“ผลการพิจารณาคดีออกมาแล้วเพคะ”
“งั้นเหรอ”
ไม่ใช่ปฏิกิริยาตอบรับที่เคียราคาดว่าจะได้รับจากเจ้าหญิงแอชลีนน์ ซึ่งไม่แม้แต่จะทรงเงยพระพักตร์ขึ้นจากหนังสือบนโต๊ะ
“องค์หญิงทรงไม่อยากทราบเลยหรือเพคะ ว่าผลเป็นอย่างไร” นางกำนัลสาวพยายามอีกครั้ง
“ก็เรารู้ผลอยู่แล้วนี่” อีกฝ่ายตอบเรียบๆ “คนผิดก็ต้องได้รับโทษ คนที่ไม่ได้ทำอะไรผิดก็ได้ล้างมลทิน ก็เท่านั้นเอง”
เคียราไม่ใคร่เข้าใจ
“...ทรงไม่ห่วงใยคนทรายนั่นแล้วหรือเพคะ”
“เอ๊ะ เคียรานี่” เสียงของนายเหนือชักขุ่น “พอเราบอกว่าเป็นห่วงเขา เคียรากับใครๆ ก็หาว่าเขาต้องทำมนตร์ดำใส่เราแน่ๆ ล่ะ หรือเขาไม่ใช่คนดีแน่ๆ บ้างล่ะ แต่พอเราเฉยๆ ก็มาถามว่าไม่เป็นห่วงเหรอ ตกลงจะให้เราทำยังไงกันแน่”
“ข...ขอประทานอภัยเพคะ” หญิงสาวค้อมศีรษะ แม้อีกฝ่ายจะไม่ผินหน้ามามองแม้แต่น้อย
...เจ้าหญิงแอชลีนน์ทรงเปลี่ยนไป...
นับแต่วันที่ราชองครักษ์อารักขากลับมายังพระราชวัง พระองค์ไม่ตรัสถึงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นต่อใครเลย เว้นแต่ท่านผู้สำเร็จราชการคอนรอย ซึ่งเจ้าหญิงทรงมีพระประสงค์ให้เข้าเฝ้าเป็นการลับ และหลังจากนั้นก็มีการอนุญาตให้จัดการพิจารณาคดีที่มณฑลยาร์ลาธ แทนที่จะเป็นมณฑลหลวงเช่นเดิม
ด้านเจ้าหญิงก็ไม่ตรัสถึงคนทรายชื่ออาเมียร์อีกเลย และทรงเข้าพิธีชำระล้างด้วยน้ำศักดิ์สิทธิ์ ตลอดจนพิธีปัดเป่ามนตร์ดำจากพระเถระอย่างว่าง่าย เวลานอกเหนือจากนั้นก็ทรงพระอักษรอยู่ในห้องส่วนพระองค์หรือห้องสมุด นิ่งเงียบ ครุ่นคิด ...แต่ก็ไม่ถึงกับทรงเรียบร้อย ‘อยู่ในโอวาท’ ไปเสียทั้งหมด
เคียรายังจำได้ดี ...เจ้าหญิงแอชลีนน์กริ้วจนปิดตนเองอยู่ในห้องเป็นวันๆ หลังจากหมอหญิงมาตรวจพระวรกาย เหตุเพื่อตอบข้อสงสัยของเหล่าขุนนางและข้าราชบริพารซึ่งรู้เรื่องที่ทรงหายพระองค์ไปกับพวกนักโทษหลายวันมาโดยตลอด ดูเหมือนพระองค์จะทรงหาว่านี่เป็นการ ‘ดูถูก’ มิหนำซ้ำยังประชดไปเสียหลายคำ
“ถ้าผลไม่ออกมาตามที่พวกท่านต้องการแล้วจะทำอย่างไร ...ปลดเราจากตำแหน่งรัชทายาทเหรอ! หรือจะให้เราเป็นราชินีตามลำพัง ไม่ต้องอภิเษก เพราะไม่มีใครเขาอยากแต่งงานกับผู้หญิงมีมลทินอยู่แล้ว!”
แต่ก็นั่นเอง สุดท้ายคุณท้าวทราซาผู้เป็นแม่นม กับเคียราก็ช่วยกันเกลี้ยกล่อมจนทรงยินยอม...เพราะดื้อแพ่งปฏิเสธไปก็ไม่เป็นผลดีต่อพระองค์เอง แม้จะเห็นได้ชัดว่ายังพิโรธอยู่มาก
แล้วผลตรวจก็ออกมาเป็นที่ประจักษ์โล่งใจของใครต่อใคร ผิดกับตัวคนรับการตรวจ ซึ่งไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกเลย
นอกจากเรื่องการตรวจแล้ว ก็ยังมีเรื่องอื่นที่ทรงไม่ยอมใครอยู่อีกสองประการ คือเรื่องฝึกซ้อมอาวุธกับหัดทรงม้า ต่อให้คุณท้าวทราซาห้ามอย่างไร เจ้าหญิงก็ไปขอท่านผู้สำเร็จราชการ ให้อนุญาตให้พระองค์ฝึกซ้อมอาวุธกับครูดาบในหน่วยราชองครักษ์ และทรงม้าในอุทยานชั้นในจนได้ คุณท้าวถึงกับบ่นว่าเจ้าหญิงทรงทำราวกับอยากกลับไปเป็นอย่างบูดิกาหรือเอริน พระอัยยิกาและพระมารดาของปฐมกษัตริย์ ในสมัยที่ขาดแคลนบุรุษนักรบเสียจนสตรีที่เป็นเชื้อพระวงศ์ต้องออกรบเอง...ทั้งๆ ที่แลดู ‘ไม่งาม’ เอาเสียเลย
“ทำไมไม่เอาเวลาไปทรงเตรียมพระองค์เป็นเจ้าสาวก็ไม่รู้”
ใช่... เจ้าหญิงยังไม่โปรดการปักผ้า หรือทำงานฝีมือใดๆ เช่นเดิม แต่ไม่รู้ว่าเหตุใด เคียราถึงได้รู้สึกว่าเจ้าหญิงแอชลีนน์ทรงเจริญวัยขึ้นมากในเวลาเพียงไม่นานกันหนอ ต่อให้เรื่องคดีลอบปลงพระชนม์อยู่ในความรับผิดชอบของมณฑลยาร์ลาธแล้ว พระองค์ก็ทรงใช้เวลาที่เสด็จไปทรงค้นคว้าในห้องสมุดพบท่านผู้สำเร็จราชการ หารือเรื่องเหตุบ้านการเมืองต่างๆ ...ปัญหาโจรปล้นตามหมู่บ้าน ปัญหาลักลอบค้าทาสและนางโลม ตลอดจนความพยายามที่จะเพิ่มอำนาจต่อรองให้แก่ชาวไร่ชาวนา ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของอาณาจักร บางครั้งก็ให้ท่านผู้สำเร็จราชการเชิญเสนาบดีที่เกี่ยวข้องมากราบทูลถวายรายงานเรื่องต่างๆ
ดูราวกับเจ้าหญิงกำลังจะทรงกลายเป็นราชาผู้ปกครองเสียเอง แทนที่จะเป็นราชินี
“แล้วผลเป็นอย่างไร” เสียงเจ้าของห้องฉุดความคิดล่องลอยของนางกำนัลสาวขึ้นมา
“เพคะ?”
“ไหนๆ รู้ผลแล้วก็ตั้งใจจะมาบอกเราไม่ใช่หรือ” เจ้าหญิงแอชลีนน์ใช้แผ่นทองเหลืองฉลุคั่นหน้าหนังสือ ก่อนจะปิดมันลง แล้วหันหน้ามาทางเคียรา “ว่ามาสิ”
“พ...เพคะ” หญิงสาวอดยำเกรงจนค้อมศีรษะน้อยๆ ไม่ได้ “ลูกชายเจ้ามณฑลชอร์ซารับสารภาพ ทั้งเรื่องโกงการทดสอบ และลอบสังหารเฟลิม เลยได้รับการลดหย่อนโทษกึ่งหนึ่ง ...จากประหารชีวิต เป็นส่งไปใช้แรงงานที่ชายแดนสิบปีเพคะ ส่วนคนทรายนั่น ลูกชายเจ้ามณฑลชอร์ซาบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับคดีลอบสังหารพระคู่หมั้น ส่วนคดีฆ่าราชมัล ปีศาจร้ายที่สิงอยู่ในร่างก็ทำลงไปเองเพื่อป้องกันตัว ในเมื่อพระมหาเถระลูเธียนขับไล่ปีศาจร้ายออกไปแล้ว จึงถือว่าไม่มีความผิด และได้รับการปล่อยตัว เช่นเดียวกับครอบครัวของเขา ด้านคนชุดดำที่ชาลัวห์ซัดทอด ว่าเป็นคนพาเขาไปพบนางแม่มด พระมหาเถระลูเธียนก็กำลังสืบหาตัวอยู่เพคะ”
สีพระพักตร์ของเจ้าหญิงยังคงเรียบเฉย แม้แววพระเนตรจะไม่อาจปิดความโล่งพระทัยได้มิด
“ก็ดีแล้วนี่”
“พ...เพคะ” นางกำนัลสาวได้แต่รับ ก่อนจะทูลถามเมื่อนายเหนือทรงลุกจากเก้าอี้ “จ...จะเสด็จไปไหนหรือเพคะ”
“ไปหาท่านผู้สำเร็จราชการ” เจ้าหญิงตรัสตอบเรียบๆ “เรื่องคดีจบสิ้นไปแล้ว จะได้ขอให้เร่งเรื่องคัดเลือกพระคู่หมั้นคนใหม่ได้เสียที”
“เพคะ”
การกราบทูลจบลงเท่านี้เอง ไม่ช้าเคียราก็ตามเสด็จเจ้าหญิงแอชลีนน์ไปยังห้องสมุด ให้ท่านผู้สำเร็จราชการเข้าเฝ้า และตรัสให้เคียราออกไปทำหน้าที่อย่างอื่นเสีย
หญิงสาวจำใจออกมา ทั้งที่ไม่รู้ว่าตนยังมีหน้าที่อะไรให้ทำอีก สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจไปดูแถวห้องพักของเหล่าราชองครักษ์ เผื่อว่าจะพบท่านดูลัสอยู่แถวนั้น
...แต่ก็ไม่พบ...เช่นเคย...
หลังจากอารักขาเจ้าหญิงแอชลีนน์กลับมาถึงพระราชวังแล้ว ดูเหมือนราชองครักษ์หนุ่มจะเปลี่ยนแปลงไปเช่นเดียวกัน เขาเองก็เงียบขึ้น ครุ่นคิดมากขึ้น เวลาที่เข้าประจำการถวายรับใช้ในฐานะองครักษ์ของเจ้าหญิงก็ลดน้อยลง เนื่องจากชายหนุ่มขอลาไปพักผ่อน เตรียมตัวสำหรับการทดสอบคัดเลือกพระคู่หมั้นครั้งใหม่ ซึ่งท่านผู้สำเร็จราชการกับเหล่าขุนนางได้ตกลงกันแล้ว ว่าจะจัดเป็นการประลองภายในที่ไม่เอิกเกริกนัก ระหว่างราชองครักษ์ดูลัสกับผู้กองคาเฮียร์ สองผู้เข้ารอบสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่
หญิงสาวเคยคิดว่าเขาจะดีใจ ที่เจ้าหญิงดูจะไม่ได้อาลัยในตัวคนทราย ราวกับเพียงแต่ต้องมนตร์ของมัน และเวลานี้ก็หลุดพ้นจากมนตร์สะกดนั้นแล้ว ยิ่งได้รู้ว่าเจ้าหญิงยังทรงบริสุทธิ์ไร้มลทินใดๆ ราชองครักษ์หนุ่มก็น่าจะกลับอารมณ์ดีเป็นปรกติ ...ทว่าไม่เลย เขายังคงเคร่งเครียดตามเดิม เมื่อใดที่เคียราพูดให้กำลังใจว่าเขาย่อมได้ชัยชนะ หรือเจ้าหญิงเองก็ทรงมีพระประสงค์ให้เขาได้เป็นพระคู่หมั้น ท่านดูลัสก็ทำเพียงรับคำไปแกนๆ เท่านั้น
เอาเถิด หวังว่าเมื่อหมดปัญหากับคนทรายนั้นแล้ว และได้เป็นผู้ชนะในการประลองครั้งที่จะมาถึงจริงๆ องครักษ์หนุ่มก็คงจะรู้สึกดีขึ้น และกลับเป็นคนเดิมได้ในเร็ววันกระมัง
* * * * *
“คนต่อไป”
ชายหนุ่มแทบคำรามอยู่กลางลานฝึกซ้อม มือกำด้ามดาบไร้คมแน่น ทั้งที่ลมหายใจยังหอบเป็นห้วงๆ และเสื้อผ้าทะมัดทะแมงบนร่างโซมเหงื่อจนชุ่ม
ที่ริมลานนั้นมีนักรบอื่นๆ ยืนอยู่หลายสิบคน ทั้งคนที่ประมือกับชายหนุ่มไปแล้วและจบด้วยความพ่ายแพ้ กับคนที่อยากเสนอตัวเป็นคนต่อไป ทว่ารั้งรออยู่ด้วยความเกรงใจผู้มีอาวุโสสูงสุดในที่นั่น
ไม่ว่าใครล้วนอยากมีโอกาสประดาบกับลูกชายของเจ้ามณฑล หรือพูดอีกทางก็คือว่าที่ ‘เจ้าชีวิต’ ของพวกเขาทุกคนในหน่วยเรเวน ทว่าสิทธิ์ในการตัดสินใจควรเป็นของ ‘ท่านหัวหน้าหน่วย’
ฟีอาครา...จ่าฝูงแห่งเรเวน ชายวัยกลางคนเจ้าของผมและเคราสั้นสีดำสนิท กับร่างกายสันทัด ทว่ามีกล้ามเนื้อหนั่นหนา ประดับด้วยรอยแผลเป็นมากมายบนร่าง ประหนึ่งตราเกียรติยศแห่งนักรบมากสมรภูมิ
“อาจารย์ โปรดเลือกคนต่อไป” ดูลัสย้ำคำ “หรือหากท่านไม่เลือก ใครอยากเข้ามาก็เชิญ”
นักรบหน่วยเรเวนรุ่นราวคราวเดียวกันดูจะอยากตอบสนอง กระนั้นยังรั้งรออยู่ กระทั่งบัญชามาจากครูฝึก
“พอเท่านี้” ถ้อยคำสั้นและราบเรียบ ทว่าเป็นประกาศิตเด็ดขาด “ไปพักได้แล้ว ดูลัส”
“ข้ายังสู้ไหวขอรับ!”
“สู้ไหวไม่ได้หมายถึงหักโหม”
“แต่ข้าไม่ได้หักโหมขอรับ!” ชายหนุ่มยืนกรานเสียงแข็ง “ไม่ช้าก็ต้องประลองแล้ว หากไม่ฝึกซ้อมให้มากจะพร้อมได้อย่างไร!”
“ซ้อมหนักเกินไปต่างหาก ท่านจึงจะไม่พร้อม” อีกฝ่ายเอ่ยพลางคลายแขนที่กอดอกอยู่เมื่อครู่ “แต่เอาเถอะ หากอยากซ้อมต่อนัก ครั้งนี้ข้าจะเป็นคู่ให้ก็แล้วกัน”
ชายผู้มากวัยกว่าหยิบดาบซ้อมอีกเล่มจากชั้นวาง เดินเข้ามาหยุดยืนประจันหน้าอย่างใจเย็น ห่างจากราชองครักษ์หนุ่มราวยี่สิบก้าว
และเพียงถือดาบชี้ปลายลงบนพื้นทรายอยู่ข้างตัว ไม่ได้ตั้งท่าเตรียมพร้อมโจมตีหรือป้องกันอย่างที่ควรกระทำแม้แต่นิดเดียว
เป็นดูลัสต่างหากที่เครียดเขม็งขึ้นทันที ชายหนุ่มยิ่งกระชับดาบในมือ...แม้เหงื่อที่ไหลโซมมานานจะทำให้ด้ามของมันลื่นเสียเหลือเกิน ขณะที่พยายามบังคับสมองให้แล่นเร็วรี่ผิดความเมื่อยล้าของร่างกาย ประมวลว่าชายตรงหน้าจะเป็นฝ่ายรุกเข้ามาก่อน หรือกำลังรอตั้งรับ
ตั้งรับ...ท่าทางไม่อินังขังขอบนั้นมีไว้ล่อให้เขาประมาท อีกฝ่ายจะฉวยโอกาสขณะที่เขาโจมตีหาช่องว่าง และโต้กลับเต็มกำลังในดาบเดียว
ต้องรับมือโดยการไม่ผลีผลาม ไม่เป็นฝ่ายรุกเข้าไปก่อน ยันหลักตั้งรับเสียตรงนี้ รอให้คู่ต่อสู้เข้าใจว่าเขาจะไม่มีวันโจมตีเป็นดาบแรก จึงต้องเปลี่ยนแผน—
ไวเกินคาดคิด นักรบวัยกลางคนถีบเท้าพุ่งตัวเข้าหา
ดูลัสรีบเตรียมดาบตั้งรับปัดป้อง ทว่ายังช้าเกินไป สันดาบของอีกฝ่ายฟาดเข้าที่แขนของเขาเต็มแรง ถูกจุดเสียจนชายหนุ่มไม่อาจถือดาบไว้อีกต่อไป และปล่อยมันหลุดร่วงลงกับพื้น
“กลับไปพักผ่อน ถนอมมือของท่านไว้” ฟีอาคราพลันคว้าข้อมือของเขาหงายขึ้น เผยให้เห็นรอยเสียดสีต่างๆ บนฝ่ามือ ซึ่งเวลานี้มีเลือดไหลซึม “หากไม่ต้องการให้แผลเหล่านี้ทำให้ท่านพ่ายแพ้ในการประลองจริงๆ”
ราชองครักษ์หนุ่มเพิ่งรู้ตัว ความชาของกล้ามเนื้อมือที่กุมรอบด้ามดาบมานานทำให้เขาไม่ทันรำคาญกับความแสบแปลบ และไม่ได้นึกเลยว่าความลื่นนั้นมาจากเลือด แทนที่จะเป็นเหงื่อตามความคาดเดา
“และอย่าลืมทำสมาธิ ดับ ‘ไฟ’ ที่มันไหม้อยู่ให้หมด วันนี้ ท่านสู้ชนะมากี่คนๆ ก็แค่เพราะไฟมันโหมจนออกดาบเร็วกว่า ใจของท่านเองไม่ได้นิ่งเลย ดีแต่ปล่อยให้ไฟสู้แทนเท่านั้นเอง” หัวหน้าหน่วยเรเวนพูดต่อไป “ไยร้อนรนถึงเพียงนี้ คาเฮียร์ไม่ได้มีสิ่งใดน่ากลัว จากการประลองครั้งที่แล้ว ข้าเห็นว่าเขาสู้อย่างเถรตรงกว่าท่านมาก และฝีมือของท่านก็ยังเหนือกว่าเขาอยู่ขั้นหนึ่ง เหนือกว่าเฟลิมที่ชนะเขาได้ด้วยซ้ำ”
“ข้าไม่อยากชนะเพียงแต่เขา” ดูลัสกัดฟัน “แต่ต้องการชนะขีดจำกัดของตัวเอง ต้องทำให้ได้ดีกว่านี้”
“ขีดจำกัดมีไว้เพื่อระมัดระวังไม่ให้พ่ายแพ้ ไม่ใช่ดึงดันเอาชนะ” นักรบวัยกลางคนกลับปล่อยมือ ก่อนจะผละจากไป “ข้าทราบว่าท่านทราบ แต่ไฟในใจท่านยังโหมแรงจนบดบังทุกสิ่งหมดสิ้น ข้าไม่อาจทราบได้ว่าไฟนั้นมีเชื้อมาจากไหน แต่ตราบใดที่ไม่ดับมันเสีย โอกาสที่ท่านจะเพลี่ยงพล้ำแก่คาเฮียร์ก็ยิ่งมากกว่าเดิมถึงสองเท่าตัว”
อาจารย์ผู้สอนดาบให้แก่ชายหนุ่มมาตั้งแต่ยังเยาว์วัยไม่เอ่ยสิ่งใดอีก ทิ้งให้เขาได้แต่ก้มลงเก็บดาบซึ่งอาบเลือดและเหงื่อของตนที่ด้าม เช็ดถูให้สะอาดก่อนเก็บขึ้นชั้น ครั้นแล้วจึงตรงไปยังบ่อน้ำที่ริมลานซ้อม จ้วงถังตักน้ำเย็นเฉียบขึ้นราดศีรษะของตน...ครั้งแล้ว...ครั้งเล่า
เขาจะเอาชนะเจ้าปีศาจร้ายนั่นให้ได้
ใช่...หากมันขืนกลับมายืนอยู่ต่อหน้าเขาอีก เขาจะต้องเอาชนะมัน ทำลายมันให้สิ้นซาก บดขยี้มันให้แหลกลาญ ไม่ว่า ‘ปีศาจ’ ที่พระมหาเถระลูเธียนอ้างว่าอยู่ในกายของมันจะถูกขับไล่ออกไปจริงหรือไม่ประการใด
เขารู้...มันยังไม่ได้ครอบครองพระวรกายของเจ้าหญิง แต่นั่นสำคัญอย่างไรเล่า พระหทัยของเจ้าหญิงยังคงถูกมันช่วงชิงไป หาไม่แล้วจะอธิบายท่าทีเฉยชาของพระองค์ต่อชื่อและเรื่องของมัน ตลอดจนการที่ยังทรงปฏิบัติตามสิ่งที่มันสอนสั่ง...ทั้งทรงหนังสือตำรา ทรงดาบ ไปจนถึงทรงม้าได้อย่างไร
เขารู้...ที่ทำเป็นเฉยชาไม่สนใจก็เพราะทรงไม่ต้องการให้มันถูกเพ่งเล็ง ที่ยังทรงทำตามคำสอนของมันก็เพราะยังอาลัยมัน ยังหลงเชื่อ ‘เปลือกหน้า’ ที่มันเสี้ยมสอน หลอกลวงนกพิราบตัวน้อยที่เคยแต่ใช้ชีวิตอยู่ในสวนสวรรค์ ว่าเจ้านกไร้เดียงสาอาจบินออกไปเผชิญโลกโหดร้ายภายนอกได้อย่างพญาอินทรี
เจ้าหญิงไม่ต้องทรงทำเช่นนั้นเลย ข้ารับใช้ของพระองค์อยู่นี่แล้วไม่ใช่หรือ ทุกสิ่งของพระองค์...เขาจะปกป้อง จะดูแลคุ้มครองไม่ให้ภัยใดๆ แผ้วพาน ขอเพียงไม่มีไอ้ปีศาจจากทะเลทรายที่บังอาจใฝ่สูงไขว่คว้าดวงดาว ขอเพียงมันเลือนหายไปจากพระหฤทัยของพระองค์
ไฟในใจของเขาจะมอดดับลงได้...ก็เมื่อได้แผดเผาร่างของมันจนไหม้เกรียมสิ้นเชื้อเท่านั้นเอง
* * * * *
คนเขียนขอคุย
ตอนนี้ก็เหมือนช่วงเปลี่ยนผ่านหน่อยๆ และบรรยายสถานการณ์ของแต่ละด้าน ทั้งอาเมียร์ที่ต้องจัดการกับความรู้สึกของตนในหลายๆ เรื่อง แอชที่พยายามเติบโตเข้มแข็งขึ้นด้วยตนเอง และดูลัสที่เริ่มเจริญลงๆ ในแง่สภาพจิตใจ นอกจากนี้ยังแทรกเรื่องภูมิหลังของมาลิอาลงไปเล็กน้อย ตั้งใจว่าจะลงลึกในรายละเอียดในภาค “ทะเลทรายมายา” ถ้าได้เขียนหลังจากนี้ครับ
ตัวละครใหม่ที่ออกมาอีกตัวในตอนนี้ ฟีอาครา (Fiachra แปลว่านกกาดำ/ เรเวน หรือ จ้าวสงคราม/ battle-king) คือหัวหน้าหน่วยเรเวน และอาจารย์สอนดาบตั้งแต่เด็กของดูลัส ให้ความรู้สึกเหมือนถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นคู่ตรงข้ามของซิอ์บุลนิดหน่อย พอดูบทในตอนนี้ก็รู้สึกว่าแกออกมาดครูดาบ และผู้เลิศยุทธ์ที่มองลูกศิษย์ออกจะปรุ มากกว่าจะเป็นหัวหน้าหน่วย แต่ก็คงต้องรอดูแกมีบทในฐานะนั้นอีกทีแฮะ
จากคุณ |
:
Anithin
|
เขียนเมื่อ |
:
8 ม.ค. 54 02:37:51
|
|
|
|