Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
Valhalla - บทที่ 5 ทะยานสู่ฟากฟ้า (Chapter II - Revolution) ติดต่อทีมงาน

Chapter II
Revolution

….....................................................

บทที่ 5
ทะยานสู่ฟากฟ้า



         ไออ้อน แม็กซิมิเลี่ยน ผู้บัญชาการสูงสุดของวัลฮัลลา กำลังยืนดูบางสิ่งซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางห้องโถงกว้าง ห้องนี้เป็นสถานที่ต้องห้ามซึ่งมีเพียงเจ้าหน้าที่ไม่กี่คนในวัลฮัลลาเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาได้
         สิ่งที่อยู่ใจกลางห้องนั้นคือแท่งผลึกสีเงินหม่นขนาดมหึมา ซึ่งมีสายเคเบิ้ลเชื่อมต่อระโยงระยางนับไม่ถ้วนเป็นตัวช่วยแขวนไว้ให้ลอยอยู่กลางอากาศ
         “ใกล้ถึงเวลาแล้วสินะคะ ท่านนายพล”
         ไออ้อนไม่ได้หันไปตามเสียง เขาเพียงตอบรับหญิงสาวผู้ยืนอยู่ด้านหลังของเขาด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ใช่ ผลจากการเตรียมการอันแสนยาวนาน ในที่สุดก็ใกล้จะถึงวันที่ทุกอย่างพร้อมสรรพเสียที”
         “ในเวลาแบบนี้ ดิฉันควรจะแสดงความยินดีหรือไม่คะ”
         “ตามแต่ใจเธอเถอะ โคลเอ้”
        โคลเอ้ อาฟร่า ผู้ซึ่งได้รับการเลื่อนยศชนิดก้าวกระโดดให้เป็นพันโทตั้งแต่เมื่อ 3 เดือนก่อน สูดลมหายใจเล็กน้อยแล้วตอบรับ “ค่ะ ถ้าเช่นนั้น ดิฉันก็ขอบอกว่า...แสดงความยินดีด้วยค่ะ”
         ไออ้อนหันมามองหญิงสาวเล็กน้อย “เพื่อผลักดันให้โครงการซีกฟรีดดำเนินมาจนถึงจุดนี้ ฉันต้องละทิ้งความเป็นมนุษย์ไปมากขนาดไหนก็ไม่รู้ได้ แต่นั่นก็เพื่อให้เป้าหมายที่ตั้งไว้เป็นจริง”
         โคลเอ้จ้องอีกฝ่ายเขม็ง “ค่ะ หากมันสามารถทำให้มนุษยชาติรอดพ้นจากการถูกล้างเผ่าพันธุ์ได้ละก็...”
         ไออ้อนหันกลับไปมองแท่งคริสตัลแล้วยิ้มขึ้นที่มุมปาก “...ถ้าเช่นนั้น ดำเนินการต่อได้เลย”

…............................................................

         “อีก 30 วินาที จะถึงเป้าหมาย” คอมพิวเตอร์ของยานรบจำลองแจ้งเตือนขึ้น ในขณะที่ภาพบนจอเรดาห์กำลังฉายให้เห็นถึงตำแหน่งของยานข้าศึก
         ขณะนี้ สมาธิของรุยกำลังตื่นตัวถึงขีดสุด เขาโยกคันบังคับยานแล้วควบคุมให้เบี่ยงออกจากเส้นทางที่ข้าศึกกำลังพุ่งเข้ามา แต่แน่นอนว่าการเคลื่อนไหวของยานข้าศึกไม่ได้อ่อนหัดเช่นนั้น มันเคลื่อนตามเส้นทางที่เขาเบี่ยงไปแทบจะในทันที
         กระนั้นรุยก็คาดการณ์ไว้แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ เขากระชากคันบังคับไปยังทิศทางตรงข้ามสุดแรง เพื่อหักเลี้ยวยานอย่างกะทันหันด้วยการตีวงกลับ แล้วเปิดบูสเตอร์เพื่อเพิ่มความเร็วโดยส่งพลังงานทั้งหมดลงไปในบูสเตอร์ ทำให้สามารถเร่งความเร็วจนถึงขั้นสูงสุดได้ในพริบตา และส่งให้ตำแหน่งยานของเขาเป็นฝ่ายเข้าไปทางด้านหลังของยานข้าศึกเสียเอง โดยที่ยานข้าศึกไม่ทันรู้ตัวว่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ จากนั้นจึงยิงเพื่อเผด็จศึก
         เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลง ภาพของห้วงอวกาศซึ่งเป็นเพียงซิมูเลชั่นก็สลายไป รุยลุกออกจากห้องบังคับของยานรบจำลองแล้วยืดเส้นยืดสายเล็กน้อย เขารู้สึกว่าสายตาหลายคู่จับจ้องมาที่เขา
         มีผู้เข้าชมการทดสอบครั้งนี้มากมาย ส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่ในฝ่ายยุทธ์ศาสตร์ซึ่งต้องทำหน้าที่ประเมินและให้คะแนนผลการฝึกของเจ้าหน้าที่ฝึกหัดแต่ละคน โดยวันนี้ถือเป็นวันสำคัญ เพราะเป็นการทดสอบกับเครื่องจำลองซึ่งได้จำลองสภาวะเสมือนจริงที่สุดมาไว้ หากสามารถผ่านการทดสอบนี้ได้ ก็เท่ากับจะได้รับการบรรจุเข้าเป็นนักบินรบของวัลฮัลลาเต็มตัว
         และผลงานที่รุยแสดงออกมานั้น ถือว่าเกินความคาดหมายของเจ้าหน้าที่ผู้ให้คะแนนอย่างมาก ทั้งยังสร้างความตกตะลึงแก่บรรดาเจ้าหน้าที่ฝึกหัดอื่นๆที่ร่วมชมอยู่ด้านนอกด้วย
        หยาง ซีเม่ย ซึ่งร่วมสังเกตการณ์ในฐานะหัวหน้าหน่วยและผู้ฝึกสอนยืนจ้องมองรุยผู้ซึ่งกำลังเดินออกมาจากห้องฝึกยานรบจำลอง
         “เทคนิคเมื่อครู่นี้...” ซีเม่ยพูดขึ้น “นายทำได้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
         “มันออกมาเองน่ะครับ นี่อาจเป็นผลจากการฝึกหนักตลอดครึ่งปีที่หัวหน้าหยางเคี่ยวกรำให้ผมและหน่วย 77 ของเราก็เป็นได้”
         “หึ ช่างแกล้งยอและตีหน้าซื่อเก่งนักนะ ตอนแรกที่เจอกันนึกไม่ถึงว่านายจะเป็นคนประเภทนี้เลย” พูดจบ ซีเม่ยก็ปรี่เข้ามาใกล้แล้วจ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็ง “...เทคนิคการควบคุมยานรบแบบนั้น เคยมีคนทำได้มาก่อน มันถูกเรียกว่า...แฟนธ่อม...”
         “เพิ่งรู้นะครับนี่”
         “แต่นักบินที่สามารถใช้เทคนิคนี้ได้ เท่าที่ฉันเคยเห็นมีอยู่เพียงหยิบมือเท่านั้น มันเป็นเทคนิคที่ทำให้ยานรบที่ตนควบคุมอยู่หายวับไปในห้วงอวกาศราวกับเงามืด แล้วจึงไปปรากฏที่มุมอับของยานข้าศึกเพื่อเผด็จศึกในคราเดียว มันจึงถูกเรียกแบบนั้น ซึ่งมันไม่ใช่เทคนิคที่จู่ๆจะทำได้เพียงเพราะการฝึกอย่างหนักหรอก แม้แต่นักบินที่มีประสบการณ์บินติดต่อกันยาวนานเกือบ 10 ปียังไม่สามารถใช้เทคนิคนี้ได้เลย แล้วเจ้าหนูที่มีอายุแค่ 15 ปีอย่างนาย ฉันไม่เชื่อหรอกว่าจู่ๆจะเป็นขึ้นมาเองได้”
        รุยยิ้มรับ  “ถ้าเช่นนั้นมันก็คงเป็นแค่ความบังเอิญชนิด 1 ใน ล้าน หากให้ทำอีกครั้งผมก็คงทำไม่ได้หรอกครับ หัวหน้าหยาง”
         ซีเม่ยนิ่งไปแล้วหัวเราะเบาๆ “ก็ได้ ถ้านายว่าแบบนั้น คิดจะปิดบังความสามารถของตนต่อไปก็ตามสบาย แต่ฉันขอเตือนอะไรไว้อย่างหนึ่ง” ว่าแล้วเธอก็กระชากคอเสื้อของเขา “หากอยู่ในสนามรบแล้วทำอะไรครึ่งๆกลางๆล่ะก็ คนที่จะตายไม่ใช่แค่นายคนเดียว แต่ยังหมายถึงชีวิตของนักบินคนอื่นๆที่ต้องร่วมรบกับนายด้วย จำเอาไว้ให้ดี” สิ้นคำ เธอก็ผละจากเขาแล้วเดินออกไปจากห้อง
         รุยจ้องอีกฝ่ายจนลับตาแล้วพึมพำกับตัวเอง “เรื่องนั้นไม่ต้องบอกก็รู้”
         ทันใดนั้น เสียงแจ้งจากเจ้าหน้าที่ในห้องฝึกก็ดังขึ้น “ผู้เข้าทดสอบคนต่อไป เจ้าหน้าที่ฝึกหัดหน่วย 77 อนาสตาเซีย แอ็คเซล”
         อนาสตาเซียเดินออกมาจากห้องเตรียมตัวซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ผู้ที่เข้ารับการทดสอบในลำดับถัดมาต้องรู้สึกกดดันและเพื่อไม่ให้ลอกเลียนยุทธวิธีในการปราบข้าศึกและเอาชีวิตรอดจากผู้เข้าทดสอบก่อนหน้านี้มาใช้ ซึ่งการทดสอบนี้ จุดประสงค์นั้นไม่ได้วัดว่าผู้เข้าทดสอบจะสามารถกำจัดข้าศึกได้หรือไม่ แต่ดูยุทธวิธีและความสามารถโดยรวมในการควบคุมยานรบและการตัดสินใจเสียมากกว่า
         ผู้ที่สามารถกำจัดข้าศึกในการฝึกรบจำลองนี้ได้นั้น แต่ละรุ่นมีจำนวนน้อยมาก ในรุ่นของอนาสตาเซียนี้เองก็เพิ่งจะมีรุยที่ทำได้เป็นคนที่ 15 หลังจากเจ้าหน้าที่ฝึกหัดก่อนหน้านี้ราว 300 คนทำไม่สำเร็จกันเลย
         อนาสตาเซียรู้สึกเคร่งเครียด และยิ่งกดดันหนักขึ้นเมื่อเห็นท่าทางของบรรดาผู้ชมที่อยู่รอบนอกนั้นให้ความสนใจกับรุยซึ่งเพิ่งออกมาจากเครื่องฝึก เธอไม่โง่พอที่จะดูไม่ออกว่าเขาสามารถทำผลงานได้ยอดเยี่ยมขนาดไหน ซึ่งเธอเองก็คาดคิดไว้แล้วตั้งแต่ก่อนเข้าทดสอบในวันนี้
         เพราะครึ่งปีที่ได้ร่วมฝึกฝนกันมาในหน่วยที่ 77 แม้รุยจะพยายามไม่แสดงตัวโดดเด่นเกินใคร แต่เธอรู้สึกได้ ว่าเขากำลังพยายามปิดบังความสามารถของตนเอาไว้ โดยเฉพาะด้านการควบคุมยานรบ ซึ่งในการฝึกซ้อมก่อนหน้านี้ รุยทำได้ด้วยคะแนนในระดับเกณฑ์มาตรฐานมาตลอด จะมีเพียงช่วงเวลาของการทดสอบสำคัญเท่านั้นที่เขาทำผลงานได้ถึงระดับสูงสุด เมื่อรวมกับครั้งนี้ด้วยแล้ว
         แม้การควบคุมยานรบจะไม่ได้เป็นงานที่ทำให้มีโอกาสก้าวหน้าในตำแหน่งการงานเทียบเท่ากับสายยุทธ์ศาสตร์ อันเป็นสายงานของพวกเจ้าหน้าที่ฝ่ายเสนาธิการที่เน้นการใช้มันสมองเป็นหลัก แต่ตำแหน่งนักบินยานรบก็ถือว่ามีโอกาสก้าวหน้าชนิดก้าวกระโดดมากที่สุด เพราะถือเป็นตำแหน่งที่ต้องออกรบแนวหน้า ซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่สุดด้วย
         หากสามารถเอาชีวิตรอดมาได้จากสนามรบ การเลื่อนยศชนิดก้าวกระโดดย่อมไม่ใช่เรื่องยาก แต่ผู้ที่ทำได้ก็น้อยเต็มทน เพราะส่วนใหญ่มักต้องเอาชีวิตไปทิ้งในการรบกับพวกเซราฟแทบทั้งสิ้น อนาสตาเซียเคยตรวจสอบแล้วพบว่าในวัลฮัลลาขณะนี้เคยมีนักบินที่ทำสถิติเข้าร่วมสนามรบแล้วสามารถรอดชีวิตกลับมาได้จำนวนครั้งมากที่สุดเพียงแค่ 9 ครั้งเท่านั้น  
         แต่อนาสตาเซียก็ไม่มีทางให้เลือกมากนัก แม้เธอจะมีความสามารถรอบด้านไม่น้อย แต่หากเทียบกับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางในแต่ละสายงานแล้ว เธอก็เป็นแค่มือชั้นต้น จะมีก็เพียงความสามารถในการควบคุมยานรบเท่านั้นที่เธอมั่นใจว่ามีดีพอในระดับที่สามารถก้าวขึ้นไปเป็นนักบินรบได้ ซึ่งก่อนจะมาถึงวันนี้ เธอต้องฝึกฝนอย่างหนักมาตลอดครี่งปี และผลการฝึกก่อนจะถึงวันนี้ก็นับว่ายอดเยี่ยมทีเดียว
         เธอเตรียมพร้อมทุกอย่างดีแล้ว ไม่มีอะไรต้องกังวล แค่ทำไปอย่างที่เคยทำก็พอ แสดงให้บรรดาเจ้าหน้าที่ คณะกรรมการ และผู้ชมทั้งหมดได้ประจักษ์ถึงความสามารถของเธอก็พอ
         “อ้อ ผู้หญิงคนนั้นหรือ ทายาทตระกูล แอ็คเซล” คำพูดเพียงประโยคเดียวที่ดังออกมาจากในกลุ่มของเจ้าหน้าที่ฝึกหัดซึ่งมุงดูอยู่รอบนอกนั้น ทำให้สมาธิและการเตรียมใจของอนาสตาเซียถึงกับสั่นคลอน
         “โฮ่ ก็หน้าตาดีนี่นา”
         “งั้นเรอะ แต่ฉันว่างั้นๆ”
         “อยากรู้จริงว่าฝีมือจะเป็นยังไง”
         “นี่ รู้ไหม เขาเล่ากันว่ายนั้นเข้ามาได้เพราะใช้เส้นสายนะ”
         “ไม่มั้ง เป็นนักบินรบนี่เสี่ยงออก”
         “ก็แค่เข้าทดสอบเพื่อใช้เป็นทางผ่านล่ะมั้ง”
         เสียงซุบซิบนินทาจากทั่วสารทิศนั้น แม้จะแผ่วเบา แต่เธอกลับได้ยินทุกถ้อยคำอย่างชัดเจน และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เคยได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ เธอเคยฟังมันมาแล้วไม่รู้กี่ร้อยพันครั้ง ความจริงเธอน่าจะชินชากับมันได้แล้ว แต่เมื่อถึงตอนนี้จึงรู้ตัวว่าไม่ใช่เลย ยิ่งกับในนาทีสำคัญที่จะต้องเข้าทดสอบการฝึกบินด้วยแล้ว
         สองมือของเธอเริ่มสั่นระริก แม้จะพยายามกัดริมฝีปากจนเลือดไหลซิบ เพื่อสงบอารมณ์ แต่ก็ไม่เป็นผล การแบกรับชื่อของแอ็คเซล ตระกูลอันยิ่งใหญ่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่อการสร้างยุคสมัยของมนุษยชาตินั้น นับวันยิ่งหนักหนาเกินไปสำหรับเธอ
         หากเป็นอานีส แม่ของเธอแล้ว จะทำเช่นไรนะ
         ...ช่วยบอกหนูที...
         “เฮ้ อันนา!!!!” เสียงตะโกนดังลั่นขึ้นมาจากในบรรดาผู้ที่มุงดูอยู่รอบนอก
         เสียงใสๆแบบนี้ และคนที่เรียกชื่อเธอเช่นนี้ก็มีแค่คนเดียวเท่านั้น ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าใคร
         “อันนาสู้ๆนะ อย่าให้แพ้รุยรุยล่ะ”
         อนาสตาเซียไม่ได้หันกลับไปมองอีกฝ่าย เธอเพียงแค่กำหมัดแล้วยกมือขึ้นตอบรับ รอยยิ้มน้อยๆผุดที่ใบหน้า
         ...สองมือของเธอหยุดสั่นแล้ว

        …..........................................................

จากคุณ : eagle1000
เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 53 03:24:07




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com