Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ตำนานสงครามบัลลังก์เหนือ 1 (รีไรท์) - บทที่ 16 - 20 ติดต่อทีมงาน

ตำนานสงครามบัลลังก์เหนือ
ภาค เจ้าชายไร้บัลลังก์กับเจ้าหญิงไร้อำนาจ

ในเด็กดี

ภาคแรก เจ้าชายไร้บัลลังก์กับเจ้าหญิงไร้อำนาจ
http://writer.dek-d.com/Anithin/writer/view.php?id=471973

ภาคสอง เจ้าชายแห่งความมืดกับเจ้าหญิงแห่งความฝัน
http://writer.dek-d.com/Anithin/writer/view.php?id=623553

- - - - -

ในพันทิพ

บทนำ - บทที่ 5
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W9892447/W9892447.html

บทที่ 6-10
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W9906021/W9906021.html

บทที่ 11-15
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W9924896/W9924896.html

ฉากที่เขียนใหม่ในฉบับรีไรท์

- ต้นกระทู้ ฉากแรก อาเมียร์กลับไปเยี่ยมบ้านก่อนเข้าเมืองหลวง ซิอ์บุลขอพูดด้วยและวิเคราะห์ดูลัสกับเฟลิม


* * * * *

ขอคุยก่อนเข้าเรื่อง

และแล้วก็ได้รับผลที่นั่งลุ้น...ว่าเรื่องนี้ก็คงต้องสู้กันต่อไป ภาคแรกยังไม่แน่นอนว่าจะได้เป็นเล่มในเร็ววันได้น่ะครับ

คอมเมนต์ที่ได้มาคือเรื่องไม่กระชับ ค่อนข้างเรียบๆ เรื่อยๆ เกริ่นยาว ซึ่งก็เป็นคอมเมนต์ตั้งแต่ก่อนรีไรท์แล้ว และในตอนนี้ก็ยังมองไม่เห็นว่าจะตัดอะไรออกไปได้อีก เพราะยอมรับว่าภาคแรกเป็นภาคของการปูข้อมูลเบื้องต้นกับพัฒนาตัวละครจริงๆ แล้วค่อยไปไล่ระดับปมปัญหาขึ้นเรื่อยๆ ในภาคต่อๆ มามากกว่า (หรือมีใครเห็นว่ามีฉากไหนในภาคแรก หรือช่วงไหนที่เยิ่นเย้อเกินไปจริงๆ แลกเปลี่ยนความเห็นกันได้นะครับ)

อีกอย่างคือ ด้วยจำนวนหน้าก็อาจจะยาวเกินไป (240 หน้าเอสี่ เป็นพ็อคเก็ตบุ๊คก็คงจะราวๆ 480 หน้า) ซึ่งถ้าภาคแรกตัวเรื่องไม่ได้เพอร์เฟกต์ ภาคต่อๆ มาก็มีความเสี่ยงสูง (เรื่องนี้วางไว้สามภาค) ส่วนแนวเรื่อง แนวทางแฟนตาซีตอนนี้เห็นว่าไม่นิยมแนวเจ้าหญิงเจ้าชาย ล้างแค้น ชิงบัลลังก์กันแล้ว แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่เขียนโดยไม่ได้สนเรื่องของแนวตลาดมาแต่แรก ดังนั้นถ้ามีเวลาและไอเดีย ก็คงจะเขียนกันต่อๆ ไป ถ้าจะมีพักบ้างก็คงจะเป็นช่วงที่ไม่ว่างหรือตันจริงๆ กระมัง

ระหว่างนี้ ถ้ามีที่ไหนสนใจก็คงลองส่งบ้าง แต่ไม่ได้หวังอะไรมาก คิดว่าถ้าเขียนจบสามภาคแล้วยังหาที่พิมพ์ไม่ได้ แต่ยังมีที่รับจ้างพิมพ์แบบ Fastbook อยู่ ก็อาจจะใช้บริการทางนั้น ให้ได้รูปเล่มมากอดกับวางชั้นหนังสือให้อุ่นใจสักหน่อย

อีกทางที่มองเห็นก็คือ เขียนเรื่องสั้นๆ แบบจบในเล่มจริงๆ ให้ตีพิมพ์แล้วมีฐานคนอ่านเพิ่มขึ้น และให้ตัวเองมีชื่อขึ้นมาอีกนิด แบบนี้โอกาสที่เรื่องยาวหลายภาคจะได้ตีพิมพ์ก็อาจจะมีหวังมากขึ้นด้วย

ดังนั้น ถ้ามีเรื่องใหม่ ก็คงจะประชาสัมพันธ์ให้เข้ามาเยี่ยมชมบ้าง แต่ ณ เวลานี้ ก็ขอบคุณผู้อ่านทุกๆ ท่านที่ติดตามอยู่ครับ


* * * * *


บทที่ ๑๖
ผู้ควรเป็นราชัน


“ลูกจะไปนานเท่าไรหรือ” สิมาตั้งคำถามเมื่ออาเมียร์มาบอกลา เข้าฤดูหนาวแล้ว ไม่ช้าจะมีการทดสอบรอบแรก และเด็กหนุ่มก็ต้องเดินทางเข้าเมืองหลวงกับลูกศิษย์ทั้งสอง

“ขึ้นอยู่ว่าท่านเฟลิมทำได้ดีเท่าไร” เขาตอบตามตรง “ถ้าไม่ผ่านรอบแรก แค่เดือนเดียวคงกลับ ถ้าไม่ผ่านรอบสองคงปลายฤดูหนาว แต่ถ้าไปถึงรอบสามได้ ก็กลับฤดูใบไม้ผลิปีหน้าเลย”

หญิงสาวยิ้มเฝื่อนๆ เหมือนเป็นห่วง แต่ไม่พูดอะไรนอกจากกำชับให้ดูแลตนเอง อาเมียร์ได้ยินเสียงหัวเราะแว่วๆ ของนาสิรากับฟาร์ฮานาห์จากนอกบ้าน ที่จริงวันนี้เขาตั้งใจมาคนเดียว แต่เฟลิมกับรูอาร์คขอตามมาด้วย บัดนี้ทั้งสองกำลังสอนน้องสาวของเขาปั้นตุ๊กตาหิมะ ดูเหมือนจะทำตุ๊กตาเจ้าหญิงกับ ‘เจ้าชายเฟลิม’ เพราะนาสิราร้องถามแจ้วๆ ว่าจะทำมงกุฎให้พี่เฟลิมอย่างไรดี

ถึงตอนนี้ อาเมียร์ไม่แน่ใจว่าการส่งเสริมเฟลิมเป็นราชาคือทางเลือกที่ดีที่สุด แต่มันเป็นทางเดียวที่ตนมี เป็นหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ...อย่างน้อยก็ในฐานะอาจารย์ของชายหนุ่ม เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าแอชจะรู้สึกอย่างไร แต่ก็บอกทั้งตนเองกับลูกศิษย์ว่าอย่าคิดจริงจังเรื่องอภิเษกกับเจ้าหญิง ถือเสียว่านี่เป็นการทดสอบความสามารถที่เรียนรู้ฝึกฝนมา และทำให้เต็มที่ก็พอ

ที่จริง แม่คงนึกได้นานแล้ว ว่างานของเขาไม่ต่างจากการพยายามชิงเจ้าหญิงให้เฟลิมทางอ้อม ถึงอย่างนั้น ท่านก็ไม่พูดอะไร เด็กหนุ่มคิดว่าท่านอา...ซึ่งนับแต่คืนลูคนาซัธก็พูดกับเขาเท่าที่จำเป็นจริงๆ คงเงียบไว้เช่นกัน แต่แล้วท่านกลับชวนอาเมียร์ ‘ขึ้นเขาไปตัดฟืน’ โดยไม่คาดฝัน

เป็นข้ออ้างที่เด็กหนุ่มมองออกว่ากุขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน เพราะพอออกไปหยิบขวานกับอดีตนักรบ เขาก็เห็นฟืนวางเรียงแทบเต็มเพิงเก็บเล็กๆ กระนั้นท่านอาก็ไม่พูดอะไร และเดินนำเขาไป ครั้นเฟลิมกับรูอาร์คอาสาไปด้วยก็ปฏิเสธ

ในเมื่อเห็นชัดเจนเช่นนี้ อาเมียร์จึงคิดว่าไม่จำเป็นต้องรีรออีก และถามตรงๆ เมื่อถึงแค่เนินเขานั่นเอง

“ท่านมีเรื่องอะไร”

อดีตนักรบชะงักเท้า หันกลับมามองเขาด้วยสายตาเคร่งขรึม

“ข้า...อยากขอไม่ให้เจ้าไป”

“ข้าดูแลตัวเองได้”

“ข้าได้ยิน” เสียงของท่านอายิ่งเคร่งเครียดและแผ่วเบา “เรื่องที่มีคนพูดกับเจ้า ในคืนลูคนาซัธ”

อาเมียร์พยายามตีสีหน้าเรียบเฉยที่สุด ไม่แสดงความกังวลที่อีกฝ่ายรู้

“แล้วอย่างไร ท่านจะบอกว่าท่านชนะ...เพราะเจ้าหญิงมีความคิดอย่างเดียวกับท่าน ไม่ยอมรับการคลุมถุงชนเหมือนกันหรือ”

ชายวัยกลางคนกลับถอนใจ และเบือนหน้าไป

“ข้าไม่อยากเอาชนะเจ้า อาเมียร์ ไม่เลย” เขาโคลงศีรษะ “ชนะแล้วได้อะไร ไม่มีอะไรทั้งนั้น ข้าพูดเพราะเป็นห่วง”

“ไม่ต้องห่วงข้าหรอก ห่วงลูกๆ ของท่าน กับแม่ กับลีชาเถอะ” เด็กหนุ่มรีบพูด “ข้าโตแล้ว ไม่มีอะไรให้ท่านเป็นห่วง แต่ถ้ากลัวว่าเรื่องที่ข้าทำจะกระเทือนถึงพวกเขา ข้าจะรับเองทั้งหมด หากจวนตัว พวกท่านรีบหนีไปที่อื่น ทิ้งข้าไว้คนเดียวก็ได้”

“ไม่มีใครอยากทิ้งเจ้า” ท่านอาเอ่ยหนักแน่น “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากเห็นข้าเป็นพ่อ แต่ข้าก็รักเจ้าอย่างลูกคนหนึ่ง หัวหน้าของคนพวกนั้น...ชายที่ชื่อดูลัสนั่น...ไม่ใช่คนที่เจ้าควรเป็นศัตรูด้วย และเจ้าไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับการเมืองของที่นี่ มันฉ้อฉล...และอันตรายเกินไป”

“ถ้าทุกๆ คนคิดอย่างท่าน” อาเมียร์โต้เสียงเย็น “ธีร์ดีเรก็จะฉ้อฉลต่อไปตามเดิม ไม่สิ ยิ่งกว่าเดิม หากท่านเห็นกองขยะในบ้าน จะปล่อยมันให้ส่งกลิ่นเน่าเหม็นอยู่ตรงนั้นหรือ“

“...อาเมียร์ เรื่องนี้มันใหญ่เกินไป– “

“เพราะใหญ่ต่างหาก ถึงยิ่งต้องจัดการ” เขาแย้ง “ข้ารู้ขีดจำกัดของตัวเองดี จะทำเท่าที่ทำได้ ไม่หาเรื่องใส่ตัวหรอก”

“ถึงเจ้าไม่หาเรื่อง...เรื่องก็วิ่งเข้ามาหาเองง่ายดาย” อดีตนักรบสบตากับเขาอย่างแข็งกร้าว ความปวดร้าวบางอย่างฉายในดวงตา “ข้าเจอมาพอแล้ว เมื่อก่อนข้าเพียงแต่อยู่ไปของข้า...ไม่คิดเบียดเบียนใคร...หวังความสุขเล็กๆ น้อยๆ ของตัวเอง แล้วเป็นอย่างไร...จู่ๆ เรื่องใหญ่ก็วิ่งมาชนมันยับเยิน ทำให้ข้าแทบกระอักล้มตาย ข้าไม่อยากให้เรื่องแบบนั้นเกิดกับเจ้า”

อาเมียร์รู้สึกเหมือนถูกดวงตาของท่านอาสะกดไว้ นัยน์ตาของท่านคม เป็นสีดำสนิทเหมือนห้วงลึกไร้ก้นบึ้ง...ราวกับมีพลังดึงดูด ผิดกับพระเนตรสีน้ำตาลที่ดูอ่อนโยนของเสด็จพ่อ เด็กหนุ่มเคยได้ยินว่าดวงตาของท่านอากับเขาเหมือนเสด็จปู่ซึ่งสิ้นไปก่อนตนเกิดหลายปี จึงไม่รู้ว่าเหมือนกันจริงหรือไม่

ทว่าเขารู้...อาจเพียงรำไรไม่แน่ชัด แต่ก็เหมือนรู้ว่าเรื่องที่ท่านอาพูดถึงคืออะไร

“หมายถึงเรื่องแม่หรือ”

อดีตนักรบกะพริบตาอย่างสงสัย

“เจ้าจำได้?”

“ถ้าเรื่องที่เสด็จพ่อเคยตรัส ข้าจำได้หมด” อาเมียร์ตัดสินใจตอบสั้นๆ

เสด็จอาพบรักกับเสด็จแม่ซึ่งเป็นธิดาข้าหลวง ถึงขั้นหมั้นหมายกันก่อนเสด็จอาไปรบและหายสาบสูญนานหลายปี มีข่าวว่าท่านตายไปแล้ว เสด็จพ่อจึงได้อภิเษกกับเสด็จแม่ และพอเขาเกิด เสด็จอาก็กลับมา เป็นเรื่องสั้นง่าย ราวกับละครโศกนาฏกรรมที่ไม่รู้จะโทษใคร

“แต่...เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขา” ท่านอากลับแย้ง ทำให้โทสะของเด็กหนุ่มลุกวาบ

“ทำไมจะไม่เกี่ยว !”

ท่านนึกว่าเสด็จพ่อทรงไม่เสียพระทัยหรือ...ที่ชายาซึ่งพระองค์รักกลับรักชายอีกคน...แม่ของโอรสของพระองค์กลับมีชายที่ไม่ใช่พ่อของลูกอยู่ในใจ เสด็จพ่อทรงเจ็บปวด...ส่วนเกินใดจะไม่เจ็บปวด ทั้งเขากับเสด็จพ่อคงรู้สึกเหมือนตนเป็นส่วนเกินในชีวิตของคนรักคู่หนึ่งไม่ต่างกัน

“ข้า...พูดถึงเรื่องตอนเขาไม่อยู่แล้ว เจ้าคงเข้าใจผิดไป ขอโทษด้วย” อดีตนักรบออกตัวในที่สุด...แล้วก็ถอนใจ “ข้ารู้...ว่าต่อให้พูดอย่างไร เจ้าก็จะไม่เปลี่ยนใจ และข้าก็บังคับเจ้าไม่ได้ แต่คงต้องขอให้ระวังตัวให้มาก อย่าทำตัวโดดเด่นเกินไป หรือแสดงออกว่ารู้จักกับเจ้าหญิง มิเช่นนั้นจะมีภัยถึงตัว และ...ไม่ว่าอย่างไรก็อย่าเป็นทั้งศัตรูหรือมิตรกับคนที่ชื่อดูลัส ข้ามองออก เขามองทุกคนอย่างศัตรูในทีแรก ไม่รับใครเป็นเพื่อน รับเป็นแต่บริวารหรือเครื่องมือ และคนอย่างเจ้า เขาจะไม่ไว้ใจ ไม่รับเป็นบริวาร เป็นได้เพียงเครื่องมือที่ใช้แล้วทิ้งเท่านั้น”

อาเมียร์นิ่งอึ้ง ไม่เคยได้ยินท่านอาวิเคราะห์ใครให้ตนฟังละเอียดขนาดนี้ ราวกับคนพูดควรเป็นเสด็จพ่อมากกว่า

“แล้ว...เฟลิมเป็นอย่างไร” เด็กหนุ่มตั้งคำถาม อยากรู้ว่าอีกฝ่ายมองชายหนุ่มเหมือนเขาหรือไม่ “ท่านคิดว่าเขาควรเป็นกษัตริย์หรือเปล่า”

สีหน้าของอดีตนักรบลังเล

“เขาพร้อมจะรับใครๆ เป็นเพื่อนหรือบริวารอย่างเต็มใจ แต่ไม่อยากมีศัตรู และไม่ยอมใช้ใครเป็นเครื่องมือ เขาอ่อนโยนเกินไป” สุดท้ายท่านก็พูดช้าๆ “ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม และไม่แข็งพอ เขา...จะมีชีวิตที่เป็นสุขกว่า หากไม่ต้องเป็นผู้ปกครอง”

อาเมียร์เงียบไป ไม่คัดค้านและไม่ปฏิเสธ เขาเห็นตรงกับท่านอาบางส่วน แต่ก็คิดว่าสิ่งที่เฟลิมขาดยังสามารถเสริมได้...หากมีใครสักคนเต็มใจช่วยชายหนุ่มเพื่อธีร์ดีเรอย่างบริสุทธิ์ใจ

แต่เขาไม่บอกท่านอา คิดว่าท่านย่อมรู้ทันทีว่าคนคนนั้นเป็นใคร และไม่เห็นด้วยที่เด็กหนุ่มจะพัวพันกับการปกครองของอาณาจักรนี้มากขึ้น จึงรีบรับคำ ก่อนตัดบทว่าหากหมดเรื่องพูดแล้วก็ควรรีบกลับ

แล้วคนสองคนจึงได้แบกขวานกลับบ้านโดยไม่ได้ฟืน อาจไม่ได้อะไรเลย...นอกจากความคิดความกังวลที่เพิ่มขึ้นสำหรับต่างฝ่าย แม้เส้นทางที่แยกกันของพวกเขาจะยังแน่ชัด ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง


* * * * *


ที่จัตุรัสใหญ่ของเมืองชั้นใน หิมะฉาบบางๆ บนกระเบื้องแผ่นเล็กซึ่งปูเป็นพื้นสีนวล มีลวดลายคล้ายขดเชือกสีเขียว น้ำเงิน และน้ำตาลสอดสลับกันโดยไร้ปลายตามแบบศิลปะธีร์ดีเร เด็กหนุ่มผมสีดำผู้มาเยือนนครหลวงเป็นครั้งแรกมองยอดอาคารสูงรอบด้านอย่างสนใจ

นครหลวงเมอร์คาห์ตั้งอยู่บนอ่าว มีป้อมกำแพงหินสูงและแข็งแรงล้อมรอบเหมือนเคนมารา ตามธรรมดาเมืองสำคัญในธีร์ดีเร รถม้าของพวกเขาแล่นเข้าประตูเมืองสูงใหญ่ ทหารยามคอยตรวจสอบคนเดินเท้า รถม้า และขบวนสินค้าที่เดินทางเข้าออกอย่างไม่เข้มงวดนัก ถนนสายหลักในเมืองปูแผ่นหิน สองข้างทางมีบ้านก่ออิฐหลังคามุงกระเบื้องตั้งเรียงรายเป็นแถว คล้ายย่านที่อยู่อาศัยของคนชั้นล่างไปจนถึงชั้นกลางในเคนมารา รูอาร์คกระซิบบอกเขาตอนนั่งรถม้าผ่านว่าโรงละครเปิดอยู่แถบนี้ เช่นเดียวกับชุมชนผู้อพยพ และสถานที่ที่พวกคนชั้นสูงเรียกว่า ‘แหล่งเสื่อมโทรม’ อันมีทั้งบ่อน หอโคมแดงระดับล่าง กับรังของพวก ‘หนูท่อ’ ที่เด็กหนุ่มผมแดงเคยพูดถึง

“เข้าไปในกำแพงชั้นในก็เหมือนเป็นอีกโลกหนึ่ง” รูอาร์คทิ้งท้าย

เป็นเช่นนั้นจริง หลังประตูเมืองชั้นในซึ่งเล็กกว่ามีถนนที่สะอาดสะอ้านกว่า และอาคารบ้านเรือนที่เป็นระเบียบกว่า สวนสาธารณะต่างๆ ปรากฏให้เห็นเป็นระยะ ปลูกต้นไม้ใหญ่ที่ถูกหิมะจับกิ่งก้านจนดูเหมือนร่มใบสีขาว สลับกับยอดสนเขียวตลอดปี เฟลิมบอกเขาว่าย่านโรงแรมบ้านพักของขุนนางและเศรษฐีตั้งรวมกันบนถนนสองสามสาย นอกจากนั้นยังมีถนนที่ตั้งร้านขายสินค้าเป็นอย่างๆ เช่น ถนนเครื่องเทศ ถนนเครื่องหอม ถนนผ้าไหมแพรพรรณ ถนนเครื่องเพชร ถนนโรงละครปิด ด้านตะวันออกเฉียงเหนือมีวิทยาลัยหลวงซึ่งกว้างพอกับเมืองย่อมๆ ส่วนพื้นที่ติดทะเลคือท่าเรือ ถนนทุกสายสิ้นสุดที่จัตุรัสใหญ่หน้ามหาวิหารกับสภาเมือง และมีถนนใหญ่สายเดียวตรงไปยังสะพานชักข้ามทะเลสู่พระราชวังหลวง

ตอนนี้ ทั้งสามอยู่ที่จัตุรัสทารา ซึ่งมีแผงขายสินค้าต่างๆ นานากระจายอยู่รอบนอก มหาวิหารแห่งองค์สุริยเทพลูคตั้งเด่นอยู่ใกล้น้ำพุอธิษฐาน ประดับหน้าต่างกระจกสีเขียนลวดลายวิจิตร ยอดหอคอยต่างๆ ของพระราชวังหลวงบนเกาะในอ่าวไม่ห่างชายฝั่งปรากฏลิบๆ ในม่านหมอก เลยไปทางตะวันตกเป็นท่าเรือใหญ่ เห็นเรือสำเภาเล็กราวเรือของเล่นเทียบท่ามากมาย ส่วนหมู่อาคารหินสีเทาที่ดูเก่าแก่ขรึมขลังคือวิทยาลัยหลวง อันเป็นสนามสอบข้อเขียนว่าด้วยหลักการปกครอง การศึก ปรัชญา และประวัติศาสตร์

การทดสอบจะเริ่มอีกห้าวันข้างหน้า ที่จริงพวกเขาไม่จำเป็นต้องมาเมอร์คาห์เร็วขนาดนี้ แต่ท่านเบเรคเห็นว่าเตรียมตัวไว้เนิ่นๆ จะดีกว่า

“หอสมุดของวิทยาลัยมีตำราดีมากมาย เจ้าน่าจะสนใจ แล้วจะได้ช่วยเฟลิมกับรูอาร์คศึกษาเพิ่มเติมด้วย” ท่านกำชับ

อาเมียร์จึงตั้งใจจะพาลูกศิษย์ทั้งสองไปหอสมุดวิทยาลัยในวันแรกที่มาถึง แต่รูอาร์คปฏิเสธทันควัน บอกว่าขี้เกียจหมกตัวกับหนังสือทั้งๆ ที่มาถึงเมืองหลวงทั้งที เขาอ้างว่าถึงอย่างไรตนก็ไม่ใช่ผู้เข้าสอบ ทำไมจะออกไปเดินเล่นตามย่านโรงละคร สืบดูเรื่องที่น่าสนใจในช่วงนี้แทนไม่ได้

เด็กหนุ่มผมแดงยังคะยั้นคะยอให้อาเมียร์มาดูละครด้วยกันสักครั้ง แต่เขาปฏิเสธทันที บทละครแต่ละเรื่องที่รูอาร์คเล่าให้ฟังมักเป็นเรื่องแนวฆ่าล้างแค้นชิงอำนาจ หรือเรื่องรักทั้งแบบโศกปานใจสลายกับสุขสันต์ขำขันซึ่งฟังดูว่างโหวง ไม่ใคร่มีสาระ บางครั้งเด็กหนุ่มผมดำสงสัยด้วยซ้ำว่าชาวธีร์ดีเรเห็นเรื่องแบบแรกบันเทิงได้อย่างไร โดยเฉพาะเมื่อได้ยินรูอาร์คบรรยายฉากสังหารหมู่อย่างสยดสยองคาเวที ครั้นอาเมียร์พูดตรงๆ ว่าเรื่องแบบนั้นไม่มีทางเป็นเรื่องสนุกสนาน เด็กหนุ่มผมแดงกลับหาว่าเขาเคร่งเครียดจริงจังเกินไป

ก็คงถูกของรูอาร์ค อาเมียร์อยากใช้เวลากับเรื่องที่เป็นประโยชน์กว่านี้ บางครั้งเขารู้สึกเหมือนตนกำลังวิ่งไปบนเส้นทางที่ไม่ชัดเจน...แต่ก็ยังพยายามไปให้ไกลที่สุดในหนึ่งวัน...โดยไม่รู้ว่าจะไปสิ้นสุดที่ใด บางทีเขาอยากพัก แต่ก็ไม่อยากเสียเวลาไปเปล่าๆ โดยไม่ได้อะไร จึงมักลงเอยที่อ่านหนังสือปกครองหรือปรัชญาในเวลาว่าง แต่เขาก็เป็นเขา มีวิธีพักผ่อนของตนเอง รูอาร์คคงมีวิธีพักผ่อนของตนเองที่ไม่เหมาะกับเขาเหมือนกัน ต่อให้เป็นแค่การแสดง...จะให้คนที่เคยเห็นศพจมกองเลือดนับสิบอย่างเขาเพลิดเพลินกับภาพการฆ่าฟันได้อย่างไร

สุดท้าย ทั้งสองจึงพบกันครึ่งทาง เด็กหนุ่มผมดำไม่เห็นด้วย แต่ก็ยอมให้ลูกศิษย์ตัวแสบไปตามทางของตน รูอาร์คจึงบอกให้คนขับรถม้ามาส่งพวกเขาที่จัตุรัสกลาง ซึ่งอยู่ระหว่างย่านโรงละครและวิทยาลัยพอดี ทั้งสามจะได้แยกย้ายไปตามสะดวก ถือว่าเดินชมเมืองหลวงที่อาเมียร์ไม่เคยมา และนานๆ ทีเฟลิมกับรูอาร์คจะมาสักครั้งไปในตัว

ทันทีที่กระโดดลงจากรถม้า รูอาร์คก็ทำท่าเท้าสะเอวยืดอกสูดหายใจ พูดว่าอากาศเมืองหลวงในหน้าหนาวเย็นสดชื่นเหมือนเมื่อก่อน แล้วก็โบกมือลาก่อนจะเดินกึ่งวิ่งข้ามลานเงียบเหงาในเช้าฤดูหนาวไปอย่างคนรู้จักทาง คนขับรถม้าบอกเส้นทางไปวิทยาลัยให้อาเมียร์อีกครั้ง แล้วก็ขับจากไป ปล่อยให้เขากับเฟลิมเดินไปตามถนนที่มีต้นไม้ขนาบข้าง

“รูอาร์คเคยอยู่เมืองหลวงจริงๆ สินะ” เด็กหนุ่มเปรย

“เขาบอกอาจารย์แล้วหรือขอรับ” เฟลิมถามอย่างแปลกใจ

“ก็...บอกแล้ว ทำไมหรือ”

“เขาไม่เคยบอกใครเองขอรับว่าเคยอยู่เมืองหลวง เพราะพูดไปก็เท่ากับ...บอกว่าเขาไม่ใช่ลูกของท่านแม่ด้วย เขาบอกอาจารย์เรื่องแม่ของเขาด้วยหรือขอรับ”

“ก็...คร่าวๆ” อาเมียร์ตัดสินใจตอบเป็นกลางไว้ “เขาบอกว่าท่านเบเรคพาเขามาจากเมืองหลวง ตอนที่แม่ของเขาเสีย”

“ใช่ขอรับ” เฟลิมรับ “นั่นคงราวเจ็ดปีก่อน”

“แล้ว...ท่านหญิง ท่านเฟลิม กับคุณหนูฟิเดลมารู้สึกอย่างไรหรือ...ที่จู่ๆ ก็มีลูกหรือพี่น้องเพิ่มมาอีกคน” เด็กหนุ่มอยากถามขึ้นมา

“ท่านแม่ก็เงียบๆ ขอรับ ที่จริงท่านคง...ผิดหวังกับท่านพ่อบ้าง แต่ท่านก็เมตตารูอาร์คดี ส่วนข้า...ในทีแรกลำบากใจเหมือนกันเพราะรูอาร์คโตมาคนละแบบ บางทีก็ทำอะไรไม่เหมือนพวกเราที่จวน แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นน้องของข้า ข้ารักเขา รู้ว่าเขาเป็นคนดี ตอนนี้ข้าเข้ากับเขาได้มากกว่าแต่ก่อน ข้าคิดว่าฟิเดลมาคงคิดอย่างเดียวกัน รูอาร์ครักและเป็นห่วงฟิเดลมาเหมือนกันขอรับ”

ถึงอย่างไรเขาก็เป็นน้อง...อย่างนั้นหรือ

อาเมียร์นึกถึงตนเอง ตอนเป็นเจ้าชาย เขามีพี่สาวน้องสาวต่างแม่ถึงสามคน แต่คงเพราะรู้จักคุ้นเคยวิ่งเล่นกันมาแต่เด็กจึงไม่รู้สึกแปลก คงเพราะเขากับพวกเธอล้วนเกิดจากแม่ต่างคน จึงไม่มีการแบ่งระหว่างน้องแท้ๆ กับน้องแค่ครึ่งเดียว เสด็จแม่ในครั้งนั้นก็วางเฉยที่เสด็จพ่อมีชายามากมายตามโบราณราชประเพณี และที่จริง ท่านเป็นชายาที่อภิเษกในลำดับกลางๆ เสียด้วยซ้ำ เด็กหนุ่มเริ่มสะกิดใจอย่างประหลาดกับเรื่องน้องต่างพ่อแม่ ก็ตั้งแต่รู้ว่าแม่กำลังจะมีนาสิราเท่านั้นเอง

ทว่ามันต่างกันตรงไหนหรือ เฟลิมรักรูอาร์คเหมือนน้องชายแท้ๆ ...ทั้งๆ ที่คิดว่าอีกฝ่ายเป็นลูกของคนที่ทำให้แม่ของเขาเสียใจ รูอาร์คก็รักเฟลิมกับฟิเดลมาเหมือนพี่น้องทั้งๆ ที่รู้ว่าตนเป็นแค่ลูกพี่ลูกน้อง เด็กหนุ่มเคยฟังเรื่องเล่าถึงคนที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด แต่ก็ยังสาบานเป็นพี่น้อง รักใคร่ผูกพันถึงขั้นยอมตายแทนกันได้ เฟลิมกับรูอาร์คเป็นคนแบบที่เขาเองก็อยากสาบานเป็นพี่น้องถ้ามีโอกาส คงเพราะใช้ชีวิตร่วมกัน พูดคุยสารพัดนอกเหนือจากเรื่องเรียน อาเมียร์จึงสนิทกับพวกเขาเช่นนั้น

บางที...สายเลือดคงไม่สำคัญในความเป็นพี่น้องจริงๆ และหากไม่สำคัญในความเป็นพี่น้อง ก็ไม่สำคัญในความรู้สึกฉันเครือญาติอย่างอื่นด้วย บางขณะอาเมียร์รู้สึกเหมือนจะเคารพท่านเบเรคอย่างญาติผู้ใหญ่หรือพ่ออีกคนได้ เพราะท่านแสดงตนว่าปรารถนาดีต่อเขา มอบสิ่งอื่นให้เขามากมายนอกเหนือฐานะนายจ้าง ท่านอาก็เช่นกัน...แต่นั่นคือก่อนเด็กหนุ่มรู้ว่าท่านกลายเป็นพ่อเลี้ยงของเขาไปเสียแล้ว

ใช่ ท่านอารักเขา เขาเองก็รักน้องๆ ทั้งสามที่เป็นลูกของท่านอา แต่เขาคงยอมรับท่านอาในฐานะพ่อไม่ได้...เพราะรู้สึกเหมือนจะทรยศเสด็จพ่อ พระองค์สวรรคตโดยไร้พระราชพิธีปลงพระศพ...ไร้ผู้ไว้อาลัย...ไร้พระชายาที่ครองตนให้จนวันตาย หากอาเมียร์ยอมรับท่านอาเข้ามาแทนในฐานะพ่อ ก็เหมือนลืมเสด็จพ่อไปอีกคน เขารู้ว่ามันไม่ยุติธรรมต่อท่านอากับแม่ แต่ก็ทำไม่ได้ ใจกว้างเช่นเดียวกับเฟลิมไม่ได้

อาเมียร์ไม่รู้เหมือนกันว่าหากอาณาจักรไม่ล่มสลาย เสด็จพ่อยังมีพระชนม์ชีพอยู่จะเป็นเช่นไร เขาคงขึ้นเป็นกษัตริย์ทันทีที่เสด็จพ่อเห็นสมควร เพราะพระพลานามัยของพระองค์ไม่สู้ดีมานานแล้ว คงต้องรับผิดชอบเรื่องมากมาย ไม่รู้จักความฝันสีแดง...แต่ก็ไม่รู้จักคนอย่างเกล็น ลีชา เฟลิม รูอาร์ค หรือแอช ไม่คิดอะไรแบบนี้ ไม่รู้จะสามารถมีใจกว้างเช่นเดียวกับเฟลิม และคู่ควรเป็นราชาหรือไม่...

อาเมียร์ไม่ได้นึกต่อไป เพราะเฟลิมบอกว่าทั้งสองมาถึงวิทยาลัยแล้ว


* * * * *

จากคุณ : Anithin
เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 53 23:20:40




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com