Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เพื่อนรัก ติดต่อทีมงาน

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2510
ณ ตำบลทับไทร  อำเภอโป่งน้ำร้อน  จังหวัดจันทบุรี
……………………………………………………………………………………………………..

    ผมแวะไปเยี่ยมพี่หมอที่สถานีอนามัยโป่งน้ำร้อน    เป็นสถานีอนามัยชั้นหนึ่งแห่งแรกของอำเภอด้านชายแดน    ตัวอาคารเป็นตึกชั้นเดียวยกพื้นขึ้นประมาณหนึ่งเมตร ทาสีขาวนวล ดูสว่างโพลนท่ามกลางแมกไม้และดินสีเท่าเข้มรอบ ๆ อาคาร    ..ยังไม่ได้ปลูกไม้ประดับและสนามหญ้า  เพราะไม่มีรายการในงบประมาณ   …เพิ่งก่อสร้างเสร็จใหม่ ๆ  ตรวจรับงานไปเมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง
 
    ตั้งใจจะพักค้างคืนสักคืนสองคืน    เนื่องจากตรงกับวันหยุดราชการ  เสาร์-อาทิตย์  แถมวันจันทร์หยุดชดเชย   ผมไม่มีโปรแกรมไปเที่ยวที่ไหน  ตั้งใจจะอยู่เสวนากับเพื่อนที่ไม่ได้พบกันมานานเป็นเดือน  เป็นเพื่อนที่รักกันมากเคยร่วมหัวหกก้นขวิดทั่วสารทิศมาด้วยกัน  แต่แล้วเพื่อนผมเผลอตัวตกร่องปล่องชิ้น  กลายเป็นเขยบ้านนี้  ก็ดีอยู่หรอกจะได้เป็นหลักเป็นฐานเสียที  เพราะอายุอานามก็พอสมควรแล้ว  เพื่อนผมแก่กว่าผมปีหนึ่ง  ปีนี้ย่างเข้าเบญจเพสพอดิบพอดี  

    ผมสมัครใจพักนอนที่ห้องคนไข้ แทนที่จะพักที่บ้านพักของพี่หมอ  ซึ่งเป็นบ้านพักข้าราชการ   เพราะเกรงใจพี่สะใภ้ที่จะต้องเป็นภาระเรื่องที่หลับที่นอน    ที่ห้องคนไข้ขณะนั้นไม่มีคนไข้เลย จึงมีเตียง  มีที่นอน หมอนและผ้าห่มว่างเหลือเฟือ    อาจจะเป็นเพราะว่ายังไม่ค่อยมีคนป่วยมาใช้บริการเนื่องจากเพิ่งสร้างเสร็จ    สถานีอนามัยชนบทก็อย่างนี้แหละ…ไม่ค่อยมีคนไข้ไปนอนพักรักษาตัวหรอกครับถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ   ส่วนใหญ่จะสมัครใจนอนป่วยอยู่บ้านเพราะอย่างน้อยยังมีลูกหลานคอยดูแล   นอกจากนี้ยังมีความเชื่ออะไรต่ออะไรอีกหลายอย่างที่ทำให้ชาวบ้านชนบทไม่นิยมมาพักรักษาตัวในโรงหมอ  

    แต่ด้วยความเป็นจริงแล้ว  ก็ต้องยอมรับว่าสถานีอนามัยชนบทยังขาดความพร้อมในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านเวชภัณฑ์หรือแม้แต่บุคลากร  ดังนั้นบางรายที่ป่วยหนักพี่หมอก็จะส่งต่อไปโรงพยาบาลใหญ่  เพราะที่นั่นมีหมอ  มีเครื่องมือพร้อม   โอกาสรอดชีวิตหรือหายจากป่วยไข้มีมากกว่า  แต่ถ้าอยู่ที่สถานีอนามัยบ้านนอกโอกาสตายมีมากกว่าหายในกรณีที่ป่วยหนัก

    ขณะที่ผมไปเยี่ยมพี่หมอนั้น  เป็นช่วงฤดูฝน   ฤดูฝนที่บ้านป่าซึ่งถูกโอบล้อมด้วยขุนเขานั้น  ฝนจะตกชุกกว่าพื้นที่อื่น    ขณะที่ผมเดินทางไปถึงเป็นเวลาใกล้ค่ำแล้ว  เมฆฝนลอยต่ำ  ได้กลิ่นไอฝนปนมากับสายลม  ไม่ช้าฝนคงตก   …ผมคงต้องซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มคนเดียว…เหมือนเคย   ก็คงจะเหงาเป็นธรรมดา   ครั้นจะเลยไปเยี่ยมเพื่อนรักก็คงทุลักทุเล  เพราะอยู่ถึงท้ายบ้าน  ทางเดินก็เละอย่าบอกใคร   ต้องลุยน้ำข้ามลำธารอีกต่างหาก  ….เอาไว้พรุ่งนี้สาย ๆ แดดอุ่น ๆ  ไม่ต้องรีบร้อนนักก็ได้      

    ใครที่ไม่เคยอยู่บ้านป่าหน้าฝนคนเดียว  คงไม่รู้หรอกว่ามันเหงาแค่ไหน      ออกไปจิบกาแฟหาเพื่อนคุยแก้เหงาดีกว่า  ถ่วงเวลาให้ดึกสักหน่อย  ค่อยกลับมานอน  ร้านกาแฟที่นี่มีอยู่แห่งเดียว  ในย่านที่ถูกเรียกว่าตลาด   ว่าไปแล้วไม่น่าจะเรียกว่าตลาดเลย   เพราะมีร้านค้าอยู่ไม่กี่ร้าน  ร้านกาแฟซึ่งเป็นชมรมคอกาแฟ   เป็นสถานที่ที่นัดพบปะพูดคุยกันสารพัดเรื่อง   ผมพบชาวบ้านที่คุ้นเคยกัน  สมาชิกชมรมคอกาแฟหน้าเก่า ๆ นั่นแหละ  

    สักทุ่มกว่า ๆ เห็นจะได้  ฝนก็เริ่มลงเม็ด  และตกหนักขึ้นทุกที  ไฟฟ้าดับไปทั้งย่าน     นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดาของที่นี่  พอฝนตก  ไฟฟ้ามันก็จะดับ  ผมไม่เดือดร้อนนักเพราะเตรียมเทียนไขไม้ขีดไว้บนโต๊ะในห้องพักตั้งแต่มาถึงแล้ว   เสียดายที่ไม่มีไฟฉาย   แต่ช่างเถอะ  แค่นี้เอง  ถึงจะมืดอย่างไรผมก็คลำทางไปได้  เพราะคุ้นเคยทางดี ผมติดแหงกอยู่ที่ร้านกาแฟที่มีเพียงแสงเทียนไขสองสามดวง  ที่ตั้งบนก้นถ้วยน้ำชาที่คว่ำเอาก้นขึ้นแทนเชิงเทียน  ภายใต้แสงเทียน เรายังคงนั่งจับกลุ่มคุยกันแข่งกับเสียงฝน   เงาที่ทอดทับบนชั้นและตู้สินค้ากระจุกกระจิกในร้านโชวห่วยและร้านกาแฟในร้านเดียวกัน  เต้นระยับเหมือนสิ่งมีชีวิต        

    กว่าฝนจะหยุดก็เกือบสี่ทุ่ม   สี่ทุ่มในชนบทโดยเฉพาะในคืนฝนตก  มันช่างเงียบ  และมืดมาก  ร้านรวงต่างพากันปิดหมดตั้งแต่ตอนฝนเริ่มตก  เสียงประตูร้านปิดดังไล่หลัง  เมื่อสมาชิกคนสุดท้ายก้าวออกจากร้าน  ผมคลำมะงุมมะงาหลากลับสถานีอนามัย   อาศัยความคุ้นเคยทาง และแสงฟ้าแลบเป็นระยะ ๆ ทำให้พอมองเห็นถนนที่เจิ่งน้ำเป็นระยะ ๆ จากร้านกาแฟถึงสถานีอนามัยระยะทางประมาณไม่เกิน 500  เมตร แต่ผมต้องใช้เวลานานโข    ในที่สุดผมก็ถึงสถานีอนามัย   ภายในอาคารมืดมาก  ผมต้องคลำทางไปตลอดเพราะไม่เช่นนั้นอาจจะชนโต๊ะ  ชนเก้าอี้   จนกระทั่งถึงทางเดินที่เชื่อมต่อระหว่างตัวอาคารอำนวยการกับตึกคนไข้ที่ผมจะไปอาศัยซุกหัวนอน   ผมเดินไปตามทางเชื่อมอาคารนั้นอย่างคนคุ้นเคย   จำได้แม่นยำว่าเมื่อพ้นทางเดินเชื่อมต่อระหว่างอาคารนี้แล้วก็จะเข้าตึกคนไข้ซึ่งเป็นประตูกระจกใสบานใหญ่   ซึ่งเป็นประตูกระจกเลื่อน   ข้อเสียของประตูเลื่อนบานนี้คือ  เวลาเลื่อน  จะมีเสียงล้อเล็ก ๆที่เลื่อนไปบนรางโลหะที่แขวนบนวงกบเหนือขอบประตู  จะเกิดเสียงดังครืดคราดน่ารำคาญมาก  ในความรู้สึกของผมมันเป็นเสียงที่บาดหูบาดใจเหลือทน  จะหงุดหงิดทุกครั้งที่ผ่านประตูบานนี้   และทุกครั้งที่ผ่านอดคิดไม่ได้ว่า  ถ้าผมเป็นคนตรวจรับงานก่อสร้าง  ผมจะไม่ยอมให้ผ่านในจุดนี้  

    ผมคลำทางเดินในความมืด  แม้จะมืดจนมองอะไรไม่เห็น   แต่ผมก็มั่นใจว่าผมสามารถคาดคะเนระยะได้อย่างแม่นยำ   ด้วยเดินเข้าเดินออกไม่รู้กี่ร้อยครั้ง  ตั้งแต่อาคารเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง   จนสร้างเสร็จ อย่างไม่สู้จะสมบูรณ์นัก     … ผมแน่ใจว่า  ขณะนี้ผมได้เดินมาถึงประตูเจ้าปัญหานั่นแล้ว  ผมจึงยื่นมือออกไปข้างหน้าเพื่อสัมผัสกับประตูกระจกบานเลื่อน….แต่..เอ๊ะ  ทำไมยังไม่ถึง  ผมอาจคาดคะเนผิดเพราะความมืด….   ผมยังยกมือเปะปะไปข้างหน้าเพราะกลัวหน้าจะไปกระแทกกับบานประตู   ผมค่อย ๆ ก้าวไปข้างหน้า  หนึ่งก้าว   สองก้าว   สามก้าว  มือยังไม่สัมผัสกับบานประตู  ผมยังคงก้าวไปต่อไปในความมืดมิดนั้น   แขนทั้งสองยังคงยกขนานกับพื้น  ยื่นไปข้างหน้า  …นึกถึงท่าเดินของผีดิบจีนที่เคยเห็นในภาพยนตร์  คือยื่นแขนออกไปข้างหน้าทั้งสองข้าง  กระโดด ดึ๋ง ๆ ..ตลกดี.  

    ผมภาวนาขอให้ฟ้าแลบอีกสักแปลบสองแปลบจะได้มองเห็นสิ่งต่าง ๆ รอบตัวบ้าง   แต่ตอนนั้นฟ้าดูช่างสงบเกินเหตุ    ทันใดนั้นผมต้องสะดุ้งสุดตัว  รู้สึกเย็นเยียบเข้าไปในหัวใจ  หัวใจเต้นแรงและเร็วเสียจนผมกลัวว่ามันจะพาลหยุดเต้นเสียให้ได้   เสียง ๆ หนึ่งที่คุ้นหูมาก  หากแต่มันไม่น่าจะดังขึ้นตอนนี้ท่ามกลางความมืดและความเงียบ   ….มันเป็นเสียงของบานประตูเลื่อนที่เพิ่งจะเลื่อนปิด!!… ครึด…..ปัง  เสียงปังตอนหลังนี้คือเสียงขอบประตูกระทบกับวงกบโลหะตอนปิด  สาเหตุที่ทำให้ผมหัวใจจะวายก็เพราะว่ามันดังขึ้นข้างหลังผม !!!  

    ผมยืนนิ่งตัวแข็ง  เท้าเหมือนถูกตรึง   ทันใดนั้น  ฟ้าแลบแปลบยาวก่อนที่เสียงกัมปนาทจะแผดเสียงตามมา   ผมสะดุ้งสุดตัวอีกครั้ง   ไม่ได้สะดุ้งเพราะเสียงฟ้าผ่า   แต่สะดุ้งเพราะสภาพแวดล้อมที่เห็นจากแสงฟ้าแลบ…ผมพบว่าขณะนี้.ผมยืนอยู่ในห้องคนไข้แล้ว  !!!  ผมผ่านประตูเข้าไปได้อย่างไรโดยที่ไม่ได้สัมผัสกับบานประตูเลย  หรือประตูเปิดได้เองเพราะแรงลม  เป็นไปไม่ได้  เพราะมันเป็นประตูเลื่อน  อีกอย่างแม้แต่ใช้แรงคนเปิดตามปกติยังต้องออกแรงพอสมควร   ในสมองของผมเต็มไปด้วยความงุนงง  สับสน  กึกก้องไปด้วยคำถามที่หาคำตอบไม่ได้  

    อย่างไรก็ตามผมคลำทางไปจนถึงเตียงที่ผมจองไว้  จัดแจงคลำหาเทียนไข  ไม้ขีด   แสงเทียนริบหรี่  แต่ก็เป็นเพื่อนที่อบอุ่นในความมืดมิดเช่นนี้   คืนนั้นทั้งคืนผมข่มตาหลับไม่ลง   ภายใต้ผ้าห่มผืนบาง  ผมนอนกระสับกระส่ายจ้องมองดูเปลวเทียนที่ค่อย ๆ หรี่ลงเมื่อใกล้หมดไข  และดับไปในที่สุด   ท่ามกลางความมืด  ที่มืดจนแทบหายใจไม่ออก  

    ฝนขาดเม็ดไปนานแล้ว  ลมนิ่งท้องฟ้าที่เคยคะนองบัดนี้เงียบสงัด  คืนนั้นช่างเป็นคืนที่ยาวนานเหลือเกิน  ผมนอนกระสับกระส่ายอยู่ในความมืดนั้น   ดูเหมือนกับไม่ได้งีบหลับเลย   จะว่าไม่หลับแต่ก็ฝัน…เป็นความฝันที่เลอะเลือนจับต้นชนปลายไม่ได้  อาจจะเผลอเคลิ้มหลับไปบ้าง   ไม่แน่ใจเหมือนกัน  หรืออาจจะไม่ได้หลับ ? ไม่ใช่ฝัน ?

    แต่ถ้ามันเป็นความฝัน ก็เป็นความฝันที่ค่อนข้างชัดเจนเหมือนเหตุการณ์มันเกิดขึ้นจริง ๆ   เพื่อนรักที่ผมตั้งใจจะไปเยี่ยมในวันรุ่งขึ้น   มาหาผมถึงสถานีอนามัยจุดเทียนไขเล่มใหญ่มาด้วย   โดยบอกกับผมว่าได้ข่าวว่าผมมาพักที่สถานีอนามัย   พอดีออกมาซื้อของที่ร้านขาประจำแล้วเลยมาเยี่ยมเพราะร้านอยู่ฝั่งถนนตรงข้ามกับสถานีอนามัยนี่เอง เราจุดเทียนนั่งคุยกันอย่างสนุกสนาน     เทียนที่เพื่อนรักนำติดตัวมาด้วย  ผมเห็นแล้วอดกระเซ้าไม่ได้
       “เทียนของเอ็งยังกับเทียนพรรษาแน่ะ”
       “เออซิวะ”เพื่อนผมมักติดตลกเสมอ  “ขอยืมพระท่านมา”
เราคุยกันโดยไม่สนใจเวลาที่ล่วงไปกี่โมงกี่ยาม  และเผลอหลับไปเมื่อไรไม่รู้ได้  ซึ่งมักจะเป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่เราพบกัน  เราจะนอนคุยกันจนหลับไปเอง  ครั้งนี้ก็คงเช่นกัน

    ผมรู้สึกตัวลืมตาตื่นขึ้น…เช้าแล้ว  ค่อนข้างเป็นเช้าที่สดชื่น  ท้องฟ้าสดใสเพราะเป็นฟ้าหลังฝน สิ่งแรกที่ผมทำก็คือมองไปทางเตียงข้าง ๆ ที่เพื่อนรักมานอนคุยกับผมตั้งครึ่งคืนค่อนคืน   แปลก…แปลกตรงที่ผ้าปูที่นอนตึงเรียบไม่มีร่องรอยของการนอนเลย   เศษเทียนไขและน้ำตาเทียนเกลื่อนบนโต๊ะหัวเตียง  แต่ไม่มีร่องรอยของเทียนเล่มใหญ่สีเหลืองที่ผมแซวเพื่อนว่าเทียนพรรษาเหลืออยู่เลย   …ผมคงฝันไป  แต่มันช่างชัดเจนเหมือนจริงเหลือเกิน

    เมื่อจัดการชำระสะสางตัวเองเรียบร้อยแล้วผมเดินทางไปยังท้ายบ้าน  ตรงไปยังบ้านของเพื่อนรัก  ทางที่จะไปยังบ้านของเพื่อนต้องผ่านวัดทับไทร  วัดประจำหมู่บ้านซึ่งมีอยู่แห่งเดียวเท่านั้น       สายตาของผมอดมองเลยไปที่ศาลา   ซึ่งมีคนพลุกพล่านเหมือนมีงาน    คงเป็นงานศพ    สังเกตจากการแต่งกายของผู้คน ที่กำลังถวายภัตราหารเช้า   หลายคนผมรู้จักดี   แต่สิ่งที่ทำให้ผมชาวูบไปทั้งตัวคือรูปหน้าศพ ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางพวงหรีด   เพราะนั่นคือรูปเพื่อนรักของผมนั่นเอง………

แก้ไขเมื่อ 26 พ.ย. 53 22:35:57

แก้ไขเมื่อ 25 พ.ย. 53 19:24:22

จากคุณ : pink_plumeria
เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 53 19:20:35




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com