Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
วิภัตติธรรม ติดต่อทีมงาน

หมู่บ้านเขาวง หมู่บ้านเล็กติดชายขอบอุทยานแห่งชาติน้ำหนาว จากปากทางเข้าหมู่บ้านเส้นทางลากยาวผ่านหมู่บ้านราว 3 กิโลเมตร เป็นเขตของสำนักวิภัตติธรรม
สำนักวิภัตติธรรมมีกำแพงภูเขาทำให้อากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี พื้นที่บริเวณสำนักก่อสร้างเป็นอาศรมแยกเป็นหลังๆ สำหรับผู้มาปฏิบัติธรรมบนเนินเขา สร้างเป็นศาลา ปฏิบัติธรรมและเผาจี้จุดสำหรับจุคน 30 คน ในหน้าฝนช่วงที่มีฝนชุกเส้นทางในสำนักจะมีทางน้ำตัดผ่าน กำแพงภูเขาด้านหนึ่งอุ้มน้ำจนเต็มอิ่มแล้วจะคายน้ำออกมากลายเป็นน้ำตก สำนักไม่มีไฟฟ้าใช้ แต่ใช้น้ำได้สะดวกสบายเพราะปั่นมาจากอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่ครูบาสร้างไว้
กิจที่ผู้ปฏิบัติธรรมต้องปฏิบัติ คือ ตื่นเช้านอนตอน 3.30 นาฬิกา ทำภารกิจส่วนตัว 4.00 นาฬิกา พร้อมกันที่ศาลาปฏิบัติธรรม สวดมนต์ไหว้พระเผาจี้จุด ด้วยท่าโยคะในเวลา 1 ชั่วโมง หลังจากนั้นจะเป็นการนั่งวิปัสสนากรรมฐานโดยมีครูบาเป็นผู้ในคำแนะนำ ต่อมาจะเป็นการกล่าวทักทายแนะนำตัวผู้มาใหม่ ก่อนท่องบทสวดที่ทางวัดเรียงร้อยขึ้นจากคติธรรมทางพุทธศาสนา
6.00 นาฬิกา ดื่มน้ำมะนาวซึ่งถือว่าเป็นยาอายุวัฒนะประจำวัด ทำจากน้ำมะนาว 1-2 ลูก เกลือ/พริกติดปลายช้อน และน้ำผึ้ง1 ช้อนชา สำหรับผู้ที่มารักษาอาการป่วยต้องอยู่วัดอย่างน้อย 9 วัน โดย 9 วันนี้ จะต้องดื่มแค่น้ำมะนาวและน้ำยูริน
7.00 นาฬิกา ถวายข้าวพระ อ่านคำอธิฐานธรรมหลังจากนั้นครูบาจะอนุญาตให้ผู้มีข้อสงสัยเกี่ยวกับคำอธิฐานธรรมสอบถามได้ ก่อนจะซักถามอาการผู้มารักษาโรคโดยละเอียด
16.00 นาฬิกา ผู้ที่มาปฏิบัติธรรมสวดมนต์ไว้พระท่องบทสวด
18.00 นาฬิกา ดื่มน้ำมะนาวครั้งสุดท้าย
19.00 นาฬิกา ท่องบทสวดเสวนาธรรมกับครูบาและนั่งสมาธิเป็นรายการสุดท้าย
สำนักปฏิบัติธรรมแห่งนี้ตั้งมาได้ 3 ปี ตั้งแต่ชื่อเสียงการรักษาโรคและการเสวนาธรรมที่กระจ่างแตกฉานและเป็นวิทยาศาสตร์สุดโต่ง แพร่กระจ่ายออกไปก็มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาสถานปฏิบัติธรรมแห่งนี้ไม่ขาดสาย
เวลาสายแดดอ่อนๆ ในช่วงของวันเข้าพรรษาสำนักวิภัตติธรรมได้ต้อนรับสามีภรรยาทำธุรกิจประมงจากจังหวัดระยอง สามีนั่งคุกเข่าพับเพียบต่อหน้าครูบาด้วยอาการตาบวมแดงมีเมือกเยิ้ม เยื้อบุแดงบวมกลืนดวงตาไปกว่าครึ่ง
ส่วนภรรยาแจ้งให้ทราบว่าเธอประสบปัญหาเครียดจากอารมณ์โกรธกับลูกน้อง
9 วัน คือระยะเวลาที่ครูบาแนะนำให้อยู่ปฏิบัติ ซึ่งสามีภรรยาก็เต็มใจเพราะเชื่อมั่นจากกิตติศัพท์ของสำนัก และประสบการณ์ที่ได้รับถ่ายทอดจากญาติสนิท
คืนหนึ่งของการเสวนาธรรม
ด้านหน้าศาลาปฏิบัติธรรมเป็นระเบียงกว้างด้านหนึ่งเป็นบ่อปลา ปลูกดอกบัว และประดิษฐานพระพุทธรูปปรางค์อาวโรกิเตศวรเหนือบ่อ ที่ขอบบ่อปลาทำเป็นพื้นที่ยื่นออกมาเป็นที่นั่ง
คืนนี้ท้องฟ้าผ่องใส ดวงจันทร์ลอยเด่นล้อมด้วยเด่นดาว
ครูบานั่งอยู่บนอาสนะท่ามกลางเงามืด นอกจากแสงจันทร์แล้ว ห่างออกไปทั้งสองด้านยังมีเทียนพรรษาขนาดใหญ่ตั้งอยู่ พื้นระเบียงผู้ปฏิบัติธรรมนั่งเรียงกันเป็นแถว
แม่ชีในสำนักสงฆ์รายงานความเป็นไปพร้อมกับปัญหาในงานที่ตนรับผิดชอบ
ครูบาสอบถามอาการของผู้ดื่มน้ำมะนาวทีละคนจนพอใจ แล้วจึงเปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติธรรมซักถาม
“ครูบาคะ” สาวหนึ่งจากกรุงเทพพนมมือขึ้น แม้จะอยู่ในชุดนุ่งขาวห่มขาว แต่กิริยาวาจายังมั่นใจ “ดิฉันได้อ่านจากโศลก แล้วพบคำว่า ปัจจุบันขณะ อ่านจากข้อความนี้แล้วไม่แน่ใจว่าปัจจุบันขณะในโศลกนี้จะตรงกับที่ดิฉันเข้าใจหรือเปล่า”
“แล้วโยมเข้าใจว่ายังไงล่ะ”
“การอยู่กับปัจจุบันขณะดิฉันเข้าใจว่า คือการที่เราไม่ไปพะวง อยู่กับอดีตหรือวิตกกังวลอยู่กับอนาคต แต่เราต้องอยู่กับปัจจุบันหรือทำปัจจุบันให้ดีที่สุด”
“แล้วคนอื่นๆ ละคิดแบบเดียวกันหรือเปล่า”
“ดิฉันเข้าใจว่าปัจจุบันขณะของดิฉันคือเวลาขณะนี้ที่เราหายใจอยู่ เวลาผ่านไปแม้เพียงเสี้ยววินาทีก็ไม่ใช่ปัจจุบันขณะแล้ว กลายเป็นอดีต”
ครูบาแย้มริมฝีปาก ดวงตาเปล่งประกายแห่งความปรานี “เมื่อ 5 ล้านปีที่แล้วเป็นปัจจุบันไหม”
“ไม่ใช่ค่ะ” ต่างพนมมือตอบ
“แล้วอีก 5 ล้านปีข้างหน้าล่ะ”
“ไม่ใช่ เจ้าค่ะ”
“จริงๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นหลายร้อยล้านปีที่ผ่านมาแล้ว ตั้งแต่ยังไม่มีอะไรเลย จนกระทั่งช่วงที่ไดโนเสาร์เกิด หลายร้อยปีที่ผ่านมา 50 ปีที่แล้วเราเกิดหรือยัง”
“ยังค่ะ”
“อายุเท่าไหร่แล้ว”
“30 ค่ะ”
“แล้วจะอยู่ไปอีกสักเท่าไหร่ อย่างมากก็ 50 ปี ก็ตายแล้ว หรือเวลาต่อไปอีกหลายร้อยล้านปี ตั้งแต่ยังไม่มีโลก ไม่มีจักรวาล จนกระทั่งจักรวาลดับสูญ ตั้งแต่เราเกิดจนกระทั่งเราตาย ทั้งหมดคือปัจจุบันขณะ คือครอบคลุมทั้งหมด ถ้าเรามองอย่างนั้นเราก็จะเห็นการเกิดดับไหม”
“เห็นค่ะ” “เห็นครับ”
“ถ้าเรามองแบบนี้เราจะเห็นการเกิดดับแต่การเกิดดับที่แท้จริงไม่มี ถ้าเรามองเห็นครอบคลุมทั้งหมดแบบนี้ เวลาก็จะไม่มี เราก็จะหยุดเวลาได้ จะมีเราอยู่ทุกเวลา ทุกขณะ เพราะทุกขณะคือ ปัจจุบันขณะ”

หนึ่งคืนของการเสวนาธรรม
สาวใหญ่วัย 35
วันนี้แสงแดดแจ่มจ้าทั้งวันแต่เมื่อถึงกลางคืนท้องฟ้ากลับมืดมิด
ครูบานั่งอยู่ด้านในศาลาปฏิบัติธรรมซ้ายมือของพระพุทธรูป จุดเทียนพรรษา 2 ด้าน ใบหน้านิ่งสงบอยู่ในเงามืด หลังจากสอบถามสารทุกข์สุขดิบของทุกคนแล้ว ครูบาก็เปิดโอกาสให้ผู้สนใจซักถาม หญิงสาวนางหนึ่งวัย 35 ยังสวยพริ้งด้วยดูแลทรวดทรงองค์เอวและผิวพรรณเป็นอย่างดี
“วันนี้โยมวาสนามีปัญหาจะถามเจ้าค่ะ” แม่ชีสุกัญญาหัวหน้าแม่ชีเกลิ่นนำขึ้น
“ว่าไงล่ะโยมวาสนา”
วาสนาสาวใหญ่พนมมือขึ้น “ดิฉันกับแม่ทะเลาะกันเป็นประจำ เจอหน้ากันไม่ได้เลย มีเรื่องให้ขัดใจกันตลอด ครั้งสุดท้ายทะเลาะกันขึ้นเสียงใหญ่โต ครอบครัวดิฉัน สามีกับลูกๆ แล้วก็ญาติพี่น้องก็อยู่ด้วย”
“ทะเลาะกันเรื่องอะไรล่ะโยม พอจะบอกได้ไหม”
“ส่วนใหญ่ก็เรื่องว่า ดิฉันเป็นลูกเนรคุณไม่รู้จักทดแทนคุณเขา”
“ทำไม่เขาถึงว่าอย่างนั้นล่ะ โยมก็ดูแลอยู่ไม่ใช่รึ”
“อาจจะดูแลน้อยไปบ้าง ทำไงได้ล่ะคะ ครอบครัวฉันก็ปากกัดตีนถีบ แม่เองเลี้ยงดูลูกได้ดิบได้ดีตั้งหลายคน ดิฉันเองซะอีกแม่ยกให้เป็นลูกเลี้ยงน้าสาวตั้งแต่เล็กกว่าจะโตมาได้ มีงานมีการทำก็ลำบากมาด้วยตัวเอง” เจ้าตัวอธิบายอย่างมีอารมณ์
“แล้วโยมอยากจะปรึกษาอะไรอาตมาละ”
วาสนารู้สึกตัวหน้าเจื่อนน้อยๆ “ตอนที่ทะเลาะกันครั้งหลังสุดดิฉันพลั้งปากพูดอะไรไม่ดีไปมาก ดิฉันคงจะบาปมากใช่ไหม จริงๆ แล้วดิฉันก็อยากรักกันกับแม่เหมือนคนอื่นๆ เขา”
“บาปจากการด่าทอบุพการีจะทำให้ไปเกิดเป็นเปรตเมื่อตายไปแล้ว การด่าทอพ่อแม่ถ้าหลีกเลี่ยงได้ก็หลีกเลี่ยงจะดีกว่า ใจจริงแล้วโยมก็อยากจะรักกับแม่เหมือนคนอื่นๆ เขา”
“ค่ะ”
“ความรักที่แท้คือการที่เรารักทุกอย่างที่เขาเป็นไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไร ทำอะไรมาก็ตาม”
“ไหนโยมวาสนาลองจับมือโยมสาวิกาซิ”
วาสนาหันมามองหน้าสาวิกา เพื่อนปฏิบัติธรรมที่เดินทางมาพร้อมกัน
“แล้วมองหน้ากัน โยมรู้สึกยังไง ถ้ามองหน้าแล้วยังติดอยู่กับภาพพจน์ เห็นว่าเขาเป็นคนแบบไหน เคยทำอะไรมา นั่นยังไม่ใช่ความรักที่แท้ แต่ถ้าเราจับตัวเขาแล้วรู้สึกถึงตัวเขาจริงๆ นั่นแหละรัก ไร้เหตุผล ไร้อดีต ไม่มีพรุ่งนี้ ไม่มีเมื่อวาน ทำตัวให้เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ทุกวัน โยมวาสนาพอจะเข้าใจไหม”
“ค่ะ”
“กลับไปนี่ไปกราบขอขมาแม่ กอด แล้วลืมเสียให้หมดว่าอดีตเคยเป็นยังไงหรืออนาคตจะเป็นยังไง อยู่กับปัจจุบัน ไม่ต้องมีอย่างอื่นมาเกี่ยวข้อง ทำได้ไหม”
“ได้ค่ะ”

10.00 นาฬิกา สำนักวิภัตติธรรม
ว่าด้วยเรื่องของนำโชค
“ข้าแต่สมณะผู้เจริญ ข้าพเจ้าขออนุโมทนาบุญให้กับสหายธรรมทุกท่านที่ตั่งหมั่นอยู่ในศีล และสมาธิตลอดระยะเวลาที่ได้สิกขาอยู่ในสถานปฏิบัติธรรมแห่งนี้ ด้วยเหตุปัจจัยนี้ขอให้มีความปราดเปรื่องในอรรถและในธรรม เป็นเครื่องนำไปสู่อริยมรรค เป็นที่สุดด้วยเทอญ...”
วินัยฟาดไม้เรียวที่ทำจากไม้ไผ่หวดก้นลูกชายสุดแรงเกิดหลายครั้ง
ครูบาเดินนำหน้าสุนัขแม่ลูกอ่อนหนึ่งครอกวิ่งล้อมหน้าล้อมหลัง เข้ามาหา
“ตีกันทำไมหรือ” ครูบาหยุดถาม
“นำโชค ครับครูบา” วินัยหยุดมือหันไปพนมมือพูดกับครูบา
“มันพาเด็กข้างนอกมาเล่นทอยเหรียญเอาเงินกัน ผมเลยลากมาตี”
“คนอื่นๆ ล่ะ”
“ไล่กลับหมดแล้วครับ อยู่ในวัดกินข้าววัดแท้ๆ ”
“ทำมานานแล้วหรือนำโชค”
“เพิ่งครั้งนี้ครั้งแรกครับ” นำโชคตอบฉะฉาน แม้หน้าตาจะแดงก่ำกลั้นเจ็บ
“ครั้งแรกที่มันพาเพื่อนมาเล่นในวัด ทุกวันมันออกไปเล่นข้างนอก”
“มันได้ดีหรือนำโชค”
“ได้มามันก็เอาไปซื้อขนม ชื้อของเล่น เสียมันก็มาแคะเงินในกระปุกที่ผมหยอดไว้ให้มันไปเล่นใหม่ จนเหลือแต่กระปุกแล้วครับ”
“อยู่ในวัดใกล้พระแท้ๆ นำโชคต่อไปนี้ทุกบ่ายหลังเลิกเรียนมาทำการบ้านกับครูบาที่กุฏินะ พาเพื่อนๆ มาด้วยก็ได้”
“ครับ” เด็กชายรับคำโดยดี
ครูบาเดินนำหน้าพาครอกลูกสุนัขเดินจากไป

เช้าตรู ณ สำนักวิภัตติธรรม
“น้องอายดูอะไรอยู่คะ” ป้ารัดจัน หญิงแขกวัยกลางคนคลานเข่าเข้ามาถามเด็กสาววัย 13 ปี ด้วยท่าทีเอ็นดู ความจริงแล้วรัดจันนักถือศาสนาซิกข์แต่ด้วยได้รับคำรับรอง เสียงร่ำลือถึงผลของการรักษาโรคของสถานปฏิบัติธรรมแห่งนี้ทำให้รัดจันเสียสละเวลาค้าขายผ้าที่พาหุรัด หอบโรคร้ายกับสุขภาพกายที่ย่ำแย่มาทำการรักษา ได้ผลดีเกินคาด จากการปฏิบัติธรรมดื่มน้ำมะนาวอยู่ที่สำนักวิภัตติธรรมได้ 23 วัน สุขภาพกายดีขึ้นเห็นได้ชัด สุขภาพใจก็หายหวง
เด็กสาวมองพระพุทธรูปด้วยความงงงวยสงสัย “น้องอายอ่านเจอในอินเทอร์เน็ตค่ะ เขาว่าพระพุทธรูปความจริงเป็นผู้หญิง”
“น้องอายพูดอะไรลูก” ป้าอุบลเดินทางมากับน้องอายเอ็ดเบาๆ ในความไม่เดียงสา
“จริงๆ นะค่ะ ในอินเทอร์เน็ตบอกว่าพระพุทธรูปจริงๆ แล้วเป็นผู้หญิง ป้าอุบลเห็นไหมคะ ว่าหน้าตาสวย อกก็อูมเอวก็คอด”
“เหลวไหลจริงเด็กคนนี้”
“น้องอายว่าอะไรนะคะ” แม่ชีเอี้ยงเข้ามาสมทบอีกคน
“พี่เอี้ยงค่ะ พระพุทธรูปเป็นผู้หญิงจริงไหมคะ”
“แล้วน้องอายคิดว่ายังไงคะ” พี่เอี้ยงถามย้อน
น้องอายเพ่งพิศที่พระพุทธรูปตรงหน้าอีกครั้ง “พระพุทธรูปเป็นรูปปั้น น้องอายคิดว่าไม่มีเพศหรอกค่ะ”

19.00 นาฬิกา คืนเด่นดวงดาวพราวพร่างเยื้องข้างจันทรา
ปลายฝนเข้าต้นหนาว แต่พายุยังโหมพัดกระหน่ำทั่วฟ้าเมืองไทย ฟ้าหลังฝนโปร่งใสกว่าที่คิด ดวงดาวพราวแสงแจ่มจ้า ล้อมจันทร์ดวงเด่นเต็มดวงสีเหลืองนวล
เบื้องหลังครูบาเป็นภาพเงาทะมึนของภูผา สูงขึ้นไปบนทองฟ้าแสงจันทร์สาดส่องให้เห็นบรรยากาศชัดเจนกว่าที่เคย
“วันนี้คุณจันทร์สุดามีปัญหามากเรียนถามเจ้าค่ะ” แม่ชีสุกัญญาหัวหน้าแม่ชีพนมมือขึ้นแจ้งแก่ครูบา
“ที่เพิ่งมาวันนี้ใช่ไหมโยม”
“ใช่ค่ะ” จันทร์สุดา หญิงสาวผมยาวสลวยใบหน้าเยาว์วัยจนคะเนอายุไม่ออก นัยน์ตาหม่นเศร้าเหลือบขึ้นสบสายตาครูบาชั่วครู่
“ตั้งใจมาศึกษาธรรมหรือ”
“ค่ะ แล้วก็มีเรื่องจะเรียนถามด้วย”
“เรื่องอะไรล่ะ”
“ความรักเจ้าค่ะ”
ทุกคนในสำนักหันมองหน้ากัน น้อยคนนักจะเข้าวัดปรึกษาพระเรื่องปัญหารักใคร่
“ว่ายังไงล่ะ”
“เมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว ดิฉันไปตกหลุมรักผู้ชายคนหนึ่ง หน้าตาดี แล้วก็ฐานะดีมาก ดิฉันทุ่มเททุกอย่างให้เขา ทั้งความรักและความหวัง แต่ก็เปล่าประโยชน์ค่ะ ความรักครั้งนั้นไม่สมหวัง ดิฉันเสียใจมากจนครองสติไม่อยู่ ต้องกินยาระงับประสาทอยู่หลายปี รักษาโรคซึมเศร้า”
“เวลาผ่านมากี่ปีแล้วล่ะ”
“ 4-5 ปีแล้วค่ะ”
“ยังลืมเขาไม่ได้อีกหรือ”
“คิดว่าได้แล้วเจ้าค่ะ แต่ปัญหาคือ ดิฉันไปรักคนอีกคนหนึ่ง แล้วก็เกิดฟุ้งซ่านขึ้นมากอีก กลัวไปหมด กลัวเจออะไรแบบเดิมๆ กลัวเสียใจ กลัวเขาไม่รัก”
“ยังทานยาระงับประสาทอยู่หรือเปล่าล่ะ”
“ค่ะ หมอลดยาลงมาก ใกล้จะงดแล้ว แต่เจอคนนี้ ก็กลับนอนไม่หลับฟุ้งซ่านขึ้นมาอีก เลยลองมาปฏิบัติธรรมดู ถ้าไม่ดีขึ้น กลับไปจะขอให้หมอเพิ่มขนาดยาขึ้นค่ะ”
“โยมจะกลับวันไหนนะ”
“อีก 5 วันกลับค่ะ คงดื่มน้ำมะนาวได้ 4 วัน” ใยบัว หัวหน้าคณะที่พาเดินทางมาปฏิบัติธรรมในครั้งนี้พนมมือแจ้งให้ครูบาทราบ
“อยู่ดื่มน้ำมะนาวให้ถึง 9 วันสิโยม”
“คือดิฉันมีธุระต้องทำต่อค่ะ ต้องกลับไปสะสางงาน” จันทร์สุดาพนมมือตอบ
“อย่าเพิ่งห่วงอย่างอื่นเลยโยม รักษาตัวให้ดีก่อน ถ้าสุขภาพเราไม่ดี ทำงานหาเงินได้มาก็ไม่มีประโยชน์”
“อยู่ต่ออีกให้ถึง 9 วันนะจันทร์สุดา” ใยบัวสำทับ
“ว่ายังไงโยมจันทร์สุดา” ครูบาถามย้ำ
“ได้ค่ะ” จันทร์สุดาตอบน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว
“โยมดื่มน้ำมะนาวทุกชั่วโมง ดื่มยูรินเช้าเย็นทำได้ไหม”
“ได้เจ้าค่ะ”
“แล้วต้องทานยาอยู่อีกไหมเจ้าคะ” ใยบัวพนมมือถาม
“ไม่แล้วโยม...”

เวลาสายแดดอ่อนๆ ในช่วงท้ายของวันเข้าพรรษาสามีภรรยาทำธุรกิจประมงจากจังหวัดระยองกำลังจะอำลาจากสำนักวิภัตติธรรม สามีนั่งคุกเข่าพับเพียบต่อหน้าครูบาด้วยดวงตาแจ่มใสอาการตาบวมแดงมีเมือกเยิ้มหายไปแล้ว
ครูบานั่งพิจารณาด้วยอาการพอใจ
“ใกล้หายแล้วนี่โยม กลับไปรักษาต่อไม่นานก็หาย”
“ครับ”
“แล้ว สุวพีล่ะ อารมณ์โกรธเป็นยังไงบ้าง”
“คิดว่าพอจะทำใจได้แล้วค่ะ”
“คือเวลาเราโกรธ ไม่ต้องไปฝืน ให้รู้ตัวว่าโกรธแต่ไม่ต้องพิจารณาถึงปลีกย่อย รับรู้ว่ามีอารมณ์โกรธอย่างไร ทักทายทำความรู้จักกับมัน ไม่นานความโกรธนั้นก็จะหายไปเอง”
“เจ้าค่ะ”
“ทีนี้จะกลับยังไงล่ะ”
“รอรถที่บ้านมารับค่ะ”
“เห็นว่าน้ำท่วมระหว่างทางมา ไม่รู้คนขับรถ จะมารับได้หรือเปล่า”
“โชคดีโยม”

จากคุณ : มนตราสิริ
เขียนเมื่อ : 1 ธ.ค. 53 22:08:50 A:182.232.128.129 X: TicketID:085111




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com