บ้าไปแล้ว...
ดูลัสได้แต่ยืนเซ่ออยู่ตรงนั้น มองภาพเบื้องหน้านิ่งค้าง ราวกับตัวเขาเองเพิ่งตื่นจากฝันร้าย
ทว่านี่ไม่ใช่ฝันร้าย หรือหากเป็นฝันเช่นนั้นจริง ก็คงเป็นฝันที่ยังดำเนินต่อไป มีร่างกายอ่อนระโหยของนักรบนับสิบๆ ที่กองอยู่บนลานใหญ่ของตรอกขนปลาเป็นหลักฐานยืนยัน ...เช่นเดียวกับชายหญิงสองคนที่กลางลาน ราวกับคู่พระนางของละครรักอันแสนไร้สาระบนเวที
เมื่อครู่เขามองไม่ชัด แต่ดูเหมือนว่าเจ้าหญิงแอชลีนน์จะ...ทรงจุมพิตไอ้คนทราย นั่นอาจบอกตนเองได้ว่าเขาตาฝาด ทว่าบัดนี้ที่เห็นชัดเจนเต็มตา ก็คือพระองค์กำลังกอดร่างของมันนั่นอย่างทะนุถนอม
เวลานี้มันไม่มีปีกสีดำอยู่กลางหลังอีก ไม่มีนัยน์ตาสีทองวาวโรจน์อย่างสัตว์ร้าย ศีรษะของมันตกพับซบบ่าเล็กๆ มือทั้งสองก็ตกลงกลางลำตัวโดยไม่มีทีท่าจะขยับเขยื้อน
...ตายไปแล้ว?...
ไม่สิ ชายหนุ่มรู้หรอกว่ามันยังไม่ตาย ด้วยเหตุนี้เองที่มือของเขาเลื่อนไปยังด้ามดาบ ...มันอันตรายเกินไป ใช้มนตร์เสน่ห์ล่อลวงเจ้าหญิงแอชลีนน์ เป็นปีศาจที่เพิ่งสำแดงอำนาจมนตร์ดำให้เห็นคาตา ต่อให้เขาฆ่ามันเสียที่นี่ก็ไม่มีความผิด...
และดูลัสก็คงปราดเข้าไปทำเช่นนั้นแล้ว ...หากว่าเงาร่างอีกสองร่างจะไม่ปรากฏขึ้นขวางหน้าเขาเสียก่อน
“เจ้าหญิงของท่านอุตส่าห์ทำให้ปีศาจร้ายสงบลงได้แล้ว ท่านก็อย่าเพิ่งไปแหย่หนวดเสือให้มันตื่นขึ้นมาเลย” เป็นคำพูดของหญิงชาวทรายร่างเล็ก ซึ่งแต่งกายอย่างนางรำ และมองตรงมาด้วยนัยน์ตาสีด้าน ข้างกายเธอคือชายนักดนตรีซึ่งเวลานี้ปลดผ้าโพกผมลง เผยเส้นผมสีทองอย่างคนดินแดนเหนือ และถือคทาหัวโค้งของพวกนักบวชไว้
“พวกเจ้า...” ราชองครักษ์หนุ่มขมวดคิ้ว “...นางรำกับนักดนตรีบนเรือลำเดียวกัน?”
“ข้าคือพระมหาเถระลูเธียน ส่วนหญิงนางนี้เป็นผู้ให้ความช่วยเหลือข้า” ชายผมทองพูดขึ้นบ้าง พร้อมกับหยิบหน้ากากไม้ที่แกะสลักเป็นรูปนกฮูกและปิดทาทองอย่างประณีตขึ้น พลิกให้เขาดูตราแห่งอารามสุริยเทพ และชื่อที่จารึกไว้เบื้องหลัง “ข้าเดินทางมาสืบสวนเหตุปีศาจร้ายที่อาณาจักรธีร์ดีเร ตามพระบัญชาขององค์พระมหาสังฆราช หลังจากถึงเมืองหลวง ข้าได้ตามร่องรอยของปีศาจมาจนถึงที่นี่ และพบว่าชายผู้นี้มีปีศาจซึ่งมีอำนาจแรงกล้าสิงสู่อยู่”
ดูลัสขมวดคิ้ว หลักฐานแสดงตัวของอีกฝ่ายดูเหมือนจะเป็นของจริง ทว่าสภาพการปลอมตัวกับเพื่อนร่วมทางที่ดูอย่างไรก็เป็นคนนอกรีตแท้ๆ ทำให้เขาคลางแคลง
“หมายความว่า...ท่านต้องกำจัดมันในฐานะปีศาจใช่หรือไม่”
“การกำราบปีศาจไม่ได้หมายถึงแต่การ ‘เอาชีวิต’ มันเสมอไป” ชายร่างเล็กกว่ากลับตอบ “หากว่าปีศาจนั้นสิงร่างของผู้บริสุทธิ์อยู่ หน้าที่ของเรานักบวชก็คือขับไล่มันออกไปจากคนผู้นั้น เป็นหน้าที่ของเราที่จะวินิจฉัย อย่างละเอียด ว่าปีศาจตนนี้อยู่ในข่ายใดกันแน่”
“เช่นนั้น ก็ขอให้ตามพวกเรากลับไปที่พระราชวังหลวง เพื่อดำเนินการสืบสวนที่นั่น” ดูลัสยืนกราน
“เราจะทำเช่นนั้นแน่นอน ...หลังจากที่ผู้ต้องหาทั้งสองได้พักผ่อนที่นี่ให้สภาพจิตใจพร้อมแล้ว”
ราชองครักษ์แทบไม่เชื่อหูตนเอง
“ท่านว่าอะไร?”
“ความกดดันและการบีบคั้น ไม่ดีต่อผู้ตกอยู่ในอำนาจของปีศาจร้ายนักหรอก” เสียงของชายผู้อ้างตัวเป็นพระมหาเถระลูเธียนยังคงราบเรียบ ราวกับเพียงถ่ายทอดข้อเท็จจริง “พวกท่านไม่รู้วิธีปฏิบัติต่อคนเหล่านี้อย่างถูกต้อง ส่วนข้าเองก็ต้องเริ่มสอบสวนจากครอบครัวและคนใกล้ชิดของเขา ท่านคงไม่บอกให้พาเด็กและผู้หญิงเหล่านั้นเดินทางไปเมืองหลวง หรือคุมตัวคนทรายกับลูกชายเจ้ามณฑลอีกคนล่วงหน้าไปเมืองหลวง...โดยไม่ให้เขาพบญาติมิตรครอบครัวก่อนหรอกนะ แม้แต่นักโทษก็ควรมีสิทธิ์ที่จะมีผู้มาเยี่ยมหรือไม่ใช่”
“แล้วข้าจะแน่ใจได้อย่างไร ว่าท่านคือพระมหาเถระจริงๆ หรือเจ้ามณฑลยาร์ลาธจะไม่ช่วยให้พวกเขาหนีไป”
“ข้าคือพระมหาเถระตัวจริงหรือไม่ เชิญท่านมาดาย หรือพระเถระอื่นๆ มาตรวจสอบดูย่อมรู้ ส่วนเจ้ามณฑลยาร์ลาธประกาศว่าคุมตัวครอบครัวคนทรายไว้แล้ว และจะรับผิดชอบเต็มที่หากพวกเขาหายตัวไป ...อีกประการ ข้าเข้าใจว่าหน้าที่สำคัญของท่านไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่เป็นการอารักขาเจ้าหญิงรัชทายาทกลับพระราชวังหลวง และท่านก็คงไม่อาจรับมือกับเหตุการณ์อย่างเมื่อครู่ได้ไม่ใช่หรือ” อีกฝ่ายย้อนถาม “คนของท่านเกือบเอาชีวิตมาทิ้งตั้งมากมาย ต่อให้ตัวท่านเองคงมีเครื่องรางของพระเถระมาดาย จึงได้ไม่เป็นอันตรายไปด้วย ถึงอย่างนั้น ถ้าเมื่อครู่ท่านก้าวออกไปไกลกว่านั้นแค่ก้าวเดียว...ก็คงจะมีสภาพไม่ต่างจากพวกเขานักหรอก”
“หมายความว่าอย่างไร” ราชองครักษ์ตั้งคำถาม “กระทั่งอำนาจของพระเถระมาดายก็ยังต่อต้านเขาไม่ได้หรือ”
“ดูที่เครื่องรางของท่าน แล้วจะรู้เอง” ชายร่างเล็กกว่าเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
ชายหนุ่มจำใจล้วงลงไปในคอเสื้อ หยิบถุงผ้าติดสร้อยซึ่งตนใช้เก็บสายประคำของมาดายออกมา
เพียงสัมผัสด้วยปลายนิ้ว เขาก็ขมวดคิ้ว ครั้นรีบแกะถุงออกดู ก็พบว่าลูกประคำแต่ละลูกแตกกระจายเป็นเศษแก้ว สายสร้อยโลหะขาดกระจุย กระทั่งตราของสุริยเทพยังเปราะร้าว
ดูลัสเสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันใด
เขาไม่เคยเชื่อเรื่องเวทมนตร์ แต่ในเมื่อเห็นหลักฐานประจักษ์อยู่แก่ตา ยังจะปฏิเสธได้อีกหรือ
“ท่านคงยิ่งกว่าเข้าใจ เรื่องของปีศาจก็ปล่อยให้คนที่รู้เรื่องพวกมันจัดการดีกว่า” ลูเธียนเอ่ยต่อ “ส่วนท่านก็ทำหน้าที่ของท่าน รีบอารักขาเชิญเสด็จเจ้าหญิงไปในที่ปลอดภัยเถอะ”
* * * * * เมื่อเห็นว่าพระมหาเถระลูเธียนกับแม่มดดำมาลิอาตรงเข้าขวางหน้าดูลัส แอชลีนน์จึงยังคงประคองร่างของอาเมียร์ต่อไป และค่อยๆ ย่อกายลง ให้ร่างของเขาได้ทอดนอนบนพื้น ศีรษะหนุนบนตักของเธอ โดยไม่รังเกียจศีรษะและผมชุ่มเลือดของเขา ไปจนถึงพื้นที่สกปรกด้วยเลือดนองแดงฉาน
เด็กสาวรู้ เวลาแห่งการลาจากได้มาถึงอย่างแท้จริงแล้ว
ดังนั้น ขอเวลาอีกเพียงนิดเดียวเถอะนะ...
“ท่านเก่งมาก เจ้าหญิง” เสียงกระพรวนดังไล่มาพร้อมกับคำพูดนั้น และร่างเล็กของผู้เอ่ยซึ่งทรุดตัวลงนั่งยองๆ ข้างเธอ “เมื่อครู่เป็นการระงับจิตทั้งสองของเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบทีเดียว”
“ข้าก็แค่...รู้” แอชลีนน์รับแผ่วเบา “รู้ว่าเขารู้สึกอย่างไร และรู้ว่าเขาจะฆ่าเพื่ออะไร”
“ก็เป็นเช่นนี้เอง” มาลิอาเอ่ยเรียบเรื่อย “มนุษย์ที่ฆ่าด้วยความชัง...ยังน่ากลัวน้อยกว่ามนุษย์ที่ฆ่าด้วยความรักเสียอีก”
“เขาจะเป็นอย่างไรต่อไป” เด็กสาวตั้งคำถาม
“นั่นก็ขึ้นอยู่กับทางเลือกของเขา แต่ข้ากับลูเธียนจะช่วยเหลือเขาให้ถึงที่สุด อย่าห่วงเลย” แม่มดตอบ “อย่างน้อย พวกเราก็รู้ว่าเขาไม่มีความผิดตามที่กล่าวหา และหากอำนาจนั้นจะกลับคืนมาอีก เราก็จะสะกดมันไว้ จะสะกดความทรงจำที่หลอกหลอนเขาไว้อีกครั้งก็ได้”
“งั้น...ข้าขอร้องอะไรบางอย่างได้ไหม” เจ้าหญิงเอ่ยได้เท่านั้นก็ยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตา “ทำ...ทำให้เขาลืมข้าไปเถอะนะ”
ใช่แล้ว มันควรจะเป็นเช่นนี้ เจ้าหญิงแอชลีนน์กับอาเมียร์...หรือแม้แต่เจ้าชายทัมมุซไม่ควรได้รู้จักกันตั้งแต่แรก ยิ่งจดจำเธอได้ เขาคงมีแต่ต้องเจ็บปวด
“ท่านกำลังขอให้ข้าทำสิ่งที่ยากลำบากมากนะ เจ้าหญิง” มาลิอากลับพูดช้าๆ “เหมือนกับฝังสิ่งของลงในผืนทราย เมื่อถึงเวลาที่คลื่นสาดเข้ามา...ทรายที่กลบฝังมันไว้ก็ย่อมถูกซัดออกไป และเผยสิ่งนั้นขึ้นมาอยู่ดี”
“แต่...ก่อนหน้าคลื่นสาด ก็ยังพอมีเวลาไม่ใช่หรือ” เด็กสาวสั่นศีรษะ “ไม่รู้สินะ...ข้าอยากให้เขาลืมตลอดไป แต่หากเป็นไปไม่ได้...ก็...ขอให้ลืมไปจนกระทั่งเขารู้ว่าข้าไม่เป็นอะไร และข้ามีความสุขดีก็แล้วกัน”
ถึงอย่างไร เธอก็ต้องเป็นราชินีของธีร์ดีเร เคียงคู่กับราชาที่มีความสามารถ หากถึงวันอภิเษกแล้ว อาเมียร์ย่อมรู้ว่าทุกสิ่งเรียบร้อยดี และเขาก็ไม่จำเป็นต้องผูกตนเองกับอาณาจักรแห่งนี้อีกต่อไปแล้ว
* * * * *
ราชองครักษ์รู้สึกราวกับตนกำลังปฏิบัติหน้าที่อย่างไร้วิญญาณ...
พระมหาเถระในคราบคนทรายกับหญิงนางรำจากไปแล้ว พร้อมกับนำร่างหมดสติของอาเมียร์ไปด้วย ทีแรกดูลัสเสนอว่าจะส่งนักรบของตนไปคุ้มกันจนถึงศาลาเมือง ทว่าพวกเขามีม้าตัวใหญ่สีดำมาตัวหนึ่ง และเพียงขอให้นักรบหน่วยเรเวนที่พอฟื้นตัวขึ้นบ้างแล้วช่วยหามร่างของเด็กหนุ่มขึ้นบนหลังของมัน
เจ้าหญิงแอชลีนน์ไม่คัดค้านที่คนแปลกหน้าทั้งสองพาอาเมียร์ไป ว่ากันตามจริง...เธอไม่พูดอะไรเลย เมื่อองครักษ์หนุ่มหาผ้าคลุมส่งให้สวมปกคลุมศีรษะ และเสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อนเลือด เด็กสาวก็รับไปทำตามโดยไม่เกี่ยงงอน จะเอ่ยปากก็แค่เรื่องส่งตัวรูอาร์คกับชาลัวห์ให้ท่านเจ้ามณฑลเท่านั้น
แล้วเธอจะเดินทางกลับพระราชวัง
นั่นสินะ ไอ้คนทรายมันปลอดภัยแล้ว พระองค์เองก็ควรตระหนักถึงความถูกต้องเหมาะสม และหน้าที่ต่อธีร์ดีเรได้เสียที
เขาเองก็ต้องการแค่นี้ไม่ใช่หรือ อาเมียร์จะมีความผิดหรือไม่ ไม่สำคัญเลย ดูลัสแค่ต้องการให้เจ้าหญิงกลับคืนมา นอกวังเป็นสถานที่อันตรายสำหรับพระองค์ เป็นที่ที่เขาไม่อาจอยู่อารักขาพระองค์ได้ ...ต่อแต่นี้ทุกสิ่งจะกลับเป็นเช่นเดิม ไม่ว่าชายหนุ่มจะเป็นผู้ชนะในพิธีสยุมพรหรือไม่ เขาก็จะถวายการรับใช้เจ้าหญิงและราชินีแห่งธีร์ดีเรต่อไป ไม่ว่าจะในฐานะใด
ก็เท่านี้เองไม่ใช่หรือ
กระนั้น ชายหนุ่มกลับไม่อาจนิ่งเฉย ความคิดที่ยิ่งแล่นพล่านแทบทำให้ต้องลอบกำหมัดขบกราม ก็รู้ก็เห็นไม่ใช่หรือ...ว่าเจ้าหญิงมีความรู้สึกอย่างใดต่อมัน ทั้งๆ ที่มันเป็นแค่คนทรายชั้นต่ำ เป็นปีศาจปีกสีดำอันตราย น่าสะพรึงกลัว...
ไม่ควรจะรู้เสียแต่แรก
ใช่ หากไม่รู้ เขาก็จะปฏิบัติต่อพระองค์ได้อย่างเดิม จะบอกตนเองได้ว่าที่เจ้าหญิงแอชลีนน์ทรงทุ่มพระองค์ช่วยเหลือไอ้คนทรายเป็นเพราะความผูกพันในฐานะศิษย์อาจารย์ ไม่มีเรื่องอื่นใดมากกว่านั้น คนของกองกำลังยาร์ลาธที่ร่วมมือกับเขาควรจะทำให้ทุกสิ่งเรียบร้อยเสียแต่แรก เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้
“ว่ายังไง ดูลัส จับตัวไอ้คนทรายนั่นได้ไหม”
เสียงถามดังอยู่เบื้องหน้าตรอกขนปลา จากเจ้าหน้าที่ท่าเรือในวัยไม่มากกว่าเขาเท่าใดนัก และเป็นเพื่อนบัณฑิตวิทยาลัยหลวงของชายหนุ่มนั่นเอง
“ควรจะจับได้เร็วกว่านี้ หากเจ้าดำเนินแผนการตามที่ข้าบอก” องครักษ์หนุ่มเอ่ยเสียงหนัก “เลวอน”
ครั้นอีกฝ่ายทำเพียงเลิกคิ้วอย่างสงสัย ดูลัสก็แทบไม่อาจห้ามอารมณ์อันโกรธกรุ่น
“ข้าสั่งให้ใช้เลือดสาดหน้ามันทันทีที่พบ แต่คนของเจ้าไม่ทำตาม มัวแต่ไล่ตามมันให้เสียเวลา ยิ่งนานทหารของเจ้ามณฑลอาจรู้เรื่องที่เราปิดตรอกขนปลา นำกำลังพลไปซุ่มอยู่ แถมเจ้าหญิงอาจเป็นอันตรายไปด้วย”
การจับกุมอาเมียร์เนิ่นช้าไปจากแผนการที่วางไว้ด้วยเหตุนี้เอง หลังจากให้เลวอนใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่ท่าเรือคุมตัวรูอาร์คกับชาลัวห์ไปขังไว้ก่อน ราชองครักษ์จึงได้ไปตามผลทางเจ้าหญิงกับคนทราย ...เพื่อพบว่าคนของเลวอนที่ปลอมตัวเป็นชาวประมงและตรึงพื้นที่ตรอกขนปลาไว้กำลังต่อสู้พันตูอยู่กับอาเมียร์คนเดียว เลือดวัวซึ่งเขาบอกให้จัดเตรียมไว้ใช้ทีแรกก็จับตัวเป็นก้อน เสื่อมสภาพจนต้องรีบส่งคนออกไปหาซื้อใหม่จากโรงฆ่าสัตว์เป็นการด่วน ขณะที่นักรบหน่วยเรเวนกับราชองครักษ์อื่นๆ เข้าไปรับหน้าถ่วงเวลาคนทรายไว้ก่อน
“ก็ข้าคิดว่าอย่างนั้นโกงไปหน่อย” ทหารท่าเรือกลับตอบหน้าตาเฉย “แล้วอีกอย่าง ถึงจะเก่งแค่ไหน มันก็มีตัวคนเดียว ต่อให้ไม่ต้องเล่นลูกไม้กลโกง คนของยาร์ลาธก็ไม่ได้มีฝีมือด้อยไปกว่าหน่วยเรเวนของเจ้าเท่าไรหรอก”
“นี่ไม่ใช่เรื่องของฝีมือ แต่เป็นแผนการ และคำสั่ง” ราชองครักษ์เน้นคำหลังสุดอย่างชัดเจน “มันจะเก่งหรือไม่ เป้าหมายของเราคือจับกุมมันโดยเร็วที่สุด ด้วยเหตุนี้ ผู้บังคับบัญชาสั่งไว้อย่างไร ผู้รับแผนการต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด”
“เจ้าลืมอะไรไปหรือเปล่า ดูลัส” เลวอนตอบเสียงขุ่นขึ้นบ้าง “ข้าไม่ใช่ลูกน้องเจ้า เจ้าต่างหากที่มาขอ ‘ความร่วมมือ’ จากข้าเอง”
“แต่เจ้าเป็นคนพูดเอง ว่าอยากย้ายเข้าหน่วยเรเวนเป็นกรณีพิเศษ” ดูลัสย้อน “นั่นไม่เท่ากับการแลกผลประโยชน์ และเจ้าต้องทำให้ข้าพอใจรึ”
ไม่มีคำตอบจากทหารท่าเรือ ซึ่งจ้องตรงมาอย่างไม่สบอารมณ์
ราชองครักษ์ตีสีหน้าเครียด ขณะพยายามแสดงความเยือกเย็นที่เหนือกว่า
หากสามารถใช้หน่วยเรเวนของตนเองจัดการได้ทุกอย่าง เขาก็คงไม่ยอมฝากเรื่องสำคัญไว้ในมือของคนแบบนี้ ...ตั้งแต่เรียนร่วมกันมา ชายหนุ่มรู้ว่าเลวอนอวดรู้ถือดีในฝีมือของตน ทั้งๆ ที่ตัวมันเองไม่ได้รอบคอบหรือเหนือกว่าใครเป็นพิเศษ
มิหนำซ้ำ จากเหตุการณ์ครั้งนี้ เขาก็ได้รู้เพิ่มอีกอย่างว่ามันเอาความเห็นของตนเองเป็นที่ตั้ง มิหนำซ้ำยังทำตามอำเภอใจ ไม่เหมาะควรจะนำมาเป็นคนใต้บังคับบัญชาเด็ดขาด
“เอาเถอะ ในเมื่อได้ตัวเจ้าหญิงคืนมา ข้าก็ว่าอะไรไม่ได้ เจ้าให้คนส่งตัวลูกชายเจ้ามณฑลทั้งสองคนนั่นไปให้เจ้ามณฑลยาร์ลาธ รีบไปเก็บกวาดที่เหลือ ปล่อยพวกชาวประมงตัวจริงออกมา และปิดปากพวกมันให้ได้สนิทก็แล้วกัน” ดูลัสกำชับ “ส่วนเรื่องขอเข้าหน่วยเรเวนเป็นกรณีพิเศษ ข้าจะลองไปพูดกับท่านพ่อให้ แต่ขอเตือนไว้ข้อหนึ่ง...หน่วยเรเวนไม่มีที่สำหรับคนอวดฉลาด ริลองฝีมือในเรื่องที่นายไม่ได้สั่งเป็นอันขาด”
ครั้นแล้ว เขาก็รุนหลังเจ้าหญิงในผ้าคลุมที่ยืนเงียบเฉยตลอดการสนทนา เดินผ่านนายทหารท่าเรือซึ่งฉายโทสะชัดเจนบนใบหน้าโดยไม่พูดอะไรอีก
* * * * *
คนเขียนขอคุย
ตอนนี้คงเป็นตอนที่ดูลัส “โดนถล่มเละ” จากท่านผู้อ่านแน่ๆ (และผมก็เริ่มเห็นแววคนถล่มมาสองสามคนแล้ว) ซึ่งในฐานะคนเขียน ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนะครับ การเขียนให้คนอื่นๆ มีความรู้สึกร่วมกับตัวละคร ไม่ว่าจะรักชอบ เอ็นดู หมั่นไส้ตัวไหน หรือเกลียดตัวไหนเพราะไปทำร้ายตัวละครที่รัก ก็อาจจะเป็นเครื่องบ่งบอกก็ได้ว่าตัวละครของเรามีชีวิตขึ้นมาในใจของผู้อ่านแล้ว (พูดซะหรูเชียว... ^^a)
แต่ในฐานะคนเขียน ซึ่งก็ต้องพยายามเข้าทรงตัวละครแต่ละตัว เพื่อหาความรู้สึกกับสิ่งที่พวกเขาต้องการ ผมก็อยากจะขอมองในมุมของดูลัสนิดนึง ว่าเขาไม่ได้เห็นอาเมียร์ในแบบที่เจ้าหญิง รูอาร์ค หรือท่านเบเรคเห็น ตั้งแต่ภาคแรก ดูลัสก็เข้าใจไปว่าอาเมียร์มีลับลมคมในกับเรื่องใบไม้ลงอาคม และในภาคนี้ ก็ยังมีเรื่องของเจ้าหญิงเข้ามาเกี่ยวอีก ดูลัสรับไม่ได้ที่แอชจะรักอาเมียร์ ทั้งเพราะรู้สึกว่าตัวเองเท่านั้นคือคนที่จะคุ้มครองดูแลเจ้าหญิงได้ ถึงได้พยายามเพื่อที่จะชนะการทดสอบอย่างเต็มที่ หากว่าดูลัสเสียเจ้าหญิงไปด้วยการแพ้คนอื่นในการทดสอบอย่างยุติธรรม ก็คงจะยอมรับได้มากกว่าแพ้คนที่มาทีหลัง ไม่ได้มีสิทธิ์ใกล้ชิดแอช หรือได้ครองคู่กับแอชตามกติกาที่ถูกตั้งไว้ แถมยังเห็นอยู่ตำตาว่าเป็นปีศาจที่น่ากลัวอย่างอาเมียร์
อย่างไรก็ดี ดูลัสไม่เข้าใจ ว่า “ไม่มีความยุติธรรมในความรัก”
ดูลัสมองเจ้าหญิงอยู่ในกรอบจนเกินไป และเอาเหตุผลมาสวมทับความรู้สึกของตัวเองจนหมด พอตอนนี้ดีแตกแล้วก็เลยออกจะปฏิบัติการอย่างคอมพิวเตอร์โดนไวรัสกินนี่ละครับ
ที่จริง ตอนเขียนดูลัสให้เป็นแบบนี้ก็ลังเลเหมือนกันว่าจะดีแล้วหรือเปล่า เพราะในฉบับรีไรท์ของภาคแรก ก็ยังอุตส่าห์มีช่วงที่ดูลัสกับอาเมียร์ดูเหมือนจะเข้าใจจุดยืนของต่างฝ่าย และมีแววจะร่วมมือกันได้ แต่ช่วงหลังๆ เส้นทางของทั้งสองก็คงจะแยกห่างกัน จนดูไม่น่าจะกลับมาประสานกันได้แล้ว ด้วยเรื่องของแอชนี่เอง
ด้านแอช...ตอนนี้ก็ยังไม่ฟังเสียงเรียกร้องจากหัวใจเหมือนเดิม ถึงอย่างนั้นก็ทำไปเพื่ออาเมียร์ ดังนั้นต่อให้มาลิอาจะอยากเขกหัวกับตบเรียกสติ ก็คงจะต้องปล่อยไปก่อน
ตัวละครใหม่อีกตัว เลวอน (อ่านว่า เล-วอน ไม่ใช่ เลว-อน นะครับ...ต่อให้คนเขียนจะอยากเรียกมันว่า เลว-วอน ก็เถอะ ^^a) เป็นตัวที่ค่อนข้างใหม่ แต่ก็นึกบทเสริมเข้ากับเรื่องช่วงหลังได้พอดี เลยเกิดเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา แต่จะเป็นยังไง ก็ขอให้รอติดตามต่อไปนะครับ :)
จากคุณ |
:
Anithin
|
เขียนเมื่อ |
:
13 ธ.ค. 53 22:43:10
|
|
|
|