Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เรื่องสั้น : ความสัมพันธ์ของคน อาจเปลี่ยนชีวิตของสองคนไปไม่เท่ากัน ติดต่อทีมงาน

ความสัมพันธ์ของคน อาจเปลี่ยนชีวิตของสองคนไปไม่เท่ากัน

เธอ ถามผมว่า “เธอจะแต่งงานกับเราได้มั้ย” ในเวลานั้น ขณะนั้นและชีวิตเสรีของผมชั่วโมงนั้น ไม่อนุญาตให้ผมตอบตกลงเธอ... เธอเงียบ ไม่กล่าวอะไรมากไปกว่า วางการ์ดแต่งงานสีครีมขนาดเท่าเอโฟร์พับครึ่งลงบนโต๊ะ...

“ถ้าอย่างนั้น เรียนเชิญด้วยนะคะ”
แล้ว เธอก็กลับไป... พร้อมกับความมึนงง หูอื้อเล็กน้อย ผมนั่งลงบนโซฟาสีเลือดนก เวลานั้น การแข่งขันกีฬาแบดมินตันชิงแชมป์ระดับโลก ที่มีนักกีฬาไทยเข้าชิงถึงสองคน... ก็เป็นเพียงภาพลูกขนไก่ลอยข้ามไป ข้ามมา ไม่อยู่ในความสนใจมากกว่าการ์ดแต่งงานตรงหน้า ประหลาดใจว่าในเมื่อเธอมีการ์ดมาให้ แล้วเธอจะถามทำไมว่าแต่งงานกับเธอหรือเปล่า หรือเธอจะแค่ลองใจผม? ถ้าผมตอบตกลง เธออาจจะฉีกการ์ดนั้นทิ้ง

น้ำเน่า....

แต่สุดท้ายผมก็ไปงานแต่งงานเธอจริงๆ ไปคนเดียวด้วย หลังจากที่ครั้งหนึ่งผมเคยไปงานแต่งงานกับคนอื่นแล้วให้เธอนั่งรอที่บ้านถึง เที่ยงคืน... ไม่คิดว่าวันหนึ่งผมจะต้องไปงานแต่งงานเธอจริงๆ แปลกนะ ผู้หญิงที่ผมเคยสัมผัสมาทุกสัดส่วนของร่างกาย ตอนนี้เธอกำลังจะกลายเป็นผู้หญิงของคนอื่นไปแล้ว

“ความผิดพลาดในชีวิตคนเราอาจจะเกิดขึ้นได้บ่อยครั้ง แต่ก็คงมีสักครั้งที่ความผิดพลาดของเราจะได้รับการให้อภัย และหลังจากนั้นเราก็จะไม่ทำผิดซ้ำซากอีก... ที่ผ่านมากับเรื่องความรักอาจจะล้มเหลวไม่เป็นท่าหลายครั้ง และถึงแม้จะไม่รู้ว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะผิดถูกอย่างไร แต่เมื่อเลือกแล้วที่จะเดินต่อไป ก็จะเดินไปข้างหน้าอย่างอดทน จะไม่ให้สิ่งที่เคยผิดพลาดในอดีตมาทำให้วันข้างหน้าต้องล้มเหลวอีก”
พูด จบก็เอาจมูกไปชนแก้มคนตัวสูงที่ยืนเคียงข้างบนเวที เสียงปรบมือดังก้องไปทั้งฮอลล์ ผมไม่แน่ใจว่าความรู้สึกขณะนั้นเป็นอย่างไร ดีใจที่เธอเป็นฝั่งเป็นฝา หรือว่า เสียใจที่คนยืนเคียงข้างเธอไม่ใช่ผม...

ไม่รู้สิ บางทีพระเจ้าอาจจะไม่ได้ส่งเธอมาให้ผมก็ได้...
หรือบางทีพระเจ้าอาจเปิดโอกาสให้แล้ว แต่ผมเลือกที่จะปฏิเสธโอกาสนั้นเอง

คนบางคนผ่านไปเป็นปี สองปี สิบปี ถ้าเป็นคู่กันจริงๆ เขายังกลับมารักกันใหม่ได้ บางทีผมกับเธออาจจะเป็นเคสเดียวกันนี้ก็ได้... คิดเรื่อยเปื่อยไปพร้อมกับไวน์ในแก้วหมดไป หึหึ น่าจะเกือบขวดล่ะมั้ง ความเมาน่าจะเป็นเรื่องเดียวที่ทำให้เราลืมอะไรได้บ้าง ผมขับรถกลับบ้านอย่างมึนๆ และนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันแต่งงานที่ผมไปกับคนอื่นวันโน้นแล้วเมา มายกลับบ้านไปในสภาพเดียวกันนี้เลย เธอยืนยิ้มอยู่หน้าประตู

“เฮ่ย ยังไม่กลับอีก” ผมทักทายเมื่อเห็นเธอยังรออยู่

“ก็เธอบอกให้เรารอ”
ใช่... ผมบอกเธอว่า รอที่บ้านนั่นแหละ เดี๋ยวกลับมา เดี๋ยวของผมคือหกชั่วโมงผ่านไป

“เชื่อด้วย? แล้วถ้าผมไม่กลับมาล่ะ”

“ไม่เป็นไร นอนในรถก็ได้”
นั่น ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอนอนรอผมในรถซึ่งจอดอยู่หน้าบ้านผม เพื่อรอให้ผมกลับมา และเพียงแค่ไม่กี่นาทีที่ได้พบกัน จากนั้นเธอก็กลับไป... ผู้หญิงเฮี้ยนๆ คนนี้ ทำอะไรที่ผมไม่คิดว่าเธอจะทำหลายอย่าง และความหยาบของบุรุษเพศอย่างผมก็ไม่เคยซึ้งใจกับสิ่งที่เธอทำลงไปแม้สัก ครั้ง แน่นอนล่ะ ก็เธอเป็นเพียงหนึ่งในจำนวนผู้หญิงอีกหลายคนที่ยอมเทใจให้ผมอย่างไม่เหลือ ไว้เผื่อเจ็บแม้สักนิด ผมผิดตรงไหนที่ไม่ได้มีเธอคนเดียวในชีวิต

ผมเป็นคนเจ้าชู้หรือ? ก็เปล่านะ เรียกว่าหนุ่มเจ้าสำราญมากกว่า... สมัยนี้ใครๆ เขาก็เป็นอย่างนี้กันทั้งนั้น จะเลือกใครสักคนมาเป็นคู่ชีวิตก็ต้องพิจารณา ตรึกตรอง แตะต้อง อืมม์ ถ้าเป็นไปได้ ก็น่าจะ “แกะกล่องพิสูจน์” ไม่อย่างนั้นเราจะรู้ได้ยังไงว่าเราจะใช้ชีวิตคู่ด้วยกันได้หรือไม่ แค่รักกันอย่างเดียวไม่พอหรอก ถ้าเรื่องบนเตียงไปด้วยกันไม่ได้ก็ไม่ต่างอะไรกับตกนรกชัดๆ แล้วเดี๋ยวนี้การอยู่ก่อนแต่งก็แทบจะเป็นวัฒนธรรมที่มาแทนที่ความคร่ำครึที่ ต้องแต่งก่อนถึงจะนอนกันได้เหมือนสมัยพ่อแม่แล้ว

และวันนั้นเที่ยงคืน... ผมกลับถึงบ้าน หนุ่มโสดหน้าตาดี มีหญิงสาวมารออยู่หน้าบ้าน... จะเหลือเหรอ?

“ถ้าไม่รัก ไม่มีทางที่ทุกอย่างจะเกิดขึ้นแบบนี้หรอก”
เธอ พูด...ไม่มีน้ำตา แต่ดูไม่มีความรู้สึกอะไรอื่นปะปน ไม่ยินดี ยินร้าย หรือรู้สึกอะไรสักนิด... บนเตียง ผมถามเธอว่า เธอโบยบินไปถึงฟ้าบ้างหรือไม่ เธอไม่ตอบ นั่นทำให้ผมคลางแคลงใจ แต่ไม่เป็นไร เรายังมีโอกาสหน้างามๆ แบบนี้ระหว่างกันเสมอ

“งั้นก็รักผมไปนานๆ นะ”
ผิวของเธอเหมือน ไข่ปอก ขาวและเนียน รูปร่างของเธอเหมือนวีนัส สัดส่วนเด่นชัด และสมบูรณ์แบบไม่มีที่ติ เป็นอีกหนึ่งผภิตภัณฑ์ที่ผมแกะกล่องพิสูจน์

“ก็ไม่ได้คิดว่าจะรักใครนี่”
ตรงไปตรงมา ไร้จริต นั่นทำให้ผมอึ้งไปนิดๆ ทำไมเธอถึงได้ไร้ความโรแมนติก ถึงปานนี้

“ผมก็เหมือนกัน”
นั่นเป็นคำโกหกที่ไม่คิดว่าจะหลุดออกมาจากปากอย่างง่ายดาย และดูเหมือนว่าเธอจะเชื่อเสียด้วย

ผู้หญิงมักจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยินมากกว่าที่จะพิจารณาด้วยใจ คำพูดจึงชนะใจมานักต่อนัก... แล้วยิ่งเมื่อหน้าตากับคารมรวมกันเข้า ทั้งสาวจริงและสาวไม่จริงต่างก็เสนอตัวเข้ามาหาเองทั้งนั้น

“เธอไม่มีคนอื่นใช่มั้ย”

“ถ้ามีก็เห็นแล้วสิ ถามทำไม”

“ก็เราไม่อยากเป็นคนที่เกินมา ถ้ามีคนอื่นอยู่แล้วเราจะได้ถอนตัว ไม่อยากให้ใครเสียใจน่ะ”

“มีแต่คนมาชอบ แต่ผมก็ไม่ได้เลือกใคร”

“อืมม์ ขอบใจนะ”

เธอ ไม่ถามอะไรต่อ... ก็ดี จะได้ไม่ต้องคิดหาคำตอบหรูๆ มาตอบเธอ จะว่าไปแล้วเธอก็โอเคในภาพรวม โพรไฟล์ดี หน้าที่การงานดี ที่สำคัญไม่เคยถูกแกะกล่อง บ้าแล้ว... นี่มันปีไหนแล้วยังมีผู้หญิงที่ไม่เคยผ่านสงครามระหว่างพื้นผิวมาก่อนด้วย หรือนี่ จะเป็นไรไปเล่า ถ้าจะเก็บเธอไว้สักคน...

วัยที่เลยสามสิบมาแล้วทั้งคู่ ไม่ใช่เรื่องยากที่จะป้องกัน ดูแลตัวเอง หรือถ้าผิดพลาดอะไรขึ้นมา ก็ไม่ต้องแบกหน้าไปหาหมอเถื่อน เพราะหน้าที่การงานที่ดีทั้งคู่... นั่นสิ ไม่เห็นจะมีอะไรเสียหายเลยนี่นะ!

“เมื่อไหร่เธอจะมาหาเราบ้าง”
เธอตัดพ้อ เมื่อผมไม่ได้ไปหาเธอนานนับเดือน

“ผมไม่ว่าง... ทำงาน”

“แล้วเราไปหาเธอบ้างได้มั้ย”
นี่ล่ะนะผู้หญิง เวลามีความรักดูเธอจะยอมทุกอย่างได้จริงๆ

“ไม่เอา... ทำงาน ไม่ว่าง”

เธอ เริ่มก้าวล้ำเส้นโลกส่วนตัวของผมมากเกินไปแล้ว โลกส่วนตัวที่ผมหวงแหนเสียยิ่งกว่าชีวิต ไม่มีใครเหยียบดินแดนเกินพื้นที่ที่ผมกำหนด เพราะถ้ามีใครทะเล่อละล่าเข้าก็มักจะถูกถีบออกไปด้วยถ้อยคำแรงๆ จนร้องไห้ตัวโยนออกไปหลายคนแล้ว

“แล้วเมื่อไหร่เราจะได้พบกัน”

“รอไปก่อน เดี๋ยวไปหา”

ผม ไม่รู้เลยว่าเธอจะรอจริงๆ ถ้าเป็นผู้หญิงอื่นบางคน เธออาจจะไปมีคนอื่นระหว่างรอก็เป็นได้ แต่คำว่า “รอ” สำหรับเธอแล้วนั้นคือ การรอคอยอย่างซื่อสัตย์ จงรักภักดี เหมือนหมารอเจ้าของ ทั้งที่เธอก็สามารถเดินออกไปจากชีวิตผมได้ตลอดเวลา เพราะคุณสมบัติอย่างเธอนั้น ถึงแม้จะไม่ถึงกับสวยจนต้องเหลียวหลังกลับไปมองอีกครั้ง แต่ก็หาแฟนได้ไม่ยาก ถ้าเธอจะไปเสียอย่าง มีหรือที่จะไปไม่ได้

นี่ล่ะมั้ง ที่เค้าเรียกว่าความรัก ความรักในแบบของผู้หญิง ผูกพัน จริงใจ แต่ความรักในแบบของผู้ชายคือ ได้แล้วค่อยว่ากัน

เธอรักผม ผมเชื่ออย่างนั้น มันไม่ใช่ความรักฉาบฉวยเพียงเปลือกนอกแน่นอน เพราะเธอสามารถรับนิสัยอารมณ์ร้ายของผมได้ ยอมรับในทุกอย่างที่ผมเป็นในชีวิตได้ อดทนกับการรอคอย... ไม่ใช่แค่วันสองวัน แต่นานถึงหกปีแล้วที่ความรักของเธอมีให้กับผม... ดูเหมือนมันจะกลายเป็นความผูกพันมากกว่าความรัก หกปีที่เธอไม่เคยได้รับสิทธิ์เกินกว่าหญิงสาวคนอื่นๆ

แต่ในวันหนึ่งที่เราอยู่ด้วยกัน... เธอก็ถามผม
“เธอจะแต่งงานกับเราได้มั้ย”

“อยากแต่งงานเหรอ”

“ก็ไม่หรอก ที่จริงอยากให้เราเป็นแบบนี้ตลอดไปด้วยซ้ำ ไม่ต้องแต่งงานแต่ว่าอยู่ด้วยกันไปจนแก่”

เธอ ไม่ชอบการแต่งงาน ผมเองก็เหมือนกัน... ทำไมเราต้องเอาตัวเองไปผูกกับพิธีกรรมไสยศาสตร์ที่เหมือนมัดตราสังข์เราเอา ไว้ด้วยกันถึงเพียงนั้น การแต่งงานไม่ได้บอกสักนิดว่าคนสองคนจะอยู่ด้วยกันไปจนแก่ตายกันไปข้าง การแต่งงานก็เป็นเพียงการบอกคนอื่นว่าจะมีห่วงผูกคออย่างถูกกฎหมายเท่านั้น เอง และก็ไม่ได้หมายความว่าจะนอกใจไม่ได้ มีเมียน้อยไม่ได้ มีชู้ไม่ได้... การแต่งงานนั่นแหละ ยิ่งยั่วยวนให้ต้องการทำแบบนั้น

เพราะงั้น การแต่งงานจึงเป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผลสำหรับการใช้ชีวิตสักนิด

สัมพันธภาพของเราดูเหมือนจะเป็นความลับเฉพาะเราสองคน หกปีที่เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมา ย่างเข้าปีที่เจ็ดนั่นแหละ ที่ความเป็นเพื่อนเปลี่ยนจากเดิม ไม่มีใครรู้ว่าเราคบหากันในฐานะอะไร ไม่มีใครรู้ว่าเธอคบหาใครอยู่ แน่นอนเธอก็ไม่มีวันรู้ว่าผมมีใครบ้าง... เรามีช่องว่างสำหรับความสัมพันธ์ เธอไม่ถามผมก็ไม่คิดจะบอก

แต่การไม่ถาม ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะไม่อยากรู้

“ผมอยู่ต่างจังหวัดนะ กลับมาค่อยเจอกัน”
เธอโทรฯ หาในวันหนึ่ง

“ไปหาได้มั้ย”

“ไม่ได้”

“ทำไมล่ะ อยู่กับใครหรือไง ทำไมถึงไปหาไม่ได้”
เริ่มหงุดหงิด

“ก็แล้วจะมาทำไม”
ผมก็เริ่มแล้วเหมือนกัน

“งั้นเหรอ... เธออยู่กับคนอื่นใช่มั้ย”

“เออ ถ้าใช่แล้วจะทำไม”

“ถามจริงๆ นอกจากเราแล้วเธอมีคนอื่นด้วยใช่มั้ย”

“เออ ใช่แล้วจะทำไม มีหลายคนด้วย ไม่ใช่คนเดียว”

“หือ...จริงเหรอ”

“ทำไม ก็ถ้าน้องเค้าโทฯ มาผมก็ต้องไปหา ก็เค้าเหงา จะให้ผมทำไง แล้วผู้หญิงกับผู้ชายเวลาเจอกันจะให้ทำอะไร ให้นั่งเล่นไพ่กันหรือไง เค้าก็ต้องสำรวจพื้นผิวกันน่ะสิ”

ดูเหมือนตอนนั้นเธอจะโกรธมากกว่า เสียใจ... แต่น่าจะไม่เท่าผม ผมยอมรับว่าเป็นผู้ชายปากเสียคนหนึ่งในโลก เท่าๆ กับที่เป็นผู้ชายเจ้าคารม... เธอล้ำเส้นผมก่อน มันช่วยไม่ได้ที่ผมจะตอบออกไปแบบนั้น คนเราเวลาของขึ้นจะมามัวนั่งประดิษฐ์ประดอยคำพูดอยู่นั่นหรืออย่างไรเล่า

นั่นแหละ... ที่ทำให้เธอเดินออกจากชีวิตผมไป เธอคงสูญเสียการทรงตัวเรื่องหัวใจพอสมควร เพราะใครๆ ก็มักจะพูดเสมอว่าผู้หญิง เวลารักใครแล้วมักจะรับได้ทุกอย่างเว้นอยู่เรื่องเดียวที่ไม่ว่าผู้หญิงคน ไหนก็ดูจะรับได้ยาก นั่นคือ ผู้ชายที่ตัวเองรักไปมีคนอื่น เธอไม่ได้รังเกียจที่ต้องใช้สิ่งที่ผู้ชายมี ร่วมกับคนอื่นมากไปกว่า เจ็บปวดที่ศักดิ์ศรีถูกเหยียบจมดิน

เธอหายไปหนึ่งเดือนสิบสามวัน แล้วก็มาหา...

“เราไม่โกรธหรอก ที่จริงจะว่าไปแล้วเราก็ไม่เคยโกรธเธอเลยต่างหาก ไม่ว่าเธอจะทำอะไร ทุกอย่างในชีวิตเธอ น่าแปลกนะ ทั้งๆ ที่เราควรโกรธที่เธอโกหก โกรธที่เธอมาเปลี่ยนชีวิตเรา เธอรู้มั้ย หลังจากนั้นเราเป็นยังไงบ้าง.. เราไม่เสียใจกับร่างกายที่มีมลทิน เพราะเราโทษเธอไม่ได้ เพราะตบมือข้างเดียวมันไม่มีวันดังหรอก แต่เธอรู้มั้ยว่าความเจ็บปวดของลูกผู้หญิงมันเป็นยังไง... เธอคงไม่รู้หรอกนะว่าการที่เธอกำลังไปถึงฟ้าน่ะ เราน้ำตานองหน้าด้วยความเจ็บปวด แต่เพราะความรักเท่านั้นที่ทำให้ต้องอดทน เรายอมทั้งนั้น เพื่อให้เธอเป็นสุข แต่สุดท้ายเธอก็ทำลายความเชื่อมั่น ความศรัทธาของเราลงไปหมดไม่เหลือสักนิดเดียว”

“แต่เธอก็ยังรักผม”

“ใช่... เรารักเธอ มากด้วย เราถึงได้มาหาเธอ”

“แล้วเธอทนได้เหรอ ที่ผมมีคนอื่น”

“แล้วเธอทำได้มั้ย ที่จะไม่มีคนอื่น”

“จะให้ผมเปลี่ยนเรื่องผู้หญิงเนี่ยนะ... ไม่มีทางหรอก”

“ถามจริงๆ คนอื่นเค้ารู้บ้างมั้ยว่าเธอมีใครๆ หลายคนแบบนี้”

“รู้... รับได้เค้าก็อยู่ รับไม่ได้เค้าก็ไป”

“เธอไม่รู้สึกผิดบ้างสักนิดเหรอ ที่ทำให้คนอื่นเค้าเสียใจ ไม่มีผู้หญิงคนไหนรับได้จริงๆ หรอก ถ้าเห็นคนที่ตัวเองรักไปมีคนอื่น คนที่บอกว่ารับได้ จริงๆ แล้วเค้าอาจจะเจ็บปวดเจียนตายแต่เพราะความรัก เค้าถึงยอมต่างหาก”

“แล้วตกลงนี่มาทำไม มาเพื่อจะด่าผมเท่านี้เหรอ”

“ที่เราพูดมันจริงหรือเปล่าล่ะ”

“กลับไปเลย...”

ผม นั่งนึกทบทวนระหว่างเรา... ดูเหมือนว่าเราจะทะเลาะกันบ่อยมาก เป็น “เพื่อน” ที่แปลกอยู่อย่างคือทะเลาะกันแล้วต่างก็หายไปจากชีวิตกันและกันเป็นเดือน บางครั้งนานหลายเดือน นับแล้วก็น่าจะร่วมปี แล้วก็กลับมาคุยกันเหมือนเดิม เป็นอย่างนี้ตลอดมา กระทั่งเมื่อผมคิดจะ “แกะกล่องพิสูจน์” แล้วลองใจเธอดูนั่นแหละ เราถึงได้เลิกทะเลาะกันไปพักหนึ่ง

ผมเป็นคนไม่ค่อยอดทนกับอะไรนานๆ ถือว่าบอกแล้วครั้งหนึ่งก็ต้องจำ ผมไม่มีเวลามานั่งอาลัยอาวรณ์กับความรักของใครมากนัก เพราะยังมีเรื่องอื่นให้ทำอีกมากในชีวิต แล้วก็ไม่ใจว่าเธอจะกลับมาเพื่อบอกเรื่องนี้กับผมทำไม เพราะยังไงผมก็ยังเป็นเหมือนดิม

เสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น... เธอเป็นคนหนึ่งที่สามารถเข้าออกบ้านผมได้อย่างเสรี ทั้งที่เคยห้าม นั่นเพราะพื้นที่ส่วนตัว โลกส่วนตัวก็ย่อมต้องการความเป็นส่วนตัว แต่ดูเหมือนเราจะทะเลาะกันบ่อยเรื่องการมาบ้านนี่แหละ เธอบอกว่า การมาที่บ้านผมเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับ ผมนั้นมีอยู่จริง... เธอบอกว่าเธอยอมที่จะโดนดุ โดนว่า โดนด่า และโดนไล่ ถ้าให้เธอได้ใกล้ผมเธอยอมทั้งนั้น

ผู้หญิงคนนี้เฮี้ยนเอาเรื่องจริงๆ

สิ้นเสียงกริ่ง ผมเดินไปเปิดประตูให้เธอ
เธอ ถามผมว่า “เธอจะแต่งงานกับเราได้มั้ย” ในเวลานั้น ขณะนั้นและชีวิตเสรีของผมชั่วโมงนั้น ไม่อนุญาตให้ผมตอบตกลงเธอ... เธอเงียบ ไม่กล่าวอะไรมากไปกว่า วางการ์ดแต่งงานสีครีมขนาดเท่าเอโฟร์พับครึ่งลงบนโต๊ะ...

------------------------------------------------------------

และที่ผมขึ้นมาที่ปายนี่ก็ไม่ได้เพราะอยากจะมาหรอก แต่เพราะเราซื้อตั๋วเครื่องบินแพคคู่ช่วงโปรโมชั่นไว้ มันเป็นแพคเกจที่คุ้มค่าทีเดียว คิดดูสิ จ่ายแค่ค่าเครื่องบิน แต่มีกระท่อมหลังเล็กๆ ให้นอนท่ามกลางภูเขา ในสายลมที่หนาวจัดของเดือนธันวาที่ขนาดเยี่ยวยังแข็ง... เรากะว่าจะใช้เวลาหน้าหนาวด้วยกันอย่างเมามัน... เหอะ สุดท้ายผมก็ต้องมาคนเดียวพร้อมกับการ์ดแต่งงานที่ไม่มีซองเสียบคั่นหน้า หนังสือที่อ่านค้างเอาไว้ ที่จริงแล้วผมก็ไม่คิดจะมาหรอก ถ้าไม่เมาอ้วกแล้วเพื่อนจับยัดท้ายรถมาปล่อยลงที่ดอนเมือง โยนพาสปอร์ตใส่ แล้วขับรถหนีไปกินเหล้ากัน กระเป๋าเสื้อผ้าก็ไม่เอาทิ้งไว้ให้ ผมถึงได้มาเจอคุณนี่ไง

“เหมือนในหนังเลยนะคะ”

“เหรอ นั่นสิ เหมือนเนอะ”

“ขอตัวก่อนนะคะ พอดีมีลูกค้ามาเช็คอินน่ะค่ะ”

“ครับ แล้วอย่าลืม มาคุยกันอีกนะครับ... อ่อ นี่เดี๋ยวก่อน คุณอยากเห็นมั้ย การ์ดแต่งงานสีครีมขนาดเอโฟร์พับครึ่ง แต่งงานกับลูกนายพลซะด้วยนะ”
หญิงสาวรับการ์ดแต่งงานสีสวยมาอ่านชื่อคู่ แต่งงาน... แล้ววางลงที่เดิม ก่อนที่จะขอตัวไปรับลูกค้า ปล่อยให้ชายหนุ่มที่กำลังเมามายนั่งเพ้อรำพันถึงเรื่องราวความรักของตัวเอง กับเบียร์ขวดสุดท้ายที่เหลือ

“บ้านจามจุรี ยินดีต้อนรับค่ะ ขอบคุณที่มาใช้บริการเรานะคะ รบกวนกรอกข้อมูลลูกค้าด้วยค่ะ”

พนักงาน ต้อนรับ พนักงานทำความสะอาด พนักงานจัดเลี้ยง พนักงานซักรีด และจิปาถะรวมอยู่ในคนคนเดียว สำหรับฤดูหนาวนี้ ณ บ้านจามจุรี @ ปาย ที่มีสามหนุ่มพี่น้องเป็นเจ้าของ เธอเป็นเพื่อนสนิทของหนึ่งในสามพี่น้องนั้น ทุกปีของเดือนธันวาคมเธอจะลางานนับสิบวันเพื่อมาที่นี่... มาพักผ่อน และทำงานแลกกับที่พัก ที่อ่านหนังสือ และใช้เวลาว่างนอกเหนือจากการช่วยงานไปในการเขียนนิยาย ซึ่งเป็นที่เธอรักนอกเหนือไปจากอาชีพหลักของเธอ

หญิงสาวพนักงานต้อนรับ รับกระดาษลงทะเบียนจากหญิงสาวที่เป็นแขก...
ชื่อและนามสกุลเดียวกับในการ์ดแต่งงานเมื่อสักครู่ทุกตัวอักษร

แก้ไขเมื่อ 23 ธ.ค. 53 22:24:24

จากคุณ : ดาริกามณี
เขียนเมื่อ : 21 ธ.ค. 53 12:40:50




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com