ณ มุมหนึ่งของกรุงเทพมหานครยามอาทิตย์อัสดง ผู้ชายท่าทางคล้ายมีความในใจเดินเรื่อย ๆ มาตามทางเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา จนถึงท่าเรือสี่พระยา ท่าทางของเค้าช่างดูสวนทางกับคนรอบข้างที่ต่างเดินกันอย่างรวดเร็วเร่งรีบ เพื่อที่จะเดินทางกลับที่พัก
หรือ ผู้คนที่กำลังเรียงรายรับประทานอาหารตามข้างทางและกำลังบรรจงรินน้ำสีเหลืองอำพันลงในแก้วแล้วหัวเราะเสียงดังอย่างมีความสุข
“เฮ้ย ไอ้ฐี ไปไหนวะเดินใจลอยมาคนเดียวเลย” เสียงดังตะโกนลอยมาจากชายคนหนึ่ง
“อ้าว ไอ้วุฒิ กูก็เดินเรื่อย ๆ รู้สึกเซ็ง ๆ แกละจะไปไหน ” ชายหนุ่มเหมือนตื่นจากภวังค์พร้อมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเนื่อย ๆ
“กูกำลังจะกลับบ้าน แกไม่กลับด้วยกันรึ ”
“ไม่ละแกกลับดี ๆ ละกัน”
“เฮ้ย แกจะข้ามฝากไหม ถ้าข้ามก็ไปพร้อมกัน ”
“เออก็ได้ กูว่าจะข้ามฝากไปเหมือนกัน”
ทั้งสองคนเดินไปที่ท่าเรือสี่พระยาเพื่อขึ้นเรือข้ามฝาก ชายทั้งสองต่างสนธนากันรอเรือที่กำลังเดินทางมา เรือมาถึง ชายทั้งสองคนก็เดินขึ้นไปแล้วทันใดนั้นเอง ก็มีหญิงสาวคนหนึ่งก้าวตามมาทางด้านหลัง
ชายหนุ่มที่ชื่อฐี เหม่อมองหญิงคนนั้นด้วยสายตาเศร้าเจื่อไปด้วยความรัก วุฒิสังเกตเห็นจึงพูดว่า
“เฮ้ยไอ้ฐียังไม่ลืมเค้าอีกรึวะ มันผ่านมานานแล้วนะ ” วุฒิพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“เออ กูคงไม่ลืมเธอง่าย ๆ หรอกวะ ” ระหว่างที่ตอบเรือก็ข้ามถึงฝั่งตรงข้าม
“เฮ้ยแยกกันตรงนี้นะ กูขอตัวก่อน” ฐีบอกลาวุฒิ แล้วก็เดินออกไปโดยไม่ฟังเสียงเรียกของเพื่อน
ฐีเดินมาเรื่อย ๆ ตามทางเดินริมแม่น้ำเจ้าพระยา จนมาสุดที่ร้านอาหารร้านหนึ่ง ที่มองเข้าไปข้างในกำลังเปิดเพลงแซ็คเบา ๆ ที่เค้าไม่คุ้นเคย แต่กับบาดลึกลงไปในอารมณ์ของเค้า
ชายหนุ่มจึงตัดสินใจหยุดแล้วเดินเข้าร้านไป ฐีตัดสินใจสั่งเบียร์ขวดเขียว 1 ขวดมานั่งมองแม่น้ำเจ้าพระยาพร้อมนั่งละเมียดกับเสียงแซ้คที่เค้าได้ยิน เวลาผ่านไปได้ครึ่งชั่วโมง เสียงเพลงก็เงียบไป ชายหนุ่มจึงหันไปมองก็ได้พบกับนักดนตรีสองคน คนหนึ่งหิ้วแซ้ด อีกคนเซ็ตเปอร์กัสชั่น
ฐี หันไปมองด้วยความสนใจ แล้วก็คิดว่าเค้าจะเล่นเพลงแนวไหน จึงหันไปเรียกเด็กเสิร์พมากถาม
“น้อง ๆ วงนี้เค้าชื่อวงอะไรแล้วเล่นเพลงแนวไหนกัน ” ฐีถามด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ เจื่อด้วยความสงสัยเล็ก ๆ
“ อ้อ พี่ เค้าชื่อวง soul เล่นแนวแจ๊ส ครับ เซียนมากเลยละครับวงนี้ แต่เพลงที่เล่นไม่ค่อยมีเนื้อร้องนะไม่รู้ทำไม” เด็กหนุ่มตอบอย่างกระตือรือร้น
“อืม ขอบใจมาก เออเอาเบียร์มาอีก 1 ขวดนะ จะรอฟังสักหน่อย ”
เวลา นั้น รัตติกาลที่มืดมิดเริ่มคลอบคุลมไปทั่ว มีแต่แสงไฟของโรงแรมริมแม่น้ำและคอนโดหรุ ๆ ทั้งหลายที่บดบังแสงดาวบนท้องฟ้าให้จางลงไป พร้อมทั้งแสงไฟจากเรือสำราญต่าง ๆ ที่แล่นกันอย่างขวักไขว่ในแม่น้ำ ดูเหมือนวุ่นวายไม่มีที่สิ้นสุด
ชายหนุ่มรำพึงขึ้นมาเบา ๆ “เฮ้อ ช่างเป็นความงามที่ดูวุ่นวายและแข็งกระด้างเสียจริง ๆ ” จากนั้นสักพัก เสียงแซ็กที่ละเมียดละไมแล้วแว่วหวานก็ดังขึ้นตัดกับความวุ่นวาย ชายหนุ่มก็ตกอยู่ในภวังค์จากเสียงแซ็กที่บาดลึกเข้าไปกลางใจเค้า จากนั้นเสียงกลองมือที่ทุ้มลึกก็ตามขึ้นมาสอดประสานกันเป็นเพลงที่ฟังแล้วบาดลึกถึงอารมณ์เหมือนผู้ชายที่กำลังคร่ำครวญและเจ็บช้ำ แต่แฝงไว้ด้วยอารมณ์ที่หลุดพ้นจากทุกสิ่ง บทเพลงผ่านไป เบียร์ก็รินไหลลงไปในลำคอเรื่อย ๆ จนกระทั่งเพลงจบ
ชายหนุ่มเหมือนตื่นจากภวังค์ พร้อมหันกลับไปที่นักดนตรี แล้วปรบมือให้ พร้อมเสียงความคิดที่ดังขึ้นมาว่า
“สิ้นสุดสะที ได้เวลาเดินทางต่อแล้วเรา” ========================================
ขออภัยถ้ามันไม่สนุก ไม่ดี หรือ ไม่ใช่อะไรที่ควรเอามาโพส
แต่มัน้ห็นสิ่งที่ตัวเองเขียนไว้เมื่อวันน้ในหลายปีผ่านมาแล้วก็ขอเอามาลงขำ ๆ ให้เก็บไว้เป็นที่ระลึกดีกว่า
จากคุณ |
:
et009
|
เขียนเมื่อ |
:
13 ธ.ค. 53 01:26:20
|
|
|
|