Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
หนึ่งวันที่แม่กลอง ติดต่อทีมงาน

หนึ่งวันที่แม่กลอง

เช้าวันอังคารที่ปกติผมต้องรีบตื่นอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปทำงาน แต่ในวันนี้ผมลางานเรียบร้อยแล้ว ภารกิจหลักของผมคือพาพ่อไปบ้านพี่สาวของพ่อที่แม่กลองในวันครบรอบวันไหว้บรรพบุรุษ

“เอากล้องไปด้วยดีกว่า เผื่อแวะไปไหนจะได้เก็บรูปไว้”

ว่าแล้วผมก็คว้ากล้องคู่ใจติดมือมาด้วย ก่อนที่เราจะเริ่มออกเดินทางตอนประมาณแปดโมงเช้า ซึ่งก็เป็นเวลาที่ไม่เช้าไม่สายจนเกินไปนัก

ด้วยอากาศที่กำลังสบายตัว แสงแดดที่กำลังสบายตา และด้วยระยะทางเพียงหกสิบกว่ากิโลเมตร ทำให้การขับรถเป็นไปอย่างสบายๆ ไม่ต้องเร่งรีบอะไรมากนัก

เราเดินทางผ่านถนนพุทธสาครเพื่อตัดไปยังมหาชัยก่อนจะวิ่งตรงไปตามถนนพระรามสอง ระหว่างการเดินทางไปพ่อกับผมก็คุยกับไปเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่เวลานั้นผมก็ตั้งใจฟังตั้งใจคุย แต่ทำไมพอเอามาเขียนผมกลับจำอะไรไม่ได้เลยก็ไม่อาจทราบได้เหมือนกัน

จำได้เพียงว่าเรื่องที่พ่อเล่าให้ฟังนั้นเป็นเรื่องที่ผมจะได้ยินทุกครั้งเวลาที่เราเดินทางไปยังแม่กลองโดยใช้ถนนเส้นนี้

เพียงแค่ประมาณหนึ่งชั่วโมงเราก็เดินทางมาถึงที่หมาย หลังจากนั้นผมกับพ่อและบรรดาญาติๆ ต่างก็ช่วยกันนำข้าวปลาอาหารออกมาจัดกันบนโต๊ะไหว้บริเวณลานหน้าบ้าน ก่อนจะเริ่มพิธีการตามปกติที่จัดกันทุกปี

“ไปยัง” พ่อถามหลังพิธีการเสร็จสิ้นระยะหนึ่งแล้ว เข็มนาฬิกาชี้บอกเวลาเที่ยงกว่า

“ไปดิ ตลาดน้ำอัมพวาตอนนี้มีของขายป่าวอ่ะ” ผมตอบพ่อ พร้อมตั้งคำถาม

“ถ้าจะไปตลาดน้ำอัมพวาต้องรอเย็นๆ ตอนนี้ไม่มีอะไรหรอก” พ่อตอบ

ตัวผมเองเคยไปตลาดน้ำอัมพวาเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ที่ติดใจเพราะว่ามีของขายเยอะดี โดยเฉพาะขนมโบราณ หรือแม้แต่ขนมหวานพวกท๊อฟฟี่ที่เคยกินตั้งแต่เด็กก็ยังมีขาย

มีของเล่นชิ้นหนึ่งที่ผมพยายามหาซื้ออยู่นานแต่ก็หาไม่ได้ มาเจอที่ตลาดน้ำอัมพวานี่ล่ะครับ

มันเป็นเรือสังกะสีที่ในตัวเรือจะมีคล้ายๆ ถาดประกบกันให้เอาเทียนจุดแล้วไปวาง ความร้อนจากตัวเทียนจะทำให้แผ่นตรงนี้เกิดแรงดันและทำให้เรือแล่นไปข้างหน้าได้

แต่พอหยิบขึ้นมาดู ผมแทบจะวางไม่ทันเลยครับ ไม่น่าเชื่อว่าราคามันจะเกือบพันบาท สงสัยคงจะขายสำหรับนักสะสมจริงๆ (สมัยผมเด็กๆ จำได้ว่าลำละสองบาทหรือห้าบาทเท่านั้นเองครับ)

“งั้นไปวัดบางกุ้งละกัน” ใจผมกะไว้แต่แรกอยู่แล้วว่าถ้าไม่ได้ไปตลาดน้ำอัมพวาก็จะไปวัดบางกุ้ง

หลังจากนั้นรถก็เคลื่อนที่ไปตามทางโดยมีพ่อเป็นผู้นำทาง จากบ้านญาติมาวัดบางกุ้งใช้เวลาไม่นาน และเมื่อเรามาถึงที่หมาย พ่อและผมก็เดินดูบริเวณโดยรอบ

ความจริงแล้วที่ผมตั้งใจจะมาวัดนี้เพราะว่าในสมัยเด็ก (ประมาณสิบขวบ) พ่อเคยพาผมมาที่นี่ครั้งหนึ่ง ที่นี่มีโบสถ์ที่ผนังถูกโอบล้อมและหลังคาถูกปกคลุมไปด้วยไม้ใหญ่ (แต่ผมไม่ทราบว่าต้นอะไร) ซึ่งแม้แต่ผมในขณะนั้นที่ยังเป็นเด็กก็ยังรับรู้ได้ถึงความงดงาม

แต่มาคราวนี้บอกตรงๆ ว่าผมรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เนื่องจากอะไรๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปจนแทบไม่เหลือเค้าเดิมที่ผมจำได้ แต่ทุกอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลง แม้แต่วัดเองก็เช่นกันที่ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามโลก

ระหว่างเดินดูรอบๆ บริเวณวัด พ่อของผมก็เล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของวัดนี้ให้ฟัง ซึ่งสำหรับผมค่อนข้างจะละเอียดมาก เพราะพ่อเองเป็นคนแถวนี้แต่กำเนิดนั่นเอง

“เอ็งเดินไปถ่ายตรงนั้นสิ จะได้มุมกว้างๆ” พ่อจัดแจงมุมถ่ายภาพ ผมเดินไปถ่ายตามที่พ่อบอก

“ไปลอดใต้โบสถ์มั้ย” พ่อถามหลังจากเราเตรียมตัวขึ้นรถ

“ไปดิ” ผมตอบ ก่อนที่เราจะเคลื่อนเจ้าสี่ล้อไปยังวัดโบสถ์ที่อยู่ใกล้ๆ กับวัดบางกุ้งนั้นเอง

“วัดนี้มีโบสถ์ทรงสำเภา สมัยนี้หาดูยากแล้ว เค้าเจาะอุโมงค์ลอดใต้โบสถ์ให้คนมุดลอดเข้าไปเป็นสิริมงคล แล้วก็หารายได้ไว้ทำนุบำรุงวัดด้วย” พ่ออธิบายระหว่างอยู่ในรถ

พ่อพาผมไปดูและลอดใต้โบสถ์ทรงสำเภา ก่อนจะพูดคุยกับพระรูปหนึ่งในวัด พ่อบอกว่ารูปทรงของโบสถ์เปลี่ยนไปเยอะมาก อาจเป็นเพราะว่าผู้ที่ถูกว่าจ้างให้ซ่อมแซมไม่มีความเข้าใจดีพอจึงทำให้บางสิ่งบางอย่างถูกตัดทอนและเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าเสียดาย

หลังจากนั้นเราก็เดินทางต่อไปยังวัดปากน้ำที่ซึ่งผมเคยวิ่งเล่นเมื่อครั้งยังเด็ก ที่นี่มีภูเขาจำลองที่ทำจากไหซึ่งในตอนนี้ทรุดโทรมมากแล้ว

ผมเดินต่อไปยังริมแม่น้ำ พ่อชี้ให้ดูห้องแถวมุงสังกะสีฝั่งตรงข้ามแม่น้ำ

“นั่นไง บ้านอาโกว ที่เคยมาตอนเด็กๆ”

ผมมองดูแต่ก็ไม่ชัดเจนนัก เพราะค่อนข้างไกล

“วัดนี้แปลกแฮะ มีฮวงซุ้ยอยู่ในวัดด้วย” ผมพูดหลังจากมองเห็นฮวงซุ้ยตั้งอยู่ริมน้ำ

“เมื่อก่อนที่นี่เป็นที่ฝังศพไร้ญาติ ทางวัดขุดขึ้นมาประกอบพิธีกรรมทางศาสนาให้ แล้วก็เลยทำฮวงซุ้ยรวมให้ไง” พ่อไขความกระจ่างให้ตามเคย

พ่อแวะคุยกับเพื่อนร่วมรุ่นที่บวชอยู่ที่นี่ตั้งแต่ยังหนุ่มพักหนึ่งก่อนที่เราจะเดินทางกลับ โดยในระหว่างทางกลับเราก็แวะบ้านญาติอีกที่หนึ่งเพื่อซื้อน้ำตาลปี๊บเป็นของฝากเพื่อนบ้าน

สำหรับการเดินทางในวันนี้เหมือนกับว่าผมได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้งจริงๆ ครับ พ่อคอยอธิบายเรื่องราวในสถานที่ต่างๆ ที่เราเดินทางกันไป ในขณะที่ผมก็ยังคงชอบฟังเรื่องราวที่พ่อเล่า

เราเดินทางกลับถึงบ้านประมาณสี่โมงเย็น ผมคิดว่าดีทีเดียวสำหรับคนที่ต้องการจะพักผ่อนแต่ไม่อยากไปไหนไกล โดยเฉพาะคนที่อยากทำบุญ เพราะแถวนั้นมีวัดติดๆ กันเต็มไปหมดครับ

การเดินทางในวันนี้ก็คงจบลงเพียงแค่นี้ครับ ไว้มีโอกาสไปไหนจะมาเล่าใหม่นะครับ

จากคุณ : KTHc
เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 23:32:42




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com