Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
^เมื่อไรจะว่างครับ...ผมจะชวนคุณมารักกัน^ ติดต่อทีมงาน

เมื่อไรจะว่างครับ...ผมจะชวนคุณมารักกัน

ชีวิตสาวโสดวัยใกล้สามสิบนี่ช่างน่าเศร้า โดยเฉพาะในวันสิ้นปีที่ไม่ว่าจะโผล่หน้าไปไหน ถ้ายังได้เห็นผู้คนเดินอยู่บนพื้นโลกก็ย่อมจะเลี่ยงสายตาไม่ให้เห็นคู่รักที่ควงกันอย่างหวานแหววไปไม่ได้

31 ธันวาคม เวียนผ่านเข้ามาเป็นปีที่ 29 ของชีวิต และยังคงเป็นปีที่เหมือน ๆ เดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

ที่ว่างข้าง ๆ ตัวเคยว่างอย่างไร ตอนนี้ก็ยังคงว่างอย่างนั้น

แขนที่ไม่เคยมีคนมาควงก็ยังคงถูกเก็บไว้แบกกระเป๋าหนักอึ้งที่อัดด้วยหนังสือการ์ตูนเกือบสิบเล่มอยู่เหมือนเดิม

ถ้าจะมีอะไรสักอย่างเปลี่ยนไปบ้าง ก็คงเป็น...

บรรดาเพื่อน ๆ ที่เคยกิน เคยเที่ยว เคยดื่มด้วยกันจนเมาข้ามปี

วันนี้...มันหนีไปสวีตกับแฟนหมดแล้ว!!!

น่าหมันไส้ชะมัด ไหนบอกว่าจองหมู่บ้านคานทองนิเวศน์ไว้ไปอยู่ด้วยกัน แล้วนี่มันอะไร ลืมความสุขของความโสดกันไปหมด

เฮ่อ...น่ารังเกียจจริง ๆ พวกคนมีคู่



ฉันถอนใจเบา ๆ อย่างเบื่อหน่าย ถ้ามีกระจกอยู่ตรงหน้าเชื่อว่าคงได้เห็นภาพตัวเองเผลอย่นจมูกด้วยแน่ ๆ ทั้งที่อายุอานามก็ปาเข้าไปไม่น้อยแล้ว แต่นิสัยแบบเด็ก ๆ นี่ยังไงก็แก้ไม่หายเสียที

ไม่ได้ตั้งใจจะแอ๊บแบ๊วหรอก แต่มันชินนี่นา แล้วฉันก็ยอมรับเลยว่าอายุจริงกับอายุสมองฉันก็ไม่ได้เท่ากันนักหรอก

เพราะแบบนั้นน่ะสิ...ถึงไม่มีใครกล้าโผล่เข้ามาทักทาย

เพราะแบบนั้นน่ะสิ...ถึงมีคนเข้ามาก็เผ่นป่าราบไปเสียทุกราย

แต่ว่านะ...ฉันผิดตรงไหนละที่ขี้เกียจแต่งหน้า เซตผม หรือหาซื้อเสื้อผ้าสวย ๆ มาใส่ ก็เดรสสวย ๆ ที่ว่าเนี่ยมันไม่เข้ากับงานที่ต้องออกฟิลด์ของฉันเลยสักนิด

แล้วฉันผิดตรงไหนที่เป็นพวกโอตาคุ ไม่สนใจโลก เมื่อโลกก็ไม่คิดจะสนใจฉันเหมือนกัน

ฉันผิดตรงไหนที่พูดตรง ๆ ไม่ได้ฉอเลาะหวานแหวว แค่คิดว่าจะทำแบบนั้น ฉันก็อยากจะอาเจียนเสียแล้ว ถ้าต้องทำความรู้จักภายใต้ความสัมพันธ์ที่ไม่จริงใจกัน จะรู้จักกันไปหาวิมานอะไรละ

แล้วฉันผิดตรงไหนที่เป็นคนช่างฝัน และหลงใหลในตัวการ์ตูน ก็โลกแห่งความจริงมันเลวร้ายพอแล้ว ฉันจะหลบไปอยู่ในความฝันในบางคราวบ้างไม่ได้หรือไงกัน

ใครจะรับไม่ได้ก็ช่าง แต่ฉันก็เป็นตัวฉันอย่างนี้ละ

“...ถึงบางครั้ง...มันจะเหงาอยู่บ้างก็เถอะ” ฉันเผลอกระซิบเบา ๆ กับตัวเองด้วยความเคยชิน รู้หรอกว่าการพูดคนเดียวแบบนี้เป็นนิสัยเสียที่เสี่ยงต่อการถูกกล่าวหาว่าบ้าและแปลกประหลาด แต่...ฉันก็แค่อยากมีเสียงเป็นเพื่อนในเวลาที่ต้องเดินคนเดียวท่ามกลางกลุ่มคนที่มีคู่ มีฝูงอยู่เคียงข้างแบบนี้

สถานที่นัดพบใจกลางเมืองที่ฉันเคยมากับเพื่อนกลายเป็นสถานที่ที่ห่วยบรมเลยสำหรับการเดินคนเดียวในวันพิเศษอย่างนี้

สามทุ่มแล้ว ฉันควรจะกลับบ้าน ถึงบ้านที่ไม่มีใครรออยู่มันจะเหงาสิ้นดี แต่อาจจะดีกว่าการมาเคาท์ดาวน์อยู่ลำพังกลางลานที่เต็มไปด้วยมนุษย์มีคู่นั่นละ

ฉันถอนใจเป็นครั้งที่เท่าไรก็ไม่รู้ ก่อนจะตัดใจเดินออกจากลานกว้างนั้น ข้ามสะพานลอยที่ความจริงแล้วเป็นสถานีรถไฟฟ้าไปอีกฝั่งเพื่อเรียกรถ

แสงไฟจัดจ้าประดับประดาสวยงามราวเทพนิยาย เพียงแต่โลกนี้ไม่เหลือเจ้าชายให้ผู้หญิงเดินดินที่ไร้เสน่ห์อย่างฉัน ดังนั้นคนโสดก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองต่อไปด้วยการคลี่ยิ้มกว้าง ๆ ให้กับโลกใบนี้ และบอกโลก บอกตัวเองว่า

“ฉันมีความสุข...ชะมัดเลย”

บนถนนมีแต่รถกับรถ และก็รถ ใช่...ก็ถนนมีไว้ให้รถวิ่งนี่ แต่ปัญหาตอนนี้คือรถไม่ได้วิ่ง แต่มันกำลังจอด จอดนิ่งสนิทแบบเคลื่อนไปไหนไม่ได้ เรียงกันเป็นทิวราวทุ่งดอกไม้ที่สวยงาม แถมยังมีหมอกสีเทาดำกลิ่นหอมหวนจากท่อไอเสีย ประกาศความเป็นเมืองแห่งเศรษฐกิจสุด ๆ ด้วยการจราจรที่กลายเป็นจลาจล

ฉันเม้มริมฝีปากด้วยความเซ็งสุดขีด ขณะกวาดสายตามองหารถโดยสารที่พอจะว่างอยู่สักคัน แต่นั่นดูจะเป็นฝันที่มากเกินไปในวันสิ้นปีแบบนี้

“ข่าวเส็งเคร็ง ไหนบอกว่าคนออกนอกกรุงเทพฯกันหมดแล้วไง”

ขณะกำลังหงุดหงิด สายตาเจ้ากรรมของฉันก็กลับไปพบกับใครบางคน เขายืนอยู่ในกลุ่มเพื่อนที่หน้าห้างสรรพสินค้าฝั่งเดียวกับฉัน เพื่อนเขากำลังพูดคุยกันด้วยท่าทางสนุกสนาน แถมยังตบบ่าตบไหล่เขาเสียด้วย แต่น่าแปลกที่คนตรงกลางกลุ่มกลับไม่สนใจใครรอบข้าง เขากำลังยกกล้องในมือขึ้นมาตั้งท่าเตรียมจะถ่ายภาพบางอย่างอย่างตั้งอกตั้งใจ

ท่าทางของเขาทำให้ฉันประหลาดใจ ไฟข้างทางที่ต่อจากฝั่งฉันไม่ได้มีอะไรน่าสนใจมากไปกว่าเจ้ากระต่ายที่ยืนถือโคมไฟอยู่ฝั่งตรงข้ามเลยสักนิดเดียว แล้วเขาคิดจะถ่ายภาพอะไรกันละ

ร่างกายทำงานเร็วกว่าสมอง ฉันหันหลังขวับ หมุนทั้งตัวและคอไปมองตามทิศที่เขาตั้งกล้องเตรียมถ่ายภาพ กวาดสายตามองหาสิ่งที่น่าสนใจ

“ไม่เห็นจะมีอะไรเลย” ฉันถอนใจอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะหันกลับมามองหารถโดยสารต่อ
แต่ว่า...ภาพของกล้องในมือเขาทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะเลื่อนสายตาไปเหลือบมอง ถึงจะเห็นแต่ไกล แต่ถ้าจำไม่ผิด กล้องสีดำตัวนั้น รูปทรงแบบนั้น...ช่างคล้ายกับกล้องที่ฉันอยากได้มานาน

“นิกกี้ของแม่...” ฉันโอดครวญเบา ๆ เมื่อหันไปเห็นกล้องที่คล้องอยู่กับคอของผู้ชายคนนั้น

เขาหันมามองเหมือนจะรู้ถึงสายตาของฉัน แล้วเพียงครู่เดียวเขาก็ยกกล้องขึ้นมาอีกครั้ง ตั้งท่าเตรียมจะบันทึกภาพ

ฉันเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ หันกลับไปมองตามทางเดิมเพื่อค้นหาสิ่งที่น่าสนใจอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่พบ

ดูเหมือนจะมีบางอย่างไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว

ฉันแกล้งหันไปหันมาอีกสองรอบ และได้ข้อสรุปว่าทุกครั้งที่เขาหันมาเห็นว่าฉันกำลังหันไปมอง เขาจะยกนิกกี้สุดที่รักของฉันขึ้นมา

“นี่ฉัน...ไม่ได้ระแวงไปเองใช่ไหม” ฉันกระซิบกับตัวเองเบา ๆ เหลือบมองผู้ชายที่มีนิกกี้ห้อยคออยู่อย่างไม่ไว้ใจก่อนจะต้องรีบหันหน้าหนีไปอีกทางเมื่อเขายกนิกกี้ขึ้นมาอีกครั้ง แต่สมองบางเสี้ยวกลับบีบให้ฉันตัดสินใจอะไรบางอย่างด้วยความบ้าบิ่นแบบแปลก ๆ

“อยากได้อย่างนั้นก็...จัดไป” ฉันหันกลับมามองทางเดิมเพื่อจะพบว่าผู้ชายคนนั้นกำลังจะลดกล้องลง แต่เพียงเขาเงยหน้ามาเห็นฉันอีกครั้ง เขาก็ยกกล้องกลับมาตั้งท่าจะถ่ายภาพตามเดิม ฉันยืนนิ่ง เลื่อนสายตาไปมองกล้องด้วยดวงตาที่คงวาวจัดพอ ๆ กับนางเสือที่กำลังหงุดหงิด เงาแสงสะท้อนที่หน้าเลนส์กล้องบอกให้รู้ว่าชัตเตอร์ถูกกดเพื่อเก็บภาพเอาไว้แล้ว

เขาลดกล้องลง ไม่ได้กดดูภาพ ไม่รู้ว่าเพราะขี้เกียจหรือเพราะมั่นใจในฝีมือตัวเองกันแน่
แต่ที่แย่คือ เมื่อเขาลดกล้องลงทั้งที่สายตายังคงมองมาเหมือนมองผ่านเลนส์กล้อง ทำให้ฉันได้เห็นแววตาเขาอย่างชัดเจน ดวงตาคมจัดที่มองตรงมาทำให้ลมหายใจฉันสะดุดไปห้วงหนึ่ง

“เห็นแก่พระเจ้า...ฉันเกลียดผู้ชายตาคม...แบบนี้”

ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องกล้ำกลืนความรู้สึกทั้งหมด แล้วตัดสินใจเดินตรงไปยังกลุ่มของผู้ชายคนนั้น เขาเลิกคิ้วมองอย่างประหลาดใจเมื่อฉันเดินเข้าไปใกล้ ระยะห่างจากสิบเมตร ร่นเป็นห้า เป็นสาม เป็นหนึ่ง และในที่สุดฉันก็มาหยุดตรงหน้าเขา

ให้ตายเถอะ...ฉันน่าจะเรียนตรีโกณมิติเสียใหม่ จะได้ประเมินความสูงเขาได้ตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็น ไม่ใช่มาสะดุดใจเอาตอนนี้ว่าเขาเป็นผู้ชายที่สูงมากจนฉันต้องเงยหน้ามอง ทั้ง ๆ ที่ฉันเองก็สูงเกินมาตรฐานหญิงไทยมาไม่น้อย

“ภาพ...สวยไหมคะ” ฉันเอ่ยคำถามเสียงเรียบ ไม่สนใจกับเพื่อนเขาที่เริ่มหันมามอง แถมบางคนยังทำตาเบิกโตราวเห็นผี แล้วหันไปกระซิบกระซาบแกมหัวเราะกันเองเสียอีก

ผู้ชายตรงหน้าฉันนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาคงงง ใช่...เขาก็ควรงงละ อยู่ดี ๆ มีคนเดินเข้ามาถามแบบนี้ ก็มันเสี่ยงน้อยอยู่เมื่อไร ถ้าสิ่งที่เขาตั้งใจจะถ่ายไม่ใช่ฉัน ฉันก็คงหน้าแหกชนิดหมอไม่รับเย็บ ดังนั้นขอประกาศคำเตือนกันตรงนี้เลยว่า

ถ้าบ้าไม่พอ หลงตัวเองไม่พอ งี่เง่าไม่พอ คิดสั้นไม่พอ อย่าริอ่านทำแบบฉันเป็นอันขาด

เขาขยับมุมปาก คล้ายจะพูด แต่ก็ไม่ยอมพูด เพราะอย่างนั้นฉันจึงได้เห็นรอยยิ้มอย่างขบขันบนหน้านั้นแทน และ...เอ่อ...จากการจ้องหน้าเขามาเกือบครึ่งนาที ฉันคงต้องยอมรับว่า ผู้ชายคนนี้...เอ่อ...ยิ้มสวย...มาก

เขายกกล้องในคอขึ้นมา กดไล่อะไรบางอย่างอยู่ครู่หนึ่ง ขณะที่ฉันกำลังยืนตาโตมองวัตถุสีดำล้ำค่าในมือเขา

“นิกกี้...จริง ๆ ด้วย” ฉันหลุดคำกระซิบเบา ๆ กับตัวเองเมื่อเห็นกล้องตัวนั้นได้ชัดถนัดตา น่าเศร้าที่คนหูดีตรงหน้าฉันเหมือนจะได้ยิน เขาเหลือบมองฉันและถ้าไม่ระแวงไปเอง ฉันว่าฉันได้ยินเสียงหัวเราะในคอของเขา

“ขยับเข้ามาอีกนิดสิครับ...อยู่ตรงนั้นคงดูไม่ถนัด”

เขาดึงกล้องลง ก้าวเข้ามาใกล้ฉันเมื่อเห็นว่าฉันยังไม่ยอมขยับตัว และตอนนี้ร่างสูงนั่นอยู่ข้าง ๆ ฉัน แขนข้างหนึ่งของเขาชนติดกับไหล่ฉัน มันร้อนจนฉันต้องขยับตัวให้ห่างออกมา แต่ไม่ทันได้ทำอย่างที่ตั้งใจ เพราะภาพที่เขาเปิดให้ดูบนจอภาพ บอกชัดว่าฉันไม่ได้คิดระแวงไปเองเลย

แต่พระเจ้า...นั่นคือฉันจริง ๆ หรือ

ท่ามกลางผู้คนมากมายและแสงสีที่ชวนเวียนหัว ในภาพนั้นโฟกัสไปที่หญิงสาวร่างสูงในชุดเสื้อยืดคอเต่าสีขาวกับกางเกงยีนส์ที่ยืนอยู่ริมถนน เอนตัวแทบติดรั้วที่กั้นขอบทางเท้าด้านหลัง แขนข้างหนึ่งสะพายกระเป๋าย่ามใบใหญ่ ใบหน้าที่หันมาเพียงเสี้ยวนิด ๆ นั่นคงเป็นภาพแรกที่เขาได้ไปก่อนที่ฉันจะหันมาเห็นกล้องในมือเขา

ที่น่าตกใจไม่ใช่ภาพของฉัน แต่เป็น...แววตาของผู้หญิงในภาพนั้นต่างหาก

แววตาที่อ้างว้าง และเศร้าสร้อย ดูเหนื่อยล้ากับชีวิตจนไม่น่าเชื่อว่าจะอยู่บนใบหน้าที่ใครหลายคนเคยบอกว่าดูอ่อนกว่าวัย

นั่นเป็น...แววตาของฉัน จริง ๆ หรือ

เขากดไล่ภาพไปเรื่อย ๆ เป็นภาพที่ฉันหันมาลองเชิงดูว่าเขาจะยกกล้องขึ้นมาหรือไม่ จนมาถึงภาพสุดท้ายก่อนที่ฉันจะเดินเข้ามา

เป็นเพราะได้กล้องดีอย่างนิกกี้ หรือเพราะฝีมือคนถ่ายไม่รู้ แต่ทุกภาพที่เห็น เขาเก็บอารมณ์เอาไว้ได้ครบถ้วนอย่างน่าตกใจ

ฉันเห็นความเหงาในตาของหญิงสาวในภาพแรก

ฉันเห็นความประหลาดใจปนใคร่รู้บนใบหน้าของภาพต่อมา

และฉันเห็น...ความท้าทายจากสายตาที่มองกล้องในภาพสุดท้าย

เขาไม่ได้ยกกล้องขึ้นเพราะยังไม่ได้ภาพ แต่เขายกกล้องขึ้นเพราะต้องการอารมณ์ที่แตกต่างในภาพต่างหาก

“สวย...ใช่ไหมครับ” เสียงทุ้มนั้นดังอยู่ข้างหูฉัน เตือนให้ฉันรู้สึกตัวว่าตอนนี้อยู่ใกล้เขามากแค่ไหน ฉันผละถอยห่างออกมาเล็กน้อย

“คะ...” ฉันเผลอหลุดเสียงกึ่งคำถาม ก่อนจะสำนึกได้เมื่อสายตาได้ละจากภาพในกล้องและมองไปรอบตัว เพื่อนเขา...หายไปหมดแล้ว

“เพื่อนคุณ...”

“ปล่อยมันไปเถอะครับ...พวกคนมีคู่มักจะลืมว่ามีหนุ่มโสดอยู่ในก๊วนเสมอละ” เขาไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ก่อนถามซ้ำ “ผมถามว่า...สวย ใช่ไหมครับ”

ฉันเลิกคิ้วมองหน้าเขาแทนคำถาม เมื่อเขาปล่อยนิกกี้สุดที่รักของฉันให้ห้อยอยู่ที่คออย่างอิสระ

“คุณเข้ามาถามผมว่าภาพสวยไหม ตอนนี้ได้ดูเองแล้ว คุณคิดว่ายังไงละ”

“ฉันจะคิดยังไงไม่สำคัญ แต่ที่สำคัญตอนนี้คุณต้องลบภาพพวกนั้นให้หมด” ฉันยื่นคำขาดอย่างรวดเร็ว การอยู่ใกล้ผู้ชายแบบนี้เป็นอันตรายเกินไปกับหัวใจสาวโสดอย่างฉัน เพราะทั้งแววตาและน้ำเสียงยั่วเย้าของเขาทำให้บางอย่างในอกฉันไหวแปลก ๆ

“คุณไม่ชอบเหรอ”

“ไม่มีใครชอบให้ภาพตัวเองไปอยู่ในกล้องของคนที่ไม่รู้จักหรอก”

ทั้งที่ฉันตอบไปด้วยเสียงที่แข็งและเย็นชาพอสมควร แต่เขากลับทำแค่เลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะดึงกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาเปิดออก หยิบกระดาษแข็งสีขาวแผ่นเล็กยื่นมาตรงหน้าฉัน

ฉันไม่ได้รับ แค่เลิกคิ้วมองอย่างงุนงง เขาจึงเอ่ยตอบ “นามบัตรผม...”

ฉันรับมาตวัดสายตามองดูเพียงผ่าน แล้วเงยหน้ามองเขาอีกครั้ง ผู้ชายตรงหน้าฉันโคลงศีรษะเบา ๆ บอก “อย่างนี้ เราก็รู้จักกันแล้วนะครับ” ฉันอ้าปากค้าง มองหน้าหล่อ ๆ ที่กำลังคลี่ยิ้มบาง ๆ อย่างงุนงง แล้วเขาก็เอ่ยคำถามต่อ

“แล้วคุณ...ไม่คิดจะให้ผมได้รู้จักคุณบ้างหรือ”

“ไม่จำเป็น...ลบรูปพวกนั้นซะ แล้วเราก็แยกย้าย ทางใครทางมัน”

“จะรีบไปไหนละครับ...หรือคุณมีคนร่วมทางอยู่แล้ว” เขาทอดเสียงเอ่ยคำถามที่แทงใจดำฉันอย่างแรง “คืนข้ามปีแบบนี้...จะให้แยกทางใครทางมันไปเดินเหงาอยู่คนเดียว ไม่ใจร้ายไปหน่อยหรือครับ”

ฉันมองหน้าเขานิ่ง ลูกตาสวย ๆ นั่นไม่ได้จ้องมองฉันด้วยสายตาเว้าวอนอ่อนหวานอย่างพระเอกในนิยาย เขาแค่มองมาอย่างตรงไปตรงมา เปิดเผย และมั่นคง

“คุณ...อยากจะพูดอะไรกันแน่”

“ผมจะไม่ลบรูปพวกนั้น เพราะมันเป็นสิทธิ์ของผมในฐานะเจ้าของกล้อง แต่ถ้านั่นทำให้คุณไม่พอใจ ไม่ไว้ใจจนต้องเดินมาอยู่ตรงหน้าผมแบบนี้แล้ว ทำไม...ไม่ลองใช้เวลาพิจารณาความน่าไว้ใจของผมด้วยตัวเองละ”

ท่าทางเขาเปิดเผย น้ำเสียงนุ่มทุ้มเอ่ยด้วยจังหวะจะโคนที่บอกถึงความมั่นใจในตัวเองอย่างที่สุดเหมือนตัวละครในการ์ตูนที่ชวนให้ไม่ไว้ใจมากกว่าเดิม

ฉันหรี่ตามองผู้ชายตรงหน้าแล้วส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว

“ฉันไม่ไว้ใจคุณ ลบรูปพวกนั้นเถอะ เรื่องมันจะได้จบ ๆ ไปเสียที”

“เรื่องของเรายังไม่ทันเริ่ม...คงจบง่าย ๆ ไม่ได้หรอก” เขาเอ่ยกลั้วหัวเราะ “อีกอย่าง...ผมตัดสินใจแล้วว่าจะส่งภาพหนึ่งในนั้นเข้าประกวด”

“แต่นั่นมันภาพฉัน”

“ภาพคุณ...แต่ฝีมือผม” เขาบอกหน้าตาเฉย ก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้ “แต่ถ้าได้รางวัล...ผมจะเจียดมาเลี้ยงไอติมคุณแล้วกันนะ”

“ไม่ตลกนะคุณ” ฉันขึงตาใส่เขา มั่นใจว่าดุเต็มที่เพราะทุกครั้งที่ตวัดสายตาแบบนี้ไปมองรุ่นน้องที่ทำงาน พวกนั้นต่างก็กลัวกันหัวหดทุกครั้ง

ผู้ชายคนนี้ก็เหมือนกัน เขาหดคอลงเล็กน้อย ทำหน้าจืดเจื่อนเหมือนจะหงอ แต่เป็นอาการหงอที่เสแสร้งที่สุดในโลก แถมเขายังบอกเสียงอ่อยเสียอีก “ถ้าคุณไม่ชอบ...ผมยอมให้คุณเลี้ยงแทนก็ได้”

หน้าด้านที่สุดในโลกเลย !!! ฉันว่าหน้าฉันหนาแล้วที่เดินเข้ามาอยู่ตรงหน้าเขา แต่ตอนนี้ฉันว่าหน้าเขาหนากว่า

ฉันเม้มริมฝีปากตัวเองแน่น พยายามข่มอารมณ์เต็มที่ ท่องยุบหนอ พองหนาในใจไปสองครั้งก่อนตัดสินใจ “ไม่ลบใช่ไหม”

“ไม่ลบครับ”

“จะส่งประกวดใช่ไหม”

“ครับ” เขาตอบด้วยรอยยิ้ม ขณะที่ฉันก็คลี่ยิ้มตอบด้วยการฉีกมุมปากทั้งสองข้างออกเหมือนจะแยกเขี้ยวเสียมากกว่า แต่ไม่เป็นไร หยวน ๆ ว่าฉันกำลังยิ้มอยู่เถอะเพราะเวลาเจ้าตูบที่บ้านฉันยิ้มมันก็ทำแบบนี้เหมือนกัน

ฉันพยักหน้ารับแล้วดึงกระดาษใบเสร็จรับเงินจากถุงหนังสือในกระเป๋าสะพายออกมาพร้อมปากกา เขียนอีเมล์แอดเดรสลงไปอย่างรวดเร็ว “ถ้าชนะ...รางวัลหารครึ่ง ๆ แล้วจบ ถ้าแพ้...คุณจ่ายฉันด้วยวันพีซทั้งชุด” แล้วฉันก็ยัดกระดาษใบนั้นใส่มือเขา

ผู้ชายตรงหน้าฉันเลิกคิ้วมองอย่างประหลาดใจ ฉันว่าเขาต้องงงกับการกระทำที่แม้แต่ฉันที่เป็นคนทำยังอดงงไม่ได้ แต่เอาเถอะ...ส่วนใหญ่ฉันก็มักจะทำในสิ่งที่ตรรกะของมนุษย์อธิบายไม่ได้อยู่แล้ว

ฉันกำลังจะหมุนตัวกลับแล้วเดินไปหาที่เรียกรถ แม้จะเห็นชัดว่าการจราจรตอนนี้มีความคล่องตัวมากจนรถยนต์สามารถเคลื่อนได้ไม่ถึงสองกิโลเมตรต่อชั่วโมงก็ตาม แต่เขากลับถือวิสาสะดึงมือฉันไว้เพื่อจะบอกว่า “ผมว่า...คุณเหมาะกับทูพีซมากกว่านะ”

สมองฉันหยุดทำงานไปชั่วขณะกว่าจะงมหาความสัมพันธ์ของวันพีซและทูพีซจนเจอ แล้วฉันก็ต้องอ้าปากพะงาบ ๆ เป็นปลาสำลักน้ำ อยากจะร้องกรี๊ด ๆ แล้วเต้นเร่า ๆ เหมือนนางร้ายในละคร เสียแต่เกิดมายังไม่เคยทำและคงทำแบบนั้นไม่เป็นด้วย

ฉันหันกลับไปเบิกตากว้างมองหน้าเขาอย่างโกรธจัด “ฉันหมายถึงการ์ตูน...การ์ตูนวันพีซ ไม่ใช่อะไรอย่างที่คุณคิด”

“แล้วคุณคิดว่าผมคิดถึงอะไรละ” เขาถามกลับหน้าตาเฉย

ได้...ฉันจะตอบกลับหน้าตาเฉยเหมือนกัน “ชุดว่ายน้ำ...”

ผู้ชายคนนั้นดีดนิ้วเปาะ “เจ๋ง...คุณคิดเหมือนผมเลย”

เป็นอีกครั้งที่ฉันต้องอ้าปากค้างกับท่าทางไม่รู้ทุกข์รู้ร้อนจนน่าหมันไส้ของผู้ชายตรงหน้า “น่าดีใจจังที่เราคิดตรงกัน”

ฉันสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ พยายามข่มอารมณ์ แต่แล้วท้องไม่รักดีก็ดันส่งเสียงร้องโครกออกมาดังลั่นเหมือนจะประท้วงที่ฉันยังมัวแต่เดินซื้อหนังสือเพลินจนกินแค่เครปไอศกรีมตอนเที่ยงไปแค่ชิ้นเดียว เขาหันมามองด้วยริมที่มุมปากอย่างน่าหมันไส้ตามแบบฉบับของเขานั่นละ ส่วนฉันน่ะหรือกำลังหลุบตามองพื้น หน้าแดงด้วยความอายอยู่นี่ไง

พยาธิบ้า...คอยดูนะ กลับบ้านไปฉันจะกินเบนด้าห้าร้อยลากคอออกมาให้หมดเลย อุตส่าห์เลี้ยงมาตั้งนาน มีอย่างที่ไหนมาทำฉันขายหน้าเสียนี่

เขาเดินไปในลานหน้าห้างสรรพสินค้าที่เต็มไปด้วยผู้คน ฉันเพิ่งรู้สึกตัวว่ามือยังถูกเขาจับไว้ก็ตอนที่แรงดึงนั้นแทบจะพาให้ฉันถลาหน้าคว่ำนั่นละ ฉันพยายามแล้วนะที่จะสะบัดมือออก แต่ไม่รู้ทำไม...อยู่ดี ๆ มือก็อ่อนแรงตั้งแต่ได้ยินเขาหันมาบอกว่า “อย่าดื้อนะครับ...เดี๋ยวจะพาไปกินขนม”

ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ไม่ว่ายังไงวันนี้ฉันก็ต้องเดินคนเดียว แต่ถ้าเขาอยากจะเลี้ยงเด็กไม่รู้จักโตอย่างฉัน ก็ให้รู้ฤทธิ์กันสักตั้งไปเลยคงง่ายกว่า

“ฉันอยากกินอาหารญี่ปุ่น” ฉันบอกหน้าตาเฉย ถ้าเขากล้าทำเหมือนพ่อหมีที่กำลังคิดจะเลี้ยงลูก ฉันก็ทำตัวเป็นลูกหมีเกเรได้เหมือนกัน

เขาหันมาเลิกคิ้วมอง ก่อนจะโคลงศีรษะรับเบา ๆ เพียงไม่กี่นาทีต่อมาเราก็มาอยู่ที่ร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งหนึ่งในตัวห้าง

“คุณเลี้ยงนะ” ฉันบอกเสียงแข็ง แล้วเขาก็บ้าจี้พยักหน้ารับอย่างไม่รู้สึกรู้สา

ฉันเหยียดยิ้มที่มุมปากบ้าง อยากมารับปากง่าย ๆ แบบนี้ก็ต้องโดนดีกันสักหน่อย “ขอเป็น...ซาซิมิ ปาร์ตี้เซ็ทนะคะ แล้วก็เบนโต๊ะชุด A แล้วก็หัวปลาแซลมอนต้มซีอิ๊ว และ...” ฉันกำลังจะอ้าปากสั่งต่อ แต่ก็ต้องรีบหุบปากฉับเมื่อเขาแยกเขี้ยวบอกเสียงนุ่ม

“ผมเลี้ยงแบบบุฟเฟต์นะครับ...กินเหลือเท่าไร คุณจ่ายเท่านั้น”

ฉันกลอกตามองเพดานร้านอย่างเหนื่อยใจ เหลือบมองพนักงานในชุดยูคาตะที่อมยิ้มน้อย ๆ อย่างคนที่พยายามกลั้นหัวเราะ

“เอ่อ...อย่างนั้นหัวปลาแซลมอนไม่เอาแล้วกันค่ะ ส่วนเครื่องดื่มขอเป็นชาเขียวร้อนนะคะ”

พนักงานรับคำสั่งด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหันไปมองผู้ชายที่นั่งตรงหน้าฉัน เขาสั่งแค่หมี่เย็นกับชาเขียวเย็นเท่านั้น

ระหว่างรออาหารมาเสิร์ฟ ฉันนั่งจ้องหน้าเขาอย่างระแวงเต็มที่ หม่ามี้ที่รักเคยสอนว่าการกินอาหารกับผู้ชายเป็นหนึ่งในข้อควรระวัง แม้จะอยู่ในห้องอาหารแต่เขาก็อาจว่าจ้างพนักงานให้ใส่ยาอะไรลงไปได้ทั้งนั้น ดังนั้นฉันจะต้องจ้องเขาไว้ไม่ให้คลาดสายตาไปสั่งอะไรใครได้เป็นอันขาด

เขาไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรสักนิด แถมยังเล่นเกมส์จ้องตาตอบกับฉันเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่เขาไม่ได้ตั้งท่าจ้องเอา ๆ แบบที่ฉันทำ เขาแค่เอนหลังพิงฉากกระจกด้านหลังที่กั้งระหว่างโต๊ะ กอดอกนิ่งขณะมองฉันด้วยแววตาที่เหมือนจะยิ้มได้ จนกระทั่งอาหารถูกยกมาวางบนโต๊ะ เกมส์ของเราก็จบลง ฉันเริ่มบรรเลงเพลงตะเกียบจัดการกับซาซิมิเซทใหญ่กับเบนโต๊ะกล่องยักษ์ กว่าจะรู้ตัวก็เมื่อจานตรงหน้ามีเพียงความว่างเปล่า และเขาก็กำลังนั่งมองหน้าฉันอย่างตั้งอกตั้งใจ

“ท่าทางจะ...อร่อยนะครับ”

ฉันเหลือบมองตานอาหารตรงหน้าที่สะอาดเอี่ยม ไร้เศษอาหารตกค้าง แล้วพยักหน้าเบา ๆ “ก็...ดี เรียกคิดเงินได้เลย ฉันจะกลับแล้ว”

เขาเรียกพนักงานมาคิดเงินโดยไม่พูดอะไรกับฉันอีก บางทีเขาคงเข็ดขยาดกับความสามารถในการกินของฉันไปแล้ว

เมื่อพนักงานกลับมาแจ้งค่าอาหาร ฉันก็รีบเปิดกระเป๋าเตรียมหยิบเงินทันที แต่เขากลับวางธนบัตรใบสีเทาลงไปก่อน แล้วหันมาย้ำ “ผมบอกแล้ว...มื้อนี้ผมเลี้ยงเอง”

“อย่าเลย...ฉันไม่อยากติดหนี้ใคร” ฉันวางกระดาษสีม่วงราคาห้าร้อยบาทลงบนโต๊ะ แต่เขาไม่รับทั้งยังลุกขึ้นยืน คว้าข้อมือฉันแล้วลากให้เดินตามอย่างรวดเร็วจนฉันแทบตะครุบเงินกลับมาไม่ทัน

“เฮ้ย...เงินทอนละคุณ”

“ทอนห้าสิบบาท เป็นทิปให้พนักงานเถอะครับ”

ฉันมองท่าทางไม่ใส่ใจกับเงินทองของเขาแล้วก็อดจะย่นจมูกใส่ไม่ได้ “เฮอะ...พวกไม่รู้คุณค่าของเงิน” ทั้งที่เสียงที่ฉันบ่นออกจะเบา แต่คนหูดียังอุตส่าห์ได้ยิน เขาหัวเราะเบา ๆ แล้วบอก

“ผมรู้คุณค่าของการให้และการตอบแทนต่างหาก เขาอุตส่าห์ตั้งใจบริการ”

ฉันคร้านที่จะเถียงกับผู้ชายคนนี้จริง ๆ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าฉันจะยอมให้เขาจูงมือฉันง่าย ๆ แบบนี้

“เฮ้...คุณ ปล่อยมือฉันได้แล้ว ฉันจะกลับบ้าน”

“จะรีบไปไหนละคุณ เดี๋ยวเขาก็เคาท์ดาวน์กันแล้ว”

“ก็ปล่อยเขาเคาท์ไปสิ...ฉันจะกลับบ้าน” ฉันบอกด้วยเสียงขึ้นจมูก ไม่อยากจะบอกว่าถ้าต้องเคาท์ดาวน์คนเดียวในที่ที่มีแต่คนมีคู่ ฉันกลับไปนอนนับดาวที่บ้านดูจะเหงาน้อยกว่า

“กลับไปนอนเหงานับดาวคนเดียวน่าสงสารแย่...ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วผมเสียสละเป็นคู่ควงให้คุณก่อนก็ได้ เห็นใจในฐานะคนโสดเหมือนกัน” เขายื่นข้อเสนอที่ทำให้ฉันอ้าปากค้าง ไม่ได้ตกใจอะไรแต่ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาพูดเหมือนรู้ความคิดฉันได้ขนาดนั้น

“อย่ามาเล่นตลก...ใครเขาอยากจะควงกับคุณ” ฉันพยายามสะบัดมือออกแต่ไม่สำเร็จ เพราะเขาชี้ไปที่ร้านเครปญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง แล้วบอกว่า

“นั่น...เครปร้านนี้อร่อยนะ คุณลองชิมดูไหม”

“เมื่อกลางวันฉันเพิ่งกินไป” ฉันบอกอย่างไม่ใส่ใจ

“นั่นไง...แปลว่าคุณต้องชอบมันแน่ ๆ เอาไส้อะไรดีครับ”

พระเจ้า...นี่เขาคิดจะล่อฉันด้วยของกินหรือไง เห็นฉันเป็นผู้หญิงแบบไหนกัน

“กล้วยหอมราดช็อกโกแลต ใส่ไอศครีมวนิลลาแล้วก็วิปครีมด้วย” เอ่อ...ฉันไม่ได้ตั้งใจจะตอบนะ แต่ปากมันเผลอพูดไปเอง

ฉันได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ ของเขา และเพียงไม่นานเครปที่ฉันสั่งก็มาอยู่ในมือ คราวนี้เขายอมปล่อยมือฉันให้จับช้อนตักไอศกรีมที่ม้วนอยู่ในแป้งเครปกิน ฉันตักไอศครีมคำหนึ่งแล้วก้มลงไปกัดแป้งเครปอีกคำ

รสชาตของเครปนุ่ม ๆ อร่อยจนฉันอดยิ้มไม่ได้ แต่อยู่ดี ๆ ผู้ชายตัวโตก็ก้มลงมากัดแป้งเครปตรงที่ฉันเพิ่งงับไป ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับวิปครีมซึ่งติดอยู่ที่มุมปาก

ฉันได้แต่มองตาปริบ ๆ ไม่แน่ใจว่าระหว่างการตกใจกับหัวเราะควรจะทำอย่างไหนก่อนกัน แต่เขาก็รู้ตัวโดยไม่ต้องรอให้ฉันหัวเราะ แล้วยกมือขึ้นแตะมุมปากเอาวิปครีมออกก่อนจะมาเช็ดมือกับกระดาษทิชชูที่พันอยู่กับซองเครป...ในมือของฉัน

สัมผัสของมือเขาที่เฉี่ยวผ่านนิ้วมือฉันเตือนให้ฉันนึกได้ เขาทำตัวเหมือนเราจะสนิทกันมากเกินไปหน่อยแล้ว

ฉันเม้มริมฝีปากด้วยความเคยชิน ถอยห่างออกมาจากผู้ชายตรงหน้าแล้วเดินไปที่บันไดเลื่อน เขาเดินตามมาไม่ห่าง แถมยังยื่นหน้ามาใกล้

“เกิดอะไรขึ้น...โกรธอะไรผมหรือ”

“เปล่า...แต่เราไม่รู้จักกัน และถึงเวลาจะต้องแยกย้ายแล้ว”

เขายกมือขึ้นดูนาฬิกา “ผมว่า...เรารู้จักกันมาได้เกือบสองชั่วโมงแล้วนะ”

“นั่นไม่เรียกว่ารู้จัก...เราแค่บังเอิญเจอกันบนโลกกลม ๆ แล้วเดี๋ยวเราก็จะผ่านกันไปเท่านั้นเอง” ฉันยังยืนยันคำเดิมอย่างเหนียวแน่น ไม่ว่ายังไงผู้ชายที่ฉันยังไม่รู้จักคนนี้ก็ไว้ใจไม่ได้หรอก

ฉันก้าวไปที่ลานด้านหน้าห้างสรรพสินค้าซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนที่มาชมการแสดงดนตรีบนเวทีและรอร่วมกิจกรรมเคาท์ดาวน์ผ่านคืนข้ามปีนี้ไปพรอ้ม ๆ กัน เขาก้าวตามมาแล้วคว้าข้อมือฉันไว้ “แต่ผม...ไม่อยากให้คุณผ่านไป”

ไม่ใช่แค่เสียงเรียบติดจะดุ แต่ดวงตาเขาก็มองมาอย่างดุดันราวจะย้ำคำพูดนั้นให้เข้าไปอยู่ในสมองส่วนอะมิกดาลาของฉัน แล้วเขาก็ลากฉันฝ่าคลื่นฝูงชนให้เดินตามไป

“จะห้าทุ่มแล้ว...อยู่เคาท์ดาวน์ด้วยกันก่อนนะครับ” เขากระซิบบอกขณะโบกไม้โบกมือให้กลุ่มคนที่ยืนรวมกันอยู่หน้าเวทีซึ่งกำลังมีการแสดงของนักร้องชื่อดัง มีหลายนหันมามองและโบกมือทักทายเขา ขณะที่ฉันเบิกตาโตเพราะหลายคนที่โบกมือนั้นเป็นนักร้องนักแสดงที่มีชื่อเสียง
ถ้าฉันบ้าดาราสักนิด คงเป็นฉันที่จะกรีดร้องและเอ่ยคำถามไม่ใช่พวกเขาที่พากันรุมถามผู้ชายที่ยืนข้าง ๆ ฉันอย่างสนุกสนาน

“เฮ้ย...ใครน่ะพี่”

บางคนก็ “ไปตกลูกสาวใครมาน่ะพี่”

อีกคนตบไหล่แซวกันเลยทีเดียว “ตะกี๊พี่ว่ามาคนเดียวนี่...ไหงโผล่มาเป็นแพ็คได้ละ”

ที่ร้ายที่สุดก็ “เฮ้ย...พรากผู้เยาว์มันผิดกฎหมายนะครับพี่” ใครบางคนหลุดคำนั้นออกมา เขาคงไม่รู้ว่ามันกระตุ้นเส้นอารมณ์ฉันได้ดีนักละ

ฉันช้อนสายตามองหาคนพูด ก่อนบอกอย่างชัดถ้อยชัดคำ “29 แล้วค่ะ”

“เฮ้ย...” เสียงอุทานดังจากรอบตัวฉัน แล้วคำถามก็ทำท่าจะตามมาอีกหลายระลอกขณะที่ฉันเพิ่งรู้ตัวว่าทำพลาดไป เขาก็รีบบอกขึ้น

“เฮ้ย...มีมารยาทในการฟังดนตรีหน่อย อยากให้ภาพพวกแกเป็นทโมนมาอยู่ในนิตยสารฉันหรือไง”

“อยากเห็นภาพหนูน้อยที่พี่ไปเก็บมามากกว่าน่ะครับ” ใครสักคนเอ่ยแซว แล้วก็ต้องรีบหุบปากฉันเพราะทั้งเขาและฉันต่างก็ขึงตามองคนพูดแทบพร้อมกัน

ทโมนที่เขาว่าซึ่งล้วนแต่เป็นมนุษย์รูปงามมีชื่อเสียงในวงการบันเทิงพร้อมใจกันไปยืนบ้างนั่งบ้างชมดนตรีต่อ ขณะที่เขายังยืนนิ่งอยู่ข้าง ๆ ฉัน

กว่าที่ฉันจะรู้ตัวอีกครั้ง พลุฉลองปีใหม่ก็ถูกจุดขึ้นแล้ว เสียงร้องด้วยความยินดีต้อนรับปีใหม่ดังก้องอยู่ในหัว ทโมนมีชื่อเฮโลกันเข้ามาบอกสวัสดีปีใหม่กับผู้ชายที่ยืนข้าง ๆ ฉัน ส่วนเขาก็ตบหัวตบไหล่ให้พรอย่างคุ้นเคย

งานดำเนินต่อไป แต่ผู้คนเริ่มทยอยกันกลับไปบ้างจนดูบางตาลง ฉันอ้าปากหาวด้วยความง่วงนอน หนังตาหนักจนตาร่ำ ๆ ว่าจะปิดไปหลายรอบ

เขาหันมามองด้วยแววตาที่เหมือนจะยิ้มได้ ก่อนจะบอกลาบรรดาทโมนมีชื่อที่ฉันได้ยินแว่ว ๆ ว่าเตรียมจะไปเตร่ต่อที่ไหนสักแห่ง

“ไป...ผมไปส่งที่บ้านนะ”

“ไม่ต้อง...ฉันกลับเองได้” ทั้งที่บอกแล้ว แต่เขาก็ไม่สนใจ จับมือฉันลากไปจนถึงลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าแห่งนั้น

ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว มีราชรถมาเกยทั้งทีนางซินอย่างฉันจะเล่นตัวมากก็ใช่ที่ ฉันปล่อยให้เขาเปิดประตูรถและยัดฉันเข้าไปในที่นั่งข้างคนขับแต่โดยดี ก่อนจะบอกชื่อคอนโดฯที่พัก ตามด้วยชื่อถนน

แต่นั่นละ...ให้ตายฉันก็ไม่ไว้ใจเขาหรอก แม้ตาจะใกล้ปิดอยู่รอมร่อ แต่ฉันก็ยังนั่งเบิกตาโต มือล้วงกระเป๋าสะพายจับพวงกุญแจลูกตุ้มเหล็กที่หนักพอ ๆ กับลูกกอล์ฟสักสามลูกรวมกันเอาไว้แน่น จนเขาพารถมาจอดส่งถึงหน้าคอนโดฯโดยสวัสดิภาพนั่นละ ฉันจึงถอนใจอย่างโล่งอก

“ขอบคุณนะ...คะ”

“ยินดีครับ...แล้วก็...สุขสันต์วันใหม่” เขาส่งยิ้มบอก

“อืม...สุขสันต์วันปีใหม่” ฉันตอบรับก่อนจะโบกมือลา หวังว่าเราคงไม่ต้องเจอกันอีก

ฉันหันหลังกลับกำลังจะเดินไปที่ลิฟต์ แต่เขาไม่รู้ลงจากรถมาตอนไหน วิ่งมาฉุดมือฉันไว้...อีกแล้ว แค่คืนข้ามปีคืนเดียว ผู้ชายคนนี้จับมือฉันไปกี่ครั้งแล้วนี่

ฉันหันกลับไปมอง โทรศัพท์มือถือของฉันอยู่ในมือที่เขากำลังยกอวดอยู่ด้วยแววตาที่เหมือนจะยิ้มอย่างภาคภูมิใจนั่นละ

“ผมใส่เบอร์ผมเอาไว้แล้ว ถ้าว่างเมื่อไรก็โทร.มานะครับ”

“โทร.ไปทำไม” ปากไวกว่าสมอง ฉันหลุดคำถามไปโดยไม่ได้ตั้งใจอีกแล้ว

“เพราะผมจะชวนคุณมารักกัน” เขาบอกหน้าซื่อตาใส ก่อนจะเม้มริมฝีปากนิดหนึ่งแล้วรีบบอกต่อ “อ้อ...ผมหมายถึงบีอิ้งอินเลิฟนะครับ ไม่ใช่เมคเลิฟ กรุณาอย่างเข้าใจผิด”

ฉันว่าฉันไม่ใช่ผู้หญิงขี้อาย ออกจะหน้าด้านหน้าทนกับการเล่นคำทะลึ่งทะเล้นเพราะต้องออกฟิลด์กับพวกผู้ชายที่ทั้งบ้าและเฮี้ยน แต่คำพูดของเขา และสายตาของเขาทำให้ฉันรู้สึกร้อน ๆ ที่หน้าได้อย่างน่าอัศจรรย์

“ดี...ฉันจะได้ไม่โทร.” ฉันข่มความอายตอบแล้วหมุนตัวกลับเพื่อเดินไปกดเรียกลิฟต์

ประตูลิฟต์เปิดออก ฉันก้าวเข้าไปภายในและหมุนตัวกลับ มองผ่านประตูโลหะที่กำลังจะปิดไปด้านหน้า เขายังอยู่ตรงนั้น

ประตูค่อย ๆ เลื่อนเข้าหากันจนปิดสนิท ฉันถอนใจอย่างโล่งอกได้เพียงไม่ถึงนาทีเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นเป็นเพลงโดราเอมอน

ความง่วงทำให้ฉันไม่คิดจะดูชื่อที่หน้าจอ และทำแค่กดรับสายแล้วยกเครื่องขึ้นแนบหู ก่อนจะต้องรีบตัดสายเพราะเสียงนุ่มที่ดังจากปลายสาย

“ไม่เป็นไร...เพราะผมจะโทร.หาคุณเอง และก็...ฝันดีนะครับ”

--------------------------
ทำไมวันสิ้นปีทีไรจะต้องมีเรื่องให้เขียนเรื่องสั้นทุกทีเลยก็ไม่รู้

คราวนี้มาแบบหวานนิด ๆ(หรือเปล่านะ...คนแต่งจะสำลักน้ำตาลอยู่แล้ว)

สุขสันต์วันปีใหม่ค่ะ ขอให้ทุกท่านมีความสุขมาก ๆ ...ทุกวันเลยค่ะ

จากคุณ : Argent
เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 54 18:08:17




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com