Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ตำนานสงครามบัลลังก์เหนือ 2 - บทที่ 23 - ปัญหาที่ยังคงอยู่ ติดต่อทีมงาน

อ่านเนื้อหาภาค 1 ได้ที่นี่ครับ

เด็กดี
http://writer.dek-d.com/Anithin/writer/view.php?id=471973

พันทิพ
บทนำ - บทที่ 5
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W9892447/W9892447.html
บทที่ 6-10
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W9906021/W9906021.html
บทที่ 11-15
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W9924896/W9924896.html
บทที่ 16-20
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W9958591/W9958591.html

เนื้อเรื่องต่อภาค 2

เด็กดี
http://writer.dek-d.com/Anithin/writer/view.php?id=623553

พันทิพ
บทนำ - 1 (ครึ่งแรก)
http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2010/05/W9280262/W9280262.html
1 (ครึ่งหลัง)
http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2010/05/W9290547/W9290547.html
2
http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2010/05/W9301954/W9301954.html
3 (ครึ่งแรก)
http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2010/05/W9315581/W9315581.html
3 (ครึ่งหลัง)
http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2010/06/W9326678/W9326678.html
4
http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2010/06/W9355723/W9355723.html
5
http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2010/06/W9380192/W9380192.html
6
http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2010/06/W9404897/W9404897.html
7
http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2010/07/W9435713/W9435713.html
8
http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2010/07/W9500605/W9500605.html
9
http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2010/08/W9571637/W9571637.html
10
http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2010/08/W9623060/W9623060.html
11 (ครึ่งแรก)
http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2010/09/W9647241/W9647241.html
11 (ครึ่งหลัง)
http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2010/09/W9678374/W9678374.html
12
http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2010/10/W9812163/W9812163.html
13
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W9846618/W9846618.html
14
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W9875051/W9875051.html
15
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W9892519/W9892519.html
16
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W9907488/W9907488.html
17
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W9916888/W9916888.html
18
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W9927562/W9927562.html
19
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W9939927/W9939927.html
20
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W9980469/W9980469.html
21
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10002038/W10002038.html
22
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10021934/W10021934.html


* * * * *


ขอบคุณคุณ Mnemosyne สำหรับกิฟท์นะครับ ^^

คุณ scottie - พอมีวิธีหยุดจิตอีกด้านของอาเมียร์อยู่บ้างครับ


* * * * *


บทที่ ๒๓
ปัญหาที่ยังคงอยู่


เจ็บ...

ชาลัวห์ได้แต่แตะริมฝีปากของตนอย่างกล้าๆ กลัวๆ และพบว่าเวลานี้มันบวมเจ่อราวกับปากนกอินทรี

เอาเถิด ก็ยังดีกว่าตอนถูกรุมซ้อมในอันเวียน ดูลัสยังเล่นเขาแค่หมัดเดียว (ถึงจะใส่แรงเต็มที่จนล้มหงาย) เทียบกับที่เขาเคยไล่ฟันอีกฝ่ายให้ได้อายในสนามประลองคงถือว่ากรุณามากแล้วกระมัง

เวลานี้ เขากับรูอาร์คนั่งอยู่ในห้องมืดและว่างเปล่าห้องหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนจะอยู่ในโกดังที่ใดสักแห่ง หลังจากราชองครักษ์กับทั้งสองถูกเจ้าหน้าที่ท่าเรือตัวจริงล้อมไว้ ดูลัสกลับสำแดงตราที่พวกนั้นรับรองว่า “ถูกต้อง” ก่อนจะได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่อีกคนให้ออกไปตามจับคนร้ายที่หลบหนีไปอีกสอง

ส่วนพวกเขาก็ถูกจำโซ่ตรวน พาตัวมาขังไว้ที่นี่โดยไม่มีใครยอมพูดอะไรด้วยเลย (แม้จะถูกรูอาร์คเหน็บแนมกวนประสาทไปหลายดอกก็ตาม)

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าใด ในห้องมีกลิ่นอับและหยากไย่กับฝุ่นจับเขรอะ หน้าต่างเป็นเพียงช่องระบายอากาศแคบๆ สูงแทบชิดเพดาน ปล่อยให้แสงภายนอกส่องเข้ามาได้น้อยนัก

“เฮ้ย ไอ้กะหลั่ว” เด็กหนุ่มผมแดงเรียกเขา

“หือม์” ชายหนุ่มผมทองรับ

“ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว...ถ้าเราต้องตายเหมือนๆ กัน ข้ามีเรื่องอยากบอกแกว่ะ” รูอาร์คทำเสียงจริงจัง “ตอนไปที่อีกฟากโน้น จะได้ไม่มีอะไรติดค้างกันอีก”

“เอ่อ...” ชาลัวห์ชักเหงื่อตก เขาไม่ชอบคำพูดที่เป็นลางเอาเสียเลย

“ข้าให้อภัยแกแล้ว...ซะเมื่อไหร่ว่ะ ดังนั้นแกช่วยเอาชีวิตเข้าแลกให้ข้าหนีไปเป็นพยานพิธีแต่งงานของอาเมียร์กับยัยเจ้าหญิงเปี๊ยกหน่อยเหอะ”

“...ถ้าทำได้ข้าทำไปแล้ว” เวลานี้ ลูกชายของเจ้ามณฑลชอร์ซาพอจะคุ้นกับวิธีพูดของอีกฝ่ายจนรู้สิ่งที่ควรตอบ

“แล้วทำไม่ได้เพราะอะไร ยังรักชีวิตตัวเองอยู่เรอะ ไอ้เห็นแก่ตัว”

“พวกเขาไม่ฆ่าท่านหรอก” ชายหนุ่มให้เหตุผลอย่างเหนื่อยหน่าย “แต่ข้าละไม่แน่ คนที่เป็นนักโทษหลบหนีน่ะข้าต่างหาก”

“เฮ้ย ทำเป็นเล่นไป ข้าก็ช่วยนักโทษหลบหนีลักพาตัวเจ้าหญิงมานะเว้ย” รูอาร์คกลับพูดอย่างภูมิใจ “มีสิทธิ์โดนโยนเข้าคุกกรงน้ำเหมือนกันแหงๆ น่าตื่นเต้นชะมัด”

“ตื่นเต้นบ้าอะไรของแก” ชาลัวห์ชักอารมณ์กรุ่นขึ้นมาจริงๆ “คุกนะเว้ย! ไม่ใช่ย่านเริงรมย์! อย่ามาทำเป็นดีอกดีใจไปหน่อยเลย ลองโดนพวกมันบีบเล็บดูอย่างข้าบ้างไหม แล้วดูซิว่าแกจะมีเวทมนตร์คุ้มครองตัวเองอย่างอาเมียร์หรือเปล่า!”

“หือม์?” ดูเหมือนความสนใจของเด็กหนุ่มผมแดงจะเปลี่ยนจุดทันที “โอ้ เจ้านั่นมันอยู่ยงคงกระพันด้วยนี่เอง มิน่าเล่า ปลาชาดานกะหลั่วถึงได้งอมอยู่ตัวเดียว”

“จ...จะบ้าหรือไง” ชายหนุ่มผมทองอดเอ็ดไม่ได้ “เราพูดถึงเวทมนตร์กันอยู่นะ ต่อให้คนทรายนั่นเป็นเพื่อนเจ้าก็เถอะ มีเวทมนตร์เป็นพ่อมดหมอผีนี่ไม่น่ากลัวเรอะ”

“ข้าถือคติ มีมิตรเป็นพ่อมดที่ดี ดีกว่ามีศัตรูเป็นปลาชาดานเหม็นเน่าว่ะ” รูอาร์คกลับพูดอย่างร่าเริง “แต่ให้ตาย...ตอนนี้ข้าดันมีปลาชาดานเป็นเพื่อนร่วมห้องขัง แล้วส่งมิตรไปวิวาห์เหาะกับเจ้าหญิงซะนั่น ใครรู้เข้าคงหัวเราะเยาะจนฟันร่วงแหงแก๋”

“และข้าก็กำลังอยากหัวเราะเยาะแกจนฟันร่วงอยู่พอดี”

เสียงของบุคคลที่สามดังขึ้นหน้าห้อง ทำเอาชาลัวห์ตกใจจนสะดุ้งโหยง หันไปมองรูอาร์คก็เห็นเด็กหนุ่มหุบยิ้ม สีหน้ากลับเครียดเขม็งขึ้นทันควัน

ประตูห้องถูกไขกุญแจ และเปิดเข้ามา ด้วยมือของเจ้าหน้าที่ท่าเรือที่ชายหนุ่มจำได้ว่าเป็นผู้เจรจากับดูลัส

“ว่าอย่างไร ไอ้ลูกนางบำเรอของมังกรทะเล” อีกฝ่ายโบกมือ ให้เจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่งเข้ามา ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ที่พวกเขาเตรียมให้ “มีคนบอกให้ข้าส่งตัวแกกับไอ้ลูกหมูนี่ให้พ่อมังกรของแก แต่พอได้ยินที่แกพูดเกี่ยวกับ ‘พ่อมด’ เมื่อครู่ ข้าชักอยากรู้เรื่องของมันให้มากกว่านี้เสียแล้ว”

“เลวอน” รูอาร์คส่งเสียงลอดไรฟัน “ไอ้เวรเอ๊ย แกกำลังคิดถึงอะไรที่ทุเรศพอๆ กับหน้าตัวเองในกระจกอยู่ล่ะสิ”

“เอาไว้เล็บมังกรของแกพังป่นปี้หมดก่อนดีไหม แล้วดูซิว่าแกยังจะปากเก่งได้อีกหรือเปล่า”

เหงื่อเย็นๆ เริ่มผุดพราวบนใบหน้าของชาลัวห์ มิหนำซ้ำดูเหมือนปลายนิ้วมือขวาของเขาจะปวดแปลบขึ้นอย่างไร้เหตุผล...เมื่อเห็นเครื่องมือบีบเล็บที่พวกนั้นนำเข้ามา

“อยากให้ไอ้เครื่องนี่แนบชิดกับเล็บของใครก่อนดีล่ะ” ชายที่น่าจะชื่อเลวอนฉีกยิ้ม “ข้าให้เวลาพวกแกเลือกและเตรียมใจ สิบวินาที สิบ...เก้า...แปด...”


* * * * *


เพียงครู่เดียวหลังจากพระมหาเถระลูเธียนแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ศาลาการเมือง ว่าตนพาคนร้ายที่ทางการกำลังตามหามามอบตัว เขากับเพื่อนร่วมทางอีกสองก็ถูกเชิญเข้าไปข้างใน โดยมีเจ้าหน้าที่อีกคนอาสาจะนำม้าดำตัวใหญ่ไปเก็บในโรงม้าให้ แต่แน่นอน มาลิอาปฏิเสธโดยอ้างว่านี่เป็นม้าที่ได้มาจากโรงเช่าม้าใกล้ๆ เพียงเพื่อเคลื่อนย้ายคนเจ็บได้สะดวก และเธอจะนำม้าไปคืนที่นั่นเอง (นักบวชหนุ่มยอมรับว่าคำพูดนั้นไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไร โดยเฉพาะเมื่อคนพูดเป็นเด็กผู้หญิงตาบอด ศีรษะยังสูงแทบไม่ถึงหลังม้า แต่แม่มดดำคงใช้ความสามารถเฉพาะตนเสริมเข้าไปด้วย อีกฝ่ายจึงได้เอ่ยปากยินยอมให้ไปเพียงลำพัง...ด้วยหน้าตาที่ค่อนข้างจะล่องลอย)

ด้วยเหตุข้างต้น เวลานี้จึงมีเพียงพระมหาเถระนั่งอยู่ที่ชุดเก้าอี้ในห้องรับรอง กับเจ้าชายแห่งความมืดนอนหมดสติอยู่บนเก้าอี้ยาว เจ้าหน้าที่มณฑลยาร์ลาธกุลีกุจอนำเครื่องดื่มและอาหารว่างมาบริการ ครั้นสังเกตเห็นร่างกายของเด็กหนุ่มเปื้อนเลือดมากนักก็ถามว่าควรไปตามหมอหรือไม่ และอาสาจะตามหญิงรับใช้มาเช็ดตัว กับหาเสื้อผ้าใหม่ให้

เรียกได้ว่าลูเธียนแทบตั้งตัวไม่ติดกับการต้อนรับขับสู้นักโทษอุกฉกรรจ์ กับพลเมืองดีผู้นำมาส่งที่มีพิรุธเต็มไปหมด แต่เขาก็ยังรักษาท่าทีนิ่งเฉยไว้ จนกระทั่งเจ้ามณฑลยาร์ลาธมาถึงในเวลาเพียงไม่ถึงสิบนาที

“อาเมียร์!” ชายวัยกลางคนเรียกเด็กหนุ่มเป็นคนแรก ก่อนจะชะงักไปเมื่อเห็นสภาพของเขา ถึงแม้เวลานั้นคนหมดสติจะได้รับการเช็ดหน้าตาและแขนให้สะอาดหมดคราบเลือด และมีผ้าห่มคลุมร่างจนถึงอกก็ตาม “เขาไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม ท่าน...”

“ลูเธียน” นักบวชหนุ่มลุกจากเก้าอี้ ค้อมคำนับชายผู้มากวัยกว่า ถึงแม้ว่าด้วยสถานะทางสังคม ชายหนุ่มจะมีศักดิ์สูงกว่าอีกฝ่ายมากนัก

“พระมหาเถระลูเธียน ไม่นึกเลยว่าท่านจะอุตส่าห์มาเยือนเราถึงที่นี่” เจ้ามณฑลคำนับตอบทันที “ข้าขอบคุณท่านจากใจจริง ที่นำเขามาส่ง และยินดีที่จะสืบสวนคดีของลูกชายข้าที่เคนมารา”

สมกับเป็นเจ้ามณฑล เพียงได้ยินชื่อของเขาก็มองสถานการณ์ได้ทะลุปรุโปร่ง กระนั้นนักบวชหนุ่มยังอดถามไม่ได้

“ท่านทราบได้อย่างไร ว่าข้าคือพระมหาเถระ”

“ต่อให้ท่านปลอมตัว ก็ซ่อนคทานั่นได้ยากหรอก” ชายวัยกลางคนพยักพเยิดไปทางคทาที่เขาเคยสะพายหลัง ซึ่งห่อหุ้มด้วยผ้า จัดแต่งเสริมรายละเอียดให้ดูเหมือนเครื่องสายขนาดใหญ่แปลกตาของชาวทะเลทราย “อีกประการ คนของข้าได้ข่าวมา ว่าท่านหายสาบสูญไปหลังออกตามหาปีศาจ พวกเขาพบเพียงผ้าคลุมเปื้อนเลือดของท่าน ข้าก็นึกอยู่ว่านั่นเป็นการสร้างสถานการณ์หรือเปล่า”

“ใช่ ข้าบังเอิญพบว่าในอารามหลวงอาจจะมีสิ่งที่เลวร้ายกว่าปีศาจอยู่ จึงไม่อยากพักที่นั่น” พระมหาเถระในคราบคนทรายตอบง่ายๆ “และอยู่ยาร์ลาธก็น่าจะสะดวกกว่ามณฑลหลวงหลายประการ อย่างน้อยๆ ก็คงไม่มีใครตามมาลอบฆ่าข้าถึงนี่”

“ข้าไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรที่นั่น แต่ก็ขอรับรองด้วยเกียรติของเจ้ามณฑลแห่งยาร์ลาธ ว่าข้าจะคุ้มกันท่านเต็มที่ ตลอดเวลาที่ท่านพักอยู่ที่นี่” เจ้ามณฑลพูดขึงขัง ก่อนจะเหลือบมองเด็กหนุ่มบนเก้าอี้ยาวอีกครั้ง “ว่าแต่ อาเมียร์...”

“วางใจเถอะ เขาเพียงแต่เหนื่อยอ่อนจนหมดสติไป ข้าจึงลงเวทสะกดพลังของเขาไว้ก่อน ร่างกายของเขาอาจต้องใช้เวลาปรับสภาพสักครู่ ข้าไปพบเขาตอนปะทะกับกลุ่มคนติดอาวุธอีกกลุ่ม ที่ต้องการพาตัวเจ้าหญิงของพวกท่านกลับวัง”

“ราชองครักษ์ดูลัส” ชายวัยกลางคนโคลงศีรษะน้อยๆ แม้เสียงจะยังเรียบเฉย “คนหนุ่มหัวแข็งใจร้อน คนเขาจะมามอบตัวถึงที่แล้วยังแล่นไปตีหัวเขาก่อนจนได้ ข้าเองก็ประมาทเกิน ที่นึกว่าคุมตัวคนของทางนั้นไว้แล้วจะสามารถรั้งลูกกริฟฟอนให้ยอมนอนอยู่ในรังเฉยๆ ”

“ดูเหมือนท่านจะห่วงใยเด็กคนทรายนี่มากนะ” ลูเธียนจงใจเปรยขึ้น

“ประหลาดหรือ ท่านพระมหาเถระ” เจ้ามณฑลเดินเข้าไปใกล้เก้าอี้ยาว ยืนก้มมองเด็กหนุ่มนิ่งอยู่ “ท่านคิดว่าข้าควรจะหวาดระแวง โกรธแค้นเขา เพราะเขาทำให้ลูกของข้าต้องตายอย่างนั้นหรือ”

“หามิได้” นักบวชหนุ่มตอบอย่างระแวดระวัง “แต่ก็ไม่ใช่หน้าที่ของท่านที่จะปกป้องคุ้มครองเขาถึงเพียงนี้”

“หากไม่ใช่หน้าที่ของข้า แล้วเป็นหน้าที่ของใคร” อีกฝ่ายทรุดตัวลงบนเก้าอี้ที่อยู่ใกล้เก้าอี้ยาว “พ่อแม่ของเขาก็เป็นสามัญชน ต่อให้มีฝีมือ มีความสามารถ...มาอยู่ที่นี่ก็เป็นแค่ผู้อพยพไร้อำนาจ ข้าเองก็เอ็นดูเขามาแต่แรก...ถึงจะเป็นเพราะอยากมีลูกที่ทั้งจิตใจดี และมีความสามารถอย่างเขามานานแล้วก็เถอะ ...แต่สำคัญที่สุด ข้าเป็นคนพาเขามายืนที่จุดนี้เอง ถ้าเขาเสียใจที่พาลูกชายข้ามายืนในที่ที่ทำให้เขาต้องจากไป ข้าจะไม่เสียใจที่ทำให้เขาต้องมาลำบากเดือดร้อนกับเรื่องทั้งหมดได้อย่างไร”

เพียงเท่านี้ลูเธียนก็รู้ เจ้ามณฑลยาร์ลาธมีน้ำใจห่วงใยคนของตน และผูกพันกับเด็กหนุ่มมากทีเดียว มากพอจะยอมเผยต่อพระมหาเถระผู้สืบคดี ให้เห็นใจอาเมียร์ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง และไต่สวนเขาในฐานะนั้น

“ท่านวางใจเถอะ” พระมหาเถระจึงตัดสินใจตอบอย่างที่เขาอยากได้ยินเช่นกัน “ตอนนี้ยังสรุปอะไรไม่ได้แน่นอนก็จริง แต่จากการติดตามสอดแนมเขามาตลอด...ข้าคิดว่าเด็กคนทรายนี่ไม่มีความผิดในฐานะฆาตกรที่ฆ่าลูกชายของท่าน และหากว่าเขาจะมีมนตร์มืดอยู่ในตัว...ก็เป็นเพราะเขาเป็น ‘ภาชนะ’ ...หรือเรียกให้ง่ายก็คือ ‘ร่างทรง’ ของปีศาจร้าย ซึ่งเราสามารถขับไล่ออกไปได้เท่านั้น”

“เช่นนั้นก็ดี ท่าน” ชายวัยกลางคนพยักหน้ารับ สีหน้าดูโล่งใจขึ้นทันที “ท่านรู้ไหม...ข้าคิดมาตลอด ระหว่างให้อาเมียร์พ้นมลทิน กับให้คนร้ายตัวจริงได้รับโทษ ข้าอยากให้อย่างแรกสำเร็จมากกว่าเสียอีก”

เจ้ามณฑลยาร์ลาธหัวเราะเศร้าๆ ขณะที่นักบวชหนุ่มพยักหน้าช้าๆ

นับว่าดี เขาต้องการทวงความยุติธรรมให้แก่คนที่ยังมีชีวิตอยู่ มากกว่าคนที่ตายไปแล้ว

หากเป็นเช่นนี้ ปัญหาก็คงจบสิ้นได้ง่ายดายกว่าที่คิด

เหลือแค่รอให้มาลิอากลับมา และไปพบท่านเนมอสกับท่านสิมาริเมสพร้อมกัน เพื่อหาทางจัดการกับอีกปัญหาให้เรียบร้อย

ว่าแต่...ทำไมนางถึงได้ไปนานนักนะ


* * * * *


อยู่ที่นี่เอง

เด็กสาวในชุดนางรำทะเลทรายหยุดยืน เบื้องหน้าอาคารไม้ขนาดใหญ่ในพื้นที่โกดังท่าเรือ ซึ่งเวลานี้เรียกได้ว่าแทบร้างคน

เว้นเพียงทหารยามสองคนที่เฝ้าหน้าประตูโกดังหลังนั้น และคนอีกนับสิบที่เธอรู้ว่าย่อมอยู่ภายใน...

“มีอะไร หลงทางเหรอน้องสาว” ทหารหนึ่งในสองทัก

มาลิอาโคลงศีรษะด้วยรอยยิ้ม ...เป็นอย่างนี้ทุกที ร้อยวันพันปี ผู้ชายที่เด็กสาวตาบอดพบกว่าร้อยละห้าสิบมักแสดงความชีกอออกนอกหน้านอกตาเสมอ...โดยเฉพาะชาวอาณาจักรที่คิดกันว่าตนเองเจริญกว่าคนทราย และนางรำชาวทรายก็มักจะพ่วงอาชีพเสริมที่ใครๆ ต่างก็รู้กันดี

“มาหาคนต่างหาก ไอ้หลานชาย” แม่มดดำหยอดเข้าให้

“โห...เจ้าแก่กว่าข้าสักเท่าไรเชียว แม่หนู” อีกฝ่ายยังคงหัวเราะ “หาใครอยู่ล่ะ ถ้าเป็นผู้ชายละก็...ให้ข้าแทนดีไหม”

“ใช่ ข้ากำลังหาผู้ชาย แต่ถ้าเจ้า ‘อึด’ ไม่ได้มากยกเท่าเขา ข้าก็ไม่รับพิจารณาหรอกนะ” เด็กสาวจับได้ทันที ว่าอารมณ์ของคู่สนทนาเปลี่ยนไป ขณะที่เพื่อนทหารยามอีกคนกำลังกลั้นหัวเราะ “...จะได้ร่ำสุรากันได้สักหลายๆ ยกหน่อย”

ทหารทั้งสองหัวเราะออกมาพร้อมกัน และดูเหมือนความคิดก็จะคล้อยไปในทางเดียวกัน

...ร้ายนัก แม่สาวคนทรายนี่... ...คิดจะหาเรื่องเพิ่มค่าตัวล่ะสิ... ...จู่ๆ ก็เดินเข้ามาให้เคี้ยวเอง จะปล่อยไปได้ยังไง...

กับคนประเภทนี้ แทบไม่ต้องใช้ ‘มนตร์เสน่ห์’ หลอกล่อให้เปลืองแรงเลยจริงๆ เชียว

“ก็อยากชวนเจ้าไปดื่มเหล้าหรอกนะ แต่เวลานี้คงไม่สะดวก รอให้ข้าเลิกงานก่อนได้ไหม” ทหารคนเดิมเสนอ “จากนั้น จะอยู่เป็นเพื่อนดื่มกันทั้งคืน อยู่กันยันตะวันโด่งก็ได้เลยเอ้า ...ขอแค่ค่าอยู่เป็นเพื่อนไม่แพงนะ”

“แหม” มาลิอาแสร้งหัวเราะ “อย่างนั้นก็ดี แต่เวลานี้ข้ากำลังรีบ อยากได้ตัวคนตอนนี้เลย เรื่องเงินไม่เกี่ยงอยู่แล้ว”

“เฮ้ย! กลางวันแสกๆ นี่นะน้องสาว!”

“ตอนนี้คือตอนไหนล่ะ” เจ้าหล่อนชายดวงตาที่มองไม่เห็นไปทางต้นเสียงอย่างยั่วเย้า “และอย่างที่บอก ข้าอยากได้คน หากให้ระบุจำนวนแน่นอนคือสองคน ดังนั้นจะเจอตัวที่ไหน ก็ไม่เกี่ยงสถานที่หรอกนะ”

ทหารทั้งสองหันไปคุยเบาๆ กันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนคนที่เจรจากับมาลิอามาโดยตลอดจะเอ่ยปากฝากเพื่อนให้ช่วยเฝ้าคนเดียวไปสักพัก และอีกคนก็รับโดยมีเงื่อนไข

“เอาก็เอา แต่เสร็จแล้วเจ้าเฝ้าแทนข้าด้วยล่ะ” เขาพูดเสียงดังขึ้น เหมือนจะให้เด็กสาวรู้ว่าพูดด้วย “เฮ้ย! นังหนู ข้าขอสมัครเป็นคนที่สองได้ไหม”

“ก็เอาสิ” แม่มดดำรับคำง่ายดาย ก่อนจะปล่อยให้ทหารคนหนึ่งโอบไหล่ เดินพาตนอ้อมไปทางด้านข้างของอาคาร

เขาไม่ทันสังเกตเลย ว่าเด็กสาวขยับหลบไปจากมือตนเมื่อใดก็ไม่รู้ และกลับหลังหันเดินกลับไปพร้อมกับปัดไหล่ที่ชายหนุ่มเคยต้อง ขณะที่มือของเขายังคงโอบความว่างเปล่าที่ตน ‘สัมผัสได้’ อยู่

ข้อมือของเด็กสาวขยับรวดเร็วโดยไร้เสียงกะพรวน


* * * * *


“ไม่! ทำอย่างนั้นไม่ได้!” ชาลัวห์ร้องหลังจากได้ยินทางเลือกของรูอาร์ค แม้เสียงจะสั่นไม่น้อย

“ว้อย! ทำไมจะไม่ได้!” เด็กหนุ่มผมแดงตอบอย่างหัวเสีย “คนเคยโดนบีบเล็บอย่างแก เงียบไปเลย!”

“ก็เพราะเคยน่ะสิวะ! ถึงรู้ว่าไม่ได้!” ชายผมทองเริ่มขึ้นเสียง “มันเจ็บนะเว้ย...ทรมานนะเว้ย...นิ้วจะพิการ...จะหยิบจับใช้การอะไรไม่ได้ถนัดอีกเลย! ข้าโดนมาแล้ว!”

“ตลกว่ะ...เพราะโดนมาแล้ว แกถึงจะทำตัวเป็นพระเอก ปกป้องเล็บข้างั้นเรอะ ข้ายอมมือกุดดีกว่าให้ฆาตกรฆ่าพี่ชายอย่างแกช่วยเหรอก!”

“แต่ว่า!”

“อะไรกัน” ทหารท่าเรือนามเลวอนเอ่ยอย่างขบขัน “ไหงพวกแกรักกันปานจะกลืนกินแบบนี้วะ ไอ้ลูกเจ้ามณฑลชอร์ซามันฆ่าพี่ชายแกไม่ใช่รึไง ไปทำอีท่าไหน มันถึงรักถึงเป็นห่วงแกแบบนี้ล่ะ”

“แกหุบปากไปเลย เลวอน” เด็กหนุ่มผมแดงพูดเสียงเขียว พร้อมกับยื่นมือที่ล่ามโซ่ของตนออกมาตรงหน้า “จะปู้ยี่ปู้ยำมือหรือตัวข้ายังไงก็เชิญ พ่อข้าจะได้รู้ธาตุแท้ลูกรองเจ้ามณฑลอย่างแก ไม่ส่งฟิเดลมามาแต่งงานกับตัวทุเรศอัปรี—!”

ชาลัวห์เผลอร้องขึ้นมา แทนคนที่ถูกถีบจนหน้าหงาย

เลวอนลุกตามไป กระชากผมดึงตัวเด็กหนุ่มผมแดง ซึ่งเอาแต่เม้มปากแน่นขึ้นมา

“ให้ตายสิ ไอ้ปากแข็งอย่างแก...มันน่าจับยัดลูกพีราแห่งความทรมานชะมัด” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเย็น “อ้อ แต่ยังไม่ได้แหละนะ ขืนปากแกฉีกเปิงไป ข้าก็ไม่ได้เรื่องอะไรเกี่ยวกับไอ้คนทรายนั่นน่ะสิ และข้าก็อยากเค้นเรื่องเวทมนตร์ของมันออกมาให้หมดด้วย”

“ล...แล้วจะรู้ไปทำไม!” ชาลัวห์ร้องอย่างตระหนก “จ...เจ้าหญิงก็กลับไปแล้ว! นายแกก็ได้สิ่งที่ต้องการแล้วนี่!”

เลวอนเลื่อนสายตามาดร้ายมายังเขาบ้าง ยังผลให้ชายผมทองหดคอแทบทันที

“ใครนายข้า ระวังปากแกเสียบ้าง ไอ้ขี้โกง”

“เฮอะ อย่าปากดีไปหน่อยเลย แกนึกว่าไอ้ดูลัสมันจะยอมกราบตีนไอ้ขี้แพ้อย่างแกเรอะ” เป็นรูอาร์คที่พูดเสียดขึ้น “พนันร้อยต่อหนึ่งก็ได้ ว่าแกเองนั่นล่ะ ที่ไปกราบตีนมัน ขอช่วยงาน แลกกับตำแหน่งอะไรที่สูงกว่านายท่าต๊อกต๋อยในตอนนี้ ไอ้ดูลัสมันจะได้เจ้าหญิงไป ส่วนแก...ก็ยิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัว กำจัดทั้งอาเมียร์ที่อาจจะได้เป็น ‘เขย’ เจ้ามณฑลแทนแก กับลูกชายที่เหลืออยู่ ที่จะเป็นเจ้ามณฑลคนต่อไปด้วย!”

“ไอ้—!”

ลูกชายของรองเจ้ามณฑลยาร์ลาธดึงผมของเด็กหนุ่มออกมาข้างหน้า ก่อนจะปล่อยมือให้หน้าคะมำไปกับพื้น และยกเท้าขึ้นเหยียบกดหัวไว้

ครั้งนี้ชาลัวห์เริ่มหวั่นใจเป็นที่สุด ...รูอาร์คไอโขลกจนร่างกระตุก น้ำลายปนเลือดไหลจากปากลงสู่พื้นเป็นวง

“พอเถอะ! ถ้าอยากรู้เรื่องเวทมนตร์ของอาเมียร์...ข...ข้าจะบอกให้หมด!” ชายหนุ่มร้อง “ข้าจะบอกทุกอย่างที่รู้เลย! ต...แต่ปล่อยรูอาร์คไปซะ!”

“...ไม่...ต้อง” เด็กหนุ่มผมแดงค้านทันที ทั้งที่เลือดยังกบปาก “...ลาก...ไอ้บ้านั่น...ไปทิ้ง...ให้คนข้างนอก...รุมประชาทัณฑ์ดีกว่า...มัน...เป็นคนฆ่า...พี่ข้า...ใครๆ ...ในยาร์ลาธ...ก็อยากฆ่า...มันให้ตาย...ทั้งนั้น...”

“หึ...ทิ้งให้มันวิ่งโร่ไปฟ้องเจ้ามณฑลให้โง่น่ะสิ นึกเรอะว่าข้าไม่รู้ทันลูกไม้ของแก เห็นรักกันปานจะตายแทนกันได้อย่างนี้”

“ม...ไม่ใช่นะ...” ชาลัวห์พูดได้เท่านั้นก็เงียบไป

เขานึกไม่ออกเหมือนกัน ว่าตนกำลังจะพูดอะไร หรือทำอะไร ทำไมถึงเสนอตัวจะอยู่กับคนพวกนี้แทนเด็กหนุ่มผมแดงที่แค้นเคืองเขา แสดงท่าทางชัดเจนว่าถึงอย่างไรก็จะไม่ให้อภัยเขา...

...หรือเพราะไม่อยากทำผิดซ้ำอีก ไม่อยากเห็นแก่ตัวเพื่อให้คนอื่นต้องเจ็บปวดแทน...

คนอย่างเขาก็คิดอะไรแบบนี้เป็นด้วยหรือ

อย่างไรก็ดี ลูกชายของเจ้ามณฑลชอร์ซาไม่มีเวลาคิดต่อ เพราะเลวอนโบกมือให้พรรคพวกของตนเข้าไปดึงตัวทั้งชายหนุ่มผมทอง กับเด็กหนุ่มผมแดงขึ้นมา

“ในเมื่อรักกันนัก ข้าก็ดีใจ” รอยยิ้มของนายทหารท่าเรือยิ่งบิดเบี้ยว ชวนให้ชาลัวห์นึกถึงสีหน้าที่ตนไม่มีโอกาสได้เห็น...ใต้หน้ากากของพวกราชมัล “...เพราะข้าเอาที่บีบเล็บมาถึงสองอันพอดี”


* * * * *

จากคุณ : Anithin
เขียนเมื่อ : 21 ธ.ค. 53 22:21:05




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com