อาเมียร์ ข้ารู้ความจริงแล้ว... ขึ้นต้นอย่างนี้จะดีไหมนะ
อาเมียร์ ข้ารู้ว่าไม่ใช่ความผิดของท่าน... หรือจะเป็นอย่างนี้ดี
อาเมียร์ ข้าไม่ได้โกรธท่านหรอก... แต่ถ้าแบบนี้ก็เหมือนพูดปด เธอโกรธเขาอีกคนหนึ่งที่ทำอะไร...บ้าๆ อย่างนั้นไม่ใช่หรือ
หรือจะบอกว่าอาเมียร์คนนี้ไม่ใช่อาเมียร์คนนั้น ถ้าจะโกรธก็ต้องไปโกรธอีกคน ...แล้วว่าไป เธอควรบอกเขาไหมนะ ว่าเรื่องทั้งหมดที่รู้มาจากมาลิอาเป็นอย่างไรบ้าง
แต่มันเป็นเรื่องที่กระทั่งตัวเขาเองยังอยากลืมไป จึงได้เลือกที่จะสะกดความทรงจำไว้ไม่ใช่หรือ
เธอเองก็ไม่รู้เสียด้วย...ว่าควรบอกเท่าไร จึงจะไม่กระทบกระเทือนความรู้สึกของเขามากไปกว่านี้
เด็กสาวคิดไป เดินไป จนสุดท้ายก็เผลอเดินเลยประตูห้องพักของตน ต้องย้อนกลับมาอีกรอบ ครั้นแล้วก็ได้แต่ยืนมองบานประตูนิ่งอยู่เป็นนาน ก่อนจะตัดสินใจเคาะ
เพียงครู่เดียว อาเมียร์ก็แง้มประตูออกมาเล็กน้อย
“แอช”
“ท...ท่านว่ามีเรื่องจะพูดกับข้าไม่ใช่หรือ” แอชลีนน์ยังไม่กล้าสบตากับเขา
เด็กหนุ่มเงียบไปอีกครู่ จึงได้เอ่ยเบาพอกัน
“เข้ามาข้างในก่อนเถอะ”
เธอทำตามนั้น เดินเข้ามา ยืนเงียบอยู่จนเขาบอกให้นั่ง จึงได้นั่งลงบนเตียงพับหนึ่งในสองเตียงของห้อง เหลือบมองเด็กหนุ่มหลบไปนั่งบนพื้นอีกมุมหนึ่ง ไม่ไกล...แต่ก็ไม่ใกล้
“ข้าขอโทษ” อาเมียร์เอ่ยปากขึ้นก่อน “กับเรื่องทุกอย่าง...ที่ทำให้เจ้ารู้สึกไม่ดี ข้า...รู้ว่าพูดไปคงเหมือนแก้ตัว แต่ในตอนนั้น ข้าไม่รู้สึกตัวเลยจริงๆ”
“...ไม่เป็นไร” แอชลีนน์ตอบ “ข้าเข้าใจ ตอนนั้นข้าก็แค่คิดมากไปเอง ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก”
ทั้งคู่ต่างเงียบไปอีกครั้ง จนเด็กสาวตัดสินใจเอ่ยปาก
“พอถึงเคนมารา เราก็ต้องจากกันแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นก็...จากกันด้วยดี อย่าขุ่นใจกันด้วยเรื่องเล็กน้อยแค่นี้เลยนะ”
“หมายความว่าอย่างไร” อาเมียร์ถามอย่างประหลาดใจทันควัน
“ก็เคยบอกแล้วนี่ ว่าข้าจะไปด้วย...จนกว่าจะแน่ใจว่าท่านปลอดภัย แล้วเมื่อนั้นก็คือ...ตอนที่ท่านอยู่ในความคุ้มครองของท่านเบเรค” เด็กสาวเอ่ยช้าๆ “พรุ่งนี้เราก็ถึงเคนมาราแล้วไม่ใช่หรือ”
“แต่ว่า...” เด็กหนุ่มเริ่มพูด “จริงสิ ข้ายังไม่ได้บอกเจ้าเลยนี่ ...ว่าข้าคิดว่าเจ้ายังไม่ควรกลับพระราชวัง”
แอชลีนน์เลิกคิ้วอย่างสงสัย
“ข้าไม่ไว้ใจแฟคท์นา เป็นไปได้ว่าเรื่องทั้งหมดเป็นแผนการของเขา ในเมืองหลวง เราไม่รู้ว่าใครเป็นพวกของแฟคท์นาบ้าง เจ้าขอ...จะเรียกอย่างไรดี...ลี้ภัยที่ยาร์ลาธ แล้วเรียกร้องให้มีการสืบสวนเหตุลอบสังหารเฟลิม รวมทั้ง...เหตุลอบปลงพระชนม์เมื่อห้าปีก่อนใหม่อีกครั้ง อย่างนั้นดีกว่าไหม”
เด็กสาวเบิกตากว้างขึ้น
“อาเมียร์! ทำไมท่านถึง—“
“ข้าบอกไม่ได้ว่ารู้ได้อย่างไร แต่เชื่อว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เพียงการล้างแค้นของคนอัสลาน มีผู้บงการเบื้องหลังคนพวกนั้น เพื่อให้พวกของเขาได้แต่งงานกับเจ้าและขึ้นเป็นราชา จึงต้องลอบปลงพระชนม์พระราชา พระราชินี กับเจ้าชายรัชทายาท แล้วก็ฆ่าเฟลิมด้วย” อาเมียร์อธิบาย “ตอนนี้ข้าได้แต่พูดเฉยๆ ยังไม่มีหลักฐาน แต่หากเจ้าไปอยู่ในความอารักขาของท่านเบเรค และเรียกร้องให้พลิกคดีขึ้นมา เราอาจได้รู้ความจริง”
แอชลีนน์ก้มหน้าลง เรื่องมีผู้วางแผนฆ่าเฟลิมเพื่อครองบัลลังก์...เธอเชื่อและยอมรับเต็มหัวใจ ...แต่ทว่าถึงอย่างไรก็ยากจะเชื่อ ยากจะยอมรับ ที่คนธีร์ดีเรด้วยกันคิดได้กระทั่งฆ่าเสด็จพ่อ เสด็จแม่ กับเสด็จพี่ เพียงเพื่อครองตัวเธอและบัลลังก์
แต่...ถ้าอาเมียร์อีกคนหนึ่งแต่งเรื่องนี้ขึ้นมาหลอกเราล่ะ เจ้าหญิงบังเกิดความคิดที่อาจจะไม่ควรมีอยู่แต่แรก เพื่อที่จะได้ตัวเรา...และได้อาณาจักรนี้ไป...
“ข้า...ไม่อยากมองโลกในแง่ร้ายอย่างท่านหรอกนะ” แอชลีนน์เลือกคำพูดอย่างระมัดระวัง “แต่ข้าไม่อยากตกเป็นเครื่องมือของใครอีก หากว่าท่านแฟคท์นาไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุลอบปลงพระชนม์ แต่มีคนจงใจทำให้...ท่านเชื่อเช่นนั้น เพื่อยืมมือท่านหรือข้ากำจัดเขา และกุมอำนาจที่แท้จริงอยู่เบื้องหลังล่ะ”
เด็กหนุ่มเงียบไป แต่แล้วก็ค่อยๆ เอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ไม่มีใครหลอกข้า หรือโน้มน้าวให้ข้าเชื่ออย่างนั้นหรอก แต่ข้าไม่รู้จะหาพยานหลักฐานที่ชัดเจนได้อย่างไร”
“ในเมื่อไม่มี แล้วทำไมถึงกล้าเอ่ยชื่อ ‘ท่านแฟคท์นา’” เด็กสาวติง “หากจะกล่าวหาใคร ท่านก็ต้องมีหลักฐาน ต่อให้เป็น...เป็นอาเมียร์ ข้าก็รับไม่ได้หรอกนะ ที่ท่านจะว่าร้ายขุนนางผู้ใหญ่ของอาณาจักรข้า ขุนนางที่จงรักภักดี ปกป้องธีร์ดีเรและราชบัลลังก์มาตั้งแต่รัชสมัยของเสด็จปู่เสียด้วยซ้ำ”
“แอช ข้า...” เสียงของอีกฝ่ายบอกความลำบากใจ “ข้าขอโทษ ถ้าเรื่องลอบปลงพระชนม์ ข้ายังไม่มีหลักฐานจริงๆ แต่เรื่องลอบสังหารเฟลิม ข้าได้ยินมาดายบอกเองว่าแฟคท์นาเป็นคนสั่งพวกราชมัลให้ทรมานข้ากับชาลัวห์ และในเวลานี้ ก็ไม่มีใครที่จะได้รับผลประโยชน์จากการตายของเฟลิมกับชาลัวห์มากไปกว่าเขา”
“แต่เขาไม่ใช่คนที่จะแต่งงานกับข้า อาจเป็นดูลัสหรือคาเฮียร์ต่างหาก” แอชลีนน์แย้ง “หากต้องการให้ดูลัสได้เป็นราชา ทำไมถึงไม่ฆ่าคาเฮียร์ไปด้วย ถ้าเกิดการประลองอีกครั้งจริง แล้วคาเฮียร์ชนะขึ้นมา ความพยายามของเขาไม่เท่ากับเสียเปล่าหรือ”
“หากคาเฮียร์ตายไปด้วยจะมีพิรุธยิ่งกว่านี้ และต่อให้คาเฮียร์ชนะ ข้าก็เชื่อว่าเขาย่อมมีแผนกำจัดคาเฮียร์ในภายหลังแน่นอน” อาเมียร์เอ่ยอย่างเคร่งเครียด “คนคนนั้นน่ากลัวเกินไป ต่อให้ดูลัสจงรักภักดีต่อท่านจริงๆ และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนการร้ายทั้งหมดนี้...ข้าก็เชื่อว่าแฟคท์นาย่อมมีวิธีบังคับลูกชายของตน และท่านก็จะเป็นเพียงหุ่นเชิดของเขาเท่านั้น คนกระหายอำนาจที่ทำได้ถึงขั้นฆ่ากษัตริย์ ราชินี และเจ้าชายรัชทายาทเพื่อกุมอำนาจเหนืออาณาจักร...จะสามารถทำให้ธีร์ดีเรเป็นที่ที่สงบร่มเย็นได้ตามที่ท่านต้องการหรือ”
“หรือท่านจะบอกว่าท่านทำได้?” เด็กสาวโพล่งออกไป “จึงต้องการให้ข้าร่วมมือด้วย...ในฐานะราชินีของท่าน?”
ชายที่เธอรู้ว่าเป็นเจ้าชายไร้บัลลังก์...และเจ้าชายแห่งความมืด...มองมาอย่างกังวล ทีแรกเขาเผยอริมฝีปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง...แต่แล้วก็ปิดปาก หันไปอีกทาง ก่อนจะเอ่ยขึ้นในที่สุด
“ข้าไม่เคยคิดจะเป็นราชาอีกเลย หลังจากสูญเสียทุกอย่างไปในครั้งนั้น” เด็กหนุ่มโคลงศีรษะ และถอนใจ “และข้าก็ไม่คิดอาจเอื้อมแต่งงานกับเจ้าเพื่อปกครองธีร์ดีเรด้วย มันไม่ดีต่อใครๆ ทั้งนั้น ทั้งตัวเจ้า ธีร์ดีเร ครอบครัวของข้า ...หรือแม้แต่ตัวข้าเอง”
ใจของเจ้าหญิงแห่งธีร์ดีเรกระตุกวูบ รู้สึกสับสน ลักลั่นย้อนแย้งอย่างประหลาด ...ทั้งโล่งอกและเจ็บแปลบกับความคิดของเขา
“อาณาจักรของข้ามีศัตรูที่ทรงอำนาจ ยิ่งเรื่องที่ข้ารอดชีวิตแพร่ออกไป...พวกเขาคงไม่อยู่เฉย ข้าไม่อยากให้ธีร์ดีเรถูกคนพวกนั้นทำลาย แต่ก็ไม่อยากให้คนในธีร์ดีเรบ่อนทำลายมันเสียเอง” เขาพูดต่อไป “ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงเห็นว่าเราไม่อาจปล่อยให้แฟคท์นาลอยนวล และไม่อาจปล่อยให้ราชวงศ์ของธีร์ดีเรเป็นแค่เครื่องมือแสวงหาอำนาจของพวกขุนนางที่หวังแต่จะกอบโกยผลประโยชน์ หนำซ้ำยังละเลยทุกข์สุขของประชาชนอย่างทุกวันนี้ ...ด้วยเหตุนี้ ข้าถึงอยากให้ท่านเป็นราชินีของธีร์ดีเรได้...โดยไม่ต้องมีราชา”
เธอเงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจ พบเขามองตรงมาอย่างแน่วแน่
“เรื่องบางเรื่อง ต่อให้ท่านยอมอภิเษกกับผู้ชนะ ก็ไม่มีวันแก้ได้” อาเมียร์ยังพยายามโน้มน้าว “ข้ารู้ ให้มีเพียงราชินีปกครองโดยไม่อภิเษกผิดกฎมณเฑียรบาลของธีร์ดีเร แต่ธรรมเนียมที่ไม่เป็นประโยชน์ยังควรรักษาไว้หรือ การแก้กฎมณเฑียรบาลเป็นเรื่องยากลำบาก อาจต้องใช้เวลานานหลายปี แต่หากมันเป็นรากของปัญหา ทำไมจึงไม่ควรแก้ไข ทิ้งค้างคาไว้ได้อย่างไร เมื่อก่อนข้าเคยคิดว่าต้องปล่อยไป เพราะตัวข้าคนเดียวกับท่านคนเดียวแก้ไขไม่ได้ แต่บัดนี้ ข้าเชื่อว่ายังมีผู้อื่นอีกมากที่พร้อมจะช่วยเหลือท่านกับธีร์ดีเร สะสางคดี แก้ไขกฎเกณฑ์ให้เหมาะสมขึ้น ให้ท่านครองราชย์ได้โดยไม่ต้องมีพระสวามี ให้ท่านเลือกคู่ครองได้ตามความสมัครใจ หากไม่ทำตอนนี้แล้วจะไปทำเมื่อไร”
แอชลีนน์สบตากับอาเมียร์ นิ่งงัน ไม่คาดฝันเลยว่าจู่ๆ เขาจะพูดถึงสิ่งที่ตัวเธอเองหวังมานานแสนนาน
แต่น่าเสียดาย หากเป็นก่อนหน้านี้ เด็กสาวอาจตอบรับไปแล้ว อาจหวังอย่างไร้เดียงสาว่าสักวันตนจะทำได้เช่นนั้น...แม้แสนยากลำบากก็พร้อมจะทนฝ่าฟันไป
ทว่าบัดนี้เธอรู้ ...ก็เพราะมันแสนยากลำบากต่อคนอื่นๆ ทั้งประชาชนที่ต้องการผู้ปกครองผู้ชอบธรรมและมีความสามารถโดยเร็ว ท่านเจ้ามณฑลยาร์ลาธที่ย่อมถูกดึงเข้ามา และอาเมียร์กับครอบครัวของเขาไม่ใช่หรือ จึงจะตอบรับไม่ได้เด็ดขาด
...โดยเฉพาะเมื่อมีอาเมียร์อีกคนหนึ่งจ้องฉวยโอกาส...จะให้เขาอยู่ใกล้ชิดเธอมากและนานไปกว่านี้อีกไม่ได้...
“ท่านต่างหากที่มีสิทธิ์ในราชบัลลังก์ ท่านต่างหากที่สมควรปกครองด้วยตนเอง ลองมองอีกทาง...เพราะมีกฎให้รัชทายาทชายเท่านั้นที่ปกครองได้ จึงมีการลอบปลงพระชนม์เพื่อครองบัลลังก์ แล้วผลเป็นอย่างไร”
เจ้าหญิงไม่กล้าตอบ แต่ดูเหมือนเขาเองก็ไม่ต้องการคำตอบมาแต่แรก
ในชั่วครู่นั้น อาเมียร์คุกเข่าลงตรงหน้าเธอ สีหน้าจริงจัง แววตามุ่งมั่น ราวกับอัศวินผู้ให้สัตย์ปฏิญาณต่อนายเหนือ
“ด้วยเหตุนี้...เพื่อให้ท่านได้ขึ้นเป็นราชินีอย่างชอบธรรม ข้ายินดีเป็นกำลังของท่าน และเมื่อใดที่ความประสงค์ของท่านสำเร็จลุล่วง ข้าก็จะจากไปโดยไม่เรียกร้องรางวัลตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น”
ขอบคุณ...แต่ข้าไม่ต้องการกำลังใดๆ ทั้งนั้น อาเมียร์ เด็กสาวต้องพยายามห้ามน้ำตาที่จู่ๆ ก็รื้นออกมา ด้วยการรีบเสไปมองอีกทาง ข้า...แค่อยากให้ธีร์ดีเรสงบสุขเท่านั้นเอง
มันเป็นสิ่งเดียวเท่านั้น ที่ข้ามีอำนาจจะรักษาไว้ได้ด้วยตนเอง เป็นทางเลือกของข้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น... ข้ากลัว...
“ข้ารู้ หนทางอาจลำบากยากเข็ญ แต่เพื่อทั้งตัวท่านและธีร์ดีเร ข้า...”
“ไม่จำเป็นหรอก”
ใครสักคนเอ่ยขึ้น
แอชลีนน์นิ่งงันไปอีกครู่ จึงได้หันกลับมาเห็นสีหน้าประหลาดใจของอาเมียร์ และเพิ่งตระหนักได้...
นั่นเป็นเสียงของเธอเอง
“ข้าไม่ได้อยากเป็นราชินีด้วยตนเอง ไม่เลย” เด็กสาวพบว่าตนกำลังยิ้ม “ข้าห่วงใยท่านอย่างอาจารย์...อย่างสหาย แต่ที่สำคัญกว่านั้น...ข้าห่วงใยธีร์ดีเรเหนือสิ่งอื่นใด ข้าไม่ทราบว่าท่านรู้เห็นอะไรเกี่ยวกับท่านแฟคท์นา แต่ข้ารู้จักเขามานานกว่าท่าน...นานชั่วชีวิตด้วยซ้ำ ข้ารู้จักดูลัสมานานเช่นนั้นเหมือนกัน”
ใช่...มีทางนี้ทางเดียวเท่านั้น ที่จะดับทั้งความกลัวของข้ากับท่านได้
“ดังนั้น ข้าไม่มีวันเชื่อเด็ดขาด ว่าท่านแฟคท์นาอยู่เบื้องหลังการลอบสังหาร ดูลัสเองก็อยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้น เขาเสี่ยงตายพาข้าฝ่าวงล้อมหนีออกมา ท่านแฟคท์นาจะถึงกับ ‘จัดฉาก’ ให้ลูกชายคนเดียวของตนเป็นอันตรายได้เชียวหรือ” เจ้าหญิงสรรหาเหตุผลมาอ้างต่อไป “แล้วอีกอย่าง ข้าเป็นผู้หญิง ไม่ได้ร่ำเรียนการปกครองมาแต่แรก หากไม่มีราชาที่เข้มแข็งอยู่ข้างกาย จะปกครองอาณาจักรได้อย่างไร ไม่ว่าดูลัสหรือคาเฮียร์จะชนะการประลอง ท่านก็เห็นแล้วว่าเขาทั้งสองล้วนเป็นขุนนางที่มีความสามารถ พวกเขาภักดีต่อข้า และจะดูแลธีร์ดีเรได้เป็นอย่างดี รวมทั้งทำให้ข้ามีความสุขได้แน่”
“แอช!” อาเมียร์มองเธออย่างหวาดหวั่น มือหนึ่งเอื้อมออกมาเหมือนจะแตะมือของเธอ แต่แล้วก็ยั้งไว้
“ก็เท่านั้นเอง” เด็กสาวยักไหล่ “ในเมื่อท่านเคยยอมรับตรงๆ ว่าไม่อาจอยู่ข้างกายข้า ก็สู้ให้ข้าอยู่กับคนที่จะปกป้องดูแลทั้งข้าและอาณาจักรได้ไม่ดีกว่าหรือ เมื่อนั้นจุดประสงค์ของข้าก็จะลุล่วง และท่านก็ไปมีความสุขกับชีวิตของท่าน ครอบครัวของท่าน...โดยไม่เรียกร้องรางวัลตอบแทนใดๆ ได้ตามต้องการ...ก็เท่านั้นเอง”
แอชลีนน์รู้สึกเหมือนใบหน้าของตนแปรกลายเป็นหน้ากากรอยยิ้ม...หน้ากากที่คณะละครใบ้ใช้สวมในการแสดง ปิดบังใบหน้าที่แท้จริง
“ความสุขของข้าคือสิ่งที่ท่านต้องการไม่ใช่หรือ อาเมียร์”
เด็กสาวบังคับดวงตาของตนให้มองเขา บังคับมือไม่ให้สั่นระริก หรือรอยยิ้มสั่นไหวบนริมฝีปาก ขณะรอฟังและโต้แย้งคำอ้างใดๆ ของเขา
“แอช...ข้า...”
คำเหล่านั้นไม่เคยได้ออกมา ในเวลานั้น
ประตูเปิดเข้ามา ด้วยมือของชายผมทองท่าทางอ่อนระโหยที่พลันชะงักไป เมื่อเห็นท่าทางของคู่ชายหญิงในห้อง
“ข...ข้าขอโทษ” ชาลัวห์ละล่ำละลัก แต่ก็ยังรีบผลุบเข้ามาในห้อง และปิดประตูลง “ต...แต่พวกเขาทำท่าเหมือนจะตรวจหาคนลอบขึ้นเรือ ข้าเลย...รีบหลบมาก่อนดีกว่า รูอาร์คบอกว่าอีกเดี๋ยวจะกลับเข้ามา พรุ่งนี้ขึ้นฝั่งแล้ว ยังไงก็ต้องซักซ้อมแผนการกันอีกที”
“ไม่เป็นไรหรอก” เด็กสาวรีบตอบด้วยเสียงร่าเริง “เราไม่ได้คุยเรื่องใหญ่อะไรกัน”
แอชลีนน์ทำเป็นไม่สนใจเมื่ออาเมียร์เหลือบมองเธอ จนสุดท้าย เขาก็ลุกขึ้นยืน แล้วผละไปนั่งในอีกมุมหนึ่งของห้อง
“ถึงอย่างไรก็ไปพบท่านเบเรคด้วยกันเถอะ แอช” เขายังไม่ละความพยายาม “ท่านเองก็เป็นขุนนางผู้ใหญ่ ย่อมมองสิ่งต่างๆ ได้ทะลุปรุโปร่งยิ่งกว่าข้า และให้คำแนะนำได้ดีกว่าด้วย”
“อืม” เด็กสาวตัดสินใจรับสั้นๆ ...เหมือนไร้ความหมาย
เอาเถิด ถึงอย่างไร ท่านเจ้ามณฑลยาร์ลาธก็ควรจะเป็นผู้ส่งเธอกลับเมืองหลวง และท่านเองก็คงเข้าใจความหนักหนาของสถานการณ์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเจ้าหญิง ...พูดให้ถูกคือน่าจะเข้าใจมากกว่าเสียด้วยซ้ำ
ใครๆ อาจถวายคำแนะนำให้เจ้าหญิงรัชทายาทแอชลีนน์ได้ แต่อำนาจการตัดสินใจก็ย่อมอยู่ที่ตัวเธอคนเดียวเท่านั้น
* * * * *
“เท่าที่ข้าได้ยินมา ลุงกระรอกน้ำตาลประกาศว่า ‘คุมตัว’ ครอบครัวคนทรายไว้เรียบร้อยแล้ว ขอให้ใครบางคนรีบมอบตัวเสีย เพื่อรับรองความปลอดภัยของพ่อแม่พี่น้อง และจะได้รับการไต่สวนอย่างยุติธรรม” รูอาร์คให้ข้อมูลของตน “คิดว่าอย่างไร”
“ท่านเบเรคคงเห็นว่าประกาศอย่างเปิดเผยจะดีกว่า” อาเมียร์ลงความเห็น “ท่านจะได้ไม่ถูกกล่าวหาว่าซุกซ่อนครอบครัวผู้ต้องหา และจะได้ไม่ต้องส่งตัวครอบครัวข้าให้คนกลุ่มอื่นด้วย”
“แล้วก็รับคำประณามไปเต็มๆ ว่าทำไมไม่เอาพวกคนทรายนั่นไปขังคุก ทรมานให้รับสารภาพว่าผู้ต้องหาซ่อนอยู่ที่ไหน แต่แค่พาไปกักตัวไว้ในบ้านพักตากอากาศสุดหรู ทั้งๆ ที่พวกนี้ไม่เคยออกมาประกาศเผาเมืองฆ่าใครเหยงๆ อย่างนั้นน่ะหรือ” รูอาร์คพูดหยันๆ
“แต่ท่านเบเรครู้เจตนาของพวกเรา แค่นี้ก็ดีแล้วนี่นา” แอชลีนน์เอ่ยขึ้นบ้าง “อาเมียร์จะได้ปลอดภัยเสียที แล้วท่านก็คงให้คำแนะนำที่ดีกับข้าได้ ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป”
เด็กสาวสังเกตเห็นเด็กหนุ่มผมดำลอบมองเธอแวบหนึ่ง แต่ก็ทำเป็นไม่ใส่ใจ
“ก็น้า” รูอาร์คซึ่งกอดอก แสร้งมองอย่างระอาพูดขึ้นบ้าง “นั่นยังเรื่องอีกไกลโข เรามาคิดว่าจะผ่านด่านตรวจของท่าเรือไปเนียนๆ อย่างไรดีกว่า จริงไหมแม่ยอดขมองอิ่ม...อามีราเมียรัก”
“ล...เล่นอะไรบ้าๆ !” ‘อามีรา’ ซึ่งถูกเด็กหนุ่มผมแดงในคราบพ่อค้าเหล้าโอบไหล่เอาดื้อๆ ยันเขาออกไป
“โธ่...ซ้อมมือไว้ก่อนสิ เกิดเวลาลงจากเรือเล่นเป็นผัวเมียกันไม่ได้สมจริง แผนการเป็นพังพอดี”
“ถ้าจะซ้อมมือ มาเตรียมแผนการกันแทนดีกว่า” อาเมียร์รีบเบนหัวข้อ “ถึงตอนลงจากเรือจนไปถึงด่านตรวจสินค้า ใช้วิธีเดียวกับเมื่อตอนขึ้นเรือ แอชอยู่ในหีบเสื้อผ้า ส่วนชาลัวห์อยู่ในถังเหล้า ใครจะมีปัญหาอะไรไหม”
เจ้าหญิงสั่นศีรษะ เช่นเดียวกับชายหนุ่มผมทองที่สีหน้ายังไม่สู้ดีอยู่บ้าง แต่คนรับกลับเป็นเด็กหนุ่มผมแดง
“อือม์...ข้าว่ามีน่ะสิ” รูอาร์คตอบอย่างครุ่นคิด (จนรู้ได้ว่าเสแสร้ง) “อ๊ะ แต่คนมีไม่ใช่ข้าหรอก เป็นผลไม้เน่าที่บังเอิญกลายมาเป็นเหล้าหนึ่งถังต่างหาก ก็แค่คิดว่าถ้าโดนกลิ้งหลุนๆ ลงทางลาดตามวิถีถังเหล้าทั่วไป มันจะเจ็บปวดวิงเวียนจนร้องโว้กว้ากขนาดไหนให้ความแตกแหละนะ ...แต่ช่วยไม่ได้ ใครก็ไม่รู้ดันทำถังชาดานแซร์ที่ซุกหัวเก่ามันพังเองนี่นา”
ครั้งนี้ แอชลีนน์อดลอบมองอาเมียร์ไม่ได้ แต่ก็พบเพียงสีหน้าที่ถูกข่มไว้ของอีกฝ่าย
“เอ่อ...ท่านคงไม่ได้คิดจะกลิ้งข้าจริงๆ ใช่ไหม” ผู้เอ่ยปากกลับเป็นชาลัวห์ ซึ่งดูหวาดหวั่นขึ้นจนเห็นได้ชัด
“ยิ่งกว่าอยากกลิ้งว่ะ ประมาณว่าถ้าใส่ตะปูสักลังลงไปคลุกในถังกับเจ้าได้ตามวิธีประหารชีวิตสมัยโบราณ ข้าคงจะทำไปแล้วแหงๆ” เด็กหนุ่มผมแดงตอบหน้าตาย ยังผลให้ลูกชายเจ้ามณฑลชอร์ซากลืนน้ำลายคำโต “แต่เอาเถอะ ถ้าปลาชาดานมันสำนึกบาปในความเหม็นโฉ่ของมันจริงๆ และยอมไถ่โทษลงสักกระผีก ข้าก็คงจะให้อภัยมันได้มากขึ้นอีกสักกระผีกเหมือนกัน”
“ง...งั้นจะให้ข้าทำอะไร”
“นั่นสินะ ว่าแต่ ข้าหิวแล้วล่ะ เจ้าหญิงเปี๊ยก” รูอาร์คเปลี่ยนเรื่องทันควัน “เหม็นเบื่อชาดานแซร์เน่าๆ อยากกินขาหมูรมควันแทน ไปซื้อเข้ามาให้หน่อยสิ”
“หา?” เด็กสาวกะพริบตาปริบๆ “ทำไมต้องเป็นข้าด้วย”
“ก็ปลาชาดานมันพาตัวเน่าๆ ของมันว่ายออกไปไม่ได้ หรือเจ้าจะถอดชุดออกตอนนี้ แล้วให้อาเมียร์ใส่ออกไปซื้อแทนล่ะ”
เจ้าหญิงหน้าร้อนผ่าวขึ้นทันควัน
“ห...ให้ข้าไปก็ได้ แต่ข้าเป็นใบ้ไม่ใช่เหรอ จะคุยกับคนอื่นได้ยังไง”
“โธ่ เรื่องแค่นี้เอง” รูอาร์คว่า แล้วก็คว้าเศษกระดาษบางอย่างมาจากกระเป๋าเสื้อ ใช้แท่งถ่านเขียนแกรกกรากอยู่ครู่หนึ่งก็ส่งมันให้เธอพร้อมกับถุงเงิน “เอ้านี่ ที่เหลือถ้าอยากซื้อลูกกวาดมาอมเล่นก็ตามสบายล่ะ”
“ข้าไม่ใช่เด็กๆ สักหน่อย” เด็กสาวทำหน้าง้ำ แต่ก็ออกไปโดยดี
...แอชลีนน์มาตระหนักได้ว่าพวกเขาหาเรื่องส่งเธอออกไปเพื่อวาง ‘แผนการบางอย่าง’ ก็เมื่อล่วงถึงวันต่อมาแล้วเท่านั้นเอง...
* * * * *
คนเขียนขอคุย
ที่จริง คนเขียนเคยคิดว่าต้องให้อาเมียร์รู้เรื่องความทรงจำที่ถูกสะกดไว้ของตัวเองก่อน แล้วค่อยมาเล่าให้แอชฟังในวันหลัง แต่ให้รู้จากมาลิอาก็ดีเหมือนกันแฮะ แอชจะได้มีเวลาไปคิดเรื่องนี้ให้ถ้วนถี่ขึ้นก่อน “ช่วงเวลาสำคัญ” มาถึงด้วย
หวังว่าการตัดสินใจของแอชในตอนนี้คงจะเข้าใจได้นะครับ (ถึงบางท่านอาจจะร้องว้า...ทำไมไม่เปิดใจกันเสียทีก็เถอะ ^^a) แล้วก็คงจะไม่มีคนยุให้ตัดคอกะหลั่ว (ซึ่งอุตส่าห์รอดมาซะนาน) เพราะดันเข้ามาขัดจังหวะในเวลาสำคัญด้วย ^^;;;
ในที่สุดก็จะได้ขึ้นฝั่งกันในตอนหน้า หลังจากการเพิ่มเหตุการณ์ต่างๆ บนเรือทำให้เนื้อหายาวออกไปอีก 4 ตอนได้ (แต่คงไม่ใช่การยืดโดยไม่มีอะไรสนุกๆ ให้เห็นนะครับ)
จากคุณ |
:
Anithin
|
เขียนเมื่อ |
:
2 ธ.ค. 53 00:27:12
|
|
|
|