หลังกำแพงหินเก่าแก่เป็นสนามหญ้ากว้างซึ่งมีหิมะแซมเป็นสีขาว มีอาคารรายล้อม เฟลิมกับอาเมียร์ถามทางไปหอสมุดจากยามที่หน้าประตู ได้คำตอบว่าเป็นหอคอยซึ่งดูเก่าแก่และสูงที่สุดในบรรดาสิ่งปลูกสร้างโดยรอบ ไม่นานทั้งสองก็เข้ามาในอาคารนั้น บรรณารักษ์ที่ห้องโถงชั้นล่างอนุญาตให้ทั้งสองขึ้นไปหลังดูจดหมายรับรองจากท่านเจ้ามณฑล เนื่องจากประเภทของหนังสือที่ต้องการมีกระจายกันไปราวสองสามชั้น อาเมียร์กับเฟลิมจึงตกลงกันว่าจะแยกย้ายกันหาและจดเพื่อให้ได้ข้อมูลเร็วขึ้น
เด็กหนุ่มขึ้นบันไดเวียนไปถึงชั้นหนังสือประวัติศาสตร์ แล้วก็เริ่มค้นหา กลิ่นกระดาษเก่ากรอบทำให้เขากระตือรือร้นขึ้นมาทันที ใจเต้นไม่น้อยเมื่อได้มาอยู่ในที่ที่มีหนังสือตำรามากมายที่สุดในชีวิต เขาเคยเข้าออกห้องทรงพระอักษรของเสด็จพ่ออยู่บ่อยๆ แต่แน่นอนว่าที่นั่นไม่ได้กว้างใหญ่และมีหนังสือมากมายหลากหลายถึงเพียงนี้ อาเมียร์เที่ยวดูตามชั้นหนังสือต่างๆ ได้ไม่นานก็หอบหนังสือเต็มอ้อมแขน วางบนโต๊ะไม้ซึ่งเรียงเป็นแถวในมุมหนึ่งของห้อง ก่อนจะเริ่มพลิกอ่านทีละเล่ม แล้วจดลงม้วนกระดาษที่เตรียมมา
รอบด้านเงียบกริบ ร้างเงาผู้คน เขาจึงทำงานอย่างมีสมาธิไปตลอด...จนกระทั่งได้ยินเสียงพูดใกล้ๆ
“หนังสือเยอะเป็นตั้งขนาดนั้น...อย่าบอกนะว่าจะจดทั้งหมด”
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น เห็นชายคนหนึ่งจ้องมองเขา ชายนั้นวัยราวยี่สิบกว่าๆ สวมเสื้อคลุมแขนยาวแบบเรียบๆ สีน้ำเงินทึม ผิวค่อนข้างคล้ำ ผมสีดำยาวปรกต้นคอ ไรหนวดเขียวจางๆ เหมือนไม่ได้โกนมานาน นัยน์ตาสีน้ำเงินของเขาเบิกกว้างคล้ายตานกฮูก
อาเมียร์กะพริบตาปริบๆ ไม่ทันนึกคำตอบ อีกฝ่ายก็พูดต่อ
“ยืมออกไปได้นี่...ถึงจะไม่ทุกเล่มก็เถอะ เจ้าเป็นนักศึกษาปีแรกใช่ไหม เขาให้ยืมสูงสุดได้เจ็ดเล่ม เลือกยืมออกไปอ่านน่าจะประหยัดเวลากว่า แล้วนี่สอบหรือทำงานวิชาอะไร ทำไมใช้หนังสือเยอะหลายเรื่องขนาดนี้”
“เปล่า” เด็กหนุ่มเพิ่งตั้งสติได้หลังจบสารพัดคำถาม “ข้าไม่ใช่นักศึกษาที่นี่”
“อ้าว !” ชายหนุ่มอุทาน “แล้วจะเอาไปทำอะไรตั้งมากมาย”
“คือข้า...” อาเมียร์เริ่มไม่แน่ใจว่าจะตอบอย่างไรดี “...จดให้คนอื่น”
“คนอื่นนี่ใคร เพื่อนหรือ” อีกฝ่ายขมวดคิ้ว เหมือนจะบอกทางสีหน้าและสายตาว่าเพื่อนคนนั้นช่าง ‘กินแรงเพื่อน’ ไม่น้อย
“...ลูกศิษย์”
ชายหนุ่มยิ่งมีสีหน้างุนงงกว่าเดิม
“ลูกศิษย์? เจ้าเป็นอาจารย์แล้วหรือ ยังดูอายุน้อยอยู่เลย แล้วลูกศิษย์อายุเท่าไร เด็กที่ไหนต้องเรียนตำราขั้นสูงขนาดนี้”
“ข้าเป็นอาจารย์ของลูกชายเจ้ามณฑลยาร์ลาธ คนที่จะเข้าพิธีสยุมพร” เด็กหนุ่มตัดสินใจตอบตามตรง
“...อ้อ” ชายหนุ่มเงียบไปนาน แล้วก็พยักหน้าช้าๆ “ข้าจำได้แล้ว คนที่มีข่าวว่าเป็นชาวทะเลทรายเหมือนกันนี่เอง”
“เหมือนกัน...หรือ”
“ตายายข้าเป็นผู้อพยพจากทะเลทราย ว่าไป...อย่างข้าก็เรียกได้ว่าลูกครึ่งชาวทะเลทรายนั่นล่ะ” เขาขยายความ
“อย่างนี้นี่เอง” อาเมียร์หายแปลกใจกับลักษณะผิวคล้ำผมดำผสมตาสีน้ำเงินของคู่สนทนา “ท่านเป็นนักศึกษาที่นี่หรือ”
“ใช่” ชายหนุ่มเกาศีรษะ “หวังว่าจะได้เลื่อนขั้นเป็นบัณฑิตชั้นโทเร็วๆ นี้...ถ้างานวิจัยที่ข้าทำอยู่เสร็จเรียบร้อยดี”
“ข้าชื่ออาเมียร์ ยินดีที่ได้รู้จัก” เด็กหนุ่มส่งมือให้เขาก่อน
“ข้าชื่อซูฮาล” อีกฝ่ายจับมือของเขาเบาๆ ด้วยมือที่ออกผอมแห้ง “เจ้าอายุเท่าไรหรือ”
“สิบเจ็ด...เข้าฤดูใบไม้ผลินี้ก็สิบแปด”
“ยังเด็กอยู่จริงๆ ด้วย” ซูฮาลเปรยทึ่งๆ “ข้านึกว่ายี่สิบต้นๆ แต่หน้าเด็กกว่าวัยเสียอีก ไปร่ำเรียนมาจากที่ไหนล่ะนี่”
“ข้า...เอ่อ...เคยเรียนตอนอยู่ทางใต้ พอย้ายมาที่นี่ก็ศึกษาเอง”
“แสดงว่า...ตระกูลของเจ้าก็ยิ่งใหญ่ไม่น้อยใช่ไหม มีเชื้อสายสุลต่านหรือข่านเผ่าไหนหรือเปล่า”
“ก็...ประมาณนั้น” เด็กหนุ่มรับสมอ้างเพื่อตัดปัญหา
“แล้วทำไมถึงอพยพมาที่นี่ล่ะ อยู่ที่นั่นพร้อมหน้ากับญาติน่าจะสุขสบายดีไม่ใช่หรือ”
“ที่จริง ครอบครัวข้าไม่มีอำนาจอะไร เป็นแค่เชื้อสายปลายแถวเท่านั้นเอง” อาเมียร์ออกตัว เมื่อครู่เขารีบพูดจนลืมนึกไปว่าคนชั้นสูงของดินแดนทะเลทรายคงไม่อพยพเข้าธีร์ดีเร...หากไม่มีเหตุจำเป็นจริงๆ ผิดกับคนระดับล่างที่อยากแสวงหางานและโอกาสในดินแดนอื่น
“อือม์” ซูฮาลพยักหน้าง่ายๆ เด็กหนุ่มคิดว่าดีแล้วที่เขาไม่ติดใจเรื่องนั้น “ว่าแต่...เจ้าเคยอยู่เมืองเชรัมบาหรือเปล่า”
“เชรัมบา...” อาเมียร์ขมวดคิ้ว คุ้นกับชื่อนั้นอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็นึกไม่ออกว่าเป็นที่อย่างไร หรือเคยไปเมื่อใด “คงเคยเดินทางผ่าน แต่ไม่เคยอาศัยอยู่แน่ๆ”
ท่านอามักเลือกอยู่กับเผ่าทะเลทรายที่ท่านเคยรู้จัก ไม่ก็เผ่าที่จ้างให้รบหรือคุ้มกันพวกเขา อาจเข้าเมืองใหญ่สองสามครั้งเพื่อซื้อหาของจำเป็น แต่เด็กหนุ่มจำไม่ได้เลยว่าตนเคยอยู่ในเมืองใหญ่
กระนั้น...อาเมียร์ยังรู้สึกเหมือนมีภาพรางๆ ซ่อนอยู่ในมุมหนึ่งของความทรงจำ...โถงหินใหญ่...เหมือนแปลกตาแต่คุ้นเคย...เงาคนมากมาย...นาสิราอยู่ในนั้นเช่นเดียวกับท่านอา......ที่นั่น......
อาการปวดวาบในศีรษะทันใด อาเมียร์ยกมือขึ้นกุมหน้าผาก เผลอร้องออกมาโดยไม่ทันห้าม
“ป...เป็นอะไรไปหรือ” ซูฮาลถามเสียงตื่นๆ เด็กหนุ่มหลับตา ความปวดค่อยๆ จางหายในไม่ช้า
“ไม่มีอะไร จู่ๆ ก็ปวดหัวแปลบขึ้นมา คง...อ่านหนังสือมากไป” อาเมียร์พูดไม่ให้อีกฝ่ายเป็นห่วง
ซูฮาลยิ้มแห้งๆ เหมือนรู้จักอาการนั้นดี เขาบอกให้เด็กหนุ่มพักผ่อนสายตาบ้างหากล้า แล้วก็ดึงเก้าอี้เข้ามานั่งคุยต่อเรื่องเมื่อครู่
“เสียดายจริง ข้าอยากถามเรื่องฝูงปีศาจปิดล้อมเชรัมบาเมื่อสามปีก่อนสักหน่อย เจ้าได้ข่าวบ้างไหม”
อาเมียร์งุนงง สามปีก่อนเขายังอยู่ในดินแดนทะเลทราย ซึ่งได้ชื่อว่าข่าวลือใดๆ ก็ตามแพร่กระจายรวดเร็วราวไฟลามทุ่ง แต่ทำไมจึงไม่มีเรื่องทำนองนี้ เด็กหนุ่มนึกออกแล้วว่าเชรัมบาตั้งอยู่ที่ใด เมืองนั้นใหญ่พอสมควร หากมีปีศาจยกโขยงมาปิดล้อมเมืองจริงๆ เผ่าทั้งหลายในทะเลทรายคงยิ่งกว่าโจษจันหวาดผวา คำพูดของซูฮาลจึงฟังดูราวคำร่ำลือไร้มูลในธีร์ดีเร เช่นเรื่องที่ชายคนทรายมีภรรยามากกว่าห้านางไปทุกคน
“ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องอย่างนั้นเลย แล้วอีกอย่าง...ข้าไม่คิดว่าปีศาจมีจริง”
ซูฮาลกะพริบตาปริบๆ
“เจ้าไม่เชื่อเรื่องปีศาจหรือ”
เด็กหนุ่มสั่นศีรษะทันที
“แล้ว...เวทมนตร์ล่ะ”
อาเมียร์นิ่งไป เขาเคยเชื่อ...เมื่อเสด็จแม่อ้างตนเป็นธิดาแห่งอมตเทพ ทำพิธีพิสูจน์ต่อหน้าประชาราษฎร์ด้วยการตัดแขนของตนขาดจากร่าง ก่อนจะต่อกลับเหมือนเดิมไร้รอยแผล แต่บัดนี้เด็กหนุ่มไม่แน่ใจว่านั่นเป็นความจริงหรือไม่ หลังจากนั้นแม่ไม่แสดงตนเป็นธิดาแห่งองค์เทพเจ้าหรือทำสิ่งใดที่เรียกได้ว่า ‘เวทมนตร์’ อีก แม่ไม่เคยพูดถึงพิธีนั้นเลย และเมื่อเขาถามขึ้นครั้งหนึ่ง ท่านก็บอกว่าทั้งหมดเป็นเพียงมายากลเพื่อสร้างศรัทธาของประชาชนเท่านั้น
“เจ้าเคยได้ยินใช่ไหม” ซูฮาลถามต่อ “ว่าพวกนักบวชแห่งอารามสุริยเทพใช้เวทมนตร์แห่งแสงได้ ถ้าเป็นจริง ก็แสดงว่าเทพเจ้าแห่งแสงสว่างที่เป็นผู้ประทานอำนาจเวทมนตร์มีจริง และถ้าพวกเขาเชื่อว่าปีศาจที่ถือกำเนิดจากความมืดมีจริงเช่นกัน ปีศาจก็ย่อมใช้เวทมนตร์ที่น่าจะเป็นขั้วตรงข้ามของเวทมนตร์แห่งแสงสว่าง นี่ข้าพูดตามหลักของเผ่าผู้บูชาวิญญาณทางตะวันออก ที่เชื่อว่าทุกสิ่งย่อมต้องมีคู่ตรงข้ามเพื่อสร้างสมดุลในโลก เช่น พระอาทิตย์กับพระจันทร์ กลางวันกับกลางคืน ชายกับหญิง หรือแสงสว่างกับความมืดน่ะ”
“เอ...” อาเมียร์เริ่มไม่แน่ใจกับตรรกะของอีกฝ่าย “เรื่องนี้ข้าไม่รู้จริงๆ ข้าไม่เคยเห็นเวทมนตร์ แล้วถ้าพวกนักบวชของสุริยเทพใช้เวทมนตร์ได้...ก็คงใช้เรียกศรัทธาของพวกสาวกนานแล้วไม่ใช่หรือ”
เด็กหนุ่มไม่เชื่อว่ามีเทพเจ้า...ไม่ว่าองค์ใดก็ตาม สงครามที่ทำลายอาณาจักรของเขาเกิดจากพวกสาวกสุริยเทพ ซึ่งต้องการทำลายอำนาจของอมตเทพ แต่หากอมตเทพมีจริง...ก็ควรคุ้มครองเสด็จพ่อกับพสกนิกรทั้งมวลให้รอดปลอดภัย ส่วนหากสุริยเทพมีจริงและเห็นพวกเขาเป็นภัย...ก็คงมีอำนาจสร้างพายุไฟเผาทำลายคนของอมตเทพจนสิ้นในคราวเดียวเหมือนในตำนาน ไม่ต้องให้ผู้ศรัทธาของตนล้มตายอีกมากมาย เช่นนี้แล้ว สุริยเทพจะเป็นเทพที่ทรงอำนาจและเมตตาเหมือนที่พวกสาวกชอบกล่าวอ้างได้อย่างไร
ใช่ เขาไม่เชื่อว่ามีเทพเจ้า มีแต่มนุษย์ที่อ้างเทพเจ้ามาบังคับคนอื่นให้ทำตาม...หรือฆ่าฟันคนที่คิดไม่เหมือนตัวเท่านั้นเอง
“ก็...พวกเขาบอกว่าเวทมนตร์ที่เทพเจ้าประทานให้มีเพียงมนต์ต่อต้านและชำระล้างความมืดเท่านั้น” ซูฮาลตอบ “คราวเชรัมบา ได้ยินว่าอารามหลวงส่งคณะพระเถระไปปราบสำเร็จ แต่ไม่มีรายละเอียดว่าปีศาจเป็นอย่างไร มีอำนาจอย่างไร ข้าเลยอยากรู้เรื่องนี้”
“ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้จริงๆ ว่าแต่ทำไมท่านสนใจเรื่องเชรัมบา ปีศาจ กับเวทมนตร์นักหรือ”
“นั่นล่ะงานวิจัยของข้า” ซูฮาลพูดพลางเสยผมอย่างประหม่า “ข้าทำงานวิจัยเรื่องการมีอยู่ของเวทมนตร์และปีศาจ ทีแรกว่าจะใช้กรณีศึกษาเรื่องตำนานอาณาจักรมนตราที่ล่มสลาย แต่อาจารย์บอกว่าเรื่องนั้นเป็นเพียงตำนาน หรือต่อให้จริงก็หาหลักฐานยืนยันไม่ได้เพราะเก่าแก่เกินไป เลยว่าจะยกเหตุการณ์ที่เชรัมบาเป็นกรณีศึกษาแทน ไม่ก็เสริมกันทั้งสองเรื่อง”
“...เก่าแก่เกินไป” อาเมียร์ยิ่งขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม “หมายความว่าอย่างไรกัน”
“ก็...มันเรื่องตั้งพันๆ ปีก่อน...ไม่ใช่หรือ”
เด็กหนุ่มตกใจมาก แต่ครั้นจะแย้งว่าเขามาจากที่นั่น...อยู่ในเหตุการณ์นั้น...เพียงห้าปีก่อนเท่านั้นเอง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงพูดของบุคคลที่สาม
“เจ้ามาที่นี่ด้วยหรือ”
อาเมียร์หันไป เห็นชายอีกคนที่ดูอายุน้อยกว่าซูฮาลแต่มากกว่าเขา มีผมสีทองจางกับนัยน์ตาสีฟ้าเย็น เขาจำอีกฝ่ายได้ดี...แม้สวมชุดลำลองที่ดูภูมิฐานแบบชนชั้นขุนนาง ไม่ใช่เกราะโซ่ทับด้วยผ้าคลุมที่มีตราสัญลักษณ์อาณาจักรธีร์ดีเร
“สวัสดี...ท่านราชองครักษ์ดูลัส” เด็กหนุ่มไม่รู้จะตอบอย่างไร จึงตัดสินใจทักทายตามธรรมเนียม
“สวัสดี” คนตอบมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย เขาปรายตามองตั้งหนังสือที่เด็กหนุ่มวางไว้บนโต๊ะ แล้วก็เปรย “หนังสือที่ข้าหาอยู่นี่เอง”
“เล่มไหนหรือ ถ้าท่านจะใช้ต่อ ข้าจะรีบจดเล่มนั้นให้เสร็จก่อน” อาเมียร์เสนอ
“ไม่เป็นไร” ดูลัสตอบง่ายๆ “ข้าอ่านจบหมดนี่แล้ว เพียงแต่คิดว่าหากทบทวนอีกสักรอบได้ก็ดี แต่ไม่จำเป็น ลูกศิษย์เจ้าล่ะ”
“อยู่ชั้นอื่น เราแยกย้ายกันหาหนังสือ จะได้เร็วขึ้น” เด็กหนุ่มพูดตามตรง มององครักษ์หนุ่มพลางคิดถึงเรื่องที่ท่านอาเคยบอก...ว่าคนคนนี้ไม่ควรเป็นทั้งมิตรและศัตรู อีกฝ่ายไม่ได้ตีสนิท แต่ก็ไม่ถึงขั้นหาเรื่องหรือหยาบคาย เดาไม่ถูกเลยว่าต้องการเป็นมิตรจริงหรือลวงให้ตายใจ
“เอ่อ...” ซูฮาลพูดอย่างลังเล “พวกท่านรู้จักกันด้วยหรือ”
ความเงียบเกิดขึ้นชั่วอึดใจ ก่อนดูลัสจะเป็นฝ่ายตอบ
“เราเคยเจอกันสองสามครั้ง ตอนข้าไปอารักขาเจ้าหญิงที่ยาร์ลาธ ท่านซูฮาลรู้จักเขาด้วยหรือขอรับ”
“ที่จริงข้าก็เพิ่งพบเขาวันนี้เอง...”
เด็กหนุ่มมองภาพตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ องครักษ์หนุ่มพูดกับซูฮาลอย่างสุภาพ ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายเป็นเพียงสามัญชน ซ้ำเป็นลูกครึ่งผู้อพยพ ดูลัสถามเรื่องงานวิจัยของซูฮาล และบอกอาเมียร์ว่าเมื่อเสร็จสิ้นการทดสอบ เขาน่าจะลองสอบเข้าวิทยาลัยหลวงดู เพราะหากมีฐานะบัณฑิตจากวิทยาลัยหลวงเป็นเครื่องรับรอง จะก้าวหน้าในราชการได้ไม่ยาก ถึงไม่รู้เจตนาของคนพูด เด็กหนุ่มก็ขอบคุณตามมารยาท ไม่นานดูลัสก็ขอตัว โดยทิ้งท้ายว่าเสียดายที่ยังไม่ได้เจอเฟลิม แต่ไม่นานคงได้พบกัน และตอนนี้เขาเองก็มีเรื่องต้องค้นคว้าเช่นกัน
“ท่านรู้จักเขาได้อย่างไร” อาเมียร์ตั้งคำถามกับซูฮาล ทันทีที่ลับร่างองครักษ์หนุ่ม
“เราเจอกันในชั้นเรียนบางวิชา” ชายหนุ่มบอก “เขาเพิ่งจบเป็นบัณฑิตชั้นตรีเมื่อปีที่แล้ว”
“หือม์...” อาเมียร์รับอย่างไม่อยากเชื่อ “ก่อนเข้าเป็นราชองครักษ์หรือ”
“เปล่า รับราชการไปด้วย เรียนไปด้วย ไม่ค่อยได้เข้าเรียนหรอก นานๆ ถึงมาสอบที แต่ยังได้คะแนนเป็นลำดับต้นๆ อยู่ทุกครั้ง มีคนลือว่าเขานอนแค่วันละสามชั่วโมง ถึงได้อ่านหนังสือเองทัน”
เด็กหนุ่มกะพริบตาปริบๆ นึกไม่ถึงเลยว่าดูลัสเป็นคนที่มีความสามารถเพียงนั้น
“คนที่นี่เก็งว่าเขาน่าจะได้เป็นราชาองค์ต่อไป ข้าก็ว่าดีเหมือนกัน เขามีความรู้ความสามารถพร้อมกว่าหลายคน” ซูฮาลออกความเห็น
“แล้ว...ลูกขุนนางอื่นๆ ที่เรียนจบจากที่นี่เหมือนเขาล่ะ”
“มีน้อย พวกที่สอบคัดเลือกไม่ผ่านแต่ใช้เงินทองเข้ามาก็มี แต่ก็ใช่จะเรียนจบออกไปง่ายๆ ถึงจบก็ได้คะแนนแบบลูกผีลูกคน ไม่น่าอวดให้ภูมิใจหรอก” ชายหนุ่มโคลงศีรษะ “เอาเถอะ ที่จริงข้าไม่ควรพูดอย่างนี้กับอาจารย์ของผู้ทดสอบอีกคนหนึ่งเลย วางใจได้ ข้าไม่เคยได้ข่าวเสียหายเกี่ยวกับลูกชายท่านเจ้ามณฑลยาร์ลาธ ถึงเขาจะไม่เคยเรียนที่นี่ ข้าก็อวยพรให้ใครก็ตามที่มีทั้งความสามารถและคุณธรรมพร้อมได้เป็นราชาองค์ต่อไปนั่นล่ะ”
“ขอบคุณมาก ท่านซูฮาล” เด็กหนุ่มยิ้มจากใจจริง ทำให้อีกฝ่ายเกาศีรษะอย่างเก้อๆ
“อะไรกัน ข้าก็แค่พูดตามความจริง ว่าแต่...ถึงอย่างไรข้าก็เห็นว่าเอาหนังสือไปอ่านน่าจะดีกว่านั่งจด เดี๋ยวข้ายืมให้เจ้าก็แล้วกัน”
“ไม่เป็นไรหรอก ข้าเกรงท่านลำบาก” อาเมียร์รีบปฏิเสธ
“ลำบากอะไร เห็นคนขยันอย่างนี้ข้าชอบ...ข้าก็อยากช่วย เลือกมาสามสี่เล่มเถอะ ข้าทำงานเสริมเป็นผู้ช่วยอาจารย์ด้วย เลยยืมได้มากกว่านักศึกษาทั่วไปนิดหน่อย”
เด็กหนุ่มคิดตามแล้วก็เห็นดีด้วย เพราะถึงอย่างไรเขากับเฟลิมคงต้องกลับมาที่นี่อีกในวันต่อๆ มา จึงได้ตกลงรับ ซูฮาลจึงช่วยขนหนังสือไปยังชั้นที่เฟลิมอยู่ เพื่อดูว่าอีกฝ่ายมีหนังสือที่ต้องการยืมกลับไปมากกว่าหรือไม่
ผลปรากฏว่าหลังแนะนำให้บัณฑิตหนุ่มกับลูกศิษย์รู้จักกัน เฟลิมก็ยกให้อาเมียร์ตัดสินใจว่าจะยืมเล่มใดกลับไป เมื่อเรียบร้อย ซูฮาลจึงกลับไปทำงานของตน โดยนัดลงมาเจอกันในโถงชั้นล่างในตอนใกล้เที่ยง เพื่อออกไปรับประทานอาหารกลางวันด้วยกัน แต่การยืมหนังสือออกไม่ง่ายดายอย่างที่คิด...
“ขอโทษนะ เจ้ายืมหนังสือครบกำหนดเล่มแล้วซูฮาล มีเกินเวลามาสองเล่ม...ตั้งแต่เดือนที่แล้ว สิริรวมค่าปรับตอนนี้หกสิบวีร์” บรรณารักษ์ตอบ หลังจากดูบัตรยืมหนังสือในซองไม้ที่เรียงเป็นแถวยาว
“ห...หกสิบวีร์ !” คนที่ต้องเสียเงินจำนวนนั้นแทบตาเหลือก “นั่น...นั่นค่ากินอยู่ของข้าอาทิตย์หนึ่งเชียวนะ !”
“เจ้าก็หัดตรวจสอบกำหนดคืนหนังสือเสียบ้างสิ อย่าบอกนะว่าหมกตัวอ่านเรื่องเวทมนตร์จนลืมวันลืมคืน เหมือนถูกเวทบิดผันกาลเวลาจริงๆ” บรรณารักษ์ซึ่งดูจะรู้จักคนยืมดีพูดจนอีกฝ่ายคอตก
“โธ่...ซูฮาลผู้โง่เขลาเอ๋ย” เจ้าของชื่อคราง “ทำไมเจ้าถึงไม่ตรวจสอบให้ดีว่าถึงเวลาคืนหนังสือแล้ว...หกสิบวีร์...เสียไปเปล่าๆ ตั้งหกสิบวีร์ทีเดียว...”
“ไม่เป็นไรหรอก ท่านซูฮาล” อาเมียร์พยายามพูด “หากยืมไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ท่านมีน้ำใจจะช่วยยืมให้ พวกเราก็ยินดีมากแล้ว”
“ใช่ขอรับ” เฟลิมเสริม “เดี๋ยวพวกเราช่วยจ่ายค่าปรับก็ได้”
ถึงอย่างนั้น ซูฮาลก็ปฏิเสธ และไม่วายขอโทษขอโพยซ้ำอีกสี่ห้าครั้ง อาเมียร์จึงตัดบทว่าควรรีบไปที่โรงอาหารก่อนที่นั่งเต็ม ส่วนเรื่องยืมหนังสือไว้วันถัดมาก็ได้
* * * * *
“ท่านซูฮาลเป็นคนเอื้ออารีดีนะขอรับ” เฟลิมเปรยขณะเดินกลับจัตุรัสกับอาเมียร์ “พอได้เจอเขากับเห็นวิทยาลัยหลวงจริงๆ ก็เสียดายที่ข้าไม่ลองสอบเข้าดูตั้งแต่ตอนนั้น”
“หือม์” เด็กหนุ่มผมดำเพิ่งรู้เรื่องนี้ “ทำไมล่ะ”
ชายหนุ่มยักไหล่
“ท่านพ่อว่าจะให้ลองสอบดู แต่ท่านแม่เป็นห่วง ไม่อยากให้ข้ามาอยู่เมืองหลวงคนเดียวขอรับ ไม่สิ...ถึงรูอาร์คจะมาด้วยก็ยังเป็นห่วง ข้าเลยบอกท่านพ่อท่านแม่ว่าข้าเฉยๆ เรื่องเข้าวิทยาลัยหลวง อยากอยู่ยาร์ลาธกับทุกๆ คนมากกว่า”
อาเมียร์ยิ้มแห้งๆ อดคิดไม่ได้ว่าให้รูอาร์คมากับเฟลิมอาจน่าเป็นห่วงมากกว่าด้วยซ้ำ...ยิ่งเมื่อเห็นการ ‘ออกลาย’ ของอดีตคนเมืองหลวงติดละครชัดเจนตั้งแต่วันแรกที่มา ทว่าสิ่งที่ชายหนุ่มพูดต่อด้วยเสียงแผ่วเบาเป็นเรื่องที่เขาไม่เคยคาดคิด
“แต่ที่จริง...ข้ากลัวไปหลายอย่างขอรับ กลัวสอบไม่ผ่านแล้วใครๆ ดูถูกลับหลัง ข้ารู้ตัวว่าตัวเองหัวไม่ดี เรียนหนังสือไม่เก่ง กลัวท่านพ่อจะยอมเสียเงินทองมากมายไปเปล่าๆ เพื่อให้คนหัวทึบอย่างข้าได้ชื่อว่าจบจากวิทยาลัยที่ดีที่สุด ถ้าเป็นอย่างนั้น...ใครๆ ก็ต้องรู้ความจริง ข้าจะทำให้ครอบครัวผิดหวัง ทำให้ใครๆ ดูถูกไม่เพียงข้า...แต่รวมถึงพวกเขา”
“ท่านเฟลิม...” อาเมียร์พยายามให้กำลังใจอีกฝ่าย “ท่านไม่ใช่คนหัวทึบเลย ข้าเห็นว่าท่านขยันและเรียนดีด้วยซ้ำ คนเราถ้ามั่นใจในตัวเองและพากเพียรอย่างจริงจัง...คงมีน้อยเรื่องที่ทำไม่สำเร็จ ข้าพูดจริงนะ”
“ขอบคุณขอรับ อาจารย์” เฟลิมยิ้มจางๆ “เพราะได้เรียนกับอาจารย์นี่ล่ะขอรับ ข้าถึงรู้สึกดีขึ้น ตอนแรก...ข้าคิดว่าข้าไม่มีทางเป็นราชาได้หรอก ข้าไม่อยากเป็น กระทั่งเจ้ามณฑลยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นได้เลยด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้...ข้ากลับคิดว่าจะทำให้เต็มที่ขอรับ
“ข้าเคยคิดว่าชีวิตตัวเองมีความสุขดีแล้ว อยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ก็พอ ไม่ต้องไขว่คว้าอำนาจหรือลาภยศอะไรหรอก แต่พอได้ฟังเรื่องที่เกิดกับลีชา...ข้าก็เห็นจริงอย่างที่อาจารย์บอก ข้าอยู่ในที่ที่มีความสุขและปลอดภัย ขณะที่คนอีกมากมายในอาณาจักรไม่เป็นอย่างนั้น ข้าควรช่วยเหลือพวกเขาเท่าที่ทำได้ แม้แต่รูอาร์คที่ใครๆ เห็นว่าเอาแต่ทำเรื่องไม่เป็นแก่นสารยังช่วยให้ลีชาพูดได้อีกครั้ง...ข้าก็น่าจะทำอะไรสักอย่างได้เหมือนกัน ความกลัวของข้า...เมื่อเทียบกับความทุกข์ของคนอื่นๆ แล้วเป็นเรื่องเล็กน้อยและเห็นแก่ตัวเหลือเกิน”
อาเมียร์พูดไม่ออกอย่างสิ้นเชิง เฟลิมไม่ใช่คนที่พูดน้อยจนเกินไป แต่ก็ไม่เคยบอกความคิดความรู้สึกของตนตรงๆ อย่างนี้เลย
“เพราะฉะนั้น...ข้าจะพยายามให้เต็มที่ขอรับ ถึงไม่ได้ข้าก็ไม่เสียอะไร ยังพยายามดูแลชาวยาร์ลาธให้มีความสุขได้นี่ขอรับ”
“ใช่” เด็กหนุ่มผมดำยิ้มรับ “ข้าเองไม่อยากให้ท่านเคร่งเครียดกับการทดสอบจนเกินไป แต่ก็หวังว่าราชาองค์ใหม่แห่งธีร์ดีเรจะเป็นคนที่มีความคิดอย่างท่าน...”
กระนั้น อาเมียร์ก็ไม่อาจอวยพรให้เฟลิมกลายเป็นกษัตริย์แห่งธีร์ดีเรจริงๆ ถ้อยคำติดคาในคอเมื่อเขานึกถึงคำที่ท่านอาพูด...ว่าเฟลิมจะมีความสุขกว่าหากไม่ต้องเป็นกษัตริย์ ทว่าเขาไม่ได้บังคับชายหนุ่มไม่ใช่หรือ ถ้าอีกฝ่ายบอกว่าไม่อยากเป็นกษัตริย์และจะไม่พยายาม...อาเมียร์ก็จะไม่ผลักดันเขามากไปกว่านี้ แต่นี่เฟลิมเป็นคนตัดสินใจเอง เด็กหนุ่มคิดว่าตนไม่ได้ทำอะไรผิด
...จริงหรือ...
อาเมียร์กลับตั้งคำถามใหม่เมื่อนึกถึงแอช...ไม่รู้เลยว่าความหวังของตนจะทำร้ายจิตใจว่าที่ราชินีแห่งธีร์ดีเรยิ่งไปกว่านี้หรือไม่
อย่างไรก็ดี เขาไม่อาจแก้ไขสิ่งที่ตนเคยทำ และได้แต่ภาวนาว่าแอชหรือเจ้าหญิงแอชลีนน์จะสามารถรักผู้ที่คู่ควรเป็นราชาได้เท่านั้น
* * * * *
จากคุณ |
:
Anithin
|
เขียนเมื่อ |
:
25 พ.ย. 53 23:21:09
|
|
|
|