่านั้นมากมายเกินไป...แทรกซึมลงในผืนทรายสูงต่ำใต้แสงอัสดง ผิดกับอาคารก่อศิลารายรอบตัว เมื่อครั้งเผชิญหน้ากับเถระชรา

...กองศพ...

ชายมากมาย สวมเสื้อคลุมและโพกผมอย่างชาวทราย ดาบโค้งหรืออาวุธอื่นๆ ของพวกเขากองระเกะระกะ บ้างอาบเลือดของตนเอง ในหมู่คนเหล่านั้น...บ้างยังมีลมหายใจรวยรินอยู่ บ้างยังร้องครวญคราง

แต่มีเพียงเสียงเดียวเท่านั้น ที่จับใจของอาเมียร์

เสียงของผู้หญิง

เสียงของแม่

นัยน์ตาของเด็กชายกวาดไป...จนเห็นร่างที่แต่งกายผิดแผกจากคนอื่น...ร่างของแม่ที่คู้กาย โอบอุ้มนาสิราไว้แนบอก...แม่ที่มีรอยแผลชุ่มเลือดน่ากลัวบนแผ่นหลัง...

ราวกับในฝันสีแดง ฝันซ้ำฝันซาก หลายครั้งหลายครา

เด็กหนุ่มอ้าปากจะกรีดร้อง แต่กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา...กลับมีเพียงความรู้สึกเหมือนบางสิ่งหลั่งไหลเข้าไป

...สิ่งที่ไม่ใช่น้ำทะเล ทว่าหนาหนักกว่า และขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวเองราวกับมีชีวิต...

แทรกซึม...ซอกซอน จากลำคอสู่ทรวงอก แล่นพล่าน เลื้อยไปยังที่ต่างๆ ราวกับฝูงงู...

ตื่น! ท่านจะเปิดรับมันเข้าไปไม่ได้!

...เสียงของผู้หญิง?

อาเมียร์รู้สึกเหมือนตนลืมตาขึ้นอย่างงุนงง เห็นสีดำขวางกั้นหน้า แยกตนออกจากเด็กชายผู้มีนัยน์ตาสีทอง ซึ่งจ้องตรงมาอย่างเคืองแค้น

ไม่ทันได้ปะติดปะต่อสิ่งใด สีดำนั้นก็สะบัด...สร้างสีดำอันมืดมิดยิ่งกว่าบดบังคลองจักษุ ก่อนเด็กหนุ่มจะรู้สึกได้ว่าร่างของตนถูกโอบรัดแน่นหนา และพาแหวกน้ำทะเลขึ้นไปข้างบน

อดีตเจ้าชายแห่งอาณาจักรสาบสูญค่อยรู้สึกผ่อนคลาย...แต่ก็เพียงครู่เดียว...ก่อนความร้อนวาบจะกระจายไปทั้งร่าง จากศีรษะและลำคอ สู่ท้อง สู่แขนขา สู่หัวใจ ปวดร้อนเสียจนจะดิ้นทุรนทุราย

ทว่าไม่ทันได้ทำเช่นนั้น...สำนึกรู้ตัวทั้งมวลของอาเมียร์ก็พลันดับลงเสียก่อน


* * * * *


“เจ้าน้องชาย! พี่เจ้าโผล่ขึ้นมาไหม!”

แอชลีนน์หันขวับไป เห็นรูอาร์ควิ่งมาพร้อมกับชายอีกคน ซึ่งมีเชือกขดใหญ่ทนทานคล้องติดไหล่มาด้วย

“ย...ยัง แต่ข้า...ข้าคิดว่ามีคนกระโดดลงไปช่วยเขา” เด็กสาวพยายามตั้งสติ “แต่มันมืด แล้วเขาก็เร็วมาก ข้าไม่ทันเห็นเลยว่าเป็นใคร”

รูอาร์คหรือใครอีกคนนั้นไม่ทันตอบ เสียงหนึ่งก็กู่ขึ้นจากผิวน้ำเสียก่อน

แอชลีนน์รีบชะโงกดูอีกครั้ง เห็นร่างเงาของใครบางคนโบกมือไหวๆ ...โดยมีศีรษะที่ตกพับไร้เรี่ยวแรงของอาเมียร์อยู่ใกล้ๆ

“อยู่นั่นแล้ว” ชายที่มากับรูอาร์คพูด แล้วก็รีบโรยเชือกลงไป เด็กหนุ่มผมแดงในคราบพ่อค้าจึงรีบคว้าปลายเชือกอีกทาง มัดมันเข้ากับตะขอยึดเชือกที่ใกล้ที่สุดบนกราบเรือทันที

ไม่ช้า ร่างของอาเมียร์ก็ถูกมัดเชือกเป็นบ่วงที่ใต้อกให้ดึงขึ้นมาได้ แล้วคนทั้งสามบนเรือจึงช่วยกันออกแรงดึงเขาขึ้นมา จนสุดท้าย รูอาร์คก็รัดไหล่ทั้งสองของเด็กหนุ่มผมดำไว้จากข้างหลัง พาเขาข้ามกราบเรือมาสำเร็จ

ชายอีกคนช่วยประคองอาเมียร์ไว้ ค่อยๆ หย่อนตัวเขาลงนอนคว่ำ ก่อนจะสอดสองมือของเขาเองไว้ใต้ท้อง แล้วออกแรงดันให้ยกลำตัวขึ้น

“ท่านทำอะไร” แอชลีนน์ถามอย่างสงสัย

“ไล่น้ำออกจากตัวเขา” อีกฝ่ายตอบง่ายๆ และเด็กสาวก็เพิ่งสังเกตว่ามีน้ำไหลออกมาจากปากของอาเมียร์จริงๆ

ไม่ช้า ก็ไม่มีน้ำออกมาอีก ทว่าร่างของเขายังปวกเปียก เนื้อตัวเย็นชืด ผิวซีดเผือด ดวงตาปิดสนิท

แอชลีนน์เริ่มตื่นรน เมื่อเห็นผู้ปฐมพยาบาลเอาแต่ดูอยู่เงียบๆ

“อา...พี่เอลม์! พี่เอลม์! ตื่นสิ! ฟื้นขึ้นมาสิ!” เธอตรงเข้าไปเขย่าตัวเขา ทว่าเรียกเท่าไร...ก็ไม่มีการตอบสนอง

หนำซ้ำ...ดูเหมือนเขาจะไม่หายใจ...

ไม่นะ...อาเมียร์จะตายไม่ได้...เขาคงไม่...

“เจ้าเปี๊ยก! เขย่าแบบนั้นจะได้เรื่องที่ไหนเล่า!” เด็กหนุ่มผมแดงซึ่งดูจะมีสติมากกว่าเอ็ดเข้า ขณะที่ชายอีกคนคุกเข่าลง แตะปลายนิ้วที่ข้างคอของเด็กหนุ่มผมดำ

“ชีพจรยังเต้นอยู่ ถึงจะเบา แต่ถ้าไม่หายใจก็ต้องผายปอด” เขาเงยหน้าขึ้นมองรูอาร์ค “เจ้าเป็นเพื่อนเขาใช่ไหม”

“ถ้าต้องผายปอด ให้เจ้าเปี๊ยกนี่ทำดีกว่า” เด็กหนุ่มผมแดงกลับโยนกลองดื้อๆ “เป็นพี่น้องกันนี่”

“ด...เดี๋ยวสิ!” เด็กสาวตื่นรนขึ้นทันที...แต่ไม่ใช่ด้วยเหตุผลที่เธอเพิ่งนึกขึ้นได้หลังจากนั้นอีกนานโข “ข...ข้าทำไม่เป็นนะ!”

“จะใครก็ได้ แต่รีบหน่อย” ชายอีกคนพูดพลางพลิกตัวอาเมียร์ให้นอนหงาย คลายคอเสื้อของเขาโดยเร็ว ครั้นแล้วก็จัดท่าให้เด็กหนุ่ม วางแขนทั้งสองข้างเหยียดยาว ไหล่และอกยืดตรง ก่อนจะดันหน้าผากลงต่ำให้คางเงยขึ้น และเปิดปากล้วงนิ้วลงไป ควานอยู่ชั่วอึดใจ “ทำไม่ยากหรอก แต่เวลาไม่คอยท่า”

แอชลีนน์จึงรีบพยักหน้า แล้วถามกลับทันทีว่าตนต้องทำอย่างไรบ้าง

“ช่วยกันสองคน ข้าจะบีบจมูกเขา นับจังหวะให้ เจ้าก็หายใจให้เต็มปอด แล้วก็ประกบปาก เป่าลมเข้าไปตอนที่ข้าบอก ...เรื่องง่ายๆ แค่นี้เอง”

เจ้าหญิงในคราบเด็กชายไร้ความคิดอื่นใด นอกจากพยักหน้าแล้วรีบทำตาม เธอคุกเข่าลงข้างใบหน้าของเขา โน้มริมฝีปากลงแตะกับริมฝีปากเย็นเฉียบ หายใจเข้าไปลึกๆ ...แล้วก็เป่า...เป่าตามที่รูอาร์คบอก

“นั่นล่ะ อย่างนั้น อกเขาพองขึ้น เจ้าเห็นไหม ต้องเป่าให้ได้อย่างนั้นไปเรื่อยๆ จนกว่าเขาจะหายใจได้เอง”

แอชลีนน์จึงได้แต่ทำตามนั้น หายใจ...ก้มลง...เป่า หายใจ...ก้มลง...เป่า ...ไม่รู้นานเท่าใด

แต่สุดท้าย ร่างที่นอนนิ่งมาตลอดก็กระตุกเฮือกจนเธอชะงักถอย แล้วก็เริ่มสำลักและไออยู่อีกครู่ ถึงจะยังไม่รู้สึกตัว

ชายคนนั้นพลิกตัวเขานอนตะแคง เอานิ้วอังจมูกอยู่อีกครู่ก็ถอนใจ

“น่าจะพอช่วยได้ พาเขาไปเช็ดตัวที่ห้อง ห่มผ้าให้ตัวอุ่น แล้วรีบไปตามหมอมาเถอะ” เขาบอก ก่อนจะขอให้รูอาร์คช่วยกันหิ้วปีกอาเมียร์ขึ้น เดินนำหน้าเด็กสาวไป

แอชลีนน์ค่อยใจชื้นขึ้นบ้าง แม้จะไม่อาจหายกังวลทั้งหมด โชคยังดี ยังมีคนลงไปช่วยเขา แล้วผู้ชายคนนี้ก็ยังรู้วิธีปฐมพยาบาล...

แต่เมื่อนั้นเอง เจ้าหญิงเพิ่งตระหนักได้

“เดี๋ยวก่อน แล้วคนที่โดดลงไปพาเขาขึ้นมาล่ะ”

“เขาไม่เป็นไร เห็นพวกเจ้ากำลังยุ่งอยู่ เลยรีบไปผลัดเสื้อผ้าก่อน” ชายแปลกหน้าที่ช่วยพยุงอาเมียร์ตอบ เด็กสาวเพิ่งสังเกตในตอนนั้นว่าเขาโพกศีรษะเหมือนชาวทะเลทราย

เมื่อได้รับคำตอบในทางดี แอชลีนน์ก็โล่งใจจนไม่เหลือความสงสัยอย่างอื่น และกลับมาเป็นห่วงเพื่อนร่วมทางซึ่งเพิ่งผ่านประสบการณ์เฉียดตายมาหมาดๆ อีกครั้ง

เธอจึงไม่ได้สังเกต ว่าบนพื้นกระดานเรือ ตลอดจนบันไดทางลงไปยังห้องพัก ไม่มีรอยเท้าเปียกน้ำของใครก็ตามที่กระโดดตามอาเมียร์ลงไปเลยแม้แต่น้อย...


* * * * *

แก้ไขเมื่อ 17 พ.ย. 53 15:10:38

จากคุณ : Anithin
เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 15:10:01




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com