ผมไปเยี่ยมบ้านของเพื่อนที่เคยร่วมงาน ในช่วงวันเสาร์ อาทิตย์ บ้านของเพื่อนอยู่ไกลมาก จากอำเภอหล่มสักไปตามเส้นทาง หล่มสัก-ชุมแพ เส้นทางที่จะเชื่อมต่อกับภาคอีสาน เกือบถึงสะพานห้วยตอง อันสะพานห้วยตองนี้มีลักษณะเด่นที่ผมยังไม่เคยเห็นลักษณะนี้ที่ใดเลย
กล่าวคือ เป็นสะพายที่เชื่อมระหว่าเขาสองลูก เป็นสะพานที่ค่อนข้างยาวเอาการที่พิเศษกว่าที่อื่นก็คือเป็นสะพานที่มีโค้งอยู่กลางสะพานเหมือนรูปพระจันทร์เสี้ยว บริเวณที่เป็นส่วนเลี้ยวโค้งนี้สูงจากพื้นมากเพราะข้างล่างเป็นหุบเหว
มีคนเขากล่าวว่า ถ้าเราไปยืนตรงจุดนั้นเทน้ำลงไปข้างล่างสักแกลลอน น้ำจะไม่ตกลงไปถึงพื้นข้างล่างเพราะเพราะความสูงและเป็นช่องลม ลมจะตีน้ำกระจายเป็นละอองน้ำไปหมด
หมู่บ้านที่เป็นจุดหมายปลายทางผมอยู่ไปทางทิศใต้ของสะพานแห่งนี้ไปตามลำธาร ห่างไปประมาณ 5-6 กิโลเมตรเห็นจะได้ แยกจากถนนหลวงสายหล่มสัก-ชุมแพ เข้าไปจนติดเชิงเขา เข้าไปตามทางลูกรังเต็มไปด้วยหลุมบ่อ เข้าไปประมาณ 7 กิโลเมตร เราต้องเดินเท้าต่ออีกไม่เกิน 3 กิโลเมตร ระหว่างที่เดินไปตามเนินเขา เป็นไร่ร้างที่ถูกละทิ้งแล้ว จะเป็นด้วยเหตุผลกลใดไม่ทราบได้ พื้นที่หลายไร่ แต่จะกี่ไร่ ผมคำนวณไม่ถูก ลักษณะคล้ายเป็นพื้นที่ทำนาดอนมาก่อน บัดนี้กลายสภาพเป็นป่าหญ้าคา หลายแห่งถูกครอบครองด้วยป่าสาบเสือ มีต้นไม้ป่านานาชนิดกำลังชูยอดขึ้นสูงแข่งกับหญ้าคา ผมคิดว่าหากทิ้งไว้ตามธรรมชาติอย่างนี้สัก 5 - 10 ปี บริเวณนี้คงเป็นป่าที่ค่อนข้างสมบูรณ์เพราะสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวยให้ต้นไม้ป่าเจริญเติบโตได้เป็นอย่างดี
ผมคิดเลยไปว่า...ความจริงแล้ว เราไม่จำเป็นต้องรณรงค์ในเรื่องการปลูกต้นไม้ก็คงได้ หากเพียงแต่ดูแล และไม่ไปเผาทำลาย ลูกไม้ที่งอกขึ้นมาใหม่ เพราะธรรมชาติจัดการตัวเองอยู่แล้ว แต่การที่ป่าหมดป่าก็เพราะคนต่างหากที่ทำลาย ตัดแล้วไม่ปลูกทดแทน หรือไม่ก็รุกป่าเพื่อทำไร่
เมื่อใกล้หมู่บ้านเข้าไป สภาพแวดล้อมก็เปลี่ยนไปเป็นนาดอน และสวนผลไม้ ผลไม้ยอดฮิตของที่นี่คือมะขามหวาน กล่าวกันว่า ที่เพชรบูรณ์ โดยเฉพาะที่อำเภอหล่มสัก เป็นมะขามที่มีรสชาติดีที่สุด อยากจะพูดว่าดีที่สุดในโลกคงไม่ผิดนัก เพราะแม้จะนำพันธุ์ไปปลูกที่ไหน ๆ ก็ตาม ในประเทศไทย รสชาติจะเปลี่ยนไป ไม่หวานฉ่ำเหมือนที่นี่ อาชีพของคนที่หมู่บ้านนี้ นอกจากทำไร่ ทำนาดอน ทำสวนมะขามหวานแล้ว การหาของป่าล่าสัตว์รู้สึกจะเป็นเรื่องธรรมดาสามัญของคนที่นี่ หมายังคงเป็นเพื่อนของคน ในฐานะ หมาล่าเนื้อแต่เนื้อในที่นี้คงไม่ใช่เนื้อสมัน เพราะหาไม่ได้แล้ว ส่วนใหญ่ก็ จะเป็นกระต่ายป่า ที่ยังพอหาได้บ้าง แย้ โชคดีอาจได้ตะกวด หรือตัวเงินตัวทองที่ชาวบ้านเรียกว่า เอี้ย และสัตว์เล็กอื่น ๆ แล้วแต่จะพบ และเป็นอาหารได้
เมื่อถึงบ้านของเพื่อน ก็เลยเที่ยง ความรู้สึกหิว เริ่มคุกคาม เมื่อนั่งพักได้ครู่เดียว น้ำในขันโอ (คือภาชนะที่สานด้วยไม้ไผ่ มีลักษณะคล้ายกับขันน้ำขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 25 เซนติเมตรเห็นจะได้ สูงประมาณ 20 เซนติเมตร์ทาด้วยน้ำรักหรือยางรักผสมชาด ) ในโอบรรจุน้ำฝนเย็นชื่นใจไม่ต้องง้อน้ำแข็งเลย มีขันใบเล็กลอยอยู่ถูกนำมาตั้งรับรอง น้ำฝนรสชาติหวาน หวานจริง ๆ นะครับรสชาติต่างไปจากน้ำดื่มที่ต้องซื้อในห้างราคาแสนแพง กลั่วคอแก้คอแห้งเป็นอย่างดี พอบรรเทาความหิวไปได้บ้าง พ่อของเพื่อนยกเหล้าขาวออกมาตั้ง โอ้โฮ..นี่จะว่ากันแต่วันเลยเชียวหรือนี่เพิ่งบ่ายเท่านั้นเอง ......แน่นอนเป็นเหล้าขาวที่ต้มกันเองในหมู่บ้าน บอกว่านี่แหละภูมิปัญญาชาวบ้านป่า ใสเป็นตาตั๊กแตน อาของเพื่อนบอกว่าหยดยาฆ่าหญ้าตามสูตร เมาเร็วดี
.ผมปฏิเสธด้วยคำพูดที่คิดว่านุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะสรรหาได้ในขณะนั้น เพราะชาวชนบทนี่เป็นที่รู้กันว่าการที่ปฏิเสธไม่ดื่นร่วมจอก ถือว่าไม่ให้เกียรติ อาจจะถึงกับเป็นการดูถูกกัน แต่หลังจากที่ผมต้องลงทุนไหว้แล้วไหว้อีกอ้างความจำเป็นต่าง ๆ นานา ข้ออ้างที่ดีที่สุดก็เรื่องสุขภาพนั่นแหละครับ สังเกตว่าเขาคงไม่ถือสาอะไร แต่ผมอดกลืนน้ำลายไม่ได้ เฮ้อ
หยดลงไปทำไม
ยาฆ่าหญ้า
ปลาเค็มทอด ถูกยกมาวางเป็นอันดับแรก นัยว่าเป็นกับแกล้ม ผมหยิบเข้าปาก อืม....กรอบและหอมดีเหลือเกินเพราะเพิ่งทอดเสร็จใหม่ ๆ แต่...แหม เค็มจัง ก็คงเป็นธรรมดาของชาวบ้านชนบทเพื่อจะได้เก็บเป็นเสบียงกรังไว้ได้นาน ๆ แว่วเสียง ฉ่า...ดังออกมาจากในครัว พร้อมกับกลิ่นที่หอมโชยออกมา ยั่วน้ำลายเหลือเกิน ไม่นานนักเนื้อแดดเดียวทอดหอมกรุ่นก็ตามมา อันนี้ค่อยยังชั่วหน่อย เพราะไม่กล้าดื่มเหล้าขาวภูมิปัญญาท้องถิ่น จึงต้องและเล็มกับแกล้มไปพลาง ๆ พอแก้หิว รอจนกว่าอาหารกลางวันจะพร้อม เนื้อนุ่ม หอม แม้จะเค็มไปบ้างแต่ก็อร่อย แต่จะอร่อยกว่าอาหารประเภทเนื้อย่างเนื้อทอดที่ในเมืองหรือเปล่า คงจะเปรียบเทียบไม่ได้ เพราะอาหารประเภทเนื้อวัวและสัตว์ใหญ่นี่ผมงดมานานแล้ว จะมีบ้างก็คงเป็นพวกเนื้อไก่และปลาที่ยังคงกินเป็นปกติ แต่ครั้งนี้ ความหิวมันเรียกร้องช่วยไม่ได้จริง ๆ ซัดเข้าไปหลายชิ้นเชียวละ
ขณะนั้น
ผมสังเกตเห็นน้องหมาหลายตัวมาป้วนเปี้ยนวนเวียนอยู่บริเวณนั้น สองสามตัวถูกตัดแต่งใบหู บางตัวข้างเดียว บางตัวทั้งสองข้างเลย บางตัวยิ่งกว่านั้น โดนตัดหางด้วย ผมอดขำไม่ได้ นึกถึงการตัดแต่งใบหูของหมาพันธุ์โดเบอร์แมน และการตัดหางในน้องหมาพันธุ์พูดเดิ้น สงสัยว่าชาวบ้านแถบนี้นิยมการตัดแต่งใบหู และหาง..ของน้องหมาที่เลี้ยงไว้ด้วยหรือ??? กำลังปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปกับรสชาติของอาหารพื้นบ้าน ผมต้องสะดุดหยุดลง เมื่อพ่อของเพื่อนส่งเสียงไล่หมาบางตัวที่ทำท่าจะลุกล้ำขึ้นมาบนระเบียง ผมอดเหลียวไปมองดูไม่ได้ อ้อ....เจ้าตัวที่ถูกตัดแต่งทั้งหูทั้งหางนั่นเอง
เอ้อ....ที่นี่...เขานิยมตัดแต่งหูหมาด้วยหรือครับ
สวยแปลกๆดีนะ อดถามไม่ได้ ด้วยมองดูแล้วมันก็คือหมาไทยพื้น ๆ ค่อนข้างผอมโซด้วยซ้ำ แต่ถูกตัดแต่งใบหูทั้งสองข้าง แถมตัดแต่งหางด้วยเหมือนกับหมาพันธุ์ แต่ถึงจะตัดแต่งใบหูและหางแล้ว รูปร่างหน้าตามันก็ไม่ได้สง่างามเหมือนโดเบอร์แมนอยู่ดี
เปล่าหรอกคุณ ไม่ได้ตัดแต่งเพื่อความสวยงามอะไรหรอก เขาทำโทษให้มันหลาบจำน่ะ พ่อของเพื่อนตอบยิ้ม ๆ ทำโทษเรื่องอะไรครับ ไอ้เก่งเนี้ย
เมื่อสมัยมันยังหนุ่ม ๆ มันเก่งสมชื่อ
แทนที่จะตอบคำถาม อาของเพื่อนเล่าพลางบุ้ยปากไปทางหมาไทยสีแดง ตัวที่ถูกตัดหูทั้งสองข้าง ตัวนั้น จับกระต่าย จับแย้ได้ไม่เคยพลาด เวลาพามันเข้าป่าเป็นวางใจได้เลย แล้ว.....ยังไงครับ ผมถามงง ๆ อ๋อ..ตอนนี้อายุมันมากขึ้น จับแย้จับหนูไม่ค่อยทัน แล้ว
.. เมื่อจับพลาดก็ต้องมีการลงโทษ เพื่อหลาบจำ โดยการตัดหู?
. ใช่แล้ว..พลาดครั้งที่หนึ่ง ตัดหูข้างหนึ่ง ครั้งที่สองก็หูข้างที่เหลือ แล้วถ้าพลาดอีก.?. ก็ตัดหาง แล้วถ้าพลาดอีกครั้งล่ะ? ผมถามออกไปเหมือนละเมอ
ก็เป็นเนื้อแดดเดียว....อย่างที่คุณกำลังเคี้ยวอยู่นั่นไงครับ
!!!???
จากคุณ |
:
pink_plumeria
|
เขียนเมื่อ |
:
28 พ.ย. 53 10:37:36
|
|
|
|