Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เรื่องสั้น (จบในเรื่อง) Dead Poet Part 10 : สุสานแห่งความทรงจำ ติดต่อทีมงาน

Dead Poet Part 10 :  สุสานแห่งความทรงจำ

(ชีวิตช่วงที่ 1) ในยามค่ำคืนของเมืองหลวง “กวี” ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง เป็นนักธุรกิจเกี่ยวกับสุขภัณฑ์ ขับรถคันหรูเข้าจอดในบ้าน เขาเดินเข้าไปในบ้านเห็น ภรรยาของเขากำลังจัดเตรียมอาหารมื้อเย็นอยู่ที่โต๊ะอาหาร เสียงฝีเท้าดังตึงตังมาจากด้านบนไล่ไปตามเพดาน ก่อนที่ “บอย” ลูกชายวัยสิบขวบของเขาจะวิ่งลงบันไดมากระโดโผเข้ากอดเขาเต็มแรง

“มาทานข้าวกันเถอะค่ะ วันนี้เป็นอย่างไรบ้างค่ะ วี เหนื่อยมั้ย” ภรรยาของเขาถามขึ้นขณะจับลูกชายจอมซนป้อนข้าว

“ก็เรื่อยๆ ล่ะจ๊ะ” เขานั่งลงกินข้าวอย่างอารมณ์ดี “แล้ว นวล ล่ะอยู่บ้านมาทั้งวันเบื่อบ้างหรือเปล่า?”

“ก็มีบ้างค่ะ เมื่อเช้าหลังจากฉันขับรถไปส่งลูกที่โรงเรียนแล้ว ก็กลับมาแวะคุยกับคุณ ทิพย์ ที่อยู่ข้างๆ บ้านเราครู่หนึ่ง เธอก็คุยสนุกดีนะคะ”

“คุณทิพย์ ภรรยาของ นายเกษม น่ะเหรอ!” เขาสีหน้าเปลี่ยนไป “ผมไม่ค่อยถูกกับคุณเกษม เรื่องที่เขาพยายามต่อเติมบ้านล้ำเขตบ้านเราอยู่ นวล ก็รู้นี่ ทำไมยังไปแวะบ้านเขาอีก!”

“ฉันก็แค่อยากให้เราถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน” เธอพูดเสียงเบาลง และกระซิบบอกลูกให้ขึ้นไปบนห้อง “และฉันก็แค่อยากไปเยี่ยม “น้องเต้ย” ลุกสาวของคุณทิพย์ที่นอนป่วยอยู่ที่บ้านด้วยค่ะ”

กวี สังเกตุเห็นสีหน้าของ นวลที่หมองลง จึงระงับอารมณ์โกรธของตัวเองไว้ แล้วเดินไปกอดนวลจากด้านหลัง  “ผมขอโทษ นวล ผมรักคุณมากนะ”

ยามเช้าอันสดใสของวันใหม่เริ่มต้นขึ้น พร้อมกับภารกิจอันวุ่นวายของคนหนุ่มสาวในเมืองใหญ่  กวี รีบแต่งตัว และขับรถออกไปทำงาน ส่วนนวลหลังจากที่แต่งชุดนักเรียนให้แก่ลูกชายเสร็จ ก็รีบขับรถอีกคัน เพื่อออกไปส่งลูกที่โรงเรียนเช่นกัน

เมื่อถึงออฟฟิส กวี หย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ในห้องทำงานอย่างสบาย และจิบกาแฟอุ่นๆ เพื่อปลุกให้ตัวเองสดชื่นขึ้นในยามเช้า ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้น

“คุณกวีใช่ไหมครับ!” เสียงของผู้ชายจากปลายสายสั่นระรั่ว ปนเหนื่อยหอบ “ผมเกษมนะ เพื่อนบ้านของคุณน่ะ เอ่อ...คือว่า...ตอนนี้คุณนวลกับลูกชายของคุณเกิดอุบัติเหตุอยู่ที่โรงพยาบาลอาการน่าเป็นห่วง คุณรีบมาที่นี่ด่วนเถอะ!”

ณ โรงพยาบาล หน้าห้องฉุกเฉิน มีตำรวจสองนายกำลังสอบปากคำนายเกษมอยู่ กวี วิ่งแทรกเข้ามาตรงกลางวงอย่างรีบร้อน

“มันเกิดอะไรขึ้น” กวีถาม พลางสูดหายใจลึกหลายครั้ง

“เอ่อ...ผมขอโทษคุณจริงๆ คุณกวี ผม...ขับรถชนรถของเธอ” นายเกษมพูดพลางก้มหน้า น้ำตาแห่งความสำนึกผิดไหลออกมา เจ้าหน้าที่ตำรวจสองคนจดบันทึกคำพูดไปพลาง “อุบัติเหตุมันเกิดเพราะผมรีบขับรถไปทำงานเมื่อเช้า ขณะอยู่ที่สี่แยก ผมขับมาอย่างเร็วอยู่เลนขวา เพราะเห็นไฟเขียวอยู่ ผมมองเห็นรถของเธออยู่เลนกลาง พอดีมีเสียงโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงผมดังขึ้น ผมจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นดูหน้าจอเห็นเบอร์ของภรรยาผมโทรเข้ามา แต่แล้วพอผมเงยหน้ามองถนน รถของเธอกลับหักเลี้ยวมาขวากะทันหัน คงเพื่อที่จะกลับรถ จากนั้น รถของคุณนวลก็ขวางอยู่ข้างหน้ารถผมในระยะประชิดแล้ว ตอนนั้นมันใกล้มากจนหักหลบไม่พ้น ผมตกใจ เหยียบเบรกจนสุดแล้ว แต่ไม่ทัน...ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ”

เหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน โดยที่เขาไม่ได้ตั้งตัว และคำพูดทุกคำของนายเกษมถูกบันทึกเข้าไปอยู่ในส่วนลึกของสมอง และความทรงจำของกวี เขามองดูสีหน้า และบาดแผลที่อยู่บนตัวของนายเกษม ด้วยแววตาเลื่อนลอย เหมือนเวลาทั้งชีวิตจะถูกหยุดอยู่ตรงหน้าห้องฉุกเฉินนั้น ก่อนที่หมอจะออกมาจากห้อง บอกให้เขาทราบทั้งข่าวดี และข่าวร้าย

นายแพทย์อาวุโสเดินออกมาจากห้องฉุกเฉินก่อนจะเข้ามาถาม
“ใครเป็นญาติของคนไข้สองคนนี้ครับ?”
 
“ผมเองครับ” กวีน้ำตานองหน้า จับแขนหมอ “เมียกับลูกผมเป็นอย่างไรบ้างครับหมอ”

--หากอยากฟังข่าวดีก่อน (อ่านชีวิตช่วงที่ 2) หากอยากฟังข่าวร้ายก่อน (อ่านชีวิตช่วงที่ 3)--

(ชีวิตช่วงที่ 2) “ลูกของคุณปลอดภัยดีครับ แต่ต้องขอให้อยู่ในห้องฉุกเฉิน เพื่อเช็คอาการก่อนอีกซักระยะ” นายแพทย์ตอบ และเว้นช่วงเงียบไปเวลาหนึ่ง “แต่เสียใจด้วยครับ ภรรยาของคุณเสียชีวิตแล้ว”

(ชีวิตช่วงที่ 3) “หมอเสียใจด้วยครับภรรยาของคุณเสียชีวิตแล้ว” นายแพทย์ตอบ  “แต่ลูกชายของคุณปลอดภัยดีครับ แต่ต้องขอให้อยู่ในห้องฉุกเฉิน เพื่อเช็คอาการก่อนอีกซักระยะ”

หลังจากได้ยินประโยคนั้น กวียืนนิ่งเหมือนรูปปั้น ตัวของเขาเย็นวูบขึ้น ภาพความหลังอันหวานชื่นตลอดระยะเวลา 15 ปีของเขากับนวลผุดขึ้นมาจากกล่องแห่งความทรงจำ เขายังจำได้ใบหน้าของหญิงสาว ผิวขาวนวลสมชื่อ ไว้ผมยาวสลวย ที่คอยยิ้มให้กำลังใจเขาทุกเวลาที่เขาสิ้นหวังได้อย่างดี แต่ตอนนี้ ซึ่งเป็นเวลาที่เขาหมดกำลังใจมากที่สุด กลับไม่มีรอยยิ้มอันสดใสจากผู้หญิงที่ชื่อนวลอีกแล้ว
นางพยาบาลเข็นเตียงที่มีศพของนวลอยู่ ออกมาจากห้องฉุกเฉิน กวีเดินมาหยุดยืนอยู่ที่ข้างเตียง ศพที่ถูกผ้าขาวปิดใบหน้าไว้  เขายังคงคิดไปว่าเหตุการณ์เบื้องหน้าเป็นเพียงฝันร้ายในค่ำคืนหนึ่ง เขาเปิดผ้าที่ปิดใบหน้าของนวลออก เพื่อจดจำใบหน้าของผู้หญิงที่เขารักที่สุดเป็นครั้งสุดท้าย ในขณะนั้นกวีจึงมีความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาในสมองของเขา

--หากให้กวีล้างแค้นนายเกษม (อ่านชีวิตช่วงที่ 4) หากให้กวียกโทษให้เกษม (อ่านชีวิตช่วงที่ 5)—

(ชีวิตช่วงที่ 4) ยามค่ำคืนของเมืองหลวงกวี ขับรถเข้าจอดในบ้าน หลังกลับจากวัด เมื่อเขาเดินเข้าไปในบ้าน ภายในบ้านไร้แสงไฟเห็นเพียงแต่ความมืดมิด เขาเดินผ่านโต๊ะอาหารที่ว่างเปล่า ความเงียบเหงาปกคลุมภายในบ้าน และหัวใจของเขา เมื่อเปิดประตูห้องนอน เขาตัดสินใจอย่างแน่วแน่ และเดินตรงไปเปิดลิ้นชักที่โต๊ะตัวเล็กข้างเตียง ข้างในนั่นมีปืนพกอยู่ เขาหยิบมันขึ้นมา

กวีปีนข้ามรั้วไม้เล็กๆ เพื่อข้ามไปยังพื้นที่สวนของบ้านนายเกษม ภายในจิตใจของเขาบรรจุแน่นไปด้วยความแค้นเช่นเดียวกับกระสุนของปืนพกที่มีอยู่เต็มรังเพลิง “ไอ้เกษม เมิงทำลายชีวิตกู ทำลายชีวิตครอบครัวที่กูรัก ทั้งเมียกู ทั้งลูกกู ทำไมชีวิตกูต้องมีเมิงมาเป็นมารผจญอยู่ตลอด งานนี้ถึงเวลาที่เมิงต้องชดใช้อย่างสาสม” เขาคิด และทุบหน้าต่างบ้านของนายเกษม เขาเอื้อมมือเข้ามาปลดล็อคกลอนหน้าต่าง และมุดตัวเข้ามาในบ้านตามช่องหน้าต่างที่เปิดออก

ทันใดนั้น หลังจากนายเกษมได้ยินเสียงบางอย่างภายในบ้านถูกทำแตก จึงถือปืนพกวิ่งลงมาพร้อมกับ คุณทิพย์ ที่กำไม้กวาดในมือแน่นด้วยความกลัว ทั้งสองลงมาถึงห้องครัว พบหน้าต่างที่เปิดอยู่ และเศษกระจกที่แตกกระจายเต็มพื้น พวกเขาได้ยินเสียงฝีเท้ามาจากด้านหลัง พบกวียืนถือปืนเล็งที่พวกเขาอยู่

“โยนปืนในมือของเมิงทิ้งไป ไอ้เกษม!” กวีตะคอกสั่ง พลางเล็งปืนไปที่นายเกษม และคุณทิพย์ “พวกเมิงทั้งสองคนอยู่นิ่งๆ อย่างนั้นล่ะดี”

“ใจเย็นๆ ก่อนคุณกวี” นายเกษมค่อยๆ ก้มวางปืนในมือลงกับพื้น “ผมว่าเราคุยกันได้นะ คุณอย่าทำแบบนี้...”

“เมิงไม่ต้องพูดมาก!!” กวีพูดขัด ปืนในมือเขาพร้อมลั่นไกสังหาร คนทั้งสองที่อยู่ไม่ห่างจากเขาได้ทุกเมื่อ “ ไอ้เกษม!! เมิงทำลายชีวิตของกูจนหมดสิ้นแล้ว ถึงเวลาแล้วที่กูจะทำลายชีวิตเมิงบ้าง!”

“เอ่อ...คุณกวี ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะครับ เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น มันเป็นเพียงอุบัติเหตุ” นายเกษม และคุณทิพย์ต่างยกมือห้าม พร้อมพูดอธิบาย

“เมิงไม่ต้องพูดอะไรแล้ว กูตัดสินใจมาแล้ว” แววตาของกวีเหมือนสัตว์ป่าล่าเหยื่อ “วันนี้คือวันตายของเมิง!!!”

--หากให้กวีฆ่านายเกษม(อ่านชีวิตช่วงที่ 6)   หากให้กวีฆ่าทั้งนายเกษมและคุณทิพย์ (อ่านชีวิตช่วงที่ 8)—

(ชีวิตช่วงที่ 5) ในยามค่ำคืนของเมืองหลวง “กวี” ขับรถเข้าจอดในบ้าน เมื่อเขาเดินเข้าไปในบ้าน ภายในบ้านไร้แสงไฟมีแต่ความมืด เขาเดินผ่านโต๊ะอาหารที่ว่างเปล่า ความเงียบเหงาปกคลุมภายในบ้าน และหัวใจของเขา เมื่อเปิดประตูห้องนอน เขาเดินตรงไปที่เตียงนอน หยิบรูปที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กๆ ข้างเตียงขึ้นมาดู ในรูปเป็นภาพของเขา และนวลในวันแต่งงาน เขานั่งร้องไห้เหมือนเด็กอยู่บนเตียงอย่างเดียวดาย    “มันเป็นเพียงอุบัติเหตุ ผมควรให้อภัยเขาใช่ไหมนวล” เขาพูดกับตัวเอง

อีกวันหนึ่ง ในงานศพของนวล ซึ่งถูกจัดอยู่ภายในวัดข้างๆ หมู่บ้านของกวี ขณะที่กวีรับแขกอยู่ด้านหน้าของศาลา นายเกษม และภรรยา เดินทางมาเคารพศพนวล เขายกมือขึ้นไหว้ต้อนรับ

“ผมขอโทษนะครับคุณกวี ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ทั้งหมดเป็นเพียงอุบัติเหตุ” นายเกษมในชุดสีดำ ยกมือขึ้นไหว้ตอบกวี พูดเสียงเศร้า

กวีไม่พูดตอบ สีหน้าของเขาหมองเศร้า ได้แต่เพียงผายมือให้คนทั้งคู่เข้าไปในงาน

ขณะที่นายเกษม และ ภรรยาเดินไปไหว้พระ และกราบศพนวล ตำรวจสองนายเดินเข้ามาคุยกับกวี และเชิญตัวเขาออกไปคุยด้านนอก

“ทางเราอยากขอถามความเห็นของคุณหน่อย” ตำรวจนายหนึ่งพูดขึ้น ขณะที่ทั้งสามยืนคุยกันอีกมุมหนึ่งของวัดห่างจากศาลาที่จัดพิธีศพ “คดีที่เกิดกับภรรยาคุณเป็นคดีอาญานะครับ ซึ่งทางนายเกษมได้นำคนเจ็บส่งโรงพยาบาล และทางเราได้คุยกับนายเกษมแล้ว เขารับสารภาพทุกอย่าง และพร้อมจะชดใช้ค่าเสียหายตามที่คุณเรียกร้อง เขาจึงขอให้ทางเราช่วยไกล่เกลี่ยในการให้คุณยอมความในคดีนี้ ซึ่งทางเราคาดว่าศาลน่าจะรับฟัง ถ้าหากคุณยอมความนายเกษมอาจจะถูกรอลงอาญาสองปี แต่ถ้าคุณติดใจเอาความนายเกษมอาจจะติดคุกเป็นเวลา 1.6 ปี ครับ”

กวี ยืนนิ่งและใช้ความคิดอย่างหนัก เขามองไปที่ศาลาเห็นนายเกษม กับภรรยา ความทรงจำจากอดีตอันเลวร้ายระหว่างเขากับนายเกษม ในทุกๆ เรื่อง ถูกฟื้นกลับขึ้นมา ในที่สุด กวีจึงตัดสินใจได้ และให้คำตอบแก่ตำรวจทั้งสองนาย  

--หากให้กวีฟ้องร้องนายเกษม (อ่านชีวิตช่วงที่ 7) หากให้กวียกฟ้องนายเกษม (อ่านชีวิตช่วงที่ 9)—

(ชีวิตช่วงที่ 6) “ปัง” เสียงกระสุนมรณะดังขึ้นหนึ่งนัด พร้อมกับร่างของนายเกษมที่ล้มลงในทันที เลือดสีแดงฉานไหลออกมาจากร่างของนายเกษม เสียงกรีดร้องของคุณทิพย์ดังขึ้น กวีเดินมาที่ร่างไร้วิญญาณของนายเกษม

“เมิงสมควรตายแล้ว ไอ้เกษม” กวีพูด “เมิงต้องชดใช้สิ่งที่เมิงทำลายชีวิตกู และครอบครัวของกูมาตลอด”

“ฮือๆ แกมันบ้าไปแล้ว ไอ้กวี” คุณทิพย์กอดร่างสามี พลางตะโกนอย่างไร้สติ “คุณเกษม กับตำรวจก็เคยบอกแกไปแล้วนี่! ว่าทั้งหมดมันเป็นอุบัติเหตุ แกมันบ้าไปแล้ว ฮือๆ”

กวีเดินผ่านร่างนายเกษม และมุดหน้าต่างกลับออกทางเดิมที่เขาเข้ามา ปีนข้ามรั้วออกจากบ้านนายเกษมไป เขายิ้ม อยู่ในใจ แต่น้ำตาไหลออกมามากมาย ซึ่งมาจากไหน เขาไม่รู้เหตุผล

“ผมล้างแค้นให้คุณแล้ว นวล” กวีคิดขณะเดินกลับเข้าบ้านของเขา “ชีวิตต้องชดใช้ด้วยชีวิต ผมทำถูกแล้วใช่ไหม นวล” เขาเก็บของ และหยิบรูปครอบครัวเขาใส่ในกระเป๋า แล้วก้าวขึ้นรถและขับออกไปจากกรุงเทพฯ

ในวันรุ่งขึ้น กวี ถูกจับได้ขณะหลบหนี ศาลได้ตัดสินให้เขารับโทษจำคุก ยี่สิบปี หลังจากที่เขารับสารภาพทุกข้อกล่าวหา  ในคดีฆาตกรรมนายเกษม แม้จะถูกกักขังอิสระภาพหรือไม่ สภาพของเขาตอนนี้ก็เหมือนถูกพันธนาการอยู่ในความทรงจำอันเลวร้ายภายในจิตใจของตัวเอง จนไม่ได้สนใจเรื่องอื่นใดทั้งสิ้น ทางด้าน บอย ลูกชายของกวีหลังจากหายเป็นปกติ ผู้เป็นป้าได้นำไปเลี้ยงดูที่ต่างจังหวัด จนเมื่อ กวี ได้ออกมาจากคุก พี่สาวของเขามารับเขาไปอยู่ด้วยกันที่ต่างจังหวัด และ ได้พาไปเจอกับลูกชายของเขา ซึ่งอยู่ภายในสุสานของวัดแห่งหนึ่ง พี่สาวของกวีเล่าให้เขาฟังว่า บอย ถูกยิงเสียชีวิต เพราะโดนลูกหลงจากการทะเลาะวิวาทของกลุ่มวัยรุ่น ในวันที่ บอย ไปกินข้าวกับเพื่อนๆ ณ ร้านอาหารแห่งหนึ่ง เมื่อสิบปีที่แล้ว

-หากให้กวีล้างแค้นกลุ่มวัยรุ่น(อ่านชีวิตช่วงที่ 10)     หากให้กวียกโทษให้กลุ่มวัยรุ่น(อ่านชีวิตช่วงที่ 11)-

--- จบ ---

(ชีวิตช่วงที่ 7) “ผมตัดสินใจแล้วครับ” กวีตอบตำรวจทั้งสอง “ผมจะฟ้องร้องดำเนินคดี เพราะอยากให้เรื่องนี้ตัดสินด้วยกฏหมายแล้วกัน” กวี ยืนยันเสียงหนักแน่น  

“ทางเราจะรีบดำเนินคดีทางกฏหมายให้เร็วที่สุดครับ”

หลังจาก กวีจัดการงานศพของนวลเสร็จ เขามักไปเยี่ยมลูกชายของเขาที่โรงพยาบาลอย่างสม่ำเสมอ แต่จากการฟ้องร้องทางคดีอาญาที่ต้องใช้เวลายาวนาน รวมถึงเวลาการที่เขาต้องทำงานแต่ละวัน หลังจากที่ลูกชายของเขาออกจากโรงพยาบาล เขาจึงตัดสินใจส่ง บอย ให้ไปอยู่กับพี่สาวที่ต่างจังหวัด เนื่องจากเขาไม่มีเวลาให้กับ บอย  และในที่สุดศาลได้ตัดสินให้นายเกษมติดคุก 1.6 ปี

การตัดสินคดีของศาลในครั้งนั้น ส่งผลให้เกิดความสัมพันธ์ที่แตกแยกระหว่างครอบครัวของกวี กับ ครอบครัวของนายเกษม หลังจากนายเกษมติดคุก คุณทิพย์ ได้พาน้องเต้ยลูกสาวของเธอ ย้ายไปอยู่กับแม่ที่ต่างจังหวัด ส่วน กวี ได้พาลูกชายกลับมาอยู่ที่บ้านหลังเดิม ที่มีความทรงจำทั้งดี และร้าย แต่เขาตัดสินใจที่จะอยู่กับบรรยากาศแห่งความรัก และความทรงจำที่ดีในครอบครัวของเขา แม้ว่าจะเหลือเพียงเขากับลูกชาย แต่ทุกอย่างยังคงอยู่ และเริ่มต่อไปในบ้านหลังนี้

---- จบ  ----

(ชีวิตช่วงที่ 8) “ปังๆ” เสียงกระสุนมรณะดังขึ้นสองนัด พร้อมกับร่างของนายเกษม และคุณทิพย์ที่ล้มลงในทันที เสียงปืนที่ดังขึ้นทำให้ลูกสาววัยสิบขวบของนายเกษมที่อยู่ในห้องนอนบนชั้นสองสะดุ้งตื่น กวี เดินมาที่ร่างไร้วิญญาณของนายเกษมและคุณทิพย์

“พวกเมิงสมควรตายแล้ว” กวี พูด พลางยิ้มเยาะ “พวกเมิงสมควรตายตามเมียกูไป พรุ่งนี้จะได้จัดงานศพ วันเดียวกันไปเลย”

ลูกสาวของนายเกษมเดินลงบันไดมาด้านล่างเห็นศพของพ่อ และแม่เธอ นอนจมกองเลือดอยู่ เธอเห็นนายกวีหันมองมาที่เธอ ทำให้เธอยืนนิ่งด้วยความตกใจกลัว น้ำตาไหลพราก แต่ไม่มีเสียงร้องไห้จากปากเธอแม้เพียงนิด มีเพียงสายตาเคียดแค้นที่จากเด็กน้อย ที่พยายามจดจำทุกอย่าง และมองตามหลังร่างของกวีที่มุดออกทางหน้าต่างจากเธอไป

หลังจากวันเวลาผ่านไป กวี ถูกศาลตัดสินให้จำคุก ยี่สิบปี หลังจากเขารับสารภาพทุกข้อกล่าวหา  ในคดีฆาตกรรมครอบครัวของนายเกษม แม้จะถูกกักขังอิสระภาพหรือไม่ สภาพของเขาตอนนี้ก็เหมือนถูกพันธนาการอยู่ในความทรงจำอันเลวร้ายภายในจิตใจของตัวเอง จนไม่ได้สนใจเรื่องอื่นใดทั้งสิ้น ทางด้าน บอย ลูกชายของกวีหลังจากหายเป็นปกติ ผู้เป็นป้าได้นำไปเลี้ยงดูที่ต่างจังหวัด

จนกระทั่ง กวี จึงได้รับอิสระภาพ ลูกชายของเขา ซึ่งขณะนี้อายุประมาณสามสิบปี เดินทางไปรับเขากลับมาที่บ้านหลังเก่า ที่แห่งความหลังที่เขา และนวลเคยอยู่ด้วยกัน ทันทีที่ กวี เดินเข้ามาในบ้าน เขามองไปที่โต๊ะอาหารตัวเก่า เห็นผู้หญิงหนึ่งคนนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่นวลเคยนั่ง

“พ่อครับ วันนี้เป็นวันดีจริงๆ เลย” บอย ลูกชายของเขาพูดขึ้น และค่อยๆ จูงมือเขาเดินมาที่โต๊ะอาหาร “นอกจากวันนี้จะเป็นวันที่พ่อได้ออกจากคุกแล้ว ผมยังพาภรรยาของผมมาพบพ่อด้วย”
หญิงสาวที่นั่งอยู่ที่โต๊ะเงยหน้าขึ้น หันมามอง กวี ด้วยสายตาที่กวี จำได้ว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน เขาตกใจ ตัวสั่นเทา และพยายามประคองตัวเองไว้ไม่ให้ล้ม

“นี่ไงครับพ่อ ภรรยาของผม”  บอยพูดพลาง เดินมาจับที่ไหล่ของหญิงสาวคนนั้นที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวโปรดของนวล “เราสองคนได้เจอกันที่ต่างจังหวัดครับ เธอน่าสงสารมาก พ่อแม่ของเธอถูกฆาตกรรม ยายของเธอจึงเธอรับไปอยู่ที่นั่น เอาล่ะ แนะนำตัวกันน่าจะพอแล้ว สวัสดีพ่อของเราซิ เต้ย”

--หากให้ เต้ย ล้างแค้นกวี (อ่านชีวิตช่วงที่ 12) หากให้ เต้ย ยกโทษให้กวี (อ่านชีวิตช่วงที่ 13)—

-----  จบ ------


(ชีวิตช่วงที่ 9) “ผมเข้าใจครับ ว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นอุบัติเหตุ” กวี ตอบตำรวจสองนายด้วยน้ำเสียงเศร้า “ผมให้อภัยพวกเขา ผมตัดสินใจแล้วครับ ผมจะไม่ติดใจเอาความ”

เมื่อศาลตัดสินคดีความของนายเกษม เป็นไปตามที่ตำรวจคาดไว้ นายเกษมได้ถูกให้รอลงอาญาเป็นเวลาสองปี ช่วงเวลาระหว่างนั้น ทั้งครอบครัวของกวี และนายเกษม ได้ปรับความเข้าใจกัน รวมไปถึงเรื่องต่อเติมบ้าน ที่นายเกษมได้ยกเลิกความคิดดังกล่าวไป  กวี ได้ไปเยี่ยมอาการของลูกชายที่โรงพยาบาลสม่ำเสมอ บางครั้งนายเกษมได้พาคุณทิพย์ รวมถึงน้องเต้ย ลูกสาวของพวกเขา ไปเยี่ยมเช่นกัน

หลังจากวันเวลาผ่านไปยี่สิบปี สองครอบครัวได้รวมเป็นครอบครัวเดียวกัน ในวันแต่งงานของ บอย และ เต้ย ซึ่งลูกสาวตัวน้อยที่เกิดจากหนุ่มสาวทั้งสอง พ่อแม่ของทั้งคู่ได้ตกลงกัน และตั้งชื่อของเด็กน้อยคนนั้นว่า นวล

--- จบ ---

จากคุณ : @Love_ที่รัก
เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 53 13:49:06




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com