อาเมียร์นั่งปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปเรื่อยๆ ในเมื่อไม่รู้จะทำอะไรอย่างอื่นอีก กระนั้น เด็กหนุ่มก็ไม่ได้วิตกกังวลอะไร ราวกับมีบางสิ่งบอกเขาอยู่ในใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี ไม่มีสิ่งใดต้องกังวลทั้งสิ้น
เรียบร้อยดีกว่าที่คิดไว้ด้วยซ้ำ ...ไม่รู้ทำไม แต่เขารู้สึกเช่นนี้
พักใหญ่ก่อนหน้า เขารับประทานอาหารเช้าที่แอชนำเข้ามาให้แล้วจึงนึกขึ้นได้ ...ว่าตนมีอำนาจสะเดาะกุญแจ ถึงได้ลองใช้กับหิบเสื้อผ้าดู และก็ได้ผล ด้วยเหตุนี้จึงได้แต่งตัวก่อนกุญแจมาถึงอยู่นานโขทีเดียว
เขานึกอยู่บ้างว่าต้องขอโทษใครก็ตามที่มาพร้อมกับกุญแจ...แต่ก็รออยู่เสียนานกระทั่งประหลาดใจ จนครั้นคนคนนั้นมาถึงจริงๆ จึงยิ่งรู้สึกอยากถามเสียก่อนจะเอ่ยขอโทษ
แต่พอเห็นทั้งสีหน้าและท่าทางของแอชลีนน์ ซึ่งดูราวกับเพิ่งวิ่งมาจนเหนื่อยหอบ คำถามจึงกลับกลายเป็นเรื่องที่แม้แต่ตนเองก็ยังไม่ได้คิดมาก่อน
“เกิดอะไรขึ้นหรือ”
เด็กสาวไม่ตอบ กลับเอาแต่จ้องมองเขาอย่างประหลาดใจ ผิวหน้าขาวบอบบางแดงก่ำกระทั่งเห็นได้ชัด
“...ท่าน...แต่งตัวแล้ว?”
“เอ้อ ข้าเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองสะเดาะกุญแจเป็น ขอโทษด้วยนะ” อาเมียร์เกาศีรษะ “ว่าแต่มีเรื่องอะไรหรือเปล่า ท่าทางเจ้าเหมือนเพิ่งวิ่งมา”
“ม...ไม่มีอะไรหรอก” แอชหันไปทางอื่นอีกครั้ง “ว...ไว้ไปคุยกับรูอาร์คก็แล้วกัน”
“แสดงว่ามี แต่เจ้าไม่อยากพูดหรือ” เด็กหนุ่มเลิกคิ้ว “ทำไม มีปัญหาอะไรหรือเปล่า หรือวิ่งหนีใคร”
หรือว่าไม่สบาย...
อาเมียร์เดาจากสีหน้าของเธอ จึงได้ลุกขึ้น และก้าวเข้าไปใกล้
แต่ครั้นจะเอื้อมมือไปแตะหน้าผาก...เด็กสาวกลับปัดมือของเขาออกไปโดยเร็ว
“อย่านะ!”
เด็กหนุ่มนิ่งงันอยู่กับที่ พอตั้งสติจะเอ่ยถาม ก็เห็นแอชยกสองมือขึ้นกอดไหล่ ตัวสั่นน้อยๆ
ราวกับกำลังกลัว...อย่างนั้นหรือ
แต่จะกลัวอะไรกัน
“ข้าขอโทษ” สุดท้ายอาเมียร์ก็ตัดสินใจเอ่ย “ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่จะดูว่าเจ้ามีไข้หรือเปล่า”
เด็กสาวเพิ่งเหลือบตามองเขาได้...แต่ก็แค่แวบเดียว ก่อนจะก้มหลบสายตาอีกครั้ง เสียงพูดของเธอฟังเหมือนคนแปลกหน้า
“ท่านคิดจะล้อเล่นกับข้าไปถึงไหน”
“ล้อเล่น?”
“ตัวเองก็เปิดหิบได้ แล้วจะให้ข้าวิ่งวุ่นเอากุญแจมาให้ทำไม สนุกมากใช่ไหม...ที่ได้ปั่นหัวข้าแบบนี้!”
“ปั่นหัวเจ้าอะไร” เด็กหนุ่มไม่ชอบ ทั้งเรื่องที่ถูกกล่าวหา...และเสียงของเธอ เสียงที่ชวนให้เขานึกถึงตอนที่แอชเอาแต่พูดกล่าวหาเขาอยู่ฝ่ายเดียวในคืนลูคนาซัธ โดยไม่ยอมฟังเหตุผลใดๆ ของเขาเลย “ก็บอกแล้วว่าข้าลืมไป เลยขอโทษแล้วอย่างไร”
“งั้นกระทั่งเรื่องเมื่อคืน...ท่านก็ลืมไปด้วยหรือ!” เสียงของแอชกลับไม่คลายความกราดเกรี้ยว สองมือเลื่อนไปขยุ้มกระโปรงเสียแน่นข้างตัว
“เมื่อคืน?” อาเมียร์ยิ่งงุนงง “เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นหรือ”
ครั้นคนตรงหน้าไม่ตอบ เด็กหนุ่มจึงคิดด้วยตนเอง...กระทั่งนึกได้ว่าตนบอกอะไรกับเธอ ก่อนจะพลัดตกเรือไปโดยไม่คาดฝัน
“เรื่องที่...ข้าบอกว่าข้าเป็นเจ้าชายน่ะหรือ ข้าพูดจริง เพียงแต่ไม่มีโอกาสได้พูดต่อ เมื่อครู่ถึงเพิ่งนึกขึ้นได้” อาเมียร์พยายามพูด “ถ้าเจ้าอยากฟังเรื่องทั้งหมด ข้าก็จะเล่า—“
“ท่านเล่าไปแล้ว” แอชกลับขัดขึ้นทันที “อย่าบอกนะ...ว่ากระทั่งเรื่องนี้ก็ลืมไปด้วย”
“ข้าเล่าไปแล้ว?” เด็กหนุ่มทวนคำอย่างสับสน “เมื่อไร”
เขาพยายามนึก ที่จริงควรเรียกว่าเค้นความทรงจำทั้งหมดที่มี ...กระนั้นก็ยังไม่มีความกระจ่างใดผุดขึ้นมา
ที่ผุดขึ้นกลับเป็นโทสะ เมื่อคู่สนทนาตอกเข้ามาอีกครั้ง
“มีอะไรที่ท่านจำได้บ้างไหม!”
“ข้าจะไปจำเรื่องที่ข้าไม่ได้ทำได้ยังไง!”
เขาไม่อยากขึ้นเสียงใส่เธอ แต่ก็ห้ามตนเองไม่ทันเสียแล้ว
เด็กสาวเงยหน้าขวับ นัยน์ตาเบิกกว้าง ทั้งประหลาดใจ เสียใจ และดูเหมือนจะตัดพ้อ มากเสียจนอาเมียร์ไม่เข้าใจ
“ใช่สิ! ไม่ได้ทำ!” เสียงของเธอสั่นไหว เบาบาง “ข้าเพิ่งรู้ว่าท่านเป็นคนแบบนี้...คิดกับข้าแบบนี้! แย่ยิ่งกว่า...”
แอชเงียบไปเหมือนเพิ่งตระหนักได้ ทว่าเด็กหนุ่มไม่ยอมปล่อยให้มันผ่านไป เสียงของเขากลับเย็นขึ้นอย่างที่ตนเองยังคาดไม่ถึง
“แย่ยิ่งกว่าอะไร...หรือใคร” เขาเดาจากท่าทางของเธอ...อาจเดาได้ดีจนเกินไป “ชาลัวห์หรือ เมื่อครู่...เจ้าคิดว่าข้าจะล่วงเกินเจ้าอย่างนั้นหรือ! เจ้าเห็นข้าเป็นคนแบบนั้น!”
ริมฝีปากของเด็กสาวสั่นระริก อย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
“แล้วทำไม...ข้าจะไม่มีสิทธิ์คิดว่าท่านเป็นคนแบบนั้น” เธอพูดกลั้วสะอื้น “ในเมื่อ...ท่านทำลงไปแล้ว! ท...ทำไมข้าจะไม่รู้...ว่าท่านเห็นข้าเป็นแค่ใบเบิกทางสู่บัลลังก์...เพื่อจะได้กอบกู้อาณาจักรของท่านขึ้นมา!”
“เจ้าพูดอะไรของเจ้า” อาเมียร์ยิ่งไม่เข้าใจ “ข้าทำอะไรเจ้า กอบกู้อาณาจักรอะไร”
แอชจ้องเขาอยู่แค่แวบเดียว...ด้วยสายตาที่บอกความรู้สึกผสมปนเปมากมาย ทั้งราวกับถูกทิ่มแทงเจ็บสาหัส และต้องการจะทิ่มแทงเขาเสียให้ตาย จากนั้นเธอก็สะบัดกายไปที่ประตู
ติดที่เด็กหนุ่มรีบคว้าแขนของเธอไว้เสียก่อน
“ปล่อยนะ!” เด็กสาวร้องพร้อมกับพยายามสะบัด แต่อาเมียร์ก็ยังคงรัดแขนของเธอไว้แน่น
...ถึงอย่างไรก็ต้องพูดกันให้รู้เรื่อง...
เด็กหนุ่มคิดเท่านั้นจริงๆ ...ก่อนที่ภาพภาพหนึ่งจะพลันวาบขึ้นในคลองจักษุ
...แอชอยู่ในอ้อมแขนของเขา และเขาก็กำลังจูบเธอ...จูบลึกซึ้งด้วยความปรารถนา...
ดวงตาของเขาพลันเบิกกว้าง ไม่ต่างจากเด็กสาวในความทรงจำ
‘อาเมียร์’ ที่เห็นผ่านสายตาของเธอราวกับเป็นคนแปลกหน้า ทั้งต่อเจ้าของความทรงจำและผู้มอง แต่อีกทางหนึ่ง ก็เป็นใบหน้าที่คุ้นเคยจนน่ากลัวสำหรับเด็กหนุ่ม...
เหมือนโจรที่เขาเคยเห็น เหมือนชาลัวห์ และคงเหมือนพวกที่ทำร้ายลีชาจนยับเยินทั้งกายใจ ...แค่เพราะต้องการครอบครองหญิงตรงหน้าเพียงอย่างเดียว
...เป็นไปไม่ได้!...
...เป็นเขาจริงหรือ เขาน่ะหรือจะหลู่เกียรติของเธอเช่นนั้น...ต่อให้รักหรือต้องการเธอเพียงใดก็ตาม...
ภาพนั้นพลันวูบดับ แอชสะบัดแขนจากการเกาะกุมของเขาสำเร็จ และกระชากประตูออกไปโดยเร็ว
อาเมียร์คงจะตามออกไปโดยไม่คิดอะไรแล้ว ...หากว่าอาการปวดศีรษะไม่เล่นงานเขาเสียก่อน รุนแรงเสียจนตาพร่า และร่างทรุดฮวบลงกับพื้น ปวดราวกับมีใครสักคนบีบเค้นคั้นสมองอยู่ภายใน
เด็กหนุ่มนอนตัวงออยู่ตรงนั้น ครางปนหอบ ขณะรู้สึกเพียงอยากให้มันหายไป หายไปเสียที
...ทั้งอาการปวดศีรษะ และเสียงหัวเราะราวกับดีใจลิงโลดของเด็กชาย ซึ่งฟังเหมือนกับเสียงของเขาเสียจนน่ากลัว...
* * * * *
แอชลีนน์ไม่รู้อีกแล้ว ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น หรือว่าตนจะไปอยู่ที่ใด
รู้แต่เธออยากหายไป หายไปจากที่นี่ อยากกระโดดลงทะเลไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด ...แล้วดูซิว่าคนที่เพิ่งตกลงไปในน้ำเย็นเฉียบเมื่อคืนจะรู้สึกเช่นไร จะทำอย่างไรต่อไปอีก
แต่ลงท้าย เจ้าหญิงแห่งธีร์ดีเรก็รู้ว่าตนทำเช่นนั้นไม่ได้ เธอยังมีคนอื่นๆ คอยเป็นห่วง ยังมีอาณาจักรให้ต้องรับผิดชอบ การฆ่าตัวตายด้วยเหตุผลที่น่าสมเพชย่อมไม่มีผลดีแต่อย่างใด
ถึงอย่างนั้น เด็กสาวก็ยังไม่อาจห้ามความเสียใจและน้ำตา
มารู้ตัวอีกที เธอก็ยืนเกาะกราบเรือด้านหนึ่ง ร้องไห้เงียบๆ ปล่อยน้ำตาหยดเล็กนิดเดียวร่วงเผาะๆ ลงสู่ทะเลกว้างใหญ่ไปไม่รู้เท่าไร ทั้งๆ ที่ไม่รู้เลย...ว่าจะรู้สึกอย่างไรกับคนที่ทำให้เธอต้องเสียน้ำตาเช่นนี้ดี
อาเมียร์ยิ่งดูไม่เหมือนอาเมียร์ขึ้นทุกที
แอชลีนน์ไม่เข้าใจ แต่ก็เหมือนสัมผัสได้ เมื่อคืนเขาแปลกไป...ทั้งถ้อยคำทั้งการกระทำไม่เหมือนอาเมียร์คนเดิม เขาพูดถึงความแค้นของตน...ขอให้เธอเป็นราชินีของเขา แล้วยัง...
เด็กสาวยกมือขึ้นแตะริมฝีปาก ...ยิ่งรู้สึกผิดแปลก เหมือนตัวเธอในเมื่อวานกับวันนี้ก็เป็นคนละคนกัน
เธอไม่เคยนึกเลย ว่าอาเมียร์จะทำเช่นนั้น
...
ทุกสิ่งกะทันหันจนเกินไป กระทั่งเด็กสาวแทบไม่อยากเชื่อว่าเป็นความจริง
ใบหน้าของอาเมียร์อยู่ตรงหน้าเธอ มิหนำซ้ำใกล้ชิดยิ่งกว่านั้น ...ริมฝีปากของเขาร้อนผ่าว...เรียกร้อง...ให้สัมผัสไม่คุ้นเคย
และครั้นจะดันเขาออกไป มือข้างหนึ่งก็ถูกเกาะกุมไว้ ขณะที่อีกข้างไร้แรง แทบเหมือนถูกสูบพลัง หายใจไม่ออก
ได้แต่รอ จนกระทั่งเด็กหนุ่มถอนริมฝีปากเอง แต่ยังไม่ปล่อยตัวเธอเป็นอิสระ
“ทำไม กลัวหรือ” เขาถาม รอยยิ้มอันแฝงนัยประหลาดอยู่ทั้งในแววตากับริมฝีปาก
แอชลีนน์ไร้คำตอบ ได้แต่จ้องมองเขา ขณะเดียวกันก็หอบหายใจ ถามตนเองเช่นนั้นไปพร้อมกัน
“ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัวเลย” อาเมียร์เอ่ยอย่างอ่อนโยน “เจ้าเองก็รักข้าไม่ใช่หรือ อยากให้ข้าได้เป็นราชาคู่กับเจ้าอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ข้าจะเป็นราชาที่เจ้าปรารถนาคนนั้นเอง”
ใบหน้าของเขาเคลื่อนเข้ามาใกล้อีกครั้ง กระทั่งรู้สึกได้ถึงลมอุ่นๆ ที่ตกกระทบใบหู
“เมื่อถึงเวลานั้น ใครก็พรากเราจากกันไม่ได้ ข้าจะล้างแค้นให้เจ้าเอง จะลากคอศัตรูของพวกเรา...ทั้งไอ้พวกที่ทำร้ายอาณาจักรของเรา กับไอ้พวกที่มันทำให้เจ้าต้องเจ็บปวดและสูญเสีย...มาฆ่าให้หมด และก็จะนำทางธีร์ดีเรไปพร้อมกับเจ้า ขอเพียงเจ้าอยู่เคียงข้างข้า...ในฐานะราชินีของข้าเท่านั้น”
เด็กสาวอยากถามว่าเขาเป็นอะไร มิเช่นนั้นก็เอ่ยปฏิเสธ แต่ก็ไม่รู้ว่าเสียงของตนไปอยู่เสียที่ไหน ร่างกายของเธอเหมือนอ่อนเหลวเป็นน้ำเมื่อใบหน้าของเขาโน้มลงมา สัมผัส คลอเคลีย รุ่มร้อน ทรมาน
แอชลีนน์ในเวลานั้นไม่ทันคิด แต่เมื่อย้อนนึกถึงตระหนักได้ อาเมียร์คงทำเรื่องน่ากลัวยิ่งกว่านั้น...หากประตูไม่เปิดผลัวะเข้ามาเสียก่อน
“เอ...นี่ห้องพ่อค้าเหล้าใช่ไหม”
เด็กสาวรู้สึกเหมือนมนตร์สะกดเพิ่งคลาย เธอสะดุ้งโหยง ดันตนเองออกจากอ้อมแขนของเด็กหนุ่ม หันขวับไปเห็นคนที่คุ้นหน้าเสียจนคาดไม่ถึงอยู่ตรงนั้น
นางรำตาบอดคนนั้นเอง
เธอดูซีดเซียวยิ่งกว่าแค่ไม่ถึงชั่วยามก่อนอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ก็ยังยืนอยู่ได้ แม้ท่าทางอิดโรยเหมือนเหนื่อยอ่อน
“ขอซื้อเหล้าหน่อยสิ แค่หนึ่งลิทราก็พอ” เธอพูดพลางหยิบกล้องสูบยาขึ้นจรดริมฝีปาก “เดี๋ยวนี้เลยก็ดี ครั้งนี้อาการหนักกว่าที่คิด แค่ยาอย่างเดียวคงเอาไม่อยู่”
“ผิดห้องแล้ว” อาเมียร์พูดเสียงแข็ง ฟังดูไม่เป็นมิตรจนไม่น่าเชื่อ
“อ้าว! ห้องของสองหนุ่มที่ช่วยข้าเองหรือ” เด็กสาวยิ้มออกมา ดูท่าทางคงไม่เห็นสีหน้าของผู้พูดจริงๆ “แต่พวกเจ้าก็มีเหล้าใช่ไหม ข้าได้กลิ่นอยู่ ช่วยข้าสักหน่อยเถอะนะ”
“อ...อือ” แอชลีนน์รีบรับ “ด...เดี๋ยวข้ารินให้นะ”
เด็กสาวตั้งท่าจะผละจากเด็กหนุ่ม ตรงไปที่ถังเหล้า แต่เขาก็กลับคว้าแขนของเธอไว้ บีบแน่นโดยไม่พูดอะไร
แอชลีนน์หันกลับไป เห็นอาเมียร์สบตากับเธอพร้อมกับสั่นศีรษะ สีหน้าแข็งกร้าว แทบเรียกได้ว่าถมืงทึง
เธอยิ่งไม่เข้าใจ ทว่าที่ยิ่งกว่าความไม่เข้าใจคือความกลัว...
แต่ไม่ทันจะได้พูดอะไร ไม่ว่ากับเขาหรือหญิงตาบอด เด็กสาวก็รู้สึกเหมือนร่างของตนถูกผลักจนเซไปสองสามก้าว...ทว่ายังดีที่ประคองตนเองให้ยืนอยู่ได้
แต่กลับมีเสียงบางสิ่งกระทบพื้น...หลังจากเสียงร้องสั้นๆ ของเด็กหนุ่มข้างกาย
ครั้นตั้งสติพอได้แล้ว เจ้าหญิงถึงได้พบอาเมียร์นอนหมดสติอยู่บนพื้น มีร่างเล็กบอบบางของเด็กสาวนางรำนั่งเกยอยู่หมิ่นๆ มือหนึ่งของหญิงตาบอดยึดแขนของเด็กสาวที่ยืนอยู่ไว้
นั่นเอง คงเป็นต้นเหตุที่ทำให้เธอเซไป
“ข...ขอโทษนะ เมื่อครู่ข้าหน้ามืดไป” นางรำเอ่ยแผ่วเบา “พวกเจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า ถึงกับล้มเชียวหรือ นี่...”
เธอเขย่าตัวเด็กหนุ่มผมดำ ซึ่งกลับตัวอ่อนปวกเปียก ไม่ตอบสนองไปเสียดื้อๆ
“นี่ เจ้าหนู พี่ชายเจ้าเป็นอะไรไป เขามีโรคประจำตัวอะไรหรือเปล่า” หญิงชาวทรายหันมาถามแอชลีนน์ที่ยืนทำอะไรไม่ถูกอยู่ “ตัวยังเปียกๆ อยู่...ใช่ที่เพื่อนร่วมทางข้าบอกว่าเขาตกน้ำใช่ไหม”
“ช...ใช่” เจ้าหญิงตอบ “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเป็นอะไร แต่มีคนกำลังไปตามหมอให้อยู่”
“งั้นก็ดี” เด็กสาวตาบอดหายใจขัดขึ้นอีกครั้ง “มีอะไรให้ข้าช่วยก็บอกมานะ แต่ตอนนี้คงต้องขอให้เจ้าช่วยก่อน ถ้าไม่ได้เหล้ามาเป็นกระสายยาขยายหลอดลม...ข้าต้องแย่แน่”
“อ...อือ” แอชลีนน์รับ แล้วก็ตรงไปเปิดจุกถังเหล้าซึ่งรูอาร์คเปิดไว้แบ่งขายเรียบร้อย รินใส่ถ้วยไม้มาให้คนร้องขอ ซึ่งรีบดื่มอย่างกระหายจนหมดในแค่ครู่เดียว
“เหล้าดี” เธอเปรยเมื่อส่งถ้วยคืนให้เด็กสาว “ขอบใจมาก เท่าไรหรือ”
“เอ่อ...” เจ้าหญิงตัดสินใจไม่ถูก “ไม่เป็นไร ของแค่นี้เราไม่คิดเงินหรอก”
“แต่ข้าไม่ชอบเป็นหนี้บุญคุณคนอื่นนี่สิ” นางรำสาวยิ้มน้อยๆ “อ้อ แล้วก็คงต้องช่วยชดเชยด้วย ไม่รู้ว่าทำไมพี่เจ้าเป็นลมไป แต่ในเมื่ออาจเป็นเพราะข้าเสน่ห์แรงเกินจนเขาทนไม่ไหว ข้าก็ควรรับผิดชอบแหละนะ”
“หา...” แอชลีนน์ยิ่งไร้คำตอบ
“เขาตัวใหญ่อยู่ เจ้าคนเดียวคงพาขึ้นไปนอนบนเตียงลำบาก เดี๋ยวข้าช่วยแล้วกัน แล้วก็จะช่วยเช็ดตัวให้เขาด้วย” อีกฝ่ายพูดเรียบๆ และหันดวงตาที่มองไม่เห็นมาทางเธอตลอดเวลา “ก็อย่างที่เขาว่า ผู้หญิงละเอียดอ่อนกว่า ทำความสะอาดได้ดีกว่าผู้ชาย อ้อ ไม่ต้องกลัวข้าจะลวนลามพี่ชายเจ้าทางสายตาด้วย เพราะถึงอย่างไรข้าก็มองไม่เห็นอยู่แล้ว”
ที่จริง หากเป็นเวลาปกติ เจ้าหญิงอาจจะรู้สึกว่าตนควรระแวงมากกว่านี้ และปฏิเสธ แต่ดูเหมือนคืนนั้นจะเกิดอะไรต่อมิอะไรมากมายเกินไป ใหญ่หลวงและหนักหนาเกินไป จนแอชลีนน์ไม่รู้ว่าตัดสินใจอย่างไรจะเหมาะสมที่สุด เธอจึงได้ยอมตาม แล้วก็ช่วยนางรำตาบอดดึงตัวอาเมียร์กลับขึ้นไปนอนตามเดิม (อย่างง่ายดายเสียจนเธอยังแปลกใจว่าเด็กหนุ่มตัวเบาขนาดนี้...หรือเด็กสาวผู้ช่วยทรงพลังเกินตัวไปมากโขกันแน่) จากนั้นจึงนั่งมองอยู่ห่างๆ ขณะที่อีกฝ่ายถอดชุดเปียกที่เหลือให้กับอาเมียร์โดยมีผ้าห่มคลุมไว้อีกชั้น และใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวให้โดยยื่นเข้าไปใต้ผ้าห่มเช่นกัน
ครั้นเสร็จเรียบร้อย เด็กสาวชาวทรายก็ขอตัวออกไป และอีกครู่เดียวรูอาร์คก็กลับเข้ามา บ่นโขมงว่าบนเรือไม่มีหมอ มิหนำซ้ำพวกลูกเรือยังง่วงสะลึมสะลือจนต้องปลุกอยู่เป็นนาน กว่าจะยอมตื่นขึ้นมาคุยด้วย
“อย่างกับโดนเป่ามนตร์นอนหลับทั้งเรือยังงั้นล่ะ” เขาเปรย ทว่าเมื่อเข้าไปแตะหน้าผากของอาเมียร์ก็ดูจะโล่งใจขึ้น...ยิ่งเมื่อแอชลีนน์ตอบอ้อมแอ้มว่าเด็กหนุ่มฟื้นขึ้นมารอบหนึ่งแล้ว “แต่เขาไม่มีไข้ ก็คงไม่เป็นไร มะรืนเราก็ถึงฝั่งแล้ว ค่อยไปตรวจกับหมอตอนนั้นก็แล้วกัน”
เด็กสาวไม่ตอบอะไรมาก และเพียงแต่บอกว่าเธอเหนื่อย คงต้องขอนอนพักก่อน และให้เด็กหนุ่มผมแดงคอยเฝ้าอาเมียร์ไว้แทน
กระนั้น แอชลีนน์ก็แทบหลับไม่ลงเลย ในเมื่อทั้งวาจาและการกระทำแปลกๆ ของอาเมียร์ยังวิ่งวนอยู่ในห้วงความคิด...พร้อมกับคำถามอันน่ากลัวต่างๆ นานา
...
“เสียงใครร้องไห้อยู่ที่นี่กันหนอ”
แอชลีนน์สะดุ้งเฮือก แต่ไม่ช้าก็จำได้จากเสียง
เป็นนางรำตาบอดคนนั้นเอง
เวลานี้เธอยืนเท้ากราบเรืออยู่ข้างๆ เด็กสาว หันหน้ามาอย่างสนใจ
“ร้องไห้ทำไมหรือ เจ้าหนู พี่ชายเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
เด็กสาวรีบซับน้ำตา...ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายไม่อาจมองเห็น แต่กระนั้นก็ไม่รู้ว่าจะตอบอะไร
ที่จริง ก็รู้สึกอยู่ว่าน่าจะควรขอบคุณที่เธอเข้ามาช่วยเรื่องเมื่อคืน...ซึ่งแอชลีนน์ตกใจจนไม่ทันพูดขอบคุณเรื่องอะไรก็ตามเลย
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอดไม่ได้ที่จะระแวง...หากว่าเธอเป็นพวกเดียวกับชายโพกศีรษะคนนั้นจริง
“ก็ไม่ใช่พวกเดียวกันเสมอไป แต่ตอนนี้ก็ร่วมมือกันแหละนะ”
เด็กสาวสะดุ้งเฮือก เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยขึ้นราวกับล่วงรู้จิตใจ
“อย่าตกใจเลย เจ้าหญิง ขออภัยที่ข้าใช้ภาษาชั้นสูงกับท่านไม่เป็น ข้าเป็นเพียงแค่แม่มดที่โตมาในชนบทตลอดนี่นะ” หญิงตาบอดหันหน้ามาทางเธอนิ่งอยู่ราวกับมองเห็น “แต่ข้ารู้ว่าตอนนี้ท่านรู้สึกอย่างไร และลองเจ้านักบวชไร้วาทศิลป์คนนั้นเผยตัวกับท่านแล้ว ข้าจะไม่ทำตามบ้างคงไม่ได้”
แอชลีนน์เริ่มไม่แน่ใจ...ว่าตนควรอยู่ฟังหรือรีบหนีไปให้คนอื่นๆ ช่วย แต่ไม่ทันมือเล็กๆ ซึ่งเอื้อมเข้ามา วางทาบทับบนมือของเธอ
และทำให้ทั้งร่างนิ่งค้าง ขยับไม่ได้ไปทันที แม้ประสาทรับรู้ทุกอย่างจะยังแจ่มชัดดี...อาจดีจนเกินไป
เด็กสาวนางรำค่อยๆ คลี่ยิ้มอย่างเป็นมิตร (จนน่ากลัว)
“ดังนั้น เพื่อให้ท่านเข้าใจเจ้าชายแห่งความมืด และเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้น ขอให้ช่วยฟังมาลิอาผู้นี้สักครู่เถอะนะ”
* * * * *
คนเขียนขอคุย
ในตอนนี้ ผมอดคิดไม่ได้ว่าผมคงจะติดนิสัยหลอกคนอ่านให้ใจหายใจคว่ำจริงๆ แฮะ...
คู่ของแอชกับอาเมียร์ ทีแรกที่คิดไว้ดูเหมือนจะเป็นเด็กดีที่สุดแล้วในเรื่องของตัวเอง (ไม่นับบรรดาตัวเอกที่ยังไม่พ้นวัย ด.ญ. กับ ด.ช. ในเรื่องอื่นๆ ^^a) แต่พอมีจิตอีกด้านเข้ามาก็...ตามแบบของพวกที่มีจิตอีกด้านคนอื่นๆ จนได้ แต่ก็ยังดีที่มีคนมาช่วยขวางแผนการ ไม่อย่างนั้นผมเองก็มองว่าสองคนนี้คงแตกร้าวจนกลับมาประสานกันอย่างเดิมไม่ได้แน่ๆ
ต่อให้ชอบเขียนเรื่องของผู้หญิงที่ถูกทำร้าย แต่ก็เยียวยาตนเอง (อย่างสิมา) หรือได้รับการเยียวยาให้มีชีวิตอยู่ได้ต่อไปอย่างเข้มแข็ง หนูแอชก็เป็นคนที่ผมไม่อยากให้เจอเรื่องทำร้ายจิตใจหนักๆ อีก เพราะเท่าที่เธอเจอมาเกี่ยวกับราชวงศ์ และจะต้องเจอต่อไปกับอาณาจักรก็หนักหนาพอควรแล้ว ยิ่งแนวพระเอกบังคับนางเอกนี่ผมแอนตี้มาก (แต่ดันเข็นบทให้ตัวร้าย...) ก็หวังว่าคงไม่มีใครเสียดายที่สองคนนี้ยังไม่ได้เปลี่ยนสถานะกันนะครับ (ยกเว้นรูอาร์ค...แต่ถ้าหมอนี่รู้ความจริงเบื้องหลังก็คงไม่อยากเหมือนกันนั่นแหละ ^^a )
ป.ล. เห็นควรเตือนอีกอย่าง การดื่มสุราอาจทำให้อาการโรคหอบหืดแย่ลงในโลกของความเป็นจริง และมาลิอาดื่มสุราได้เพราะมีอายุที่แท้จริง (เซ็นเซอร์) ปี แม้จะอยู่ในร่างของเด็กอายุ 15 ครับ
(เตือนเล่นๆ อย่างจริงจังนะนี่...)
ป.ล. 2 ฝากรูปหญิงแอชแบบลงสีแล้วครับ
แก้ไขเมื่อ 21 พ.ย. 53 00:40:58
จากคุณ |
:
Anithin
|
เขียนเมื่อ |
:
20 พ.ย. 53 23:49:15
|
|
|
|