 |
“หือ...ทำไมเร็วจัง” ทหารที่ยืนเฝ้าหน้าโกดังอยู่ขมวดคิ้วทันที เมื่อเห็นเด็กสาวชาวทรายเดินตัวปลิวกลับมาคนเดียว ในเวลาไม่ถึงห้านาที...ไม่สิ ไม่น่าจะถึงสามนาที “แล้วเพื่อนข้าล่ะ”
“เผอิญเพื่อนข้ามาพอดี เขาเลยหันไปสนเพื่อนข้าแทนน่ะสิ” นางรำสาวทำสีหน้าสุดเซ็ง “นั่นสินะ ช่วยไม่ได้ ข้ามันดูตัวเล็กเหมือนเด็ก ไม่ได้มีส่วนโค้งส่วนเว้าเป็นผู้ใหญ่น่ายวนใจเหมือนกับนางนี่นา แต่เล่นสลัดทิ้งกันดื้อๆ อย่างนี้ ข้าก็น้อยใจเป็นเหมือนกันนะ”
“เอาน่า” ทหารยามหัวเราะน้อยๆ “ถึงมันไม่สน ข้าก็ยิ่งกว่าสน เด็กอย่างเจ้านี่สิ...น่ารักน่า...”
ปลายนิ้วของมาลิอาจรดที่ริมฝีปากของเขาอย่างยั่วเย้า
“เรื่องแบบนี้ พูดอย่างเดียวข้าไม่เชื่อหรอก ต้องพิสูจน์...ด้วยการกระทำสิ”
ดูท่าทางอีกฝ่ายจะตกใจมาก ที่เธอเข้าประชิดตัวถึงขนาดนี้ ดวงตาของเขากลอกไปมาครู่หนึ่ง ราวกับเกรงกลัวจะถูกจับได้ แต่เมื่อเห็นว่ารอบด้านมีเพียงความเงียบร้างเงาคน อารมณ์อันคุโชนก็เริ่มเอาชนะเหตุผล สองมือของเขายึดเข้าที่ไหล่บอบบาง
แม่มดดำยืดกายขึ้น ริมฝีปากของนายทหารโน้มลงมา มีที่หมายคือริมฝีปากบางซึ่งเผยอน้อยๆ ราวกับรอรับอย่างเต็มใจ
ทว่า...สิ่งที่สัมผัสปากของเขาก่อนหน้านั้น กลับเป็นเกลียวหมอกสีดำซึ่งตนไม่อาจมองเห็น
นัยน์ตาของทหารผู้นั้นหรี่ปรือ และหลับลงในไม่ช้า ก่อนร่างทั้งร่างจะค่อยๆ ทรุดลงกับพื้น
ทิ้งให้มาลิอาปาดริมฝีปากที่ไม่ทันได้จุมพิต ปัดเนื้อตัว ก่อนจะแตะเข้าที่ประตูซึ่งลงกลอนไว้อีกฟากเพียงครู่เดียว แล้วเปิดมันเข้าไป
* * * * *
“ข้าจะให้โอกาสเป็นครั้งสุดท้าย”
“:-)!” รูอาร์คถ่มน้ำลายปนเลือดที่ไหลอยู่ในปาก หวังให้มันกระเด็นไปถูกหน้าไอ้คนที่กำลังลอยหน้าลอยตาพล่ามกวนประสาทหูตน ซึ่งรู้ดีพอจะไม่เข้ามาใกล้รัศมีปากของอีกฝ่าย “จะทำอะไรก็รีบทำ ไม่ต้องมาพิรี้พิไร”
ปลาชาดานกะหลั่วสั่นพับๆ เป็นเจ้าเข้าอยู่ข้างๆ เขา มือค้างอยู่ในเครื่องกลไกเหล็กเย็นเฉียบเหมือนกันคนละข้าง ...ขนาดพยายามหาทางออกให้มันไม่ต้องเจ็บหนักซ้ำเดิมแล้วก็ยังไม่สำเร็จ มิหนำซ้ำดูเหมือนเจ้าตัวจะโง่จนไม่รับ
เด็กหนุ่มผมแดงไม่ได้นึกหรอก ว่าตนจะดวงตกได้ถึงขั้นนี้ ที่เคยคิดไว้ว่าต่อให้ดูลัสจับเขาได้ก็จะไม่ทำอะไร มลายหายไปทันทีที่รู้ว่าเลวอน ลูกชายของการ์วอน รองเจ้ามณฑลแห่งยาร์ลาธร่วมมือกับมันด้วย เพราะเลวอนเหม็นขี้หน้าเขาในฐานะ ‘ลูกนางบำเรอ’ ที่ ‘ทำตัวนอกคอก’ มาแต่ไหนแต่ไร และเขาก็ไม่ใช่คนที่จะทนก้มหน้าให้อีกฝ่ายดูถูกเอาผิดๆ ไปง่ายๆ โดยไม่ตอบโต้เสียด้วย
แต่ที่สำคัญ ต่อให้รังเกียจ ไม่อยากเอาตัวเข้ามาคลุกในวงการเมืองแค่ไหน เด็กหนุ่มก็จำต้องรับรู้อยู่ดีว่าพ่อลูกคู่นั้นหวังจะมีอำนาจในมณฑลมากกว่านี้ ติดแต่ลุงกระรอกน้ำตาลรู้ทันดีพอที่จะเปิดช่องทางให้น้อยที่สุดเท่าที่ทำได้ ที่จริง รูอาร์คพอเดาออกด้วยซ้ำ ว่าเหตุใดการ์วอนจึงได้หาทางทาบทามสู่ขอลูกพี่ลูกน้องสาวของตนไปให้ลูกชายนัก และเหตุใดลุงกระรอกจึงหันไปทาบทามคนทรายอย่างอาเมียร์มาเป็นเขยแทน
ดังนั้น ถ้าสองพ่อลูกจะหันไปเอาใจเจ้ามณฑลอุลทูร์กับลูกชายด้วยหวังผลประโยชน์ทางการเมือง ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใดเลย
เด็กหนุ่มใช้ความคิดเข้าข่มประสาทของตน ตายเป็นตาย...เขาเคยถูกซ้อมปางตาย ถูกกระทำเหมือนเป็นกระสอบทรายหรือกระโถนระบายความโกรธมาแล้ว จะมาโอดครวญเปิดปากด้วยเรื่องแค่นี้ได้อย่างไร
เทพเจ้าจะปล่อยให้มือเขาพัง แลกกับการไม่ขายเพื่อนสักคนก็ให้มันรู้ไป
“งั้นก็ได้” เลวอนรับหยันๆ “เผื่อความเจ็บสักหน่อยจะช่วยทำให้แกว่าง่ายขึ้นบ้าง”
รูอาร์คหลับตา เมื่อรู้สึกได้ว่าแถบเหล็กที่นาบทับนิ้วของตนเคลื่อนลงมา เตรียมกัดฟันข่มเสียงร้องเต็มที่
...แต่เสียงเปิดประตูกลับดังขึ้นเสียก่อน
“มีอะไร!” เลวอนหันไปถาม ก่อนจะเปลี่ยนคำถามทันควัน “แกเป็นใคร”
“แค่นางรำที่บังเอิญผ่านมากระมัง” เสียงของใครอีกคนนั้นคุ้นหูจนไม่น่าเชื่อ
เด็กหนุ่มผมแดงลืมตาขึ้นอย่างประหลาดใจ แล้วก็พบเงาร่างของเด็กสาวตาบอดยืนบังแสงหน้าประตู
“ไอ้พวกยามหน้าประตู...ทำไมปล่อยให้คนอื่นเข้ามาได้วะ!”
“อย่าโทษพวกเขาเลย ‘เวทมนตร์’ น่ะ...ไม่ใช่สิ่งที่คนท้าทายมันจะรู้แล้วมีชีวิตอยู่ได้อย่างปกติสุขหรอกนะ” กล่าวจบ นางรำสาวก็ขยับมือพร้อมกับเสียงกะพรวน ยังผลให้บานประตูโกดังใหญ่ปิดลงเอง...เรียกเสียงอุทานอย่างตกใจจากใครหลายคนในที่นั้น “...แต่เห็นว่าพวกเจ้าอยากรู้จนตัวสั่น ถึงได้กำลังเค้นถามกับคนอื่นแบบนี้ ข้าก็จะแสดงให้ชมเป็นขวัญตาสักหน่อยแล้วกัน”
“จ...จับนังนี่ไว้!” เลวอนชี้ไปทางผู้บุกรุกร่างเล็ก ยังผลให้ทหารคนอื่นๆ ที่ไม่ได้คุมตัวรูอาร์คกับชาลัวห์อยู่ชักดาบออกมา และวิ่งเข้าไป...
ก่อนจะหยุดนิ่งค้างอยู่ในท่าวิ่งถือดาบ เมื่อเข้าใกล้เด็กสาวราวช่วงแขนเอื้อมถึงนั่นเอง
“พวกเจ้ารู้อะไรไหม” นางรำชาวทรายเอ่ยถามเรียบเรื่อย ดังกังวานทั่วสถานที่ปิดแห่งนั้น “ ‘ที่นี่’ เต็มไปด้วยแหล่งพลังของพวกผู้ใช้มนตร์มืดอย่างข้าทีเดียวนะ”
รูอาร์คซึ่งเฝ้ามองอยู่เบิกตาโพลงขึ้นเช่นกัน เมื่อพบว่าเงาดำบนพื้นม้วนตัวขึ้นราวกับมีชีวิต ...ก่อตัวเป็นรูปสัตว์อย่างหมาป่าที่มีแสงสีแดงเรืองสองดวงต่างนัยน์ตา และขนไหวพร่าประหนึ่งหมอกควันฝูงหนึ่ง
เลวอนและทหารคนอื่นๆ ล้วนร้องโหวกเหวกเมื่อหมาป่าเหล่านั้นกระโจนเข้าหาพวกตน หลายคนรวมทั้งตัวหัวหน้ากลุ่มเองวิ่งล้มลุกคลุกคลาน พวกที่กล้าพอจะชักดาบฟันสัตว์ร้ายเหล่านั้นยิ่งต้องตื่นตระหนกไปกว่าเดิม เมื่อพบว่าคมดาบของตนตัดผ่านเพียงอากาศว่างเปล่า และสัตว์เหล่านั้นหลอมรวมกลับมาเป็นเช่นเดิม
ให้ตายสิ...เอาไปเขียนบทละครคงสนุกพิลึก เด็กหนุ่มผมแดงคิดได้เท่านั้น นิทราอันหนาหนักก็พลันทำให้สติเลือนราง และดับวูบไปอย่างประหลาด ...แม้จะมีภาพละครแสนพิสดารของเวทมนตร์ฉายอยู่ตรงหน้า
* * * * *
“ทรงประสงค์สิ่งใดอีกหรือไม่”
“ไม่” เป็นคำตอบสั้นๆ ของเด็กสาวที่นั่งพิงเบาะรถม้าอีกด้านหนึ่ง ทั้งสีหน้าและท่าทางของเธอแสดงความเหนื่อยอ่อนชัดเจน
“เช่นนั้น เราจะรีบออกเดินทางกันเลย” ดูลัสเปิดหน้าต่างไปสั่งสารถี ให้ออกรถในทันที
เจ้าหญิงแอชลีนน์ไม่ตอบเขาแต่ประการใด พระพักตร์ของพระองค์ตะแคงไปด้านข้าง ดวงเนตรปิดสนิท เกษาสีน้ำตาลอ่อนยุ่งเหยิงตกลงปรกพระอังสากลมมน ชุดสตรีที่ราชองครักษ์หนุ่มให้คนของตนซื้อมาให้ทรงแทนชุดผู้ชายที่เปื้อนเลือดตัวใหญ่เกินวรองค์บอบบาง...อีกทั้งดูเหมือนเขาจะลืมเรื่องฉลองพระองค์ภายในที่จำเป็นอย่างอื่นไป คอเสื้อที่หลวมจึงทำให้เห็นสัณฐานของสรีระที่ไม่ควรเห็น...แม้จะเพียงเล็กน้อย เกินเรียกได้ว่าประเจิดประเจ้อ
เด็กสาวยังคงทำเป็นหลับ จึงไม่รู้เลยว่าชายหนุ่มต้องเสมองออกไปนอกหน้าต่าง ข่มสารพันความรู้สึกอันฟุ้งซ่านอย่างยากลำบากประการใด
นี่ข้าเป็นอะไรไป... ดูลัสตำหนิตนเองทั้งใบหน้าร้อนผ่าว
ใช่...เขาเป็นบุรุษเต็มตัว แต่ก็ไม่สมควรมองเจ้าหญิงด้วยสายตาเช่นนั้น หรือมีความรู้สึกอันไม่บังควรต่อพระองค์ เจ้าหญิงเป็นนายเหนือ และจะเป็นราชินีของเขา ต่อให้เป็นเขาเองที่ชนะการประลองทั้งหมด ได้เป็นพระคู่หมั้น ได้เป็นราชา ก็ยังไม่ควรที่จะปรารถนาในพระวรกายของพระองค์อย่างหญิงทั่วไป
สำหรับเขา เจ้าหญิงควรจะสูงส่งพิสุทธิ์อยู่เสมอ และเขาก็จะรับใช้พระองค์ บูชาพระองค์
แต่วันนี้ คล้ายกับความรู้สึกนั้นได้พังทลายลง...รวมทั้งมายาที่ว่าเจ้าหญิงของเขายังคงเป็นเด็กหญิงหัวดื้อที่จะวิ่งมาขอคำอธิบายเรื่องต่างๆ กับราชองครักษ์ของเธอ และยังคงเป็นเด็กสาวผู้บริสุทธิ์ไร้เดียงสา ไม่รู้จักและไม่มีความรู้สึกต่อชายใด อย่างที่หญิงทั่วไปพึงมีต่อบุรุษ
ก็เพราะเห็นชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือ...เห็นเสียจนอยากควักลูกตาของตนออกมา
อย่าโง่ไปหน่อยเลย ดูลัส... เสียงหนึ่งเหมือนจะดังขึ้นเย้ยหยันเขาในใจ นั่นเพราะเจ้าหญิงทรงซื่อบริสุทธิ์เกินไป และไอ้คนทรายมันมีมนตร์มายา ใช้มนตราและเสน่ห์ลวงล่อพระองค์ต่างหาก เป็นมันที่ทำให้พระหทัยของพระองค์ต้องแปดเปื้อน...
แล้วสิ่งอื่นเล่า...แปดเปื้อนไปด้วยไหม
ชายหนุ่มอยากกำหมัดฟาดกับผนังรถม้า ปลดปล่อย ระบายโทสะที่คุกรุ่นออกไปกับคำถามไม่บังควรนั้น แต่ก็ทำได้เพียงกำหมัดแน่น ข่มใจ...ทั้งๆ ที่ความคิดซึ่งตามมาหาได้ช่วยปลอบโยนเขาแม้แต่นิดเดียว
หากเจ้าหญิงทรงห่วงใยและคำนึงถึงธีร์ดีเร ก็คงจะไม่หนีมากับมันอย่างนี้ ไม่พร่ำเรียกชื่อมันอย่างสนิทสนม เอาตัวเข้าปกป้องมัน ตลอดจนโอบกอดและจุมพิตมัน...ทั้งๆ ที่มันมีปีกสีดำของปีศาจสยายกว้างตำตา
พวกเขาหลบหนีกันมากี่วัน...กี่คืน เป็นไปไม่ได้เชียวหรือ เขาได้ยินมาว่าปีศาจร้ายนิยมนักในการล่อลวงหญิงบริสุทธิ์ ทำให้พวกนางหลงใหลมนตร์เสน่ห์ของพวกมัน กระทั่งยอมพลีกาย...
ไม่ ข้าจะไม่คิดอย่างนั้น
ดูลัสสั่นศีรษะทันควัน และห้ามความคิดของตนอย่างยากเย็น ไม่...ต้องไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือต่อให้มันเกิด...เขาก็จะต้องไม่นึกถึงมัน ต้องลืมมันไปเสีย เรื่องใดก็ตามที่เกิดไปแล้วแก้ไขไม่ได้ แต่เวลานี้เขาช่วยพระองค์กลับมาได้แล้ว และจะเคารพพระองค์ ปฏิบัติต่อพระองค์ตามหน้าที่ที่พึงปฏิบัติเช่นเดิม
กลับเป็นเจ้าหญิงน้อยผู้พิสุทธิ์ของเขาดังเดิม...และองครักษ์ผู้จงรักภักดี ซึ่งยิ่งกว่าเต็มใจสละชีวิตเพื่อปกป้องคุ้มครองพระองค์
และหากสถานะองครักษ์นี้เปลี่ยนไป กลับกลายเป็นผู้ที่รับหน้าที่คุ้มครองดูแล นำทางทั้งองค์ราชินีและอาณาจักรธีร์ดีเรด้วยชีวิตทั้งชีวิต เขาก็จะให้อภัย ไม่ถือโทษโกรธพระองค์เลยแม้แต่น้อย ในความรักให้อภัยได้ทุกสิ่งไม่ใช่หรือ
ใช่ ไม่ว่าพระองค์จะทรงเคยผิดพลาดพลั้งเผลอใดๆ ไปก็ตาม
ดูลัสบอกตนเองเช่นนั้น แต่เขายังคงพบปัญหา...คงเดิม ทว่าถึงกระนั้นก็ยังร้ายแรง ความคิดกับความรู้สึกเหมือนจะแยกเป็นสองส่วน ที่บอกตนเองให้เข้าใจ ให้กระทำตามนั้น ก็เหมือนจะทำไม่ได้
ความรู้สึกอันไม่บังควรนั้น...ความต้องการที่เขาไม่เคยตระหนักว่าตนมีอยู่...ยิ่งพลุ่งพล่านรุนแรง เขาอยากเป็นเจ้าของพระองค์ อยากครอบครองพระองค์เพียงคนเดียว หากมีวิธีใดที่จะทำให้เจ้าหญิงลืมเลือนไอ้คนทรายนั้นไป จดจำไม่ได้เลยว่ามันมีตัวตนอยู่ ราชองครักษ์ก็คงจะพร้อมทำตามนั้นอย่างไม่ลังเล
แม้กระนั้น สิ่งที่ไม่อาจขจัดไป...ทั้งจากตัวเขาเองและจากพระองค์...ก็ยังคงอยู่ มันแผ่ขยายดุจแหรัดพัน แน่นหนาอึดอัดเหลือเกิน
...นี่ข้าเป็นอะไรไป...
* * * * *
เกือบครึ่งชั่วยามผ่านไปกับการพูดคุย หารือเรื่องกระบวนการพิจารณาคดี ตลอดจนสิ่งต่างๆ ที่ต้องทำ
เจ้ามณฑลดูจะยังไม่หายกังวลที่เด็กหนุ่มคนทรายยังไม่ฟื้น แล้วยังเรื่อง ‘เพื่อนร่วมทาง’ อีกสองคนของเขา ลูเธียนรู้ละเอียดถี่ถ้วนจากมาลิอาแล้วว่ารูอาร์คกับชาลัวห์เป็นใคร กระนั้นก็ได้แต่ทำเป็นไม่ใคร่รู้ ตอบว่าเห็นเจ้าหญิง อาเมียร์ กับชายอีกคนที่ปลอมตัวเป็นพ่อค้าเหล้าเดินทางขึ้นเรือมาด้วยกัน และสันนิษฐานว่าราชองครักษ์ดูลัสน่าจะนำตัวชายทั้งสองมาส่งที่นี่ในไม่ช้า ตามที่เขารับรองไว้กับเจ้าหญิง
ในใจของพระมหาเถระเองก็อดกังวลไม่ได้เช่นกัน...มาลิอาหายตัวไปนานจนผิดปรกติ เพียงแค่ปลีกตัวไปเพื่อกลบเกลื่อนเรื่องม้าเวทมนตร์ดำ ไม่ควรใช้เวลานานถึงเพียงนี้
หรือจะมีปัญหามากกว่าที่คิด...
อย่างไรก็ดี ลูเธียนไม่อยากเพิ่มเรื่องให้เจ้ามณฑลยาร์ลาธพะวงยิ่งขึ้นไปอีก จึงได้ไม่ปริปาก สุดท้ายเมื่อเห็นสมควรแก่เวลา เขาจึงขอให้จัดเตรียมรถม้า พาอาเมียร์ไปส่งให้ครอบครัว โดยที่ตัวพระมหาเถระร่วมทางไปด้วย ทั้งเพื่อควบคุมมนตร์สะกดที่ได้ลงไว้ และสอบถามเรื่องต่างๆ จากพ่อแม่ของเด็กหนุ่มไปพร้อมกัน
เจ้ามณฑลอนุญาตอย่างง่ายดาย และขณะที่กำลังเรียกคนเข้ามาสั่งการนั่นเอง จึงได้มีเจ้าหน้าที่เข้ามารายงานเรื่องด่วน
“มีคนนำตัวท่านรูอาร์คกับชาลัวห์เข้ามาส่งขอรับ สองคนนั้นได้รับบาดเจ็บ เวลานี้ให้ตามหมอมาดูแลแล้ว” เจ้าหน้าที่รายงาน ก่อนจะหันมาทางนักบวชที่อยู่ในห้องรับรองด้วย “คนหนึ่งเป็นหญิงชาวทรายตาบอด แต่งตัวอย่างนางรำ นางบอกว่านางเป็นคนรู้จักของพระมหาเถระลูเธียน”
“ใช่” ลูเธียนพยักหน้ารับ ด้วยความรู้สึกที่โล่งขึ้นทันควัน “มาลิอา นางเป็นคนรู้จักของครอบครัวของอาเมียร์ด้วย และเป็นคนให้เบาะแสเรื่องของเขากับข้า ไม่ทราบว่าข้าจะขอให้นางติดตามไปพบครอบครัวของเขาด้วยได้หรือไม่”
“หากนางเป็นแขกของพวกเขากับท่าน ก็เท่ากับเป็นแขกของข้าด้วย เชิญตามสบายเถอะ” เจ้ามณฑลตอบง่ายๆ “ข้าจะให้คนจัดรถม้าไปส่งพวกท่านที่ทราธ แต่ข้าเองคงต้องขอตัวไปดูลูกชายของข้าก่อน”
“ไปเถอะ” ลูเธียนรับง่ายดาย “ข้าจะไปกับอาเมียร์เอง อย่าได้เป็นห่วงเลย”
* * * * *
มาลิอาซึ่งนั่งรออยู่ในรถม้ามีสภาพอิดโรย (อีกแล้ว) ตอนที่ลูเธียนไปพบ เด็กสาวกำลังสูดกล้องยาพลางข่มอาการหอบอย่างสุดความสามารถ
“ใช้พลังหนักมาหรือยังไง” พระมหาเถระถามเบาๆ ทันทีที่รถม้าแล่นออกไป โดยมีทั้งสองนั่งอยู่ตรงข้ามร่างของอาเมียร์ที่นอนเหยียดยาวบนเก้าอี้อีกฝั่งหนึ่ง
“ชุดใหญ่ เล่นไปสิบกว่าคนได้” นางรำสาวตอบ ก่อนจะพักรับยาอีกอึกหนึ่ง “แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะ ข้าลบร่องรอยกับความทรงจำไปหมดแล้ว ของทั้งรูอาร์คกับชาลัวห์ด้วย เรื่องมนตร์มืดจะได้ไม่แพร่กระจายออกไป”
“หมายความว่าพวกราชองครักษ์นั่นเล่นไม่ซื่อหรือ”
เด็กสาวสั่นศีรษะทันที
“ไม่หรอก เขาไม่รู้เรื่องอะไรด้วย ข้าอ่านความทรงจำของหัวหน้ากลุ่มไอ้พวกนั้นแล้ว มันเป็นลูกชายของรองเจ้ามณฑลที่นี่ ทำลงไปด้วยเป้าหมายส่วนตัว ทำนองว่าอยากกำจัดทั้งคนโปรดของเจ้ามณฑล กับลูกชายคนที่เหลืออยู่ ตัวเองจะได้แต่งงานกับลูกสาวเขา แล้วก็ขึ้นเป็นเจ้ามณฑลคนต่อไป ...แผนการโง่ๆ ของคนอวดฉลาด”
“ไม่แปลกหรอก” ลูเธียนกลับรับอย่างไม่ประหลาดใจนัก แม้จะขมวดคิ้ว “การเมืองเรื่องตัณหา แต่แบบนี้เราควรจะรายงานเจ้ามณฑลไหม”
“อยากรายงานก็ให้ลูกเขาไปฟ้องเองเถอะ ข้าอุตส่าห์เปลืองแรงกลบเกลื่อนร่องรอย เจ้ายังจะให้ขุดคุ้ยขึ้นมาอีก” มาลิอาตอบเสียงขุ่น “แค่รบกับพวกมนตร์มืดด้วยกันก็ปวดหัวจะตายอยู่แล้ว”
“แต่ก็ยังอุตส่าห์ไปช่วยสองคนนั้นออกมาจนได้” นักบวชหนุ่มเปรย
“ถ้าปล่อยให้ชาลัวห์ตาย ก็จะล้างมลทินให้ทัมมุซไม่ได้ ส่วนเด็กรูอาร์คนั่นเป็นเพื่อนดื่มที่ข้าถูกใจ ปล่อยให้ตายก็เสียของพอดี” เด็กสาวตอบเสียงเรียบ “แต่ช่างเถอะ นั่นมันปัญหาของนักบวชกับมนุษย์ ไม่ใช่กงการอะไรของแม่มดอีกแล้ว ...เหลือแต่จัดการกับจิตที่มีอำนาจความมืดนั่น แล้วจากนั้น...”
“แล้วจากนั้น...เจ้าก็จะกลับไป?”
“ก็คงอย่างนั้นกระมัง” มาลิอารับลอยๆ “แต่นั่นยังอีกไกลหรอก ข้าไม่คิดว่ามันจะยอมแพ้ง่ายๆ แน่”
“แต่เราป้องกันทางทัมมุซได้ไม่ใช่หรือ หากเขาไปจากอาณาจักรนี้...”
“มันไม่ง่ายอย่างที่คิดหรอก” เด็กสาวตาบอดแย้งทันที “ข้ารู้ เขาไม่มีวันยอมไปจากที่นี่ แล้วทิ้งเจ้าหญิงไว้อย่างนี้เด็ดขาด เรื่องจะให้สะกดความทรงจำเกี่ยวกับนางไว้งั้นเหรอ ลืมไปได้เลย หากเป็นเรื่องที่เจ้าตัวปรารถนาจะลืมอยู่แล้ว ให้สะกดไว้ก็ไม่ครณามือ...เสียแต่โอกาสผนึกหลุดยังมี แล้วนับประสาอะไรกับเรื่องที่เขาต้องการจดจำไว้เล่า”
“ต่อให้นั่นอาจหมายถึงสงครามน่ะหรือ” ลูเธียนติงอย่างเคร่งขรึม
“ต่อให้ไม่มีการแทรกแซงของเหล่าผู้อยู่ในความมืด มนุษย์ก็ก่อสงครามกันบ่อยยิ่งกว่าอะไร” แม่มดดำตอบง่ายดาย “ไม่ใช่เรื่องที่มนุษย์ตัวเล็กๆ อย่างท่านจะขัดขวางหรือกำหนดกฎเกณฑ์ได้แต่แรก”
“ก็จริงของเจ้า” นักบวชหนุ่มรับ “หน้าที่ของเรามีเพียงขัดขวางไม่ให้ปีศาจนั่นก่อความวุ่นวายขึ้นอีกเท่านั้น”
“ช่างเป็นนักบวชที่เย็นชาต่อชีวิตคนจริงนะ” มาลิอาส่งสายตามาทางเขาอย่างยั่วเย้า
“นักบวชไม่ใช่เทพเจ้า” ลูเธียนยักไหล่ “และแม้แต่เทพเจ้าก็ไม่ได้เลือกที่จะช่วยชีวิตมนุษย์ทุกคนที่ภาวนาต่อพระองค์”
“ว่ากันตามจริง เทพเจ้าไม่ได้เลือกที่จะช่วยใครเลย” แม่มดดำเอ่ยหยันๆ “นอกจากรักษาอำนาจของตัวเอง”
นักบวชหนุ่มกลับไม่ขัดวาจาจาบจ้วงองค์เทพซึ่งตนควรปกป้องพระเกียรติยิ่งชีวิตด้วยซ้ำ ทว่าทอดสายตาไปตามถนนชนบทนอกหน้าต่าง ขณะปล่อยความคิดของตนให้ล่องลอย
“เอาเถอะ ใช้เวลานานสักหน่อยก็ไม่เป็นไร” เขาพูดอีกเรื่องหนึ่ง “อยู่ที่นี่ ข้าก็เหมือนได้เที่ยวพักร้อน จะให้รีบกลับไปผจญปัญหาศึกชิงอำนาจในศาสนจักรให้ปวดหัวทำไมก็ไม่รู้”
“เหมือนได้เที่ยวพักร้อน...เพราะมีข้าอยู่ด้วยใช่ไหมล่ะ” มาลิอาเขยิบเข้ามาใกล้เขาอีกหน่อย แต่พระมหาเถระก็ขยับตัวเลี่ยงทันที
“อย่าสำคัญตนผิดไปเลย ยายเด็กมีปัญหา” ลูเธียนไม่แม้แต่จะชายตามองเธอ “เจ้าเองก็หาเรื่องหนีออกจากบ้านเหมือนกันไม่ใช่หรือ เตรียมใจถูกท่านสิมาริเมสสั่งสอนให้ดีเถอะ”
* * * * *
คนเขียนขอคุย
ขณะที่ดูลัสเริ่มโฉด ก็ดูเหมือนเลวอนจะเป็นตัวล่อเป้าให้พุ่งความเกลียดมาแทนอีกหนึ่งตัวซะอย่างนั้น บวกกับการที่ตอนนี้กะหลั่วปฏิรูปเสียจนดูเหมือนโดนวิญญาณสลับร่างไปหรือเปล่าก็ไม่รู้...ต่อให้ขุดวีรกรรมในอดีตขึ้นมา ผมว่ากะหลั่วก็คงสูสีกับเลวอนอยู่ไม่น้อยแหละนะ ^^a
ชื่อ เลวอน มาจากชื่อภาษาไอริช Laobhan (อย่าอ่านว่า "ลาวพัน" นะ ^^a) แปลว่า “บิดเบี้ยว” (crooked, skewed) ส่วนชื่อคุณพ่อหาง่ายๆ มาจากเว็บเดียวกัน การ์วอน Garbhan แปลว่า “หยาบ” (rough) ครับ ช่างสมเป็นพ่อลูกกันดีจริงๆ
ส่วนท่านเบเรค แหะๆ เขียนเองก็ยังคิดว่า...จะเป็นคนดีไปถึงไหนนี่ ^^a แต่ส่วนตัวอยากให้มีนักการเมืองที่ฉลาดพอตัว มองคนเก่ง และมีคุณธรรมอย่างนี้เหมือนกันแฮะ ไม่ใช่ใจซื่อมือสะอาด แล้วสมองไม่ทันชาวบ้านอย่างเดียว
สำบัดสำนวนของมาลิอาค่อนข้างติดเรท แต่ก็หวังว่าจะอยู่ในระดับที่รับได้นะครับ เพราะผมรู้สึกว่าคาแรกเตอร์ของเธอก็คงจะกึ่งยั่วแบบทีเล่นทีจริง และใช้จุดอ่อนของผู้ชายให้เป็นประโยชน์ด้วยอย่างนี้เอง
ด้านดูลัส...รู้สึกเหมือนกับเริ่มกู่ไม่กลับ ไม่รู้ว่าเผยความคิดกับความระแวงแบบนี้แล้วจะล่อให้คนอยากฆ่ายิ่งกว่าเดิมหรือเปล่า แต่ผมคิดว่าดูลัสเป็นผู้ชายที่ (ไม่) ค่อนข้างหัวเก่า เห็นแอชสวีทกับอาเมียร์ตำตาแล้ว ก็คงจะคิดมากไปอยู่เหมือนกัน บวกกับตัวเองพยายามกดความต้องการครอบครองแอช แล้วโบ้ยไปว่าจะคุ้มครองแอชเพื่อรับใช้ธีร์ดีเรด้วย
ตอนนี้พระเอกยังไม่ฟื้น แต่ตอนหน้าคงจะได้กลับมาพูดคุยกันอีก รวมถึงจัดคิวให้คุณพ่อคุณแม่ได้ออกโรงกันอีกครั้ง แล้วพบกันครับ :)
จากคุณ |
:
Anithin
|
เขียนเมื่อ |
:
21 ธ.ค. 53 22:22:26
|
|
|
|
 |