To the virgin road
เสาร์ อาทิตย์ว่างเว้นจากการทำงาน ช่างเป็นวันอันสุดแสนจะสบายของผม ผมก็เลย นอนตื่นซะสายโด่ง ตื่นขึ้นมาก็หุงข้าวทำกับข้าวกิน ซักผ้า ปัดกวาดเช็ดถูห้องพัก จัดเล็กเก็บน้อย ทำงานบ้านง่วน ๆ ไปเรื่อยเปื่อย แต่สักพักใหญ่ก็ต้องหยุดมือเพราะ พบว่าไม่มีจะให้ทำอีกแล้ว
และแล้วผมก็ว่างสนิท
เอาไงดีเนี่ย ว่าง ๆ แบบนี้จะเอาไงดีหว่า ผมคิดขณะนอนเกลือกกลิ้งไปมาที่พื้นห้อง จะหยิบหนังสือมาอ่าน หนังสือที่มีก็อ่านหมดเเล้วแถมไม่ได้ซื้อหนังสือเล่มใหม่ ๆ มา เก็บไว้ จะเล่นเกม เนตก็มหาเน่า จะไปเดินเล่นที่ห้างก็ไม่มีอารมณ์ เดินเล่นคนเดียว มันดูเหมือนผีบ้า
แล้วจะทำอะไรดีหว่า ?
คิดอยู่พักหนึ่งก็คิดออก ผมจึงลุกขึ้นมาเเต่งตัว ล็อกประตูบ้าน แล้วก็ปลุกหนูมินท์ ชวนเธอไปบ้านพี่สาวที่อยู่ในตัวเมือง ห่างกันประมาณ 20 นาที พอไปถึงก็เห็นพี่สาว กำลังสาละวนกับการเลี้ยงลูกสาววัยขวบกะอีกสองเดือนอยู่เลยไม่ได้สังเกตเห็นว่า ผมมาหา ผมเลยต้องเอ่ยปากทักก่อน " เป็นไงบ้างสาวน้อย "
พี่สาวผมหันขวับมองมาที่ผม พอเห็นผมทักลูกสาว เธอก็เลยจับมือลูกสาวทำท่าธุจ้า " น้าเปามา สวัสดีน้าเร็ว สวัสดีค่า "
จับมือบังคับแถมยังเอาคางกดหัวลูกให้น้อมไหว้ด้วย
" สวัสดีจ้า อ้อแอ้ " ผมรับไหว้หลานพร้อมกับยิ้มให้หลานและพี่สาวเฒ่า ๆ ของตัวเอง
พี่สาวผมแต่งงานตอนอายุ 36 เรียกว่าเกือบขึ้นรถไฟฟ้าขบวนสุดท้ายแทบจะไม่ทัน และด้วยความที่แต่งงานตอนอายุมาก เธอก็เลยพยายามเร่งที่จะมีลูกให้เร็วที่สุด แต่ก็ เหมือนฟ้ากลั่นแกล้ง เวลาที่อยากได้มักจะไม่ได้ พี่สาวผมพยายามอยู่นานมากเพื่อที่ จะได้ลูก ทั้งปรึกษาหมอ กินยา ฉีดยา ทำสารพัดใช้เวลาเกือบ 2 ปี กว่าจะตั้งท้อง เจ้าอ้อแอ้
" เป็นไงมาไงล่ะเนี่ย ถึงได้มาหา " พี่สาวเอ่ยถามแบบไม่ได้หันหน้ามาหา มือยังคงสาละวนเช็ดหน้าตาให้ลูกอยู่
" ว่างไม่มีอะไรจะทำน่ะ " " งั้นก็ดี ฝากหน่อย เดี๋ยวจะไปซักผ้า " พูดจบก็ทิ้งลูกไว้กับผม ส่วนตัวเองก็รีบไปซักผ้า
ผมรับไม้ผลัด นั่งเลี้ยงหลานต่อจากแม่ของมัน ตอนแรกก็อุ้มเล่นไปมาสักพักก็เริ่ม เมื่อยมือ เลยเปลี่ยนเป็นพาหัดเดิน เดินกันไปกันมาสักพักใหญ่ก็เหนื่อยเลยปล่อยให้ คลานเล่นแทน แต่ถึงจะปล่อยให้คลานเล่นก็ยังต้องจับตาอยู่ดี เพราะเผลอแป๊บเดียว ก็จะเอานิ้วไปแหย่พัดลมหรือไม่ก็คว้าของที่ไม่อยากจะให้คว้ามายัดใส่ปาก ต้องคอย ระวังตลอดเวลา
มองหลานที่กำลังคลานไปมา เห็นตัวหลานมีเนื้อมีหนังขึ้นมานิดหน่อยก็รู้สึกดีใจ เพราะว่าอ้อแอ้เป็นเด็กที่คลอดก่อนกำหนดเนื่องจากแม่อายุมาก ก็เลยต้องเข้าตู้อบ ประมาณเกือบอาทิตย์กว่าจะออกมาได้ ตัวเล็กนิดเดียว แต่พุงกลับป่องแถมเวลา หายใจก็จะมีเสียงครืดคราดตลอด หมอบอกว่าเนื่องจากตัวเล็กหลอดลมเลยอ่อน ต้องรอให้โตสักหน่อยอาการนี้จึงจะหาย แต่อ้อแอ้โตยากมาก ๆ พ่อกับแม่ของเธอ ต้องประคบประหงมนานมากกว่าจะโต่ไล่ตามพัฒนาการของเด็กที่อยู่ในวัยเดียวกัน
" โฮ้ย จะเป็นลม " พี่สาวพอซักผ้าเสร็จ ก็เดินสะโหล๋สะเหล๋มานั่งแหม่ะกึ่ง ๆ จะนอนแผ่ข้าง หน้าตา บ่งบอกอาการเหนื่อยล้าสุดขีด
" เป็นไงบ้างล่ะ " " เฮ้อ อย่ามีลูกตอนแก่นะ มันเหนื่อยโพด ๆ " " งั้นเหรอ แล้วพี่ช้างไปไหนล่ะ " ผมถามหาแฟนของพี่สาว เพราะไม่เห็นหน้า
" แกไปทำงาน โดนเรียกตัวไปด่วน " " วันอาทิตย์เนี่ยนะ " " เออ " " เหอะ ก็เลยต้องเลี้ยงลูกคนเดียว " " เออ ถึงได้จะเป็นลมอยู่นี่ไง "
ผมมองหน้าพี่สาว หน้าแกโทรมลงมาก สงสัยคงจะเป็นเพราะต้องเลี้ยงลูกอ่อนบวก รวมกับไม่ได้โบ๊ะเครื่องสำอาง ถึงได้ดูยับเยินยากจะเยียวยาได้ถึงขนาดนี้ พอเห็นแล้ว ก็อดสงสารไม่ได้ ผมจึงพูดกับพี่สาว " เดี๋ยววันนี้ช่วยเลี้ยงให้ " " ดี จะได้นอนพักสักหน่อย "
พูดว่าจะนอนแต่ก็ไม่ได้นอน นั่งพักเหนื่อยอยู่ครู่หนึ่ง แกก็ลุกไปต้มขวดนม ไปทำ ข้ามต้มเพื่อเตรียมไว้ยัดปากเจ้าอ้อแอ้ ทำนู่นทำนี่วุ่นวายของแกไปเรื่อย ส่วนผมก็เล่น กับหลาน พอเริ่มเหนื่อยมากเข้า ก็จับหลานยัดลงเปลแกว่งไปแกว่งกะให้มันเวียนหัว แล้วก็หลับ ๆ ไปซะ แต่ไม่ได้ผล หลานยังคงตาใสแจ๋วอยู่ ก็เลยต้องเอามันลงจากเปล แล้วก็พามันเล่นไปเรื่อย
สี่โมงเย็น พี่ช้างกลับมาจากที่ทำงาน ผมเลยคุยกับแกอยู่พักหนึ่งก่อนจะขอตัวกลับ พี่สาวชวนให้กินข้าวเย็นด้วยกัน ผมปฏิเสธบอกว่าติดธุระ เดี๋ยวกลับแล้ว พี่ช้างพอ เห็นผมจะไปก็จับลูกมาบังคับให้ธุจ้าผม แล้วก็จับมือให้บ๊ายบายให้
ผมฉีกยิ้มให้หลานก่อนจะหันหลังกลับ
พอกลับมาที่ห้อง ผมก็นอนเกลือกกลิ้งต่อ ยังไม่คิดที่จะทำอะไรและไม่มีอะไรจะทำ กลิ้งไปมาสักพัก ผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร
" ฮัลโหล เป็นไงบ้างตัวเอง " " สบายดี ตัวเองเป็นไงบ้างล่ะ " " เหงาจัง ก็เลยคิดถึงตัวเอง จุ้ยน้อยออกมาอุแว้ยังล่ะ ตัวเอง " " ยังเลย ประมาณปีใหม่นั่นแหล่ะ " " งั้นกูตั้งชื่อให้ น้องปีใหม่ ดีไหมวะ " " เออ เข้าท่าว่ะ " ผมจีบปากจีบคอ สวีทหวานแหววกับไอ้จุ้ย
ไอ้จุ้ยเป็นเพื่อนผมสมัยเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน อยู่คณะเดียวกัน ภาควิชาเดียวกัน อยู่ชมรมยูโดเหมือนกัน เรียกได้ว่าเหมือนกันหลาย ๆ อย่าง แต่กระนั้นเราก็ยังมี ความต่าง มันรับปริญญาก่อนผม ทำงานก่อนผม และก็กำลังจะเป็นพ่อคนก่อนผม ส่วนผมก็ยังคงไม่เป็นโล้เป็นพาย เพิ่งเรียบจบและเริ่มงานเป็นวิศวกรต็อกต๋อย
ถามสารทุกข์สุขดิบ บ่นเรื่องที่ทำงาน พาลไปเรื่องการเมือง สักพักใหญ่ ผมก็คำถาม ใส่มัน " เออ กูถามอะไรหน่อยสิ " " อะไรวะ " " ได้เป็นพ่อคนแล้วรู้สึกยังไง "
จุ้ยเงียบไปสักครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับมา " กูก็ไม่ได้รู้สึกดีใจอะไรมากมายหรอกวะ ไม่ได้น้ำตาลงน้ำตาไหล จะว่าไงดีวะ อืม มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องเกิดขึ้นว่ะ "
" ยังไงวะ " ผมสงสัย
" ก็เหมือนเมิงเรียนไปเรื่อย ๆ สักพักเมิงก็ต้องเรียนจบ เรียนจบก็ต้องหางานทำ นี่ก็ เหมือนกัน มีแฟน สักพักก็มีลูก เเล้วก็เลี้ยงลูกน่ะ " " อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ว่างั้น " " เฮ้ยมันก็หยาบไป จะว่าไงล่ะ มันถึงเวลาเเล้วมากกว่าว่ะ แล้วก็การมีลูกน่ะ ทำให้ ต้องรับผิดชอบอะไรที่มันเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมว่ะ " " อืม ๆ มันถึงเวลาแล้วนี่เอง"
ผมพยักหน้าหงึกหงักอย่างเข้าใจ แต่ก็ถามมันอีกหนึ่งคำถาม " เเล้วเมิงจะแต่งงานกับอรเขาเมื่อไร " " กูไม่รู้ว่ะ ดูอีกทีก่อน แต่ยังไงก็จะไปไหว้พ่อแม่เขาขอขมาเรื่องลูกสาวเขาละมั้ง "
จุ้ยกับอรพบรักกันตอนทำงานที่บริษัทเดียวกันสักประมาณห้าปีที่แล้ว จนถึงตอนนี้ ก็ยังทำงานที่เดียวกันอยู่ ซื้อบ้านอยู่ด้วยกัน ซื้อที่ซื้อทางวางแผนชีวิตกัน แล้วก็กำลัง จะมีลูกกัน
เพียงแต่ว่าทั้งสองยังไม่ได้แต่งงานกัน
" งั้นเหรอ " ผมตอบรับแบบไม่ได้ใส่ใจกับคำตอบของเขา
ใช่แล้วล่ะ ผมไม่ได้ใส่ใจ จุ้ยไม่ใช่เด็กอายุ 15 - 16 ที่ทำสาวท้องแล้วไม่สามารถ รับผิดชอบอะไรได้ เขาเป็นคนทำงานและแฟนเขาก็เป็นคนทำงาน อยู่ด้วยกัน สร้าง หลักสร้างฐานร่วมกัน และจะดำเนินชีวิตแบบนี้ร่วมกัน สามารถรับผิดชอบชีวิต ของทั้งสองคน ไม่สิ ชีวิตทั้งสามคนของพวกเขาได้อย่างภาคภูมิ ไม่ต้องพึ่งพิงใคร ดังนั้นไจึงม่แปลกอะไรที่พวกเขาไม่ใส่ใจเรื่องงานแต่ง ในเมื่อพวกเขาสามารถเป็น ครอบครัวที่ดีได้
งานแต่งอาจจะเป็นพิธีการฟุ่ยเฟือยที่ไม่ได้เกี่ยวกับการสร้างครอบครัว
ผมคุยต่อกับจุ้ยอีกครู่หนึ่งก็ล่ำลาและวางสายลง พอวางสายเสร็จผมก็กลับมานอน แผ่ที่พื้นห้องอีกครั้ง มองฟ้าเพดาน แต่ตาไม่ได้มองมัน ผมมองสิ่งที่ไม่ได้อยู่บนนั้น นอนนิ่งอยู่สักพัก ผมก็หยิบมือถือขึ้นมาโทรอีกครั้ง
" ฮัลโหล " " หมาแก่ " " ว่าใครหมาแก่ ห๊า " เสียงตวาดแหวดังมาตามสาย พอได้ยินเสียง ปากผมยิ้ม ดวงตาผมยิ้ม ดวงใจก็ยิ้ม เช่นเดียวกัน
" แต่งงานกันนะ "
จากคุณ |
:
garnet19th
|
เขียนเมื่อ |
:
14 ธ.ค. 53 00:57:33
|
|
|
|