Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
มาแข่งกันไหม ว่าใครเลวกว่ากัน ??? (ครึ่งแรก) ติดต่อทีมงาน

ครึ่งแรก
.
.
.
.
.


         “หมอว่าหลินท้อง มันเป็นไปได้ไง !?” เจ้าของบ้านรูปงามยิงคำถามใส่ภรรยาทันทีเธอเดินตามหลังเขาเข้ามาในบ้าน ความจริงเขาพร่ำรำพึงคำถามนี้เหมือนคนบ้ามาตั้งแต่ขับรถออกจากลานจอดรถหน้าคลีนิค เขาหูอื้อจำความที่หมอบอกไม่ได้ แต่ยังหวังว่ามันอาจเป็นการเข้าใจผิด “กี่เดือน !?”

          “สะ...สามเดือนแล้วค่ะ พี่เม่น”

          เสียงตอบเบาๆ อย่างไร้การปิดบังพร้อมก้มหน้าจนแทบชิดอก ตามด้วยน้ำตาซึมเอ่อออกมาจากดวงตาของผู้หญิงท่าทางระโหยโรยแรง หาได้ทำให้เม่นรู้สึกอ่อนโยนขึ้นไม่ มันกลับตรงกันข้าม คำยืนยันของเธอและหมอที่ตรงกันทำให้เขาเกือบถอดรองเท้าตบหน้าไล่เธอออกจากบ้านทันที

          “Eเวร มรึงจะท้อง 3 เดือนได้ไง ก็กูไม่อยู่บ้าน 4 เดือนกว่า !?” และเขาไม่ได้นอนกับเธอมาเป็นปีแล้ว

         “หลินคบชู้...” หลินสารภาพด้วยท่าทีที่อยากทำตัวให้เล็กกว่ามดหรือธุลีดินใดๆ บนโลกใบนี้ “เดี๋ยวเราไปหย่ากันเลยก็ได้ค่ะ”

          เม่นเลือดขึ้นหน้า มือฟาดเปรี้ยงลงไปที่หน้าเธอ “อีสารเลว ควรจะเป็นกูที่พูดเรื่องหย่าก่อน !? ”

         เจ้าตัวได้แต่เอามือกุมแก้มที่เปรอะด้วยน้ำตาอยู่แล้ว “หลินขอโทษ”

         “นังแฟศยา กูไปทำงานงกๆ แต่มรึงอยู่บ้านสบายแท้ๆ มาเล่นชู้ อีเลี้ยงไม่เชื่อง ไสหัวไปจากบ้านกูเลยไป !!!” ถ้อยผรุสวาทตามติดมาอีกหลายกระบุง ล้วนเป็นคำที่เขาแทบไม่เคยใช้กับใครในชีวิต รวมทั้งกริยาที่มือจิกหัวเธอขึ้นมาแล้วเท้าถีบตรงตัวเธออย่างแรง แม้เธอเบี่ยงตัวเอาด้านข้างรับแทน แต่ก็ส่งผลให้ร่างเล็กๆ สูงแค่ 150 เซ็นติเมตร เศษๆ ทรุดฮวบลงไปนั่งกับพื้น

          “หลินขอโทษ”
           เธอเคยประนมมือไหว้เม่นมาตั้งแต่พบกันครั้งแรก และไหว้เขาอีกหลายครั้งด้วยทั้งความรัก บูชาและเทิดทูน แต่วันนี้มันก็แค่...การไหว้ขอชีวิตอย่างผู้แพ้เท่านั้น

           เม่นอยากกระทืบซ้ำอีกนัก แต่ท่าทางผู้หญิงยอมแพ้หรือโต้แย้งทำให้เขารามือลง ผู้หญิงคนนี้ก็แค่เศษสวะที่มาเกาะอยู่ในชีวิตผู้ชายงามพร้อมแบบเขา เลวแค่ไหน เขาก็ไม่ควรลงมือฆ่าเอง

           “มรึงเก็บผ้าเก็บผ่อนไปอยู่กับชู้มรึงเลยไป !? ไม่งั้นกูฆ่ามรึงตายคาบ้านแน่ๆ”

           “ค่ะ” หลินทำท่าจะลุก แต่เสียงแตรรถส่งนักเรียนอนุบาลมาแว่วๆ ทำให้เธอตื่นจากฝันร้ายอันน่าเจ็บปวดเสียก่อน เธอเปลี่ยนสรรพนามขอเจรจา “ขอฉันพาลูกไปนะคะ คุณไม่เคยเลี้ยงน้องไอซ์”

           “อี...” เม่นจะด่าเธออีก แต่หลินกราบลงแทบเท้าเขา และลูกสาวอายุแค่สี่ขวบกำลังเดินเข้ามาพอดี เขาจึงชะงักทุกอย่าง หลินจึงยังมีโอกาสพูด

           “ฉันขอพาน้องไอซ์ไปก่อน เดี๋ยวพอโตอีกหน่อยหรือคุณหาพี่เลี้ยงได้ ฉันจะให้น้องไอซ์มาอยู่กับคุณ ทิ้งไว้ตอนนี้คุณก็ลำบาก แม่คุณท่านก็ไม่ว่าง พี่สะใภ้คุณก็...”

            เขาไม่ทันตอบอะไร ลูกสาวเขายกมือไหว้เขาแล้ววิ่งรี่ไปนั่งตักแม่ที่นั่งแก้มบวมอยู่ที่พื้น

            “แม่ขา แม่เป็นอะไร ไหนว่าแม่จะไปหาหมอไงคะ” เด็กยกมืออังหน้าผากแม่ แล้วสะดุ้งเรียกพ่อหน้าแหย “พ่อขาๆ แม่มีเลือดออกที่ปาก !”

            “พ่อเพิ่งกลับมา ให้พ่อไปพักเถอะลูก” หลินลูบหัวลูกสาวแล้วกระย่องกระแย่งลุกขึ้นบอกเขา “ฉันขอไปพรุ่งนี้นะคะ วันนี้เย็นเกิน ไปป่านนี้ก็ถึงบ้านดึก... คงไม่มีรถต่อเข้าบ้าน”

           “ไปตายๆ ซะ” เม่นกระซิบไล่พร้อมกำหมัดแน่น ข่มอารมณ์เดินเข้าห้องนอน



            เม่นทำเหมือนทิ้งให้สองแม่ลูกอยู่ข้างนอกด้วยสถานการณ์ชวนบูดบึ้ง แต่ที่จริงเขาก็ทำอย่างนี้มานานแล้ว เพราะตั้งแต่มีลูกสาว กลับจากทำงานเมื่อไหร่เขาก็แทบไม่เคยได้คุยกับลูกเมีย เขาขลุกอยู่ในห้องทำงาน บางทีก็ใช้เวลาส่วนตัว... ในโลกของตัวเอง...




            เสียงจัดกระเป๋าเบาๆ เสียงลูกสาวช่างคุยถามโน่นถามนี่เรื่องทำไมต้องไปบ้านยายเอากลางเทอม ต่อแม่ที่ได้แต่ตอบแบบอ้ำอึ้ง ทำให้เขาหงุดหงิด เขาอาบน้ำแต่งตัวใหม่เดินออกจากห้อง

           ลูกสาววิ่งมาหา แต่เขาขยี้หัวเบาๆ ทีนึง “พ่อออกไปข้างนอกนะ”
และเขาไม่ได้เหลือบดูภรรยาที่กำลังจะกลายเป็นอดีต เขาขับรถออกไปที่ที่ผู้ชายนิยมไปกัน เขาไม่เชื่อว่าสถานเริงรมย์เหล่านั้นมีไว้สำหรับชายโสด เขาเห็นผู้คนที่มีเมียแล้วทั้งนั้นมาใช้บริการที่นี่ ถ้ามันบาปจริงมันก็เรื่องของคนส่วนใหญ่ ไม่ใช่แค่เขาคนเดียว

           “มาแต่หัววันเลยลูกพี่” เด็กเชียร์คนหนึ่งยิ้มให้เขา
           “พลอยว่างมั้ย” เขาเจาะจงถามถึงคนที่เขาอยากได้
           “พลอยเหรอครับ พี่ไปหามันที่คอนโดเลยดีกว่า”

           ไม่กี่นาทีหลังจากยกหูโทรศัพท์ เขาก็ได้สาวน้อยสวยและหุ่นดีพอๆ กับนางสาวไทยมาอยู่ในอ้อมกอด ตอนที่นั่งจู๋จี๋กันในร้านหรูหรา เขาเหลือบเห็นหลานสาวคุณหญิงเพื่อนแม่เขาคนหนึ่งมองมาทางเขาอย่างอาลัย เขาจำได้ว่าเด็กสาวคนนี้มานั่งหน้าเศร้าวันเขาแต่งงานและได้ยินพี่ชายเธอล้อว่าเธออกหักจากเจ้าบ่าว

           พลอยสังเกตเห็นสายตาผู้คนเข้าก็ท้วงเสียงหวานอย่างไม่ถือสา

           “แหม... พี่เม่นนี่เจ้าเสน่ห์ชะมัด ทั้งผู้ดีทั้งไพร่ชะม้อยชะม้ายตาให้เต็มไปหมด !”

          “คนมันเจ๋งน่ะ” เม่นหยิกแก้มสาวพลอยด้วยความมันเขี้ยว แต่ยิ้มๆ เมื่อนึกไปถึงเด็กสาวคนนั้นที่มาจากสังคมเดียวกับเขา บางทีเขาอาจลืมหลินแล้วกลับไปเริ่มต้นใหม่กับเธอก็ได้

            แต่ตอนนี้เขาก็ยังพาสาวพลอยไปเปิดโรงแรมนอน

            สาวพลอยยังเจื้อยแจ้วเมื่อมาอยู่ในห้องหับมิดชิดแล้ว “แล้วพี่ทำไมเมียพี่ถึงไม่เคยหวงพี่เลยคะ พลอยเห็นพี่เป็นคนเดียวที่แต่งงานแล้วมาที่นี่ได้บ่อยกว่าใคร เจอข้างนอกพี่ก็เหมือนคนโสดทุกที”

           “เมียซังกะบ๊วย งี่เง่าจะไปรู้อะไร !”

           “แหม...” พลอยหัวเราะ แต่แล้วสายตาเธอเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ผู้หญิงโง่ คือผู้หญิงที่อยู่เป็นและมีความสุขนะคะ แต่พลอยเองไม่ยักทำใจได้แฮะ พอรู้ว่าแฟนมีคนอื่นมันเจ็บจี๊ดทุกที สงสัยพลอยจะฉลาดเกิน ฮ่าๆ”

             เม่นได้ยินคำว่า ‘อยู่เป็น’ เข้าก็ฉุนกึก และยิ่งฉุนเมื่อพลอยสาวค้ากามมามีหน้าพูดถึงแฟน

            “พลอยมีแฟนแล้ว...เหรอ !”

            “ค่ะ พี่ถือเหรอคะ !?” พลอยทำหน้าแปลกใจเต็มประดา แต่ก็เปลี่ยนเป็นยิ้มขี้เล่น พลางถอดเสื้อออกเหลือแต่เสื้อชั้นในกับกระโปรงสั้นๆ “อย่าบอกนะคะว่าพี่เม่นถือ ถึงพวกเราจะทำงานแบบนี้ เราก็ปกติเหมือนคนอื่นนะคะ พลอยกับเพื่อนๆ ก็มีแฟนกันทั้งนั้นค่ะ”

            “เหรอ” เม่นจ้องมองหน้าอกเอิบอิ่มที่แสนคุ้นเคยมือเขาของสาวพลอยด้วยความรู้สึกประหลาดๆ

             “ลืมๆ ที่เราคุยกันเถอะค่ะ มาทำอย่างอื่นดีกว่า” สาวน้อยปลดทุกอย่างออกเหลือแต่ตัวเปลือยเปล่า “ไหน ดูซิ อีสาวต่างจังหวัดที่ไหนมาทำให้พี่มอมแมมมั่งหรือเปล่า เห็นว่าไปดูงานที่อื่นมาตั้งหลายเดือน”

              เม่นขบริมฝีปากครุ่นคิด เขาไปต่างจังหวัดก็ไม่ได้ไปคนเดียว เขาพาเพื่อนสาวคนหนึ่งไปอยู่ร่วมห้องแก้เหงาตลอดทั้งกลางวันกลางคืน แต่เขาไม่ได้บอกพลอย
              ร่างกายเขาปล่อยให้พลอยเริ่มทำงานตามที่เขาเคยนิยม... แต่คราวนี้หัวใจเขาไม่เป็นสุขเลย








            เลยเที่ยงคืนไปไม่น้อย เม่นก็ข่มตานอนต่อที่โรงแรมไม่ลง เขาจึงลาพลอยแล้วกลับบ้าน คืนนี้ไม่เหมือนคืนก่อนๆ แล้ว หลินไม่มาบริการเปิดประตูให้ บนโต๊ะกับข้าวก็ไม่มีอะไรตั้งไว้ให้ และไร้ร่างเธอมายืนหาวหวอดอยู่เป็นเพื่อนเขาจนกระทั่งหลับไปโดยไม่แยแสว่าเธอจะมีอะไรอยากคุยด้วย เขาก็ไม่เคยนึกอยากคุยอะไรเพราะเธอไม่มีอะไรใหม่นอกจากเล่าเรื่องลูกทำโน่นทำนี้ได้

            เขาเหลือบมองเตียงนอนว่างเปล่าเบื่อๆ หลินคงไปนอนห้องลูกสาว และคงเตรียมตัวเดินทางกันเสร็จแล้ว ข้าวของบางอย่างบนหัวเตียงก็หายไป อย่างน้อยก็ไดอารี่ของเธอ

            เขาอยากรู้ขึ้นมาว่าหลินนอนกับชู้ในบ้านหลังนี้หรือบนเตียงนอนเขาหรือเปล่า แต่สุดท้ายเขาก็ต้องนอนลงบนเตียงอยู่ดี

            ก่อนปิดไฟ สายตาเขาพบปะเข้ากับรูปถ่ายคู่ของเขากับหลินสมัยยังเป็นนักศึกษาเข้า ในรูปหลินสวมเสื้อยืดแจกฟรีของมหาวิทยาลัยตัวใหญ่เท่าบ้านมาร่วมงานวันเกิดเขาตอนเรียนปีสุดท้าย งานที่เขาจัดเลี้ยงเพื่อนในโรงแรมหรูหรามีแต่วัยรุ่นผู้ร่ำรวย

            “Eเวรเอ๊ย กระจอกงอกง่อยแล้วยังริทำชั่วอีก”

             เขาหวนคิดถึงอดีต แล้วขำตัวเองขึ้นมา เขาเป็นใคร ทำไมถึงได้ลดตัวลงไปแต่งงานกับผู้หญิงกระจอกๆ ไร้ค่าคนหนึ่ง

            เขาเจอเธอเอาตอนไหน ตอนนั้นไง ตอนเขาอยู่ปีสามในมหาวิทยาลัย...








เสียงเพื่อนสนิทเขาแว่วมาในความทรงจำตอนเขาอยู่ปีสุดท้ายในมหาวิทยาลัย



“มรึงดูอีเด็กปีหนึ่งคนนั้น มาถามหาไอ้เวกหลายทีแล้ว ไม่รู้ท้องป่องหรือถูกไอ้เวกฟันทิ้ง”

“อืม หน้าตาน่าสงสารว่ะ มรึงลงไปบอกสิว่าไอ้เวกมีแฟนแล้ว” เพื่อนอีกคนเสนอขึ้นมา แต่ก็เปลี่ยนใจเสียเอง “เฮ้ย แต่อย่าไปสนเลย ปล่อยไว้งั้นแหละ เกิดไปบอกความจริงแล้วเด็กนี่ฆ่าตัวตายขึ้นมา พวกเราบาปว่ะ ฮ่าๆ”

เม่นยืนฟังเพื่อนๆ แล้วเปิดบานเกล็ดดูหน้าสาวนักศึกษาปี่หนึ่งคนนั้นอย่างพินิจพิจารณา “เฮ้ย ยังท่าทางเด็กอยู่เลย นี่ไอ้เวกหลอกฟันจริงเหรอ แมร่งเฮี่ยว่ะ”

“มรึงใจดีก็รับช่วงต่อสิวะ ฮ่า” เพื่อนแนะมาอย่างคึกคะนอง แต่พอเห็นเม่นไม่ขำด้วยก็กลับมาจริงจัง “เอ๋อ พวกกูก็ปากมอมไปงั้นแหละ ไม่รู้เหมือนกันโว้ยว่าเด็กนี่มาทำไม”

“พวกเรานี่โคตรสุภาพบุรุษ นั่งเล่นเกมกันในห้องแอร์ แหลกเบียร์สบายเฉิบปล่อยให้ผู้หญิงยืนตากแดดอยู่ข้างนอก” เม่นบ่นอุบ และมนุษยธรรมพุ่งพรวดจนเพื่อนหัวเราะ “เดี๋ยวกูไปบอกให้เขาค่อยมาดีกว่า”


เขาเดินออกไปหาเด็กสาวที่ยืนเก้ๆ กังๆ คนนั้น

“มาหาไอ้เวกเหรอน้อง มันไม่อยู่ มันพาแฟนไปเที่ยว” เขากะบอกรวบเดียวให้เธอเข้าใจทุกอย่าง แต่เธอยังไม่ยอมขยับ มองไปในบ้านพักเขาอย่างใคร่รู้อะไรบางอย่าง

“พี่เวกไม่ฝาก... อะไรไว้บ้างเหรอคะ !?”

“ฝากอะไร” เม่นงง

“เอ่อ งั้นไม่เป็นไรค่ะ แล้วคุณพอทราบมั้ยคะ ว่าพี่เวกจะกลับเมื่อไหร่”

“ก็ไม่ทราบ” เขาชักรำคาญ แต่เห็นหน้าตาแหยๆ เหงื่อท่วมจมูกของเธอ ทำให้เขาใจอ่อน “เอางี้มั้ยน้อง เดี๋ยวไอ้เวกมา พี่จะบังคับให้มันโทร ถ้ามันไม่โทรพี่โทรไปตามน้องเอง น้องเบอร์อะไร”

เขาควักโทรศัพท์ขึ้นมาเตรียมบันทึกเบอร์เธอ แต่สาวเจ้าก้มหน้าตอบอายจัด

“ไม่มีโทรศัพท์หรอกค่ะ แต่ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณค่ะ เดี๋ยวค่อยมาใหม่ค่ะ”

เขาตลกกับจำนวนคำว่าค่ะของเธอยังไม่มากเท่ากับที่รู้ว่าเธอไม่มีโทรศัพท์ “อ้าว ทำไมไม่มี !?”

เขารู้ว่าโทรศัพท์ต้องใช้เงินซื้อ เด็กต่างจังหวัดอย่างเธออาจยากจน แต่เขาเห็นเพื่อนๆ จากต่างจังหวัดที่ยากจนก็มีโทรศัพท์ใช้กันทั้งนั้น

“ก็ไม่มีค่ะ เบอร์หอก็ไม่มี เดี๋ยวค่อยมาหาใหม่ รบกวนคุณบอกพี่เวกว่าช่วยฝากไว้ที่แม่ค้าร้านก๋วยเตี๋ยวก็ได้” เธอบอกอย่างเกรงใจแล้วทำท่าจะกลับ

“เดี๋ยวๆ น้อง” เม่นทั้งอยากรู้และสงสาร “ให้ไอ้เวกฝากอะไร บอกมาเถอะ เผื่ออยู่ในบ้านจะเข้าหยิบให้ หรือว่าโทรไปถามไอ้เวกเลย...” เม่นอยากโทรขึ้นมาจริงๆ

“เอ่อ... เดี๋ยวค่ะ ไม่ต้องค่ะ” เธอทำท่าท่าไม่แน่ใจ นิ้วมือบิดกันอายๆ “สงสัยพี่เวกลืมแล้ว”

“ก็แล้วมันอะไรล่ะน้อง”

“พี่เวกค้างค่าซักผ้าไว้สามร้อย” เธออ้อมแอ้ม มือยังบิดนิ้วกันพัลวัน

“เหรอ... ไอ้เวกมันไปจ้างน้องเอาตอนไหนล่ะ ก็ที่นี่เราจ้างรายเดือนอยู่แล้ว ?”

“ตั้งแต่เทอมที่แล้ว ตอนพี่เขาอยู่หอใกล้ๆ ค่ะ”

“โห ไอ้หมานั่นเลวจริง” เม่นเข้าใจทุกอย่างทะลุประโปร่ง เขาไม่จำเป็นต้องถามต่อว่าทำไมต้องมาทวงเอาตอนนี้ คนขี้เกรงใจย่อมถูกเอาเปรียบ “ทีหลังทำงานต้องรีบทวงค่าจ้างไวๆ เลยนะน้อง”

“ค่ะ”

“งั้นพี่ออกให้ก่อนก็ได้” เขาควักเงินในกระเป๋า แต่เขามีแต่แบงค์ห้าร้อยจึงยื่นให้ทั้งใบ

เขาจึงเห็นยิ้มสว่างๆ น่ารักๆ ครั้งแรกของเธอที่รับเงินไปด้วยรอยยิ้มดีใจ

“เดี๋ยวไปแลกเงินทอนให้ดีกว่าค่ะ”

“ไม่ต้องๆ เอาไปเลย สองร้อยนั่นเป็นดอกเบี้ย เดี๋ยวพี่ไปทวงไอ้เวกเอง เอาไปเหอะ”

“ขอบคุณค่ะ” ใบหน้าไร้เครื่องสำอางตามวัยของเธอยิ้มกว้างขึ้นโชว์ฟันซี่เล็กๆ แล้วเปลี่ยนสรรพนามถามเขาซื่อๆ “พี่เป็นดาราหรือเปล่าคะ ตัวสูงจัง”


“เปล่านี่ พี่ไม่ได้เป็นดารา” เขายักไหล่ สาวๆ ในมหาวิทยาลัยชอบคิดว่าเขาเป็นดาราทั้งนั้น “ทำไมล่ะ เราอยากเป็นดาราเหรอ”

“อิอิ ไม่ค่ะ” เธอหัวเราะ “ตัวเท่านี้ถูกช่างกล้องเหยียบตาย”
เม่นเลยขำด้วยเพราะเธอตัวเล็กมาก เตี้ยกว่าเขาสักฟุตได้ เธอยกมือไหว้ลา เขายืนดูเด็กสาวตัวเล็กๆ เดินแกมวิ่งจากไป เธอนุ่งกางเกงยีนส์ถูกๆ กับเสื้อแถมสินค้า สวมรองเท้าผ้าใบ

“อ้าว ลืมถามชื่อเลยโว้ย !”







ค่ำนั้นเวกกลับมาเขาก็ถามทันที เวกหัวเราะงอหงายกับข่าวเจ้าหนี้ทวงเงิน

“เออ กูบาปจริงว่ะ ที่ลืมจายเงินยายหลิน ยายนี่ยากจนตายห่า เงินกู้เรียนส่งบ้านหมด ตัวมันเลยต้องหาเลี้ยงตัวเอง” เวกเล่ารายละเอียดไปถึงครอบครัว “พ่อมันเพิ่งเสียขาไปทั้งสองข้าง แล้วมันมีน้องชายตั้งห้าคน คู่สุดท้องเป็นแฝดแบะเบาะเลยนะมรึง เพื่อนแฟนกูว่ายายเด็กนี่กินข้าววันละห่อเดียว มันเลยรับจ้างทำทุกอย่างไงล่ะ”


“โห แล้วจะรอดเหรอวะ” เม่นฟังแล้วไม่อยากคิดต่อ ชีวิตมหาวิทยาลัยในเมืองหลวงไม่ใช่เรื่องง่ายถ้าต้องทั้งเรียนหนักแล้วหาเงินใช้เองเหมือนๆ ผู้ใหญ่

“อือ กูก็ว่างั้น” เวกเห็นด้วย “กูเคยแนะให้มันกลับบ้านไปหาที่เรียนแถวบ้าน จะได้ทำสวนทำไร่ ไม่ต้องมาอดมื้อกินมื้อเอาแถวนี้ แต่ก็นะ... คนมันมีความฝันกันทั้งนั้น”

เขาเชื่อเพื่อนหมดใจว่ามีนักศึกษากินข้าวไม่ครบมื้อเรียนร่วมสถาบันเดียวกับเขา ก็ตอนนั้น...

(ต่อ)

จากคุณ : rainfull
เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 54 22:30:47




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com