1.
เสียงเครื่องยนต์รถโดยสารปรับอากาศชั้นหนึ่งวีไอพี ดังกระหึ่มก้องไปทั่วบริเวณท่าที่จอดรถ ผู้โดยสารก้าวเดินลงจาก
รถโดยสารนั้นเป็นแถวแนว แล้วรับกระเป๋าเดินทางจากพนักงานรถที่ถามชื่อและยื่นส่งให้ ผู้คนมากมายเดินสับสนวุ่นวาย
ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร เปลวแดดเริ่มอ่อนแสงลงมากแล้ว ตอนนี้เป็นเวลาเกือบห้าโมงเย็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ หิ้วกระเป๋าเดินทาง
ใบขนาดย่อม หันซ้ายแลขวาลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะเดินไปยังที่พักผู้โดยสาร ที่มีผู้คนนั่งรอขึ้นรถกันเยอะแยะจนไม่มีที่นั่งว่างเลย
แม้แต่ที่เดียว
ตอนแรกกะว่าจะนั่งรถแท็กซี่กลับบ้าน แต่ก็เปลี่ยนใจลองนั่งรถไฟฟ้าดูสักทีเป็นไรตั้งแต่เขาเปิดให้บริการมา ตัวเขาเอง
ก็ยังไม่เคยลองขึ้นมาใช้บริการเลยสักครั้ง การเดินทางของเขาส่วนมากจะใช้รถยนต์ส่วนตัวซะมากกว่าถ้าต้องการจะเดินทางไป
ที่ไหนๆ ส่วนวันนี้เขาพึ่งจะกลับมาจากอบรมต่างจังหวัด มันเป็นจังหวัดแถบภาคตะวันออกติดชายทะเล ด้วยความที่ไม่อยากขับรถไกลๆ
เขาจึงเดินทางไปอบรมด้วยการโดยสารไปกลับรถทัวร์ปรับอากาศที่สมัยนี้นับวันจะอำนวยความสะดวกแข่งกับสายการบินยังไงอย่างงั้น
เช่น ที่นั่งปรับเอนจนนอนได้เกือบจะเต็มตัว เลือกดูหนังที่ตัวเองชอบได้ ฟังเพลงส่วนตัวได้ หรือแม้แต่อาหารที่มีให้
เลือกกินหลายแบบ ที่สำคัญตั๋วยังถูกกว่านั่งเครื่องบินซะอีก แต่มีข้อด้อยอยู่อย่างเดียวของการโดยสารด้วยรถทัวร์ ก็คือ ระยะเวลาในการ
เดินทางนานกว่านั่งเครื่องบินหลายเท่านัก
เมื่อชายหนุ่มเดินหิ้วกระเป๋าไปตามทางที่ป้ายชี้บอกเพื่อไปยังสถานี รถไฟฟ้าที่อยู่ไม่ห่างไกลกันนักจากสถานีขนส่งที่เขาพึ่งจะลงรถ
เมื่อก้าวพ้นผ่านประตูสถานีรถไฟฟ้าเข้ามาภายใน เขาก็รู้สึกได้ถึงความเย็นฉ่ำของเครื่องปรับอากาศ ผู้คนก็ไม่ค่อยจะมากสักเท่าไหร่ ชาย
หนุ่มเริ่มจะตื่นเต้นเล็กน้อยในการได้มาใช้บริการรถไฟฟ้าเป็นครั้งแรก
มีผู้คนรอขบวนรถไฟฟ้าหลายสิบคน ยืนบ้างนั่งบ้างตามอัธยาศัย ดูเหมือนรถไฟฟ้าที่เขาและผู้คนในที่นี้กำลังรอคอยอยู่กำลัง
จะเข้าเทียบชานชะ ลาแล้ว ผู้คนต่างก็เตรียมพร้อมขึ้นรถไฟที่กำลังจะมาถึง เสียงเบรกลดความเร็วดังขึ้น แต่ก็ไม่ดังจนหน้ากลัวเหมือนรถไฟ
ธรรมดาที่เขาเคยนั่ง
พันตรีตฤณ สาราสวัสดิ์ เกิดอาการแปลกใจเล็กน้อย เมื่อบังเอิญมองเห็นอากัปกิริยาของตำรวจนายหนึ่ง ซึ่งแต่งเครื่องแบบข้าราชการ
ตำรวจเต็มยศ ดูผ่านๆ เครื่องหมายที่ติดอยู่ที่บ่าทั้งสองข้างของชายผู้นั้น น่าจะเป็นนายร้อยตำรวจ
กิริยาอาการของนายตำรวจผู้นั้นดูผิดแปลกกว่าปกติ จากที่ตฤณแอบลอบสังเกตมองอยู่นาน จนเมื่อขึ้นมานั่งบนรถไฟ อาการของนายตำรวจ
ผู้นั้นดูเหมือนจะยิ่งรุนแรงขึ้น เขามีอาการสั่นกระตุกไม่เป็นจังหวะ แกว่งมือไปมาคล้ายคนเสียสติ ปากพูดพร่ำอะไรไม่เป็น
ภาษา แม้จะมีที่นั่งว่างอยู่มากมายก็ตาม นายตำรวจผู้มีอาการแปลกๆ นี้ ก็ไม่ยอมนั่งลงแต่อย่างใด
เมื่อรถไฟฟ้าเคลื่อนขบวนออกจากชานชะลา แล้วเพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆ นายตำรวจผู้นั้นพยายามทรงตัวไม่ให้ตัวเอง
ล้มตามแรงฉุดของรถไฟ ดวงตาของเขาเริ่มไร้แวว แล้วอยู่ๆเขาก็เดินถอยหลังแล้วแกว่งมือแรงยิ่งขึ้น
ทุกคนที่อยู่บนขบวนรถไฟเดียวกัน ต่างมองกิริยาอาการของนายตำรวจผู้นั้นอย่างน่าสงสัย รวมถึงตัวนายทหาร
ผู้ที่ลอบสังเกตอาการของนายตำรวจผู้นี้ตั้งแต่เริ่มแรก ผู้โดยสารบางคนถึงกับร้องอย่างตกใจ และรีบวิ่งหนีไปยังตู้รถไฟตู้อื่น
พันตรีหนุ่มมองไปที่ปืนพกประจำกายของนายตำรวจผู้นั้น ในใจก็พลางคิดว่า ถ้าไอ้หมอนี่เกิดบ้าจริงๆ คงต้องรีบ
ปลดอาวุธมันก่อนที่จะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น ตฤณตัดสินใจลุกขึ้นจากที่นั่งทันที แต่ทันใดนั้น เสียงเบรกของรถไฟฟ้าก็ดังขึ้น
ทั้งขบวนลดความเร็วลงอย่างทันทีจนตฤณถึงกับล้มคะมำไปอีกทางหนึ่ง
แล้วเสียงที่นายทหารหนุ่มไม่อยากได้ ก็เกิดลั่นปังขึ้นและไม่ใช่เพียงครั้งเดียว ดูเหมือนเสียงจะดังจนหมดแม็กกาซีน
นายตำรวจที่การเคลื่อนไหวทางกายภาพผิดปกติ ใช้อาวุธปืนขนาด 11 ม.ม. ซึ่งเป็นอาวุธประจำกายยิงผู้คนในขบวน
รถไฟอย่างบ้าคลั่ง จนตฤณต้องรีบดันตัวเองออกไปให้พ้นแนววิถีกระสุนของนายตำรวจมรณะผู้นั้น
เสียงกรีดร้องของบรรดาผู้หญิงซึ่งเป็นผู้โดยสารที่อยู่ในเหตุการณ์ หวีดแหลมขึ้นด้วยความตกใจและขวัญผวา
บางเสียงแสดงถึงอาการเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ร่างของผู้โดยสารทั้งชายและหญิงต่างถูกลูกตะกั่วร้อนๆ ของนายตำรวจ
ผู้บ้าคลั่งล้มลงเหมือนใบไม้ร่วง เสียงเอะอะโวยวายดังมาจากตู้รถไฟที่อยู่ถัดออกไปอีก ดูเหมือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่
เป็นเพียงแค่ตู้นี้ตู้เดียวเสียแล้ว
พันตรีตฤณรวบรวมสติสัมปชัญญะของเขาอย่างรวดเร็ว ประจวบกันกับกระสุนปืนของนายตำรวจเพชรฆาตผู้นั้น
หมดลง และกำลังดึงแม็กกาซีนสำรองออกมาจากซองที่ติดอยู่ที่เข็มขัด สบโอกาสที่นายทหารหนุ่มจะต้องหยุดยั้งความ
บ้าคลั่งของนายตำรวจผู้นี้ให้จง ได้
ตฤณกระโจนพรวดเดียวก็ถึงตัวนายตำรวจผู้นั้น ทั้งสองล้มคลืนลงอย่างแรง ตัวของนายทหารหนุ่มทับลงบนตัวของ
นายตำรวจผู้บ้าคลั่ง ที่พยายามสะบัดข้อมือให้หลุดจากกำมือของตฤณที่บีบไว้เต็มเหนี่ยว แต่ก็ไม่เป็นผล
นายตำรวจมรณะกัดฟันแน่นอย่างเครียดแค้นจนชายหนุ่มที่ออกแรงกดตัวไว้ได้ยิน เสียงฟันที่บดกันอย่างชัดเจน
อาการเหมือนหมาบ้าก็ไม่ปาน “เฮ้ ลื้อเป็นบ้าไปแล้วรึไง”
ตฤณตะโกนใส่หน้าหมาบ้าที่เขากำลังกดทับตัวมันอยู่ กดข้อมือที่ถือปืนของมันไว้อย่างสุดแรงเกิด
ท่อนแขนอีกข้างก็ดันอกไว้เพื่อไม่ให้มันลุกขึ้นมาได้ เมื่อการสะบัดไม่เป็นผลนายตำรวจมรณะก็พยายามเปลี่ยน
เป้าหมายของกระบอกปืนให้ตรงไปยังใบหน้าของนายทหารหนุ่ม ที่ทับลำตัวของมันไว้ ทั้งๆ ที่ข้อมือที่ถือปืนอยู่
ถูกกดทับบดกับพื้นรถไฟด้วยแรงอันมหาศาล
“เฮ้ย พอสักที อั๊วกำลังจะหมดความอดทนกับลื้อแล้ว และนั่นหมายถึงลื้อต้องตาย”
ตฤณตะโกนนออกไปจนสุดเสียงอย่างบ้าคลั่ง ปากกระบอกปืนใกล้จะเข้าวิถีระยะใบหน้าของเขาเต็มที ตฤณหมด
ทางเลือกด้วยความจนปัญญาที่จะยื้อยุดกับนายตำรวจที่เขากำลังกดทับ ร่างอยู่ เขาจึงตัดสินใจใช้ข้อศอกดันตัวเอง
ขึ้นจากแผงอกของมัน เพื่อให้แขนของตัวเองเหยียดออกไปได้ เมื่อเหยียดออกมาได้เต็มที่ก็พอดีที่อุ้งมือของเขาได้สัมผัสกับลำคอ
ของนาย ตำรวจผู้บ้าคลั่งอย่างพอเหมาะพอเจาะ
นายทหารหนุ่มบีบลำคอชายหนุ่มผู้ขณะนี้ลืมไปแล้วว่าเป็นผู้พิทักษ์สันติ ราษฎร์อย่างสุดแรงเกิด จนเล็บแทบจะหลุด
กระเด็นออกไปเลยทีเดียว แล้วมันก็ค่อยๆ อ่อนแรงลงเสียงคลืดคลาดๆ ดังผ่านพ้นลำคอออกมาเป็นระยะๆ ปากกระบอก
ปืนเปลี่ยนทางไปยังขมับของผู้เป็นเจ้าของมัน ก่อนที่ตฤณจะรู้ตัวเสียด้วยซ้ำ
“แชะ”
เสียงเข็มชนวนวิ่งกระแทกรังปืนเปล่าๆ ดังขึ้น ทำให้ตฤณคลายมือที่บีบรัดคอของนายตำรวจบ้าคลั่งนั้นแล้วค่อยๆ
ถอนมือออกอย่างช้าๆ นี่มันเกิดบ้าห่าเหวอะไรขึ้น มันจงใจจะฆ่าตัวเองทั้งๆ ที่มันกำลังจะสิ้นใจตายอยู่แล้ว เฮือกสุดท้ายของมัน
มันก็ยังเลือกที่จะตาย “ลื้อคิดอะไรของลื้ออยู่วะ ตื่นขึ้นมาบอกอั๊วหน่อยไอ้บ้าเอ้ย”
นายทหารหนุ่มสบถออกมาอย่างเดือดดาล ถ้าปืนในมือของมันยังมีกระสุนเหลืออยู่นายตำรวจผู้นี้ ก็คงหัวสมองกระจายไปแล้ว
แต่จะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อมันก็กำลังจะตายด้วยน้ำมือของเขาอยู่แล้วรอมร่อ
ตฤณลุกขึ้นจากร่างที่นอนนิ่งลิ้นจุกปาก ช่างเป็นภาพที่น่าสังเวชอีกภาพหนึ่งที่เขาเคยเห็นมาในชีวิต มองไปรอบตัวว่า
ยังมีผู้ใดบ้างที่ยังมีชีวิตอยู่ในตู้รถไฟฟ้าแห่งนี้หรือไม่ แต่แล้วก็ได้รับคำตอบอย่างน่าสลดใจอย่างยิ่ง เมื่อร่างไร้วิญญาณนอน
เกลื่อนกลาดนับได้เท่ากับจำนวนที่กระสุนปืนขนาด 11 มม. จะยัดเข้าไปในแม็กกาซีนได้ ตฤณก้มลงหยิบปืนจากมือ
ของตำรวจผู้บัดนี้นอนนิ่งไม่หายใจแล้ว ดึงเอาแม็กกาซีนที่บรรจุกระสุนไว้อย่างเต็มอัตราศึกที่เหน็บอยู่ที่ซองเอว ของมันออกมา
3 อัน แล้วบรรจงยัดซองแม็กกาซีนบรรจุใส่เครื่องยิงอย่างชำนาญ เสียงลูกเลื่อนดังคร่อกแคร่กแล้วกดเซฟไกเตรียมพร้อมไว้
พันตรีหนุ่มถอนหายใจยาวเฮือกใหญ่ แล้วเดินไปที่ตู้ถัดไปด้านหน้าของขบวนรถไฟร่างไร้วิญญาณนอนเกะกะเกลื่อนกลาด
เต็มไปหมด ทันใดนั้นนายทหารหนุ่มก็ต้องตกใจสุดขีดกับภาพตรงหน้าอีกครั้ง เมื่อเด็กสาวคนหนึ่งเธออยู่ในชุดนักเรียนกระโปรงสีกรมท่า
กำลังใช้มีดอันจิ๋วสำหรับงานฝีมือเฉือนใบหูของชายคนหนึ่งที่นอนนิ่งไม่ไหวติง
ตฤณก้าวเข้าไปช้าๆ สายตามองดูแผลตรงบริเวณลำคอของศพแล้วศพเล่าที่นอนไม่ไหวติงอยู่ที่พื้น ทุกครั้งที่ก้าวย่าง
เขารู้สึกถึงเลือดข้นเหนียวติดกับพื้นรองเท้าหนังของเขาขึ้นมาด้วย ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสะอิดสะเอือนจนแทบจะสำลัก ทันใดนั้น
รถไฟฟ้าก็ออกตัวกระชากอย่างแรง ในขณะที่ชายหนุ่มไม่ทันได้ตั้งตัว เขาเซถลาไปกระเแทกกับกระจกหน้าต่าง
บานใหญ่ ทำให้เด็กสาวผู้นั้นรู้สึกตัว แล้วมองมายังชายหนุ่มที่กำลังพยายามจะทรงตัวไม่ให้ล้ม
สายตาของเธอดูเหือดแห้งไร้ซึ่งแววประกายความอ่อนโยนของวัยน่ารักสดใส เธอมองมาที่เขาอย่างเครียดแค้น
ทั้งๆ ที่เขาและเธอไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อนด้วยซ้ำ เธอยกมือเล็กๆ ที่กำมืดจิ๋วเล่มนั้นอยู่และอยู่ในอาการเตรียมพร้อมที่จะเข้า
สะกำเขาในทุก ขณะจิต
“หนู หนู ฟังอาก่อน วางมีดลงซะ อาจะพาไปหาหมอ มันต้องมีเรื่องอะไรผิดปกติเกิดขึ้นแน่ วางมีดลงก่อน”
ดูเหมือนเธอจะไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาพูด หรือไม่ก็ไม่รู้เรื่องในภาษาที่นายทหารหนุ่มตะโกนออกไป รถไฟเพิ่มความเร็วขึ้น
แล้วคงที่อยู่อย่างนั้น เหมือนมีคนบังคับที่ห้องควบคุมนายทหารหนุ่มตัดสินใจยกปืนขึ้นเล็งไปที่หน้าผากของเด็กสาวที่เดินใกล้เข้ามา
เรื่อยๆ เขากำลังลังเลใจในความคิด นิ้วโป้แตะที่ปุ่มห้ามไกแต่ยังไม่ขยับให้ยิงได้
“ไม่ได้ เราทำไม่ได้”
พันตรีตฤณลดปืนลงทันที เขาทำใจให้ยิงเด็กสาวคนนี้ไม่ได้ ตั้งแต่เกิดมาในชีวิต ไม่เคยยิงคนแบบนี้ ยกเว้นเป้าซ้อมและคนเลว
แต่เขาจะทำยังไงดี เธอเยื้องย่างเข้ามาช้าๆ ยังกับสิงโตกำลังจ้องจะตะครุบกวางยังไงอย่างงั้น
ตฤณยืนนิ่งรอจังหวะอยู่นาน เขาเอาปืนที่ยึดจากตำรวจบ้าคนนั้นเหน็บไว้ที่หลังช้าๆพลางคิดในใจ เอาน่า เด็กตัวแค่นี้แรง
จะมากซักขนาดไหนกันเชียว แล้วเขาก็ทำท่าหลอกล่อจะคว้าข้อมือของเธอ เธอรีบสะบัดมือหนีทันที ทำให้ชายหนุ่มจับจังหวะของเธอได้
จึงเข้าคว้าข้อมือที่มีมีดของเธอไว้ได้อย่างรวดเร็ว
ไม่รู้ว่าเด็กตัวแค่นี้ไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน เธอดิ้นซะจนมีดแกะสลักที่เธอถืออยู่กรีดเข้าไปในเนื้อแก้มของเธอเอง
เลือดไหลไปทาง แต่เธอก็ไม่ยักร้องสักแอะเดียว แล้วนายทหารหนุ่มก็จับข้อมือของเธอเหวี่ยงกระแทกกับเสาเหล็กอย่างแรง
มีดเล่มเล็กนั้นปลิวหลุดออกจากมือของเธอทันที เขาออกแรงฟัดเหวี่ยงปล้ำกับเธออยู่นาน จนสามารถเอาท่อนแขนทั้งสองของ
เธอไขว้หลังไว้ได้ กระนั้นเธอก็ยังไม่หมดฤทธิ์ เด็กสาวใช้เท้ายันตัวเองให้ลุกขึ้น แล้วพยายามดึงมือของเธอออกมาจากกำมืออันแข็งแรง
ของชายหนุ่มที่บีบรัดเอาไว้ จนแน่น
แรงสะบัดของเด็กสาวที่เขาพยายามจะยึดตัวเอาไว้ ทำให้กระดูกหัวไหล่ของเธอแตกหัก ถึงกับได้ยินเสียงกร็อกลั่นออกมา
ถึงขนาดนี้ก็ยังไม่ได้ยินเสียงร้องของเธอสักนิดเดียว จะมีก็แต่เสียงลมหายใจที่ดังฟืดฟาดเหมือนหมาบ้า แบบเดียวกันกับนายตำรวจมรณะผู้นั้น
ที่เขาพึ่งจะปลิดชีวิตมาสดๆ ร้อนๆ
พันตรีหนุ่มกลืนน้ำลายลงลำคออย่างยากเย็น ดึงแขนเล็กๆ ของเด็กสาวไว้อย่างสยดสยอง แขนทั้งสองข้างที่ไม่มีกระดูกยึดเหนี่ยวไ
ว้เสียแล้ว เธอเหมือนไม่ใช่คนอีกต่อไป ชายหนุ่มลังใจเพียงชั่วครู่ แล้วตัดสินใจปล่อยแขนทั้งสองข้างของเธอแล้วกระโดดถอยหลังออก
ห่าง เธอคะมำไปข้างหน้าเพียงเล็กน้อยเพราะแรงรถไฟแล่นสวนทางกับแรงคะมำของเธอแล้วทันใดนั้นเธอก็หันกลับมาหาเขาอีกอีกครั้ง
โดยที่ท่อนแขนทั้งสองข้างของเธอแกว่งเปะปะไร้ข้อเหวี่ยงควบคุม
เมื่อเห็นภาพตรงหน้า ชายหนุ่มตัดสินใจดึงปืนพกที่เหน็บอยู่ข้างหลังออกมาอีกครั้งถ้าเป็นแบบนี้ เธอสมควรตายซะดีกว่าจะอยู่
ในสภาพอันแสนทรมาน สภาพของสัตว์ที่ดุร้ายและป่าเถื่อน ไม่มีอุปนิสัยสักอย่างเลยที่เหมือนมนุษย์ปุถุชน
“เปรี้ยง”
เสียงปืนดังขึ้นสะท้านก้องแข่งกับเสียงเครื่องยนต์ของรถไฟฟ้า ร่างของเด็กสาวหน้าตาน่ารักในชุดนักเรียนมัธยม ก็ทรุดฮวบลงทันที
เลือดสดๆ สาดเต็มบานประตูเข้าออกตู้รถไฟดูแล้วน่าสยดสยองยิ่งนัก
พันตรีหนุ่มยืนนิ่งอึ้งอยู่ชั่วครู่ พยายามให้กำลังใจตัวเอง เพื่อผ่านเรื่องราวเลวร้ายนี้ไปให้ได้ เขากลับหลังหัน แล้วเดินต่อไปยังตู้ถัดไป
เมื่อผ่านมาถึงอีกตู้ ก็พบผู้โดยสารราวสิบกว่าคนเกาะกลุ่มกันแน่น ตัวสั่นงันงก ด้วยความกลัว ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
ตู้นี้คงไม่มีใครแปลงร่างเป็นหมาบ้าขึ้นมา ช่างโชคดีเหลือเกิน
นายทหารหนุ่มเดินเข้าไปใกล้กลุ่มผู้โดยสารที่กอดกันอย่างเหนียวแน่น ตรงมุมหนึ่งในบริเวณตู้รถไฟ แล้วเสียงกรีดร้องด้วย
ความกลัวและตกใจอย่างสุดขีดก็ดังขึ้น จนทำให้ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ พวกเขากลัวชายหนุ่มเพราะนึกว่าเขาเป็นพวกคนบ้าที่วิ่งไล่
ฆ่าคนเหมือนกับผัก ปลา
“เปล่าๆ ผมปกติดีไม่ต้องตกใจ พวกคุณโชคดีมากที่ไม่มีใครได้รับอันตรายสองตู้ที่ผมผ่านมาตายเรียบ ไม่เหลือรอดเลยสักคน”
“มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงได้ฆ่ากันง่ายดายแบบนี้ คุณอย่าไปไหนนะ ช่วยป้าด้วย ป้ายังไม่อยากตาย”
หญิงวัยกลางคนกล่าวอย่างน่าสงสาร ทั้งหมดที่ต่างกอดกันแน่นก็ลุกขึ้นพร้อมๆ กันเข้าล้อมถามไถ่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ซึ่งเขาก็ไม่สามารถจะตอบถึงต้นสายปลายเหตุอะไรได้ทั้งนั้นในตอนนี้
“เอาล่ะทุกคนฟังผมให้ดี ผมไม่แน่ใจว่า ในขบวนนี้มีตู้รถไฟอยู่กี่ตู้ แต่ผมต้องไปให้ถึงตู้แรกซึ่งน่าจะมีห้องควบคุม
ของเจ้าหน้าที่ของการรถไฟ และวิทยุสื่อสาร”
ตฤณกล่าวกับทุกคน ป้าคนเดิมจับมือชายหนุ่มไว้แน่น ดังว่าเขาจะช่วยประกันชีวิตของเธอได้ เขาจึงกลายเป็นความหวังสุดท้าย
ที่จะพาทุกคนรอดออกไปจากนรกเคลื่อนที่ขบวนนี้
“ไป ทุกคน เดินตามหลังผมมา ผู้ชายสามคนคอยระวังหลังให้ด้วย ถ้ามีอะไรรีบตะโกนบอกผมทันที”
พันตรีหนุ่มจับมือของป้าที่กลัวจนตัวสั่นเหมือนลูกนกที่พึ่งเกิดใหม่ แกะมือของเธอออกจากแขนของเขาในกิริยาที่สุภาพ
ก่อนจะยกปืนในขึ้นตรวจสอบความพร้อมใช้งาน
แล้วขบวนผู้โดยสารนับสิบคนก็เดินตามกันเป็นกลุ่ม ภายใต้การนำขบวนของ พันตรีตฤณ ซึ่งมีเพียงเขาผู้เดียวที่มีอาวุธ
พอที่จะป้องกันชีวิตให้กับทุกคนได้ ชายสามคนเดินถอยหลัง สายตาต่างจับจ้องไปข้างหน้า เผื่อว่าจะมีอะไรโผล่ออกมาจากมุมไหน
มือของชายทั้งสามไม่ยอมปล่อยแขนของหญิงแปลกหน้าที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน ทุกคนอยู่ในอารมณ์หวาดกลัวจนแทบจะสติแตก มันคือ
ความสยดสยองยิ่งกว่าที่ใครจะเคยประสบพบเจอ นอกจากในภาพยนตร์
ความผวาและความรู้สึกห่วงหน้าพวงหลังเกิดขึ้นกับนายทหารหนุ่ม อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทุกย่างก้าวของความวิตก
และกังวลว่าจะมีอะไรโผล่ออกมาโดยที่เขายิงมันไม่ทัน เมื่อหัวขบวนข้ามผ่านมายังตู้ต่อไปได้ ภาพที่เห็นก็ทำให้ชายหนุ่มและผู้คนที่อยู่ข้างหลัง
เขาสบายใจขึ้นมาบ้าง
ผู้โดยสารนับสิบคนต่างยืนเกาะกลุ่มกันด้วยอาการหวาดผวา ชายคนหนึ่งถือปืนในท่าเตรียมพร้อมคุ้มครองดูแลทุกคนอย่างมั่นคง
พวกเขามองขบวนผู้โดยสารที่กำลังเคลื่อนเข้ามาช้าๆ อย่างยินดี
“พวกคุณเป็นยังไงบ้าง มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ มีผู้ก่อการร้ายเหรอ”
“เปล่า ผมไม่คิดว่าจะเป็นพวกก่อการร้ายนะ มีตำรวจบ้าคนหนึ่งทำท่าแปลกๆ แล้วอยู่ๆ ก็ชักปืนออกมาไล่ยิงคน
ในตู้รถไฟตายหมด ผมปล้ำกับมันอยู่นาน ถึงจัดการให้มันสงบลงได้ และยังมีเด็กเรียนหญิงอีกคนใช้มีดการฝีมือปาดคอผู้โดยสารตู้ถัดมาอีก
ตายเรียบ”
พันตรีหนุ่มบอกเล่าประสบการณ์สยองที่ตัวเองพึ่งผ่านพ้นมาสักครู่ให้กับ เพื่อนใหม่ฟัง ทุกคนต่างเกิดอารมณ์หวาดผวากันถ้วนหน้า
ทั้งชายหญิงและเด็กต่างตัวสั่นงันงกกันหมด แต่ถึงอย่างไรก็โชคดีเหลือเกินที่ได้มาเจอชายผู้นี้นายทหารหนุ่มคิด ที่ดูเหมือนจะมีฝีมือ
พอจะช่วยเขาได้อีกแรง และที่สำคัญเรามีปืนเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งกระบอกแล้ว
“ทุกคนมารวมกัน มีใครใช้ปืนได้บ้าง”
ชายผู้นั้นกล่าวกับทุกคน มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งอาสาที่จะใช้ปืน เมื่อชายคนนั้นยื่นปืนให้เด็กหนุ่มก็รับไปตรวจสอบดูความพร้อม
อย่างคล่องแคล่วจนเขานึกตกใจ
“ระวังดีๆ ไอ้น้องชาย มันสะบัดไม่ใช่เล่นนะ”
“ครับ ไม่ต้องห่วง ผมเคยยิงบ่อยแบบนี้”
ไม่รู้ว่ามันไปเคยยิงปืนที่ไหน เด็กหนุ่มแต่งตัวเหมือนพึ่งจะอยู่ชั้น ปวช. แต่ก็ช่างเถอะตอนนี้เอาชีวิตให้รอดเสียก่อนก็แล้วกัน
“ผมขอคุยอะไรส่วนตัวสักครู่” “ได้”
นายทหารหนุ่มเดินตามชายผู้นั้นไปอีกมุมหนึ่งของตู้รถไฟ ดูท่าทางเขาไม่ค่อยจะตื่นเต้นอะไรมากนัก การแต่งตัวก็ธรรมดา
ดูออกจะโก๋ไปด้วยซ้ำ
“คุณคงเป็นตำรวจ”
ชายคนนั้นถามขึ้นจ้องหน้าเขม็ง
“เปล่า ผมเป็นครูสอนพละ ปืนนี่ก็แย่งตำรวจมา ทำไมเหรอ มีอะไรสงสัย”
“เปล่า ไม่ใช่ตำรวจก็ดีแล้ว เพราะผมเป็นโจร”
ชายตรงหน้าพูดพลางควักปืนที่เหน็บเข็มขัดด้านหลังออกมา ตฤณกลืนน้ำลายอย่างยากเย็นลงคออีกครั้ง แม้เขาจะ
ไม่ใช่ตำรวจ แต่หน้าที่หลักๆ ก็รักษาความสงบให้ประเทศเช่นกัน แต่เอาเถอะ ถึงอย่างไรจะโจรหรือตำรวจทหาร ก็ขออย่าให้
เกิดบ้าคลุ้มคลั่งเหมือนตำรวจมรณะนั่นก็แล้วกัน
“คุณมองดูตู้รถไฟถัดไปนั่นซิ”
“เฮ้ย ทำไมมันมืดแบบนี้ ไฟดับรึไง”
“ตอนแรกมันไม่ดับหรอก แต่ผมดันมองดูไม่ทันว่าเกิดอะไรขึ้นในตู้นั้น เพราะเลือดใครไม่ทราบสาดกระจาย
เต็มกระจกประตูไปหมด ได้ยินแต่เสียงร้องของเด็กและผู้หญิงเสียงผู้ชายก็มี แต่ดูเหมือนเสียงของคนกำลังใกล้จะตาย แล้วไฟก็ดับลงทันที”
โจรซึ่งในขณะนี้กลายเป็นผู้พิทักษ์ชีวิตเพื่อนมนุษย์อย่างจำเป็น กล่าวกับคูรพละหนุ่มอย่างสยดสยอง กับเรื่องที่เขาพบมาเมื่อสักครู่
“ผมว่าเราสองคนลองเข้าไปดูก่อนดีกว่า อย่างมากก็ส่องมันให้หมดก็เท่านั้น พวกนี้ฆ่าตายแน่ๆ ผมลองมาแล้ว”
“ครับ ผมก็ว่าอย่างงั้น”
โจรหนุ่มจ้องมองหน้าครูพละอย่างพินิจพิเคราะห์ และมองดูลักษณะการถือปืนของเขา
“ดูท่าทางของคุณแล้วไม่เหมือนครูพละเลยนะ”
“ท่าทางของคุณก็ดูไม่เหมือนโจรเลยเหมือนกัน”
ทั้งสองมองหน้ากัน แล้วต่างก็หัวเราะแห้งๆ แล้วก้มลงสนใจตรวจสอบความพร้อมของปืนพกอย่างรอบคอบ
เพราะถ้ามีตัวอะไรโผล่มาล่ะก็ เป็นยิงหูดับตับไหม้
“ทุกคนรออยู่ที่นี่ เดี๋ยวผมสองคนจะไปดูที่ตู้ถัดไปว่าเป็นยังไงบ้าง วางใจได้น้องชายคนนี้เขา
จะดูแลความปลอดภัยให้เอง”
พันตรีหนุ่มกล่าวกับผู้โดยสารทุกคนที่ยืนจับกลุ่มกันอย่างเหนียวแน่น ด้วยความกลัว
จนสติแตกแล้วแตกอีก “อย่าทิ้งป้าไปไหนเลยพ่อหนุ่ม ช่วยป้าด้วยป้ากลัว” “ไม่ต้องกลัวครับป้า เดี๋ยวผมมา”
หญิงแก่กล่าวอย่างวิตกกังวล พลางเหลือบตามองดูเด็กหนุ่มที่ถือปืนแอ็คท่ายังกะพระเอกหนังฝรั่งอย่างภาคภูมิ
“เฮ้ยไอ้น้องอย่าทำเป็นเล่นนะโว้ย ถึงเวลา ยิงเปะปะไม่ได้นะ”
ยอดชายนายโจรพูดพลางจับหัวของเด็กหนุ่มเบาๆ ไม่จริงจัง
“แน่นอนน่าน้า ไม่ต้องห่วงทางนี้หรอก ว่าแต่อย่าปล่อยพวกหมาบ้านั่นออก
มาถึงตู้นี้ก็แล้วกัน”
“เฮ้ย เอ็งดูดีๆ นะเว้ย เผื่อเป็นพวกฉันสองคนกลับเข้ามา ยิงมั่วโดนกันเอง”
ตฤณพูดกับเด็กหนุ่มอย่างเริ่มรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาเล็กน้อย
“ผมแยกออกน่า ไปเถอะลุง”
ทั้งคูรพละและจอมโจรต่างมีอาการอยากจะเขกหัวไอ้เด็กนี่สักป๊าบ เมื่อกี้มันยังเรียกน้าดีๆ อยู่เลย ไหนมาอีกที
กลายเป็นพี่ชายของพ่อมันซะงั้น แต่ก็จำต้องอดใจไว้ก่อน
ชายสองคนเดินตามกันตรงเข้าไปยังตู้รถไฟฟ้าถัดไปข้างหน้า ประตูระหว่างตู้ถูกเปิดออกช้าๆ โดยโจรหนุ่ม
ตฤณเล็งปืนไปด้านหน้าเพื่อหาเป้าหมายที่เขาก็ไม่ทราบว่ามันจะโผล่มาตอนไหน
แสงสว่างพอสลัวๆ สาดส่องมาจากตู้หลังพอให้เห็นเป็นรางๆ ภาพในความสลัวนั้นคือ ผู้คนนอนอยู่เกะกะเกลื่อนกลาด
ไม่ไหวติง ตฤณพยายามมองดูว่ามีใครบ้างที่ขยับขเยื่อนชายหนุ่มคนหน้าเขาใช้เท้าสะกิดร่างคนที่นอนอยู่ในความมืด
แต่ก็ไม่มีใครกระดุกกระดิกเลยแม้แต่คนเดียว
“สงสัยคงไม่รอดสักคน”
ชายตรงหน้ากระซิบกับผู้ที่ย่องตามหลังมาติดๆ
“พวกมันต้องหลบอยู่ในนี้แน่ ระวังให้ดีก็แล้วกัน”
เมื่อขบวนรถไฟวิ่งผ่านไปตามรางด้วยความเร็วเป็นปกติ มาถึงช่องทางที่เป็นตึกสูงใหญ่ทั้งสองข้าง แสงไฟจาก
ตึกสูงสองข้างทางก็ลอดเข้ามาทางหน้าต่างให้ทั้งสองชายได้เห็นเงาตะ ครุ่มๆ ที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วในมุมมืด
“เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง…”
เสียงปืนดังก้องสะท้านทั่วตู้รถไฟแบบไม่ต้องนับ ประกายแสงจากปลายลำกล้องปืนเผยให้เห็นร่างกายที่เคลื่อนไหว
อย่างผิดปกติตาม ธรรมชาติมนุษย์ มันผลุบโผล่ในความมืด ก็ไม่ทราบว่ากระสุนที่ยิงออกไปจะถูกเป้าบ้างหรือไม่
ทันใดนั้นรถไฟก็เริ่มลดความเร็วลงอีกครั้งดูเหมือนว่าข้างหน้าจะเป็นสถานี
มันคือสถานีรถไฟฟ้าจริงๆ และแล้วความมืดที่ปกคลุมในตู้รถไฟก็พลันสว่างขึ้น ถึงจะเป็นเพียงแสงสว่างจาก
หลอดไฟด้านนอกตัวขบวนรถก็ตาม แต่ก็ทำให้ชายทั้งสองสามารถเห็นอะไรต่างๆ ในตู้รถไฟฟ้านี้ได้ถนัดขึ้น
ก่อนรถไฟจะหยุดสนิท มีหญิงสาวคนหนึ่งหน้าตาดูไม่ได้ เพราะเต็มไปด้วยคราบเลือด ซึ่งพอจะอนุมานได้ว่า
ไม่ใช่เลือดในตัวของเธอ ในมือของเธอถือมีดโกนแบบพับได้ วิ่งกร้างเข้ามายังชายทั้งสองอย่างรวดเร็ว
ปืนพกทั้งสองกระบอกพ่นเม็ดตะกั่วอันร้อนแรงออกไปอย่างไม่ต้องนับ แรงสะท้อนถอยหลังส่งลูกกระสุนนัดใหม่ลูกแล้วลูกเล่า
หญิงคนนั้นถึงกับผงะด้วยแรงปะทะของอนุภาพกระสุนปืนทั้งสองขนาดหงายหลังลง กระแทกพื้นอย่างแรง
ขาดใจตายในทันที
ทันใดนั้น ชายผู้หนึ่งก็หล่นตุ้บลงมาจากเพดานตู้รถไฟอย่างไม่คาดคิด ยอดชายนายโจรไม่ทันได้ระวังตัว
ชายผู้มีน้ำเสียงพ่นออกจากลำคอซึ่งไม่ใช่อาการปกติของมนุษย์ กระโจนเข้ารัดคอเขาจนล้มลงไปกองกับพื้น เกิดการกอดรัดฟัด
เหวี่ยงกันอย่างสุดกำลัง ตฤณวาดปลายปืนเข้าหาเป้าแล้วเป้าเล่า เขาไม่สามารถตัดใจยิงเป้าไหนได้ เพราะกลัวว่าจะพลาดไป
ถูกสหายศึกของเขาเข้า
ชายผู้คลุ้มคลั่งอยู่ในอาการนอนทับบนร่างของชายผู้ที่เขาพึ่งรู้จัก มันพยายามก้มหน้าลงยื่นปากจะกัดจมูกหรืออวัยวะ
ส่วนใดก็ช่างที่ถึงฟันหน้าของ มันก่อน เมื่อรถไฟจอดสนิทลงประตูถูกเปิดออกโดยอัตโนมัติ ชายผู้ขณะนี้ไม่หลงเหลือสัญชาตญาณ
ของความเป็นมนุษย์อยู่เลยแม้แต่นิดเดียว ก็โผล่หัวขึ้นมองดูประตูที่เปิดออก ก็พอดีเข้าทางปืนของตฤณที่
รอท่าอยู่ก่อนแล้ว
“เปรี้ยง”
ลูกกระสุน 11 ม.ม. วิ่งเจาะเข้าเหนือท้ายทอยของชายบ้าคลั่งคนนั้นทันที กระสุนทะลุออกทางหน้าผาก ดูเหมือน
ทางออกจะใหญ่กว่าทางเข้า เป็นปกติของวิถีกระสุนปืน
ยอดชายนายโจรปัดร่างอันไร้วิญญาณของสัตว์ร้ายให้พ้นตัว ไปกองลงขวางทางออกประตูตู้รถไฟ ถอนหายใจเฮือกใหญ่
ส่ายหน้าไปมาด้วยอาการที่ยังไม่หายมึนงงดี
“ผมนึกว่าคุณจะรอให้จมูกผมติดฟันของมันไปซะก่อน แล้วค่อยยิง”
“ความจริง ผมรอลูกกะตาคุณตะหาก”
“คุณก็ว่าไปนั่น”
ตฤณยื่นมือให้เพื่อนใหม่ของเขาจับ แล้วออกแรงดึงช่วยให้ชายตรงหน้าลุกขึ้นยืนกลุ่มผู้โดยสารที่รวมตัวกันต่างเดิน
เข้ามาในตู้ที่เมื่อสักครู่เกิดสงคราม ล่าล้างพันธุ์อสูรกันขึ้นต่างกรีดร้องโวยวายอย่างสยดสยองกับภาพที่ได้เห็น ผู้คนไม่ว่าชายหญิง
หรือเด็กต่างนอนตายกันกลาดเกลื่อนไปหมด จนแทบจะไม่มีที่วางเท้าให้เหยียบเดินด้วยซ้ำ
“นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรกันขึ้น”
หนึ่งในกลุ่มผู้โดยสารที่กำลังหวาดผวากล่าวออกมาอย่างเหลืออด มันก็จริงอย่างว่ามันไม่น่าเชื่อว่าเรื่องราวแบบนี้
จะเกิดขึ้นจริงนอกจอภาพยนตร์ นายทหารหนุ่มคิดในใจ มองไปรอบตัวด้วยความสยดสยอง ทันใดนั้นก็ปรากฏเสียงประตูทางผ่านตู้ถัดไป
ดังก๊อกแก๊อกอีกครั้ง ทั้งสองชายที่มีปืนอยู่ในมือขณะนี้ ต่างรีบจ้องเล็งไปทางที่มาของเสียงทันที
เมื่อประตูเปิดออก เจ้าหน้าที่รถไฟฟ้าคนหนึ่งโผล่พ้นประตูนั้นเข้ามา แล้วล้มลงเลือดท่วมกาย ตฤณไม่รอช้ารีบรุดเข้าไป
จับชายคนนั้นหงายขึ้นทันที เลือดของเขาทะลักออกมาจากลำคอ ที่เหวอะวะด้วยบาดแผลยาวที่ดูแล้วน่าจะเกิดจากมีดโกน ฟองฟอดปุดๆ
ตามแรงจังหวะหายใจ เพียงไม่กี่อึดใจเจ้าหน้าที่รถไฟฟ้าผู้นั้นก็ขาดใจตายในอ้อมแขนของพันตรี หนุ่มอย่างที่ไม่มีใครทำอะไรได้เลย
ตฤณวางร่างอันไร้วิญญาณของชายผู้นั้นลงกับพื้นเบาๆ แล้วลุกขึ้นยืน สีหน้าของเขาซีดเผือด นี่มันอะไรขึ้น ใครกันเป็นผู้
วางแผนให้เกิดเรื่องแบบนี้ ไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นได้เองเป็นแน่ เขาคิดอยู่ในใจอย่างเดือดดาล
เมื่อทุกอย่างเงียบสงบลง ความผิดสังเกตก็เกิดขึ้นอีก เมื่อทั้งสถานีรถไฟที่พึ่งมาถึง ดูเงียบเชียบผิดปกติ แล้วทั้งหมดก็ได้พบกับ
เหตุการณ์อันไม่คาดคิดอีกครั้ง
ร่างของผู้คนที่ไม่ไหวติงนอนเกลื่อนทั่วไปหมดทั้งบริเวณชานชะลารถไฟฟ้า ทุกอย่างดูเงียบเชียบ มีแต่เสียงลมเย็นฉ่ำจาก
เครื่องปรับอากาศดังออกมาเบาๆ จากเพดาน ทั้งหมดลงจากขบวนรถไฟ ต่างก็ยืนตะลึงกับฉากการฆาตกรรมตรงหน้า ที่ดูเหมือนว่า
พึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อไม่นานนี้เอง
ตฤณถือปืนกระบอกเดิมวิ่งไปตรวจดูว่า ยังมีผู้ใดรอดชีวิตอยู่หรือไม่ แต่แล้วก็ต้องผิดหวังเมื่อไม่มีใครรอดชีวิตเลยแม้แต่คนเดียว
เพื่อนชายที่เมื่อครู่ได้ร่วมชะตากรรมเดียวกัน ต่างก็พยายามค้นหาผู้รอดชีวิตอีกทางหนึ่งก็ไม่เป็นผลเช่นกัน ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าของ
ใครบางคนก็ดังขึ้นและใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทั้งสองชายเงยหน้าขึ้นมองไปยังที่มาของเสียงนั่น ก็ได้พบกับชายผู้หนึ่งซึ่งมือของเขา
ถือปืนลูกซองยาวชนิดปั๊มแอ็คชั่นในท่าเตรียมพร้อม
อากัปกิริยาเดียวกันของเพื่อนต่างวัยทั้งสองก็แสดงออกมาเหมือนกันอย่างจะ ทันทีทันใด เป้านิ่งที่อยู่ไม่ไกลมากนัก
ซึ่งหวังผลได้ร้อยเปอร์เซ็นสำหรับผู้ที่ยิงปืนพกอย่างชำนิชำนาญ
“แชะ แชะ”
ไม่ทันได้ตรวจดูปืนในมือ หลังจากพึ่งกดรัวไกในสงครามย่อมๆ เมื่อสักครู่ ทั้งสองชายใจหล่นวูบ วาระสุดท้ายของเขามาถึงแล้วหรือนี่
ชายแปลกหน้าผู้นั้นเดินเข้ามาช้าๆ ดวงดาดุดันราวสัตว์ป่า เหมือนกับว่าตั้งแต่เกิดมาไม่เคยได้พบเจอมนุษย์หน้าไหนมาก่อน
แต่ดันใช้ปืนเป็นซะนี้ เสียงหายใจของมันดังฟืดฟาดๆน่าขยะแขยงจนขนลุก แล้วเพียงไม่กี่อึดใจ ปลายลำกล้องปืนลูกซองยาวกระบอกในมือของ
มันก็ประทับเล็งตรงมายังชายทั้งสอง ที่เบื้องหลังของเขาทั้งคู่ คือกลุ่มผู้โดยสารที่ฝากชีวิตไว้กับเขา
“เปรี้ยง เปรี้ยงๆ”
เสียงปืนดังลั่นก้องสะท้านชานชะลารถไฟฟ้า กลุ่มผู้โดยสารที่ยืนออดูเหตุการณ์อยู่ ด้านหลังต่างกรีดร้องด้วยความตกใจระ
คนธ์หวาดผวา เด็กหนุ่มขี้โอ่วางมือที่ถือปืนลง มันแม่นสมกับท่าทางดาราฮอลลิวู๊ดของมันจริงๆ.
จากคุณ |
:
วิสวัตดีมาร
|
เขียนเมื่อ |
:
24 พ.ย. 53 13:28:58
|
|
|
|