ฝันสีแดง...อีกแล้ว
อีกครั้ง...และอีกครั้ง ที่สีแดงสาดกระจายอยู่เบื้องหน้า เงาร่างของผู้คนดิ้นทุรนทุรายอย่างทรมาน และเสียงกรีดร้องอื้ออึงอยู่รอบกาย ผิดกันเพียงครั้งนี้เขาไม่ได้ซ่อนตัวอยู่ในที่มืด แต่ยืนอยู่กลางลานสีแดงนั้นเอง เป็นผู้เข่นฆ่าสังหารคนเหล่านั้นเอง ขณะที่ขนนกสีดำปลิววะว่อนโดยรอบ...ขนจากปีกของตนที่มีอำนาจกรีดแทง สังหาร ทำลายล้าง
ฆ่ามัน...ฆ่า...ฆ่า...ฆ่า...ฆ่า...
“อาเมียร์! ไม่ได้นะ! ท่านจะทำอย่างนี้ไม่ได้!”
เสียงร้องห้ามเหมือนแว่วมาจากที่แสนไกล...แต่แล้วก็ค่อยๆ ใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามาพร้อมกับความอบอุ่น และน้ำเสียงอันนุ่มนวล
“พอเถอะนะ...ทัมมุซ”
สัมผัสแผ่วเบานุ่มนวลที่ริมฝีปาก...
“ไม่มีใคร...อยากให้คนที่ตัวเองรักต้องกลายเป็นปีศาจหรอก”
เสมือนสายน้ำริน ไหลเย็น ดับความรุ่มร้อน ภาพสีแดงตรงหน้าค่อยๆ จางหาย เสียงอื้ออึงกลับแผ่วซา ทิ้งเขาให้ได้นิทราในความอบอุ่นเงียบสงบนั้น
แต่แล้ว ความอบอุ่นกลับมลายไปเช่นกัน เหลือเพียงความมืดอันเหน็บหนาว เธอผู้ห้ามปรามปลอบโยนเขาไม่ได้อยู่ข้างกายอีกต่อไปแล้ว ทว่าจากไป...ไกลแสนไกล เขาไม่รู้ว่าตนรู้ได้อย่างไร แต่ก็รู้ รู้ด้วยความเจ็บปวด สองแขนได้แต่เอื้อมไขว่คว้าไปข้างหน้าอย่างมืดบอด ปราศจากปีกแห่งอำนาจที่จะนำพาตนไป
ทำได้เพียงร่ำร้อง หวังว่าเธอจะได้ยิน หวังว่าเธอจะกลับมา...
“แอช...แอช!”
“อาเมียร์!”
เสียงหนึ่งตอบรับ...พร้อมกับมือเล็กๆ ที่กุมมือของเขาไว้ เด็กหนุ่มบีบตอบ คิดว่าเธอกลับมา...และจะไม่มีวันจากไป
ทว่าไม่ใช่...
นัยน์ตาที่ลืมขึ้นค่อยๆ มองเห็น หญิงตรงหน้ามีผมสีเข้มกว่า...เป็นสีดำ และนัยน์ตาสีอำพันอันคุ้นเคยที่สุด แม้จะห่างหายไปแสนนาน
“...แม่...” เสียงลอดจากริมฝีปากแผ่วเบา รู้สึกโหยหาราวกับไม่ได้เรียกคำคำนี้มาเป็นสิบๆ ปี
“จ้ะ” น้ำเสียงของแม่ยังคงอ่อนโยน ยิ่งกว่าน้ำทิพย์ชโลมรดใจ “ไม่ต้องห่วง พักผ่อนให้มากๆ นะ ลูกปลอดภัยแล้ว ลูกกลับมาถึงบ้านแล้วนะ”
สติของเด็กหนุ่มยังคงสับสน ราวกับตนเองหลงติดอยู่ในความฝัน นาน...นับนาน ฝันร้ายไร้ทางออก เต็มไปด้วยการสูญเสีย ความตาย ความทุกข์ ความปวดร้าวโศกเศร้า
กระนั้น...ยังคงมีสิ่งอันมีค่าอยู่ในฝันนั้นมากมายเหลือเกิน ทั้งความรู้สึกอันเป็นสุขในความทุกข์เหล่านั้น...รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ทั้งสิ่งที่เขาอยากทะนุถนอมรักษาไว้ ...คนคนหนึ่งนั้น...
และก็เหมือนมีบางสิ่งย้ำเตือน ทุกสิ่งเป็นความจริง การพบพานตลอดจนพลัดพรากในรูปแบบต่างๆ ...ทั้งหมดเป็นความจริง
]แอช!
“อาเมียร์ อย่าเพิ่งลุกขึ้นสิ ลูก—”
เขาไม่ทันฟัง ไม่ทันได้ยิน ร่างกายเหมือนทะลึ่งพรวดขึ้นนั่งเอง แม้จะวิงเวียนวูบไป มือของแม่ประคองไหล่ไว้ ขณะที่นัยน์ตาของเด็กหนุ่มกวาดมองรอบด้าน ยังภาพห้องอันไม่คุ้นตา
“แอช...แอชล่ะ”
“แอช?” แม่ทวนคำ “เจ้าหญิงแอชลีนน์น่ะหรือ”
อาเมียร์พยักหน้า
“นางมากับข้า ตอนนี้นางอยู่กับท่านเบเรคใช่ไหม ดูลัสไม่ได้พาตัวกลับไปใช่ไหม”
“ใจเย็นๆ ก่อนลูก” แม่ลูบแผ่นหลังของเขาอย่างปลอบประโลม “เรื่องนั้นแม่ไม่รู้ คนของท่านเบเรคแค่พาลูกมาส่งที่นี่ ประเดี๋ยวคงมีคนมาบอกว่าเกิดอะไรขึ้น เวลานี้พักผ่อนให้เต็มที่ก่อน อย่าเพิ่งกังวลอะไรเลย”
เด็กหนุ่มแทบอยากกระโจนออกจากห้อง แล่นไปถามใครสักคนที่รู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ดูเหมือนทั้งแม่ และร่างกายของเขาเองจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น อาการวิงเวียนทวีขึ้นจนต้องนอนราบลงอีก ก่อนที่แม่จะนำผ้าชุบน้ำอุ่นมาเช็ดตามใบหน้า ไล่ลงมา
“พระมหาเถระลูเธียนก็มาที่นี่แล้ว แม่เชื่อว่าลูกไม่ได้ทำอะไรผิดแน่ ดังนั้นทุกอย่างจะเรียบร้อย ไม่เป็นไรแล้วนะ อาเมียร์”
เขาไม่ตอบว่าอะไร แต่ปล่อยให้แม่ปลอบโยนต่อไป และพยาบาลตัวเขาต่อไป ต่อให้ยังเป็นห่วงแอช อีกใจหนึ่งก็บอกให้ยอมรับสภาพของตน เวลานี้เขาเหนื่อยอ่อนปวดเมื่อยไปทั้งตัว รู้สึกราวกับจะจับไข้ คงเป็นเพราะเลือดที่สาดเข้ามาตอนนั้น...
ภาพหนึ่งคล้ายจะปรากฏรางๆ ...ในคลองจักษุ พร้อมกับความรู้สึกบางอย่าง
อาเมียร์เพ่งมองอย่างงุนงง
......
...น้ำ...
ใช่แล้ว น้ำสาดเข้ามาเต็มหน้า ไม่สิ...บีบอัดเข้ามาจากทุกทิศทาง เหมือนทั้งศีรษะและร่างกายจมอยู่ในน้ำ มืดมิด อึดอัด ไม่อาจหายใจ สองแขนไขว่คว้าหาอิสรภาพและอากาศ ทว่ามือที่รัดไหล่และกดศีรษะอยู่ไม่ปล่อยให้ทำเช่นนั้น แม้มือทั้งสองจะป่ายปะจนพบท่อนแขนที่ตรึงตนเองไว้ และจิกลึกเสียจนเข้าเนื้อก็ตาม
รอจนอากาศในปอดลดน้อยลงแทบสิ้นสติ...ใครอีกคนนั้นจึงได้ดึงตัวขึ้นมา ใบหน้าที่เห็นผ่านสายตาพร่าเลือนดูคุ้นเคย แต่ขณะเดียวกันก็บิดเบี้ยวนักสำหรับอาเมียร์
พอๆ กับน้ำเสียงเย็นเยียบนั้น
“ดิ้นทำไม ไหนว่าอยากตายไม่ใช่หรือ” บุรุษผมยาวตรงหน้าเอ่ย “ถ้าอยากตายก็ไม่ต้องดิ้นสิ”
กลัว... เด็กหนุ่มรับรู้ความรู้สึกนี้ได้เต็มอก ราวกับเป็นความรู้สึกของเขาเอง เจ้าของไหล่บอบบางที่ถูกชายตรงหน้ายึดไว้กำลังกลัว กลัวความมืดมิดและอึดอัดในห้วงน้ำ ซึ่งเกือบคร่าชีวิตของตนมาแล้ว
“ลงไปอยู่ในน้ำอีกทีดีไหม” อีกฝ่ายสำทับ “คราวนี้ถ้าอยากตายจริงๆ ก็อย่าดิ้นเสียล่ะ”
“...ไม่...ไม่...” เสียงของหญิงที่ตอบกลับมาเป็นเสียงของแม่ น้ำเสียงเปราะบาง สั่นระริก...อย่างที่อาเมียร์ไม่เคยได้ยินมาก่อน “...ไม่เอา...กลัวแล้ว...”
ชายผู้นั้นปล่อยมือ ทิ้งหญิงสาวที่เพิ่งถูกเขากดน้ำให้กอดร่างสั่นเทิ้มของตนเอง นึกภาวนา...ว่าเขาจะปล่อยเธอไป เธออยากหนีไปจากที่นี่...ต่อให้ถูกแผ่นดินสูบลงไปก็ยินดี
ทว่าไม่เป็นเช่นดังหวัง
จู่ๆ มือของเขาก็คว้าไหล่ทั้งสองของเธออีกครั้ง ดึงตัวไปที่ขอบสระใหญ่ และผลักให้นอนราบลงบนนั้น
“...ย...อย่า...” หญิงสาวร่ำร้อง ทว่าใบหน้าถมืงทึงของเขายังโน้มลงมาชิด ย้ำเตือนความทรงจำอีกมากมายก่อนหน้านี้...ถึงทุกๆ ครั้งที่ทำได้เพียงร่ำร้องห้ามปรามในใจ ทว่าไม่อาจหลีกหนี...
ทำได้เพียงปล่อยให้ปีศาจร้ายดำเนินบทบาทของมันต่อไป ขณะที่ตนเองพร่ำภาวนาให้ช่วงเวลาอันเจ็บปวดและอับอายสิ้นสุดลงโดยเร็ว
......
“ไม่! อย่า!” เป็นอาเมียร์ที่ร้องขึ้นมาเสียเอง ขณะปัดมือออกไปตามสัญชาตญาณ
“อาเมียร์! เป็นอะไรไปลูก!”
แม่พยายามจับมือเขาไว้ แต่ยิ่งสัมผัสถูกตัว...ความทรงจำที่คล้ายกับเมื่อครู่ก็ยิ่งผุดพราย หญิงที่ถูกทำร้าย...ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และชายที่ทำร้ายนางด้วยความเป็นสามี...ย้อนย้ำซ้ำเดิม ...ความจริงที่ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกราวกับไม่ตนเองก็โลกทั้งใบจะพังทลายลงในชั่วครู่นั้น
สุดท้าย แม่คงสิ้นความพยายามที่จะรั้งเขาด้วยสัมผัสแล้ว เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าตนลุกขึ้นนั่งอีกครั้งเมื่อใด แต่เวลานี้เขากำลังนั่งขดตัว สองแขนกอดตนเอง สั่นเทาไปทั้งร่าง แทนเจ้าของความทรงจำที่ตนเคยเห็น
น้ำตาหลั่งไหลออกมา ไม่อาจบอกได้ว่าด้วยความรู้สึกทั้งหมดใดบ้าง แต่มันก็หลั่งไหลลงอาบใบหน้า
“อาเมียร์...” เสียงของแม่สั่นระริก แผ่วเบา แทบไม่ต่างจากครั้งนั้น
“ไม่จริง...ไม่จริงใช่ไหม แม่...” เด็กหนุ่มสั่นศีรษะโดยแรง หวังอย่างไร้ผลว่ามันจะช่วยไล่ภาพน่ารังเกียจเหล่านั้นออกไปได้ “เสด็จพ่อ...เสด็จพ่อน่ะเหรอจะทำอย่างนั้น...จะ...ทำร้ายแม่อย่างนั้น...ไม่จริงใช่ไหม...”
...ไม่ต่างจากชาลัวห์กับเกรเนีย หรือโจรชั่วพวกนั้นกับลีชา...
ข้าน่ะหรือ...เกิดมาด้วยเรื่องหยาบช้าอย่างนั้น จากคนที่ทำร้ายแม่อย่างนั้น...
เพียงความเงียบเป็นคำตอบจากผู้ให้กำเนิด ...นิ่งงัน ยาวนาน กดดัน
ก่อนเสียงฝีเท้าตึงตังจะทำลายมัน ตามมาด้วยเสียงกระชากประตู และเสียงถามเร่งร้อน
“สิมา! อาเมียร์เป็นอะไรหรือเปล่า! เมื่อครู่ข้าได้ยิน—“ เสียงของท่านอาขาดหายไป
เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แม่มองท่านอาหรือ...ด้วยสายตาอย่างใดกัน ราวกับผู้สมรู้ร่วมคิดที่รู้ความจริงอยู่เต็มอก แต่ก็ร่วมมือกันปิดบังเขามาโดยตลอด...หรือตื่นตระหนกที่ความจริงนั้นถูกเปิดเผยต่อเขาอย่างผิดประหลาด
“ไม่มีอะไรค่ะ” เสียงตอบของแม่กลับราบเรียบอีกครั้ง “ท่านออกไปก่อนเถอะ ข้ายังมีเรื่องจะพูดกับอาเมียร์...นิดหน่อยค่ะ”
* * * * *
“ลูก...รู้อะไรแล้วใช่ไหม” สิมาเป็นฝ่ายตั้งคำถามก่อน ขณะได้แต่นั่งนิ่งขึงบนเก้าอี้ มองเด็กหนุ่มที่นั่งกอดเข่าบนเตียงโดยไม่กล้าแตะต้อง “...แม่รู้ว่าในตัวของลูกมีอำนาจบางอย่าง รวมถึงอำนาจในการอ่านความทรงจำและจิตใจด้วย”
อาเมียร์ผงกศีรษะน้อยๆ จนแทบดูไม่ออกว่าเป็นคำตอบ ทิ้งให้หญิงสาวได้แต่คาดเดาจากคำถามอันน่าหวาดกลัวก่อนหน้านั้น
เธอเองก็หวาดกลัวไม่แพ้กับเขา ไม่แพ้กับซิอ์บุลผู้เป็นสามีที่รัก และคงรวมถึงสามีที่ตนไม่เคยรัก แต่ก็รู้ไม่ใช่หรือ...ความลับยากที่จะมีในโลก สักวันลูกชายอาจต้องรู้ความจริง ...และความจริงนั้นก็คือสิ่งที่เธอพยายามเรียบเรียงในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในเวลาที่ตระหนักได้ว่าการเผชิญหน้าย่อมมาถึงในสักวัน
“ใช่ ...ฝ่าบาท...เคยทำไม่ดีต่อแม่” สิมาพยายามให้ถ้อยคำนั้นฟังเป็นปรกติธรรมดาที่สุด “แต่นั่นเป็นอดีตไปแล้ว เมื่อลูกเกิดมา เขาก็ไม่ทำอย่างนั้นอีก และแม่ก็ให้อภัยเขาได้แล้ว”
“แต่...ทำไม...” อาเมียร์เอ่ยเสียงแผ่ว “ข้าไม่เข้าใจ เสด็จพ่อดีต่อข้ามาตลอด แล้วเสด็จพ่อก็รักแม่...ทำไมถึงเกิดเรื่องอย่างนั้น”
“ลูกอยากรู้ความจริงทั้งหมด...ใช่ไหม” หญิงสาวตั้งคำถาม “แม่คงให้ข้ออ้างอะไรได้มากมาย ข้ออ้างที่ลูกอยากได้ยินเพื่อความสบายใจของตัวเอง และแม่ก็อยากพูดเพื่อความสบายใจของแม่ด้วย เขาเองก็คงต้องการให้แม่พูดอย่างนั้น ...แต่มันจะไม่ยุติธรรมต่อตัวลูกเอง ยิ่งในเมื่อลูกมีอำนาจที่จะค้นพบความจริงใดๆ ก็ตามนั้นอยู่กับตัวแล้วด้วย”
สิมามองลูกชาย ขณะรวบรวมความกล้าของตน
“ความจริงบาดใจคนได้ยิ่งกว่ามีด แต่แม่เชื่อ...เชื่อว่าลูกเข้มแข็งพอที่จะรับมันได้”
* * * * *
...นานมาแล้ว ยังมีอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่ง กษัตริย์นักรบของอาณาจักรนั้นสร้างความเคืองแค้นต่อเจ้าหญิงของอาณาจักรซึ่งพระองค์ตีเป็นประเทศราช ทั้งโดยการสังหารเจ้าชายรัชทายาทผู้เป็นอนุชาของเจ้าหญิง และบังคับเจ้าหญิงนั้นให้เป็นชายาของพระองค์
พระชายาจากชาติเชลยสุมความเคืองแค้นขื่นขมในใจ เพื่อแลกมาซึ่งอำนาจในการให้สายโลหิตของพระนางได้ยึดครองอาณาจักรนี้...พระนางมีโอรสต่อกษัตริย์องค์หนึ่ง และประกอบพิธีสังเวยต่อเทพเจ้าแห่งความมืด จนได้เป็นทารกหญิงคนหนึ่ง
เด็กหญิงที่เกิดจากพิธีสังเวยนั้นคือธิดาแห่งเทพเจ้า ผู้มีอำนาจมนตราแห่งความมืดเปี่ยมล้นในกาย พระนางให้สัตย์สาบานต่อองค์เทพเจ้า ว่าจะให้หญิงนั้นเป็นชายาของโอรสของพระนางเมื่อทั้งสองเติบใหญ่ เพื่อให้กำเนิดพระโอรสผู้มีสายโลหิตแห่งเทพเจ้า และจะเป็น ‘มหาราชัน’ ผู้ปกครองอาณาจักรแห่งนี้
...แต่ด้วยอำนาจแห่งชะตากรรม หรือความผิดพลาดไม่อาจทราบได้...เด็กหญิงพลัดหลงไปอยู่ในมือของพ่อแม่บุญธรรมผู้ไม่รู้ความจริงเบื้องหลังชาติกำเนิดของนาง พวกเขาให้ความรักต่อนาง เลี้ยงดูนางให้เติบโตขึ้นโดยไม่รู้จักความทุกข์ระทมใดๆ ของโลกภายนอก กระทั่งนางได้พบรักกับแม่ทัพผู้จงรักภักดีต่อกษัตริย์พระองค์ใหม่...หรือกล่าวอีกทางคือโอรสของพระชายาผู้มีความแค้นผู้นั้น
ปมความแค้นของพระนางยิ่งฝังลึก เมื่อรู้ว่าแม่ทัพนั้นเป็นโอรสของกษัตริย์พระองค์ก่อน กับนางกำนัลซึ่งพระนางขับไล่เสียจากวังด้วยเหตุที่บังอาจมีครรภ์ในเวลาไล่เลี่ยกัน พระชายาผู้กลายเป็นพระชนนีบีบคั้นโอรสของพระนาง ให้ชิงคู่หมั้นสาวของแม่ทัพมาเสีย รวมทั้งวางแผนแทรกแซงด้วยพระองค์เอง จนกระทั่งนางตกเป็นของกษัตริย์โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และแม่ทัพหลบหนีไปใช้ชีวิตนอกอาณาจักร ด้วยเข้าใจว่าหญิงคนรักของตนตายไปเสียแล้ว
ทว่าหญิงคนรักของเขายังมีชีวิตอยู่ และถูกบังคับให้เข้าพิธีอิภิเษกกับองค์กษัตริย์...ซึ่งหาได้ไร้พระทัยพอที่จะไม่โทมนัสกับความแปรผันทั้งหมด และใช่จะไม่อาลัยในแม่ทัพผู้เคยเป็นมิตรแท้เพียงคนเดียวของพระองค์ อย่างไรก็ดี กษัตริย์ก็หาได้เยือกเย็นพอที่จะทนรับการปฏิบัติ ไปจนถึงวาจาอันเย็นชาเชือดเฉือนจากพระชายาของพระองค์เอง ศักดิ์ศรีที่ถูกหยามหมิ่นทำให้พระองค์ตอบโต้ด้วยการใช้กำลังครอบครองนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า...เพื่อให้มหาราชันที่พระชนนีประสงค์ถือกำเนิดมา
ความเจ็บปวดเคืองแค้นยิ่งทำให้จิตอีกด้านที่ล่วงรู้อำนาจขององค์เทพเจ้าในตัวของพระชายาตื่นขึ้น และสำแดงตนออกมาทีละน้อยๆ ผลักดันตัวนางเองให้ไขว่คว้าตำแหน่งสูงสุดแห่งวังในอย่างโหด:-)ม สร้างกิตติศัพท์จนได้ยินไปถึงหูของอดีตแม่ทัพผู้กลายเป็นนักรบเร่ร่อนในทะเลทราย ด้วยเหตุนี้เองเขาจึงหวนกลับมา ...ประจวบเหมาะกับฤกษ์กำเนิดของมหาราชัน หาทางลักลอบเข้าวังจนได้พบกับนาง...
จิตด้านมนุษย์ของหญิงสาวได้รู้จากเขา ว่าพ่อแม่บุญธรรมของตนหายสาบสูญไป และว่านางกระทำสิ่งต่างๆ ที่ไม่เคยรู้ตัวว่าตนเองกระทำลงไป กระนั้น นางยังคงหลอกตนเอง แล่นไปเข้าเฝ้าองค์กษัตริย์ตามลำพังเพื่อทวงถามความจริงในวันที่เป็นฤกษ์กำเนิด ...เพียงเพื่อพบกับความเจ็บปวดซ้ำเดิม แต่กระนั้นก็แรงร้ายแหลกลาญลงไปกว่าเดิม
อย่างไรก็ดี ชายคนรักยังคงอยู่เคียงข้างนาง แม้จิตด้านมนุษย์ของหญิงสาวที่ได้รู้ความจริงต่างๆ ซึ่งถาโถมเข้ามาจะรู้สึกสิ้นหวังกับทุกสิ่ง นางเลือกที่จะสมรสกับคนรัก ก่อนปลิดชีพของพวกตนเสียด้วยกันในคืนนั้น แต่ทั้งสองก็กลับรอดชีวิตมา...เพื่อพบว่าอีกชีวิตหนึ่งได้ถือกำเนิดขึ้นในกายของนางแล้ว
นางไม่รู้...จนบัดนี้ก็ยังไม่รู้ว่าชีวิตน้อยๆ นั้นเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของสามีที่หักหาญข่มเหงนาง หรือชู้รักที่ควรได้แต่งงานครองคู่กันอย่างถูกต้องเสียแต่แรก
อย่างไรก็ดี แม้กษัตริย์ทรงอนุญาตหากคนรักทั้งสองต้องการไปเริ่มต้นใหม่ในที่อื่น...ขอเพียงทิ้งทารกน้อยที่ถือกำเนิดขึ้นมา ให้พระองค์เลี้ยงดูในฐานะรัชทายาท ทั้งสองกลับเลือกเส้นทางที่แยกจากกัน เพื่อรักษาไม่เพียงแต่ชีวิต...ทว่ารวมถึงดวงใจที่ยังไม่เดียงสานั่นเอง
นางกลายเป็นราชินี ส่วนเขาได้คืนสู่ฐานันดรพระอนุชาอย่างที่ควรเป็น คอยเลี้ยงดูเจ้าชายน้อยที่เติบโตขึ้น ในฐานะของมารดาและอา ปฏิบัติต่อกันในฐานะน้องเขยกับพี่สะใภ้ ...เช่นเดียวกับกษัตริย์ผู้สำนึกความผิดของตน และชดเชยต่อเด็กที่พระองค์เข้าพระทัยว่าเป็นโอรสของตน ด้วยการมอบความรักอย่างบิดาให้เต็มเปี่ยม
...อาเมียร์ฟังเรื่องทั้งหมดอย่างเรียบเฉย ยาวนาน...ราวกับตำนานเล่าขาน เหมือนจะเป็นความจริงที่ชัดเจนแจ่มแจ้งและมีอยู่เพียงเท่านั้น แต่ขณะเดียวกัน...ก็เหมือนไม่ได้สรุปความรู้สึกอันมากล้นผันแปรของเหล่าผู้คนที่เกี่ยวข้อง และเวลาอันยาวนานได้ถ้วนถี่เลย
“สุดท้ายเขาก็รู้...” แม่เอ่ยต่อไป “เมื่อลูกโตขึ้นบ้าง เขาก็รู้เรื่องของแม่กับท่านเนมอส แต่ถึงอย่างนั้น...เขาก็เลือกที่จะรักลูกเหมือนเดิม เขาอยากไถ่โทษให้พวกเราทุกคน...ถึงขั้นเคยบอกแม่ ให้บอกไปว่าพ่อของลูกคือท่านเนมอส ส่วนเขาเป็นเพียงคนเลวที่ทำไม่ดีต่อแม่ เพื่อให้ลูกยอมรับความสัมพันธ์ของเราสองคนได้ด้วยซ้ำ”
แต่แม่ก็ยังเลือกที่จะบอกความจริงต่อเขา...ความจริงซึ่งไม่เพียงแต่บาดใจ ทว่าทิ่มลึกฝังคาอยู่ในนั้น กระนั้น...เขาก็คงเจ็บปวดยิ่งกว่านี้ หากแม่เลือกที่จะหลอกลวงเพื่อรักษาจิตใจของเขาไว้ เพื่อให้เขามาค้นพบด้วยตนเองในภายหลัง
“แม่รู้...ว่านี่เป็นเรื่องที่ยากจะยอมรับ แต่ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร...ไม่ว่าจะเป็นฝ่าบาทหรือท่านเนมอส ทั้งสองต่างก็รักลูกในฐานะลูกแท้ๆ ทั้งนั้น และต้องการมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ลูก ไม่ว่าแม่จะพูดอะไรออกไป แม่ก็เชื่อว่าลูกเห็น ลูกรู้ และลูกเข้าใจความรู้สึกที่พวกเขามีต่อลูกอยู่แล้วไม่ใช่หรือ”
ใช่ อาเมียร์รู้ ครุ่นคิดได้ด้วยสติปัญญา เข้าใจได้ด้วยเหตุผล แต่ก็ยังรู้สึกมึนงง ตั้งตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าตนควรจะทำอย่างไรต่อไป
บางสิ่งในตนเองยังคงคัดค้าน ...ว่าเป็นไปไม่ได้...ที่เสด็จพ่อซึ่งรักและอ่อนโยนต่อเขา เสด็จพ่อซึ่งปฏิบัติต่อเสด็จแม่อย่างสุภาพ และให้เกียรติเสด็จแม่ในฐานะราชินีเสมอมาจะเคยกระทำหยาบช้าเช่นนั้น เพียงเพราะต้องการโอรสที่เกิดขึ้นมาเป็นมหาราชัน...หรือเพราะต้องการระบายโทสะที่มีต่อความกระด้างกระเดื่องของชายา
แต่เราก็เห็นแล้ว...ไม่ใช่หรือ แผ่นหลังของเด็กหนุ่มยังเย็นวาบกับภาพติดตา และความรู้สึกของแม่ในตอนนั้น ...ความกลัวที่ทำให้ร่างทั้งร่างเหมือนจะกลายเป็นหิน และความเจ็บปวดของการถูกกระทำเป็นเพียงสิ่งของ
ความทรงจำไม่เคยหลอกลวง แม้จะนำเสนอให้เห็นจิตใจเพียงด้านเดียวก็ตาม
แต่นั่นหมายความว่าเขาควรจะรู้สึกอย่างไรกับเสด็จพ่อเล่า...จะยอมรับได้อย่างไรว่าเสด็จพ่อที่รักตน กับเสด็จพ่อที่ทำร้ายแม่เป็นคนคนเดียวกัน จะยังรักและเคารพเสด็จพ่ออย่างเดิมได้อีกหรือ
แล้วแม่...กับท่านอา...
หากอาเมียร์เป็นลูกของเสด็จพ่อ ก็เท่ากับเป็นลูกของคนที่ข่มเหงแม่ เป็นเด็กที่เกิดมาโดยไร้ความรัก อีกทั้งแม่ยังไม่ได้ปรารถนา แต่หากเป็นลูกของท่านอา ก็เป็นเด็กที่เกิดมาอย่างผิดศีลธรรมจากการคบชู้...จากบาปซึ่งเขาไม่เคยคาดคิดว่าแม่จะกระทำลงไปได้
ทว่าไม่ว่าอย่างไร...ไม่ว่าพ่อของเขาจะเป็นใคร...กำเนิดของเขาก็ทำให้แม่ต้องเจ็บปวด ทำให้แม่ไม่อาจอยู่ร่วมกับคนที่แม่รัก...ไม่ว่าคนคนนั้นจะใช่พ่อของเขาหรือไม่ก็ตาม
แล้วเขาควรจะทำอย่างไร...ควรจะรู้สึกอย่างไรกับตนเอง และญาติผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิดที่สุดทั้งสามดี ในเมื่อเขาไม่อาจเคารพรักทั้งสามอย่างไร้เดียงสาได้เช่นเดิม แต่ก็ไม่อาจเกลียดชังหรือกล่าวโทษผู้ใด
ทั้งๆ ที่รู้เต็มอก ...แม่ เสด็จพ่อกับท่านอาล้วนแต่รักและห่วงใยเขา อีกทั้งเรื่องทั้งหมดในอดีตนั้นจบลงไปแล้ว โดยที่ตัวเขาเองไม่อาจแก้ไขได้ นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่ตนเองควรจัดการมากกว่า และเร่งด่วนยิ่งกว่า อย่างเรื่องข้อกล่าวหา...อำนาจในตัวที่เริ่มน่ากลัวและน่ารำคาญขึ้นเรื่อยๆ ...ไปจนถึงเรื่องของแอช ซึ่งตอนนี้เขายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าอยู่กับท่านเบเรค หรือถูกดูลัสนำตัวกลับไป...แม้จะเดาไปในทางหลังมากกว่า
ไม่รู้จะคิดเรื่องใดก่อนดี และไม่อาจบังคับตนเอง...เพราะความคิดของเขามันรังแต่จะวนเวียนอยู่กับภาพที่เพิ่งเห็น และความจริงที่เพิ่งได้ฟัง เหมือนจะชาเสียจนไม่รู้สึกอะไร แต่ขณะเดียวกันก็เจ็บปวดเสียจนพูดไม่ออก
แม่ไม่ถามเขาว่าเป็นอะไรไหม และก็ไม่บอกว่าเขาควรจะทำอะไร เพียงแต่ถามว่าเด็กหนุ่มรับประทานอาหารเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อไร ครั้นได้คำตอบว่าเมื่อตอนเช้า ก็บอกว่าเวลานี้บ่ายแล้ว จะลงไปทำอาหารมาให้ ก่อนออกไปจากห้อง
ทิ้งให้อาเมียร์นั่งอยู่บนเตียงเพียงลำพัง กอดเข่า ทอดสายตาล่องลอยไปยังสิ่งใดก็ตามที่ไม่ได้อยู่ในห้องนั้น
* * * * *
“...อาเมียร์รู้ความจริงแล้วงั้นเหรอ” ซิอ์บุลพึมพำ ขณะนั่งอยู่ที่โต๊ะในครัว มองภรรยาเตรียมสมุนไพรและเครื่องปรุงทำซุป
เขามองออกตั้งแต่ตอนเข้าไปครั้งนั้นแล้ว ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นย่อมไม่ดีแน่ มิหนำซ้ำอาจแรงร้ายยิ่งไปกว่าเดิม กระนั้นก็ได้แต่ข่มใจ กลับลงไปฟังข้อสันนิษฐานของลูเธียนกับมาลิอา รอจนหญิงสาวออกมาจากห้องพักของลูกชาย และบอกว่าขอพูดกับเขาในครัว จะได้เตรียมอาหารไปด้วย
“ข้าบอกอาเมียร์ไปตามจริง...ทุกอย่างค่ะ” สิมาเอ่ยโดยไม่หันมา “ไม่ได้พูดปดอย่างที่คนคนนั้นต้องการเลย”
อดีตนักรบระบายลมหายใจ ที่จริงเขาก็เคยคิด...ว่าการปิดบังความจริง หลอกลวงอาเมียร์ไปตามที่พี่ชายต่างมารดาของเขาสั่งไว้ต่อหญิงสาวอาจดีต่อความรู้สึกของเด็กหนุ่ม...ไปจนถึงตัวซิอ์บุลยิ่งกว่า แต่ก็นั่นเอง...เมื่อหลอกลวงไปแล้ว สักวันหากความจริงปรากฏบานปลายขึ้นมา ผลของมันย่อมร้ายแรงไปกว่าเดิม
ดังนั้นเขาจึงไม่ตำหนิแม้แต่น้อย ที่ภรรยาตัดสินใจที่จะบอกความจริง เพียงแต่อดรู้สึกไม่ได้...ว่าความจริงนั้นไม่ควรจะถาโถมเข้ามา ในขณะที่เด็กหนุ่มมีปัญหาต่างๆ รุมเร้ามากเกินพอ
แต่หากมาลิอาอยู่ด้วย...
“เจ้าคิดว่าอาเมียร์...จะเลือกสะกดความทรงจำนี้ไว้ไหม” ซิอ์บุลตั้งคำถาม “...เรื่องภาพที่เขาเห็น แล้วก็เรื่องระหว่างเราสามคน”
“นั่นก็แล้วแต่เขา...ไม่ใช่หรือคะ” หญิงสาวกลับย้อนถาม “ถึงแม้ข้าจะไม่เห็นด้วย เพราะไม่อยากให้เขาต้องมาเผชิญกับความรู้สึกรับไม่ได้ซ้ำอีกก็เถอะ การไม่อาจยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นและจบลงไปแล้วร้ายแรงแค่ไหน เราต่างก็เห็นมาเกินพอแล้วไม่ใช่หรือคะ”
“ก็ใช่” อดีตนักรบตอบ ขณะนึกไปถึงเหตุการณ์และผู้คนต่างๆ ที่เคยแสดงความจริงข้อนั้นให้เขาเห็น “ถึงข้าจะไม่อยากให้อาเมียร์ต้องเจ็บปวดมากไปกว่านี้ก็เถอะ”
“เจ้าของความเจ็บปวด...เป็นคนเดียวที่จะขจัดความเจ็บปวดนั้นได้ ส่วนคนรอบข้างทำได้เพียงช่วยปลอบโยนเท่านั้นเองค่ะ” สิมาเอ่ยหนักแน่น ทว่าอ่อนโยน “ท่านเอง...น่าจะเห็นเรื่องนี้จากข้ามาเกินพอแล้วนี่คะ”
“ก็จริง” ซิอ์บุลพยักหน้าช้าๆ ขณะนึกถึงอดีตซึ่งผ่านไปแล้ว ...โดยเฉพาะความเจ็บปวดอีกมากมายซึ่งเขาไม่อาจขจัดไปจากเธอ และได้แต่รอให้เวลา กับจิตใจของเธอเยียวยาตนเองได้เท่านั้น
หากว่าสิมาสามารถผ่านความทุกข์หนักหนาสาหัสยิ่งกว่านั้นมาได้ เขาเองก็ควรเชื่อใจ และหวังว่าอาเมียร์จะข้ามผ่านมาได้เช่นกันไม่ใช่หรือ
ลูกชายของเขากับเธอไม่ใช่คนอ่อนแอจนเกินไปดอก
* * * * *
คนเขียนขอคุย
ตอนนี้เป็นตอนที่มีหลายๆ ฉากที่ผมรอจะเขียน ทั้งการเผชิญหน้าระหว่างท่านเบเรคกับกะหลั่ว ไปจนถึงเมื่ออาเมียร์รู้ความจริงเกี่ยวกับชาติกำเนิด แล้วก็กลายเป็นตอนที่สปอยล์เนื้อหาในตำนานอาณาจักรมนตราที่เขียนไปแล้ว ตลอดจนตำนานทะเลทรายมายาที่ยังไม่ได้เขียนกันแหลกลาญเลย ^^a
แต่เพราะอยากให้แต่ละเรื่องอ่านแยกกันได้ และคิดว่าซีรี่ส์นี้มีจุดเด่นที่ความรู้สึกนึกคิดของตัวละครนำมาก่อนเนื้อเรื่อง ก็คิดว่าคงจะสปอยล์ในระดับที่ทำให้คนอ่านที่ไม่เคยอ่านภาคอื่นมาก่อนเข้าใจได้ และช่วยย้ำเตือนเนื้อหากับคนที่เคยอ่านมาก่อนครับ ก็เป็นอย่างที่อาเมียร์คิด ว่าการบอกเล่านี่เป็น “ความจริงที่ชัดเจนแจ่มแจ้งและมีอยู่เพียงเท่านั้น แต่ขณะเดียวกัน...ก็เหมือนไม่ได้สรุปความรู้สึกอันมากล้นผันแปรของเหล่าผู้คนที่เกี่ยวข้อง และเวลาอันยาวนานได้ถ้วนถี่เลย” ประหนึ่งเรื่องย่อไม่สามารถแทนการอ่านตัวเรื่องจริงทั้งเรื่องได้นั่นล่ะครับ
ขอบคุณที่ติดตามมาโดยตลอด และสวัสดีปีใหม่ครับ ขอให้ผู้อ่านทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรง หวังสิงใดก็ได้ตามนั้นทุกประการ และมีความสุขมากๆ นะครับ :)
จากคุณ |
:
Anithin
|
เขียนเมื่อ |
:
วันปีใหม่ 54 11:50:27
|
|
|
|