Dragon 's orb ภาค 2 (อสัตถพฤกษ์) : บทที่ 8
|
 |
สวัสดีปีใหม่ 2554 ครับทุกๆคน
เป็นนิมิตหมายที่ดี ในปีใหม่นี้ ที่ Dragon 's orb 2 มาถึงเนื้อหาช่วงที่ทุกๆคนรอคอยเสียที ก็ไม่รู้ว่า ปมที่ผมผูกให้กับเนื้อหาในตอนนี้จะถูกใจทุกๆคนไหม แต่ผมก็จะพยายามให้ดีที่สุดครับ
เทพบุตรกลางป่า
๑๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
ตะวันเริ่มคล้อยต่ำลง บ่งบอกถึงช่วงเวลาสุดท้ายแห่งยามเย็นอันเงียบสงบของผืนป่าที่ร่มรื่นไปด้วยพรรณพฤกษานานาซึ่งขึ้นอยู่ทั่วไปในหุบเขาใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ ณ จังหวัดแห่งหนึ่งในเขตภาคกลางตอนบนของประเทศไทย
ร่างในชุดยูนิฟอร์มของเหล่าเด็กนักเรียนจำนวนนับร้อยที่มาทัศนศึกษา ณ ผืนป่าดังกล่าว ยังคงกระจัดกระจายกันไปตามที่ต่างๆในหุบเขา เพื่อเก็บภาพแห่งความทรงจำที่น่าประทับใจไว้ให้มากที่สุดก่อนจะเดินทางกลับ ตามกำหนดการซึ่งพวกคณะอาจารย์วางไว้ให้แต่แรก
หากในขณะที่เหล่าเพื่อนร่วมสถาบันส่วนใหญ่กำลังให้ความสำคัญกับการถ่ายรูปอยู่นั้นเอง เด็กสาวอีกคนกลับพยายามใช้ช่วงเวลาทั้งหมดที่เหลืออยู่ ในการบันทึกภาพธรรมชาติและบรรดาสัตว์ต่างๆที่เธอได้พบเห็นในภูเขาแห่งนั้นอย่างตั้งใจ
ลัชชา คือนามของสาวน้อย ม . ๕ ร่างบาง ผู้รักธรรมชาติเป็นชีวิตจิตใจคนนั้น และชื่อของเธอก็เป็นที่กล่าวขานกันในหมู่นักเรียนชายร่วมสถาบันว่า
“ ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนสามารถครองหัวใจของลัชชาได้เลยแม้แต่คนเดียว ”
ด้วยถึงแม้จะมีเด็กหนุ่มมากมายพยายามเข้ามาเสนอตัวกับลัชชา ตั้งแต่วันแรกที่ความเป็นสาวแรกรุ่นเริ่มฉายชัดขึ้นบนใบหน้าและร่างกายของเธอ แต่ผู้ชายเหล่านั้นก็ได้รับไมตรีตอบกลับจากเด็กสาวได้มากที่สุดในฐานะ “ เพื่อน ” เท่านั้น ลัชชาจึงเทียบได้กับเพชรเม็ดงามที่ลอยอยู่กลางฟากฟ้า ซึ่งเด็กหนุ่มทั้งหลายในโรงเรียนพยายามไขว่คว้ามาครอบครอง แต่ก็ไม่เคยมีใครทำได้สำเร็จเลยแม้สักคนเดียว
คุณลักษณะในการชีวิตแรกสาวดังกล่าวของลัชชา ทำให้เกิดข่าวลือมากมายเกี่ยวกับตัวเธอ โดยบางกระแสก็หาว่า “ เธอหยิ่ง ” ในขณะที่บางข่าวก็อนุมานว่า “ เธอหวงพรหมจรรย์” เป็นต้น
ทว่าแม้จะมีข่าวลือเกี่ยวกับตัวเธอในทำนองดังกล่าวมาทั้งหมด แต่เด็กสาวก็ไม่เคยนึกสะทกสะท้านกับเรื่องราวเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย เพราะลัชชาถือเสียว่า “ เธอรู้จักและเข้าใจความต้องการแท้จริงของตนเองดีที่สุด และไม่เคยสนใจว่าใครจะมาเข้าใจตรงกับเธอหรือไม่ ” เด็กสาวจึงใช้ชีวิตที่ปราศจาก “ คนรู้ใจ ” เรื่อยมา ในขณะที่เพื่อนสาวในวัยเดียวกันล้วนแต่มีแฟนกันไปเกือบจะหมดทุกคนแล้ว
ข่าวลือบางกระแสก็ให้ข้อมูลว่า “ ลัชชามีทัศนคติที่ไม่ดีกับผู้ชาย ” ซึ่ง เด็กสาวก็ยอมรับว่าถูกเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น เพราะความจริงแล้วเธอมิได้มีอคติกับผู้ชายไปเสียทุกคน เพียงแต่ผู้ชายในสถาบันทั้งหลายที่ลัชชาเคยพบมา ล้วนแต่มีลักษณะอันไม่ต้องตา ต้องใจเธอทั้งสิ้น และยิ่งไปกว่านั้นก็คือยังไม่เคยมีหนุ่มคนใดล่วงรู้ได้ว่า “ ผู้ชายตามแบบมาตรฐานของลัชชา จะต้องเป็นคนแบบไหน ”
ลัชชาได้รับการปลูกฝังมาอย่างดีตั้งแต่เล็กจากแม่และยาย รวมถึงคุณพ่อซึ่งเป็นคนไทยแท้ และมีศรัทธาประสาทะในการอนุรักษ์ขนบธรรมเนียมดั้งเดิมอันดีงามของชาติไทยเอาไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดังนั้นเด็กสาวจึงรังเกียจและไม่ยินดีใน “ พวกผู้ชายหน้าหม้อ ” ที่คอยแต่จะเล็งทำลายพรหมจรรย์ของหญิงสาว เพียงเพื่อสำเร็จความใคร่ปรารถนาของตนเองเป็นอย่างยิ่ง
อีกทั้งมาตรฐานผู้ชายในฝันของลัชชา ก็สูงส่งเกินกว่าที่บรรดาเด็กหนุ่มรอบๆกายเธอจะเป็นได้ เพราะเธอทั้งศรัทธาและหลงใหลในเสน่ห์ของบรรดาบุรุษซึ่งอยู่ในวรรณคดี และนิทานต่างๆ ทั้งของไทยและกรีก-โรมันมากกว่าพวกผู้ชายเป็นๆที่อยู่รอบๆตัวเสียอีก
และในบรรดาพระเอกหรือชายในวรรณคดี ที่เด็กสาวเคยสัมผัสมาทั้งหมด อะโดนิสผู้เป็นตำนานแห่งดอกกุหลาบของชาวกรีกและโรมัน คือชายในฝันซึ่งลัชชาทั้งโปรดปรานและหลงใหลเป็นที่สุด ซึ่งเหตุดังกล่าวก็ทำให้เด็กสาวถึงกับเคยตั้งความปรารถนาเอาไว้เล่นๆว่า “ ผู้ชายคนแรกและคนเดียวของเธอจะต้องมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับอะโดนิสอย่างถึงที่สุด...!! ”
ในเมื่อมาตรฐานชายในฝันของลัชชาคือ “ อะโดนิส ” จึงเป็นเรื่องยากอย่างยิ่ง ที่บรรดาเด็กหนุ่มไทยๆวัยไล่เลี่ยกับเธอทั้งในโรงเรียนและต่างโรงเรียนจะสามารถดึงดูดความสนใจจากเด็กสาวได้ เพราะเป็นที่รู้กันว่าผู้ชายที่ทั้งร่างสูงและแลดูกำยำ อีกทั้งยังมีดีกรีความหล่ออันทัดเทียมกับความสวยจนผู้หญิงแท้ๆหลายๆคนยังเทียบไม่ติด ในแบบที่ลัชชาหลงใหลนั้น หากไม่มีลักษณะเป็นบุรุษที่นิยมชมชอบเพศเดียวกัน ก็มักจะเป็นนายแบบหรือดาราหรือลูกคนมีฐานะซึ่งส่วนใหญ่ก็ล้วนแต่เป็น “ บุตรชายหัวแก้วหัวแหวน ” ของ บิดามารดาทั้งสิ้น เด็กหนุ่มเหล่านั้นจึงมักมีนิสัยที่ไม่ตรงกับจริตของลัชชาเอาเสียเลย
และด้วยเหตุดังกล่าว จึงทำให้เด็กสาวหน้าตาดีอย่างลัชชาสามารถถือครองทั้งความพรหมจรรย์ และสภาพอันไร้ซึ่งชายชู้คู่เชยมาได้ตลอด จนเจียนจะจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕
แต่ก็ใช่ว่าลัชชาจะมีความสุขกับชีวิตที่ปราศจากผู้ชายที่รู้ใจเช่นนั้น มีหลายๆครั้งเหมือนกันที่เด็กสาวเองก็รู้สึกเหงา และอยากจะมีเพื่อนเพศตรงข้ามมาอยู่ข้างกาย แต่ด้วยเหตุที่พวกผู้ชายรอบๆตัวเธอไม่มีใคร “ ได้อย่างใจ ” เลยสักคน ลัชชาจึงหวนกลับมายึดติดกับเจตจำนงอันเลิศเลอผิดเพื่อนพ้องของเธอดังเดิม ด้วยความหวังเพียงลึกๆที่ซ่อนอยู่ในใจว่า “ สักวันฉันอาจจะได้พบกับอะโดนิสของฉัน หรืออย่างน้อย...ก็คงได้เจอกับผู้ชายที่ดีพอจะแทนอะโดนิสได้สักคน ”
เด็กสาวแอบตั้งความปรารถนาไว้ในใจเช่นนั้นมาโดยตลอด แต่ก็ไม่เคยคิดฝันว่า จะได้พบกับผู้ชายซึ่งตรงกับอุดมคติของตนเองโดยบังเอิญ เข้าจริงๆ ดังนั้นเมื่อสายตาของเธอกวาดเข้าไปเห็นร่างเปลือยอกอันแลดูสูงใหญ่กำยำของเด็กหนุ่มผู้มีผิวกายค่อนข้างเข้ม หากแลดูสว่างนวลเนียนพอๆกับผิวของสตรีเพศ กำลังนั่งเล่นอยู่กับเหล่ากระรอกและบรรดานกตัวน้อยๆที่ใต้ร่มไม้ใหญ่ ซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียงเล็กน้อย เด็กสาวก็ถึงกับตกตะลึงจนแทบจะทำอะไรไม่ถูก โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นใบหน้ากับดวงตาที่หวานละมุนละไมและฉายประกายอันสดใสของเด็กผู้ชายคนนั้นเข้าเต็มๆคลองจักษุ คำว่า “ อะโดนิส…? ” ก็หลุดรอดออกมาจากริมฝีปากของเธอด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบายิ่ง
แววตาและดวงหน้าที่งามขำ อ่อนหวาน น่ารักไปพร้อมๆกันของเด็กหนุ่มผิวเข้มผู้ลึกลับ ล้วนแต่ชวนให้ลัชชารู้สึกคลับคล้ายว่าตนเองกำลังตกอยู่ในภวังค์ฝันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อมาผนวกรวมกับเครื่องแต่งกายของอีกฝ่าย ซึ่งมีเพียงแค่ผ้านุ่งสีเขียวอ่อนผืนเดียวเป็นอาภรณ์ปกปิดร่างกายท่อนล่างแล้ว ก็ทำให้เด็กสาวต้องลองหยิกแขนตัวเองเบาๆ เพื่อให้แน่ใจว่าเธอไม่ได้ฝันไป และเมื่อฤทธิ์รสความเจ็บได้แผ่ซ่านเข้ามาให้รับรู้ได้ว่า สิ่งที่ประจักษ์ อยู่ ณ เวลานี้มิใช่ความฝันแน่ๆ ลัชชาก็ต้องปรารภกับตนเองภายในใจอันเต้นระรัวว่า
“ คนหรือเทวดาเนี่ย...? ”
อาภรณ์เพียงชิ้นเดียวของเด็กหนุ่มนิรนาม ซึ่งยังคงหยอกล้อเล่นหัวอยู่กับบรรดาสรรพสัตว์ตัวน้อยๆที่ใต้ร่มไม้นั้น ไม่ใช่ลักษณะของเครื่องแต่งกายซึ่งชาวบ้านหรือชาวป่าในยุคปัจจุบันจะใส่กันแน่ๆ เพราะเนื้อผ้าที่ทอประกายและแลดูเนียนละเอียดเช่นนั้น เป็นสิ่งซึ่งอลังการเกินไป จนลัชชาแน่ใจว่าถึงแม้ผู้คนแถบนี้บางคนจะมีเงินมากพอจะสั่งซื้อหรือตัดผ้านุ่งแบบนั้นได้ ก็คงจะไม่ใส่ออกมาโชว์ตัวนอกบ้านเช่นนี้แน่ๆ เพราะอาจจะมีผลให้ถูกมองว่า “ สติไม่ดี ” หรือเป็น “ ลิเกหลงโรง ” ได้
แต่เด็กสาวก็รู้สึกมั่นใจว่าเด็กหนุ่มผู้ยังคงอยู่ในคลองสายตาของเธอในขณะนี้ หากไม่ใช่เทพเทวดา ก็จะต้องเป็นคนปกติที่ไม่ได้เพี้ยนหรือบ้าอย่างแน่นอน ด้วยสภาพของอาภรณ์ที่ติดตัวของอีกฝ่ายซึ่งทั้งสะอาดและแลดูใหม่เอี่ยม อันผิดไปจากธรรมชาติแห่งเครื่องแต่งกายของคนสติไม่ดี ที่มักจะเปื้อนสกปรก และชำรุดทรุดโทรมเป็นประการแรก ในขณะที่ประการที่สองก็คือ สายตาและท่าทางของเด็กหนุ่มลึกลับผู้นั้น ไม่ได้แสดงลักษณะของคนวิกลจริตให้เธอเห็นเลยแม้แต่น้อย
ลักษณะเด่นอีกสามประการของเด็กหนุ่มปริศนาซึ่งดึงดูดให้ลัชชาต้องเพ่งมองอย่างไม่วางตา ก็คือ รอยสักรูปจันทร์เสี้ยวสีทองอันแลดูสว่างกระจ่างตาซึ่งปรากฏให้เห็นเด่นชัดอยู่บนหัวไหล่ข้างซ้าย กับตะกรุดไม้สีน้ำตาลซึ่งร้อยอยู่ ณ กึ่งกลางของสายสร้อยสีดำ อันทำจากเชือกร่มซึ่งคล้องอยู่กับคอของเด็กหนุ่ม และริมฝีปากงามที่แลดูหนานุ่มสมส่วน อีกทั้งยังเป็นสีชมพูนวลเนียนดุจเรียวปากของสตรี ซึ่งคุณลักษณะทั้งสามอย่างดังกล่าวมาก็ล้วนแต่ทำให้ลัชชาเกิดความรู้สึกว่า บุรุษตรงหน้าในยามนี้ คือศูนย์รวมแห่งด้านดีทั้งมวลของอะโดนิสที่เธอรู้จักอย่างแท้จริง
ความรู้สึกประทับใจและต้องตาต้องใจอันไม่อาจบรรยายได้ในเวลานั้น ทำให้เด็กสาวตัดสินใจใช้กล้องถ่ายรูปคู่มือบันทึกภาพของเด็กหนุ่มนิรนามไป โดยพลการ และในขณะที่ลัชชากำลังจะกดชัตเตอร์เป็นครั้งที่สอง เสียงประกาศเรียกให้เหล่านักเรียนกลับไปรวมตัวกัน ณ จุดนัดหมายของเหล่าคณะอาจารย์ ก็ดังลอยลมมากระทบโสตประสาท จนเด็กสาวต้องหันกลับไปทางต้นเสียงด้วยความรู้สึกเสียดายเวลา “ ที่เพิ่งจะได้พบกับชายในฝันเป็นครั้งแรก ”
และเมื่อลัชชาเหลียวหันกลับไปที่เดิม เด็กสาวก็พลันรู้สึกราวกับว่าโลกได้ถูกปกคลุมไปด้วยความมืดอันหนาวเย็น ที่แสนหดหู่ลงในเวลาเพียงชั่วพริบตา เมื่อเธอได้พบว่า “ อะโดนิส ” ที่ เคยเล่นหยอกล้ออยู่กับสรรพสัตว์น้อยใหญ่ ณ ใต้ร่มไม้เมื่อครู่ ได้หายไปจากคลองจักษุของเธอเสียแล้ว และในขณะที่ลัชชากำลังพยายามกวาดสายตามองหาชายหนุ่มในฝันของเธออย่างละเอียด อยู่นั้นเอง เสียงประกาศเรียกรวมพลของเหล่าอาจารย์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง และส่งผลให้เด็กสาวต้องหักใจละจากที่แห่งนั้นไปรวมกลุ่มกับพวกเพื่อนๆร่วมสถาบันในทันที
.............................
๒๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
รุ่งเช้าของวันถัดมา หลังจากจัดแจงกิจวัตรจำเป็นยามเช้าของตนเองเสร็จ ลัชชาก็มุ่งหน้าไปยังร้านถ่ายรูปใกล้ๆ เพื่อล้างรูปทั้งหมดที่ถ่ายมาเมื่อวาน ในทันที และเมื่อได้เห็นรูปที่เธอคอยลุ้นมาตลอดด้วยหัวใจที่เต้นระรัวว่ามันจะเป็นดังที่คิดไว้ไหม ลัชชาก็แทบจะลืมสติจนส่งเสียงกรี๊ดลั่นร้าน เมื่อได้เห็นภาพของเด็กหนุ่มปริศนาคนนั้นปรากฏชัดอยู่ในรูปที่เธอตัดสินใจแอบถ่ายมาอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ทุกประการ
เด็กสาวจึงขอให้เจ้าของร้านช่วยเคลือบรูปดังกล่าว และใส่กรอบอย่างดีที่สุดโดยไม่ลังเล ก่อนจะนำภาพทั้งหมดกลับไปที่บ้านของตนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มซึ่งฉายชัดถึงความร่าเริงเบิกบานอย่างถึงที่สุด
............................
มิถุนายน ๒๕๕๓
เสียงของนาฬิกาปลุกที่ดังมาจากหัวเตียง ปลุกลัชชาให้ตื่นขึ้นจากนิทรารมณ์ที่เงียบสงบได้อย่างชะงัด เด็กสาวเอื้อมมือไปหยิบนาฬิกามาปิดเสียง ก่อนจะวางกลับคืนไปบนโต๊ะหัวเตียงอย่างแผ่วเบาประดุจกลัวว่าหากไม่ระวัง จะทำให้รูปถ่ายสุดหวงซึ่งเธอวางตั้งไว้ที่หัวนอนมาเกือบ ๒ ปี เต็มๆ จะตกลงมาชำรุดเสียหายได้
ชีวิตในช่วงสุดท้ายของวัยมัธยมตลอด ๑ ปีที่ผ่านมาของลัชชาในสายตาของคนรอบข้าง ยังคงเดียวดายไร้คนรู้ใจเฉกเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ทว่าความรู้สึกภายใน ซึ่งเด็กสาวเก็บซ่อนไว้เพียงคนเดียวกลับเต็มเปี่ยมด้วยความฝันและความหวังอันสวยงามว่า สักวันหนึ่งเธอจะกลับไปที่ภูเขาแห่งนั้น และตามหา “ เด็กผู้ชายคนนั้น ” ให้เจอ และหากเขายังไม่ได้คบหากับใคร เธอก็จะเผยความในใจกับเขาคนนั้น
หลายครั้งหลายคราในยามค่ำคืน นับแต่วันที่ลัชชาได้รูปเด็กหนุ่มคนดังกล่าวมาเป็นกรรมสิทธิ์ส่วนตัว เด็กสาวจะหันไปมองภาพถ่ายซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะหัวเตียง ก่อนจะหลับตาจินตนาการว่าเขากำลังนั่งอยู่ข้างๆเตียงของเธอ แล้วปล่อยตัวเองให้หลับไปอย่างมีความสุข แม้กระทั่งในช่วงเดือนที่ผ่านมาซึ่งบ้านเมืองตกอยู่ในภาวะวิกฤติและอันตรายอย่างถึงที่สุด ซึ่งกดดันสุขภาพจิตใจของลัชชากับคนในครอบครัวอย่างฉกาจฉกรรจ์ เด็กสาวก็รู้สึกได้ว่าเมื่อใดก็ตามที่เธอได้มองหน้าของเด็กหนุ่มลึกลับผู้อยู่ในภาพถ่าย เธอจะรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยขึ้นมาอย่างประหลาด และสามารถนอนหลับลงไปได้ทุกคืนโดยปราศจากอาการนอนผวา
เมื่อสถานการณ์บ้านเมืองได้เริ่มคลี่คลายลง สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยของลัชชา ซึ่งเธอจะได้สัมผัสเป็นครั้งแรกในวันนี้นี่เอง
“ อะโดนิส วันนี้เค้าจะไปเรียนมหาลัยแล้วนะ ” เด็ก สาวปรารภกับผู้อยู่ในภาพถ่าย พลางใช้ปลายนิ้วชี้ข้างถนัดแตะลงที่ตำแหน่งจมูกของเด็กหนุ่มในรูปเบาๆอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะเดินเข้าห้องอาบน้ำไปทั้งชุดนอนด้วยหัวใจอันร่าเริงเบิกบาน
..........................
ภาพของเด็กสาวผมเปียใส่แว่นท่าทางเรียบร้อย กำลังยืนรอรถประจำทางอยู่ที่ป้ายหน้าปากซอยซึ่งปรากฏขึ้นในคลองสายตา ทำให้ลัชชาต้องหยุดยืนอมยิ้มด้วยสีหน้าสดใส ก่อนจะค่อยๆย่องเข้าไปทางเบื้องหลังสาวน้อยวัยไล่เลี่ยกันคนนั้นจนได้ระยะที่เหมาะสม แล้วจึงใช้ฝ่ามือข้างถนัดแตะลงที่ไหล่ของสาวแว่นผมเปียเบาๆพร้อมเอ่ยคำทักทาย
“ ว่าไงพลับพลึง ”
“ อุ๊ย...! ” สาวผมเปียร้องอุทานพร้อมกับหันกลับมา ก่อนจะกล่าวตัดพ้อเพื่อนสาวซึ่งจบมาจากสถาบันเดียวกันด้วยรอยยิ้มเก้อเขิน “ ชาน่ะ...!! เล่นอะไรก็ไม่รู้ พลับพลึงตกใจหมดเลย... ”
“ จ้า ขอโทษจ้า แม่คนขวัญอ่อน มารอรถเมล์นานรึยังล่ะ ฮึ ” ลัชชาเอ่ยโต้ตอบกลับไปอย่างคนที่สนิทกันดีแล้ว ก่อนที่ฝ่ายตรงข้ามจะกล่าวตอบด้วยความใสซื่อ
“ ก็จนรถผ่านไป ๒ – ๓ คันแล้วล่ะ แต่พลับพลึงไม่ขึ้น เพราะจะรอชา ”
“ อ้าวแล้วทำไมต้องรอเราด้วยล่ะ...? ” ลัชชา ถามกลับพร้อมกับซ่อนรอยยิ้มขันของตนไว้ภายในใจ ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามได้แต่ยืนยิ้มอวดแนวฟันขาวเป็นระเบียบแทนคำตอบ ซึ่งลัชชาเองก็เข้าใจดีว่าพลับพลึงมักจะเป็นเช่นนี้เสมอ ทั้งใสซื่อ และแคร์ความรู้สึกเพื่อนๆมากกว่าตัวเอง แต่นั่นก็คือเสน่ห์ที่ทำให้ลัชชายังคงคบหาสาวแว่นผมเปียคนนี้ด้วยดีตลอดมา
และสาเหตุอีกประการหนึ่งก็คือพลับพลึงมีธรรมชาติประจำตัวซึ่งคล้ายคลึงกับเธอ นั่นคือตั้งแต่วัยแรกแตกสาวมาจนถึงบัดนี้ พลับพลึงก็ยังไม่เคยมีผู้ชายคนใด ผ่านเข้ามาในชีวิตเลยสักคนเดียว
อัสนี
| จากคุณ |
:
Tantava
|
| เขียนเมื่อ |
:
4 ม.ค. 54 13:37:05
|
|
|
|