Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ตำนานสงครามบัลลังก์เหนือ 2 - 26 - สิ่งที่เริ่มต้น ติดต่อทีมงาน

อ่านเนื้อหาภาค 1 ได้ที่นี่ครับ

เด็กดี
http://writer.dek-d.com/Anithin/writer/view.php?id=471973

พันทิพ
บทนำ - บทที่ 5
http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2010/11/W9892447/W9892447.html
บทที่ 6-10
http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2010/11/W9906021/W9906021.html
บทที่ 11-15
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W9924896/W9924896.html
บทที่ 16-20
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W9958591/W9958591.html

เนื้อเรื่องต่อภาค 2

เด็กดี
http://writer.dek-d.com/Anithin/writer/view.php?id=623553

พันทิพ
บทนำ - 1 (ครึ่งแรก)
http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2010/05/W9280262/W9280262.html
1 (ครึ่งหลัง)
http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2010/05/W9290547/W9290547.html
2
http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2010/05/W9301954/W9301954.html
3 (ครึ่งแรก)
http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2010/05/W9315581/W9315581.html
3 (ครึ่งหลัง)
http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2010/06/W9326678/W9326678.html
4
http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2010/06/W9355723/W9355723.html
5
http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2010/06/W9380192/W9380192.html
6
http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2010/06/W9404897/W9404897.html
7
http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2010/07/W9435713/W9435713.html
8
http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2010/07/W9500605/W9500605.html
9
http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2010/08/W9571637/W9571637.html
10
http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2010/08/W9623060/W9623060.html
11 (ครึ่งแรก)
http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2010/09/W9647241/W9647241.html
11 (ครึ่งหลัง)
http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2010/09/W9678374/W9678374.html
12
http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2010/10/W9812163/W9812163.html
13
http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2010/10/W9846618/W9846618.html
14
http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2010/11/W9875051/W9875051.html
15
http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2010/11/W9892519/W9892519.html
16
http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2010/11/W9907488/W9907488.html
17
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W9916888/W9916888.html
18
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W9927562/W9927562.html
19
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W9939927/W9939927.html
20
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W9980469/W9980469.html
21
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10002038/W10002038.html
22
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10021934/W10021934.html
23
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10051706/W10051706.html
24
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10085054/W10085054.html
25
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10107249/W10107249.html

* * * * *


ขอบคุณคุณ Mnemosyne สำหรับกิฟท์นะครับ ^^

คุณ scottie - คิดว่าจบภาคนี้ ใครๆ ก็คงจะเปลี่ยนกันไปไม่น้อยละครับ


* * * * *


บทที่ ๒๖
สิ่งที่เริ่มต้น


“เป็นอย่างไร อิสรภาพที่รอคอยมานานหอมหวานดีไหม” เจ้ามณฑลยาร์ลาธเอ่ยต่ออาเมียร์ ซึ่งเพิ่งได้รับการปล่อยตัวเมื่อบ่ายของวันวาน และรับคำเชิญที่จะมาเป็นแขกดื่มน้ำชาของจวนในบ่ายวันต่อมา หลังจากไม่ได้กลับมาที่นี่เป็นเวลานานหลายเดือน

“มากขอรับ แต่ข้าคงต้องใช้เวลาปรับตัวสักหน่อย ตอนเป็นนักโทษนี่เหมือนได้นั่งกินนอนกินเสียจนเคยตัว” ชายหนุ่มตอบพร้อมรอยยิ้มอ่อนๆ

“กลับมาทำงานให้ข้าสิ แล้วข้าจะใช้ให้คุ้มกับข้าวน้ำที่เลี้ยงเจ้าในตอนนั้นเสียเลย” ท่านเบเรคหัวเราะน้อยๆ “เจ้าเป็นคนฉลาด น่าจะรู้ว่าถึงอย่างไรข้าก็ไม่ยอมปล่อยมือจากเจ้าง่ายๆ หรอก”

“ขอรับ” อาเมียร์เสไปดื่มน้ำชา ขณะรอให้ผู้ใหญ่และเจ้าบ้านเริ่มธุระของตนเสียก่อน

เขาคิดว่าอีกฝ่ายยังคงต้องการให้ตนทำงานให้...กระนั้นยังเกือบสำลักกับคำพูดไร้พิธีรีตองต่อมาโดยแท้

“ดังนั้น ยอมเป็นเขยของข้าเสียทีได้หรือยัง”

ชายหนุ่มวางถ้วยชาลง ครั้นแล้วก็รีบเช็ดปาก สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทันที

“แต่ว่า...”

“อย่าอ้างเลยว่าเจ้าเคยเป็นคนต้องโทษ หรือเป็นคนต่างชาติ ข้าช่วยฟอกเจ้าเองขึ้นมากับมือ และข้าก็ยินดีมีเขยเป็นคนต่างชาติที่มีทั้งความรู้ความสามารถกับคุณธรรมพร้อม มากกว่าลูกชายของรองเจ้ามณฑลการ์วอน ต่อให้ไม่เห็นแก่ข้า ก็เห็นแก่มณฑลยาร์ลาธ กับฟิเดลมาบ้าง” ชายวัยกลางคนเอ่ยอย่างจริงจัง “เจ้าสนิทกับรูอาร์คขนาดนี้ เขาคงเผยไปนานแล้วว่าที่จริงเขาเป็นหลานของข้า เวลานี้ข้าเหลือลูกสาวอยู่คนเดียว ลูกชายจะฝากฝังมณฑลกับตระกูลก็ไม่มี ไม่เห็นเลยว่าจะมีใครเหมาะสมไปกว่าเจ้า ...ที่พูดนี่ไม่ใช่เพราะรังเกียจว่ารูอาร์คไม่ใช่เลือดเนื้อของข้าเอง หรือมีเลือดขุนนางแค่ครึ่งเดียว ปัญหาคือใจเขาไม่ใฝ่ทางนี้เสียแล้ว บังคับให้มาทำก็ได้อาละวาดจนมณฑลข้าป่นปี้เท่านั้นเอง”

“...ข้าเข้าใจขอรับ” อาเมียร์ตัดสินใจออกความเห็น “แต่ข้าก็ยังคิดว่าข้าไม่เหมาะสมอยู่ดี ข้าไม่คิดว่าตนเองจะทำให้คุณหนูมีความสุขได้ และข้าก็ไม่คู่ควรจะปกครองมณฑลนี้หรอกขอรับ ถึงอย่างนั้น...ต่อให้ไม่ให้คุณหนูแต่งงานกับเลวอน ข้าก็คิดว่าขุนนางที่มีความสามารถและความเหมาะสมคู่ควรกับนางยังมีอยู่ขอรับ”

“เวลานี้ข้ายังมองไม่เห็นใครเลย” เจ้ามณฑลยาร์ลาธถอนใจ “เจ้าคงมองออก...เปลือกนอกธีร์ดีเรดูสงบมั่นคงก็จริง แต่ดุลอำนาจภายในปั่นป่วนเสียจนเดาทางไม่ถูก ยิ่งตระกูลขุนนางผูกขาดอำนาจฐานันดร กับตำแหน่งลงมาเป็นรุ่นๆ ...ลูกหลานเกิดไม่สามารถพร้อม หรือมีใจคดโกงระรานประชาชนขึ้นมา ก็โกยกินจนคนธรรมดาทุกข์ร้อนวุ่นวายกันเท่านั้นเอง ยิ่งไม่นับว่าแบ่งการปกครองเป็นสามมณฑลใหญ่ เพื่อคุ้มครองพระราชวงศ์กับเนินแห่งทาราอันศักดิ์สิทธิ์ ก็กลับกลายเป็นสร้างคู่แข่งทางการเมืองสามฝ่ายขึ้นมาชิงดีขัดขากันเอง”

ชายหนุ่มฟังการวิเคราะห์สถานการณ์ของท่านเบเรค ซึ่งตรงกับความรู้สึกของตนไม่มีผิด

“ยิ่งเวลานี้ มณฑลชอร์ซากำลังเสื่อมอำนาจ หากดูลัสได้เป็นพระคู่หมั้น...และข้าก็เชื่อว่าเขามีแววชนะมากกว่าคาเฮียร์ อุลทูร์จะมีอิทธิพลและอำนาจเหนือราชสำนักมากขึ้น และก็จะส่งผลกระทบมาทางยาร์ลาธด้วย ถึงเราจะไม่มีปัญหาบาดหมางกับทางนั้นมาก่อน แต่แฟคท์นานิยมการปกครองเด็ดขาดอย่างทหารมากกว่าทำการค้า ต้องการรักษาอำนาจของชนชั้นขุนนางและทหาร มากกว่าเพิ่มฐานอำนาจให้พ่อค้า ก็อาจจะตั้งข้อจำกัดทางการค้าให้เข้มงวดขึ้น เพื่อป้องกันอำนาจแทรกแซงจากอาณาจักรอื่นก็ได้” ท่านเบเรคนิ่งไปครู่หนึ่ง “เจ้าก็รู้ อาเมียร์ ยาร์ลาธพึ่งพาการค้าขายเป็นหลัก เราทำการเกษตรไม่ได้มากเท่าชอร์ซา มิหนำซ้ำเวลานี้ชอร์ซาคงต้องการเป็นพันธมิตรกับอุลทูร์มากกว่าเรา ...ยิ่งข้าไม่ยอมส่งตัวชาลัวห์ไปรับโทษที่ชอร์ซาตามที่คาลวาห์ต้องการด้วย”

อาเมียร์พอรู้เรื่องนั้นมาบ้าง ทั้งยังเห็นได้ว่าท่าทางของชาลัวห์หลังจากบิดามาเยี่ยมในระหว่างการพิจารณาคดี กลับไม่ดูสดชื่นขึ้นหรือสงบลง อย่างคนมีที่พึ่งทางใจแล้วเลย

“เขาคิดว่าข้าสารภาพเพราะถูกทรมาน ถึงข้ายืนยันว่าข้าสำนึกผิดด้วยตัวเอง เขาก็บอกว่าจะช่วยข้า...จะหาทางให้ข้ากลับมาอยู่ชอร์ซา จะได้ไม่ลำบาก แล้วก็หาโอกาสลดโทษได้เร็วๆ ...ข้าก็รู้ว่าเขารักข้า เป็นห่วงข้ามาก แต่...ข้าไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น เขา...ทำร้ายคนอื่นเพื่อข้ามามากพอแล้ว”

ชายหนุ่มเข้าใจความอาทรของพ่อแม่ดี และก็รู้ว่าหากเขาต้องโทษขึ้นมา ท่านเบเรคก็คงจะหาทางช่วยเหลือเต็มที่ กระทั่งท่านอาที่เกลียดการใช้เส้นสายยิ่งกว่าอะไรก็คงจะไปขอร้องให้เขาได้รับโทษในท้องที่ใกล้ๆ เพื่อที่ท่านกับแม่จะได้เดินทางมาเยี่ยมได้สะดวก ...แต่ก็นั่นเอง ความรักลูกทำให้พ่อแม่ทำได้ยิ่งกว่าเกรงใจทั้งคนอื่นและตัวเอง หรือยึดถือกฎเกณฑ์ความเหมาะสมใดๆ

อย่างไรก็ดี เมื่อชาลัวห์ได้รู้ว่าพ่อสามารถทำสิ่งใดเพื่อเขาได้บ้าง...รวมถึงเรื่องของเกรเนีย ซึ่งชายหนุ่มเล่าให้อาเมียร์ฟังเมื่อไม่นานมานี้ เขาย่อมไม่สบายใจและกลัว ว่าพ่อจะทำเพื่อเขาจนเกินไป ด้วยวิธีที่ไม่ถูกต้องเหมาะสมใดๆ

ทว่าอาเมียร์นึกได้เท่านั้นเอง คำพูดของเจ้ามณฑลยาร์ลาธก็ดึงความคิดของเขากลับมาอีกครั้ง

“ดังนั้น ยาร์ลาธต้องมีเจ้ามณฑลคนต่อไปที่เข้มแข็ง และมีวิสัยทัศน์ด้านการค้ามากพอกับการศึกการปกครอง เรื่องนี้กลับทำให้เจ้าได้เปรียบ เพราะเจ้าไม่ใช่ชนชั้นขุนนางมาแต่เดิม หนำซ้ำยังเคยอยู่ในอาณาจักรอื่น ร่วมเดินทางในขบวนสินค้า เห็นกลไกการค้าขายมาก็มาก”

“แต่ข้าเป็นลูกของนักรบรับจ้าง ไม่ใช่พ่อค้ามาแต่เดิมนี่ขอรับ”

“จะเป็นลูกของใครที่ไหนก็ไม่สำคัญ มากไปกว่าเจ้ามองยาร์ลาธและธีร์ดีเรในมุมที่ต่างออกไปได้” ท่านเบเรคแย้ง “และข้าต้องการคนเช่นเจ้ามาเป็นผู้สืบทอดของข้า”

ชายหนุ่มยิ้มอย่างอ่อนใจ แต่ขณะเดียวกันก็พบช่องทางที่เขาจะรายงานเรื่องที่ตนรู้ต่อขุนนางผู้ใหญ่ได้อย่างสะดวกขึ้น

“ท่านเบเรคอยากให้ธีร์ดีเรพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น...ใช่ไหมขอรับ”

“เจ้าถามอะไรประหลาดนะ” ชายวัยกลางคนเลิกคิ้ว

“ข้าคิดว่าท่านคงทราบแล้ว...ว่าปัจจัยสำคัญของการนั้น คือเจ้าหญิงแอชลีนน์ต้องทรงเป็นราชินีที่มีพระปรีชาสามารถในพระองค์เอง และทรงมีสิทธิ์ในการปกครองอย่างชอบธรรม ไม่ใช่เป็นเพียงเบี้ย หรือเครื่องมือแสวงหาอำนาจของราชา” อาเมียร์เสี่ยงพูด “ที่ข้าถวายการสอนให้พระองค์ และทูลให้พระองค์หนีจากวังมาด้วยกันก็เพื่อพบท่าน ให้ท่านช่วยเหลือในการนั้น”

“ข้าก็นึกอยู่” ท่านเบเรคมีสีหน้าเครียดขรึมขึ้นทันที “แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่เจ้ามณฑลอย่างข้าจะเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงได้ ถึงอย่างไร ราชินีก็จำต้องอภิเษกกับราชา และไม่ดูลัสก็คาเฮียร์ย่อมได้ตำแหน่งนั้นมาอย่างยุติธรรมอยู่ดี”

“เรื่องนี้ไม่มีความยุติธรรมมาแต่แรกแล้วขอรับ” ชายหนุ่มแย้ง “แต่เป็นสิ่งที่ขุนนางคนหนึ่งในธีร์ดีเรสร้างขึ้นมา เพื่อให้ทายาทของตนได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ เพื่อการนั้น...เขาถึงได้วางแผนกับชายสวมผ้าคลุมสีดำที่มีเวทมนตร์ หลอกใช้ชาวอัสลานที่รอดชีวิตให้ปลงพระชนม์องค์กษัตริย์เพื่อล้างแค้น ฉวยโอกาสปลงพระชนม์พระราชินีกับเจ้าชายรัชทายาทไปพร้อมกัน และต่อมาก็หลอกใช้ชาลัวห์สังหารท่านเฟลิม”

แววตาของชายวัยกลางคนหลุดความประหลาดใจออกมาวูบหนึ่ง

“อาเมียร์ เหตุใดเจ้าจึงคิดเช่นนี้”

“ข้าไม่ได้คิด แต่ข้าทราบขอรับ” ชายหนุ่มค้อมศีรษะ “ขออภัยที่ปิดบังท่าน เวทมนตร์ที่ข้า ‘เคย’ มีในตัว ทำให้ข้าเห็นความทรงจำของคนที่ข้าสัมผัสตัวได้เป็นบางครั้ง และข้าก็เห็นเหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์...จากคนอัสลานที่รอดชีวิตในเหตุการณ์นั้นขอรับ”

อาเมียร์เล่าต่อไปถึงคณะเดินทางที่ตนพบ ...นักรบรับจ้างโทมา หมอหญิงซานา กับพรานป่าเกล หรือเนอร์กุยผู้เป็นใบ้ เช่นเดียวกับหนทางแก้ไขในความคิดของเขา

“ข้าเชื่อว่าหากจะช่วยเจ้าหญิง ก็ต้องพิสูจน์ความจริงที่ว่าแฟคท์นาเป็นผู้บงการให้ได้ และยิ่งควรเชิญเสด็จเจ้าหญิงมาในที่ที่ปลอดภัยจากอำนาจของพวกเขาด้วย”

“อาเมียร์” ท่านเบเรคเรียกเสียงหนักทันที ชายทั้งสองต่างไร้ความสนใจในชาและของว่างที่เย็นชืดบนโต๊ะตรงหน้า “รู้ตัวไหมว่าเจ้าพูดอะไรออกไป”

“ข้าทราบดีขอรับ” ชายหนุ่มค้อมศีรษะอีกครั้ง “ข้าไม่ต้องการกล่าวหาใครโดยไร้มูล แต่โดยตัวข้าเองก็ไร้หลักฐานยืนยันใดๆ นอกจากปากคำของตัวเอง และคำพาดพิงถึงพรานใบ้คนนั้น ควรมิควรแล้วแต่ท่านเบเรคจะพิจารณา ว่าเชื่อถือคำพูดของข้าได้ไหม”

ผู้ฟังนิ่งเงียบครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง

“หากไม่ได้รู้จักเจ้ามาก่อน ข้าก็คงไม่เชื่อ ที่ข้าเกรงยิ่งกว่าคือนั่นเป็นสิ่งที่ปีศาจร้ายลวงหลอกให้เจ้าเห็นต่างหาก” เจ้ามณฑลตอบ “แต่ส่วนตัว...ข้าเชื่อว่าเป็นไปได้ พูดไปก็อาจไม่ดีต่อท่านแฟคท์นา...แต่ข้าเห็นว่าเขามีแรงจูงใจ และความโหดเหี้ยมพอจะทำเช่นนั้นได้จริง สมัยที่พระอัยกาของเจ้าหญิงแอชลีนน์ กับพระอนุชาของพระองค์รบชิงบัลลังก์กัน แฟคท์นาเป็นมือขวาของพระอัยกา ส่งเสริมพระองค์จนขึ้นครองบัลลังก์ได้สำเร็จ ทั้งยังมีส่วนร่วมในการจับกุมพระราชวงศ์กับขุนนางฝ่ายพระอนุชาไปกักขังในคุกกรงน้ำ จนสิ้นชีวิตกันไปหมดด้วย

“แต่เมื่อเปลี่ยนราชบัลลังก์มาเป็นพระเจ้าอาร์กาด พระราชบิดาของเจ้าหญิง พระองค์ก็ทรงเป็นกษัตริย์ที่ไม่เข้มแข็งนัก จำต้องให้ตระกูลของพระราชินีบริอาเนียที่เป็นขุนนางเก่าแก่ในมณฑลหลวงช่วยค้ำจุน ได้ยินว่าแฟคท์นาไม่ใคร่ถูกกับตระกูลของพระนาง ทั้งเขายังสูญเสียลูกชายสองคนก่อนหน้าดูลัสไปในการรุกรานทางเรือของคนเถื่อนทางเหนือ เพราะทัพเสริมของมณฑลหลวงเดินทางไปถึงช้าเกินไป ...ไม่นับเรื่องการปักปันเขตแดนหลังตีเผ่าอัสลาน ซึ่งพระเจ้าอาร์กาดพระราชทานที่ดินใหม่ให้เป็นสิทธิ์ของมณฑลชอร์ซาทั้งหมด ทำให้ดุลอำนาจระหว่างสามมณฑลเสียไป เรียกได้ว่ามีหลายปัจจัยที่เขาคิดจะทำการใหญ่ หากแต่ไม่มีใครกล้าคิดว่าเขาจะทำ เพราะเขาจงรักภักดีต่อพระราชบิดาของพระเจ้าอาร์กาด และพระราชวงศ์เสียจนไม่มีใครนึกระแวง”

อาเมียร์นึกชมความสามารถในการวิเคราะห์คนของท่านเบเรคครามครัน ทว่าไม่ช้าก็ต้องตั้งรับคำถามถัดมา ซึ่งเครียดขรึมยิ่งกว่า

“ถึงอย่างนั้น เจ้ารู้ตัวไหม ว่าสิ่งที่เจ้าต้องการทำจะให้ผลอย่างไร”

“ข้าทราบดีขอรับ” ชายหนุ่มรับ “หากแฟคท์นายังไม่ยอมปล่อยวางแผนการครองบัลลังก์ผ่านดูลัส ธีร์ดีเรย่อมแบ่งเป็นสองฝ่าย สงครามกลางเมืองจะไม่มีวันสิ้นสุด จนกว่าฝ่ายที่เปิดโปงแผนการของเขาและสนับสนุนเจ้าหญิง หรือฝ่ายของตัวเขาเองจะพ่ายแพ้ ...ถึงอย่างนั้น นอกจากท่านเบเรค...ข้าก็มองไม่เห็นจริงๆ ว่าใครจะเป็นผู้มีอำนาจพอที่จะช่วยเหลือเจ้าหญิง และคืนความยุติธรรมให้แก่ผู้สูญเสียทั้งหมดได้ ข้ามีอยู่เพียงชีวิตเดียว เป็นคนตัวคนเดียว ด้อยค่าเกินกว่าจะบอกได้ว่าข้าคนเดียวสามารถรับผิดชอบทุกอย่างที่เกิดขึ้น แต่ทั้งเพื่อธีร์ดีเร เพื่อเจ้าหญิง และเพื่อท่านเฟลิม ข้าไม่อาจปล่อยให้ผู้กระทำผิดลอยนวลอยู่นั่นเอง”

“แล้วเจ้าคิดจะทำอย่างไรต่อไป” เจ้ามณฑลยาร์ลาธตั้งคำถาม

“ข้าจะขอให้ ‘พ่อ’ พาแม่กับน้องๆ ไปหลบภัยเสียที่อาณาจักรอื่น ส่วนตัวข้าเองจะอยู่ที่นี่ ช่วยทำทุกอย่างที่ข้าทำได้” อาเมียร์ตอบอย่างแน่วแน่ “ส่วนท่าน...เวลานี้ข้าคงต้องขอร้อง หากท่านเห็นด้วยกับการเอาโทษแฟคท์นาและเปลี่ยนแปลงธีร์ดีเร ก็ได้โปรดส่งสายไปตามหาเกลที่เป็นพยานในเหตุการณ์นั้น ในเมื่อด่านของชอร์ซาเปิดตามปรกติแล้ว ข้าคิดว่าเขาอาจกลับไปที่หมู่บ้านเคทลินในชอร์ซา พร้อมกับท่านหมอซานา อีกด้านเราก็ต้องเตรียมพร้อมเรื่องเสบียง และกำลังพล หากจะเกิดสงครามขึ้นจริงๆ”

“แล้วการช่วยเจ้าหญิงออกมาจากพระราชวังล่ะ”

“เรื่องนั้น ข้าจะเป็นคนทำเองขอรับ” ชายหนุ่มรับคำ “งานเสี่ยงเช่นนั้น จะให้ใครรู้ว่าท่านมีส่วนเกี่ยวข้องไม่ได้ หากข้าพลาดพลั้ง ก็จะฆ่าตัวตายเสียก่อนถูกจับกุม ไม่เปิดโอกาสให้สาวมาถึงท่านได้โดยเด็ดขาด”

“นั่นเป็นเรื่องใหญ่ ถึงอย่างไรก็ต้องหารือกันให้รัดกุม” ท่านเบเรคติง “เจ้าเองก็อย่าเพิ่งเร่งร้อน เรายังมีเวลาจนถึงวันอภิเษก ทุกสิ่งต้องเรียบร้อยก่อนเวลานั้น”


* * * * *


ทุกสิ่งจะเรียบร้อยดี...

แอชลีนน์บอกตนเองเช่นนั้น ขณะเดินมายังบัลลังก์ที่ประทับ ในพลับพลาของสนามประลองฝั่งตะวันออก และนั่งลงหลังจากขุนนางทั้งมวลถวายบังคมเรียบร้อย

วันนี้คล้ายคลึงกับวันนั้น...วันประลองของสี่ผู้เข้ารอบสุดท้าย แต่ก็ยังต่างกันออกไป ริมสนามไม่มีริ้วธงประดับรื่นเริงใดๆ นอกจากธงประจำราชวงศ์อลาชตาร์ อีกทั้งไม่มีผู้ชมมากมายเนืองแน่นบนอัฒจันทร์ และไม่มีเสียงโห่ร้องให้กำลังใจผู้เข้าแข่งขันคนใดเลย

มีเพียงความเงียบหลังเสียงประกาศ เงียบเสียจนได้ยินเสียงเดินของเท้าในเกราะเหล็กของผู้เข้าประลองทั้งสอง

...และก็อาจจะได้ยินกระทั่งเสียงเข็มตกพื้น หลังจากกรรมการยกมือเป็นสัญญาณให้เริ่มการต่อสู้ได้

หญิงสาวมองการต่อสู้เบื้องหน้า จับจ้องอย่างพินิจพิเคราะห์ ขณะที่ดูลัสกับคาเฮียร์ก้าววนหยั่งเชิง ไม่มีใครคิดจะเปิดฉากชิงโจมตีในทีแรก

เป็นดูลัสที่ทะยานออกไปก่อน

ดาบของเขารวดเร็ว ล่อหลอก ดึงคาเฮียร์ให้ปัดป้องอีกทาง ก่อนจะพลิกวนไปโจมตีอีกทาง ฟาดดาบหลอก...เปลี่ยนที่หมายการโจมตีกลางคัน หลายต่อหลายครั้ง

ใช่ว่าคาเฮียร์ไม่เก่ง แอชลีนน์รู้ว่าพื้นฐานของลูกชายแม่ทัพคาฮาลนั้นหนักแน่นสมกับที่มีบิดาเป็นทหาร ทว่าเป็นดูลัสต่างหากที่ทุ่มเทเต็มที่ ประหนึ่งนี่เป็นการต่อสู้เอาชีวิตเป็นเดิมพัน

กระนั้น ชายหนุ่มก็ทุ่มตนเสียงจนเรียกได้ว่าบ้าคลั่ง กระทั่งเปิดช่องว่างที่ไม่ควรมี

คาเฮียร์มองเห็นช่องนั้น ดาบของเขาพุ่งออกไป หมายเล็งลำคอของอีกฝ่าย...

ทว่าช้าไป

ปลายดาบของดูลัสแตะเข้าที่ชายโครงใต้รอยต่อของเกราะเขาก่อน จ่อนิ่งไว้เช่นนั้น ขณะที่คมดาบของคาเฮียร์ค้างอยู่ก่อนถึงลำคอขององครักษ์หนุ่มราวหนึ่งฝ่ามือ

เสียงฮือฮาดังเซ็งแซ่จากเหล่าขุนนางบนอัฒจันทร์

กรรมการยืนนิ่งอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะประกาศชื่อของผู้ชนะ

ดูลัสยังคงหอบหนัก แต่ไม่ช้าลมหายใจก็ค่อยสงบลง เขาก้าวมาคุกเข่าถวายบังคมต่อหน้าเธอ ขณะที่แอชลีนน์ลุกขึ้นยืน สวมมงกุฎใบลอว์ราส สัญลักษณ์แห่งชัยชนะ ให้แก่เขา...เช่นเดียวกับที่เคยทำให้เฟลิม

พิธีหมั้นจะมีขึ้นในค่ำนี้ แม้จะไม่มีงานเลี้ยงสังสรรค์ ไม่มีการเต้นรำใดๆ เพื่อไว้อาลัยแก่พระคู่หมั้นคนแรกที่ถึงแก่กรรมไป ...การเฉลิมฉลองรื่นเริง และงานสมโภชทั้งมวลจะจัดพร้อมกับงานอภิเษกสมรส ตลอดจนพระราชพิธีราชาภิเษก

แต่เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว แอชลีนน์ยังคงไม่อยู่ในอารมณ์รื่นเริงใดๆ เธอเพียงแต่ทำตามหน้าที่ของตน เพื่อให้ทุกสิ่งผ่านไปโดยเรียบร้อยดีเท่านั้นเอง


* * * * *


“เจ้าคิดดีแล้วหรือ” ซิอ์บุลถามเสียงเครียด เมื่อได้ฟังคำขอร้องของลูกชาย ในเวลาค่ำหลังอาหารเย็น ในวันที่มีข่าวมาจากเมืองหลวง ว่าบัดนี้ได้พระคู่หมั้นคนใหม่เรียบร้อย

อาเมียร์พยักหน้า

“ข้าต้องรับผิดชอบ...สิ่งที่ตัวเองอีกคนหนึ่งทำลงไป แต่ยิ่งไปกว่านั้น ข้าอยากช่วยเหลือเจ้าหญิงแอชลีนน์ และอาณาจักรแห่งนี้” ชายหนุ่มเอ่ยเรียบเฉย “ข้ารู้ว่าคงทำให้พวกท่านลำบาก และเป็นห่วงข้ามากขึ้นไปด้วย แต่ข้าอยากให้พวกท่านปลอดภัย ดังนั้นก็พาแม่กับน้องๆ ไปยังอาณาจักรอื่นก่อนเถอะ หากเรื่องทางนี้เรียบร้อยดี ข้าจะตามไปหลังจากนั้น”

อดีตนักรบทอดสายตามองคนตรงหน้า อาเมียร์ยังคงพูดกับเขาน้อยคำ และเอ่ยเฉพาะเรื่องที่จำเป็นต้องเอ่ย ...สิ่งที่เป็นเหตุเป็นผล...เรื่องที่ต้องกระทำ กระนั้นชายวัยกลางคนก็สัมผัสได้ นัยน์ตาของชายหนุ่มซึ่งเพิ่งล่วงวัยสิบแปดได้เพียงไม่กี่เดือนดูสุขุมยิ่งกว่านั้น แน่วนิ่ง และพุ่งตรงไปยังสิ่งที่ต้องการอย่างหมายมั่น

หาได้รุ่มร้อน แค้นเคือง ไร้ความสงบ ต้องการพิสูจน์ตนเองอย่างเด็กร้อนวิชาในวันนั้นแม้แต่น้อย

ที่ไม่พูดจา ไม่ใช่ต้องการหลบหน้า หรือสับสนว่าควรปฏิบัติต่อซิอ์บุลอย่างไร แต่เพราะรู้แน่แล้วว่าหากเลือกเส้นทางนี้ ก็ย่อมต้องแยกจากกัน ทั้งยังตั้งใจจะไม่เรียกร้องขอความช่วยเหลือจาก ‘ท่านอา’ มากไปกว่านี้

“แล้วถ้าข้าห้ามไม่ให้ทำล่ะ” อดีตนักรบตั้งคำถาม

“ข้าก็ยังต้องทำให้ได้อยู่ดี” อาเมียร์ให้คำตอบ “ต่อให้ท่านพยายามรั้งตัวไว้อย่างไร ข้าก็บอกเรื่องนี้ต่อท่านเบเรคแล้ว และข้าจะลอบเข้าไปพาเจ้าหญิงออกมา หลังจากนั้นก็คงต้องอยู่ช่วยทางนี้ต่อไป...จนกว่าจะถึงที่สุด ฟันเฟืองของเรื่องนี้ใหญ่โตเกินกว่าที่ท่านจะห้ามข้าได้แล้ว”

ซิอ์บุลยังคงนั่งเฉยอยู่ นิ่งงัน เนิ่นนาน

“ข้าจะเลือกธีร์ดีเร แต่ท่านย่อมต้องดูแลแม่กับน้องๆ ...พวกแกยังเล็กอยู่ ไม่ควรต้องพบเห็นสงครามฆ่าฟัน ไม่ควรแบกรับบาดแผลอย่างข้า ดังนั้น ก็ไปทำหน้าที่ต่อพวกเขาเถอะ ให้ความรักแก่แม่กับพวกเขา คุ้มครองดูแลพวกเขา...แทนส่วนของข้าด้วย” ชายหนุ่มเอ่ยต่อไป “และ...หากเรายังมีชะตาต่อกัน เมื่อนั้นข้าจะกลับไปหาพวกท่าน จะอยู่ในโอวาท ดูแลพวกท่านจนแก่เฒ่า ไม่เรียกร้องสิ่งใดมากไปกว่านี้อีกแล้ว”

“อีกสามวัน” อดีตนักรบกลับพูดอีกอย่าง

“...หือม์?”

“อีกสามวัน ข้าขอประลองกับเจ้า” เขาสบตากับผู้ที่อาจเป็นบุตรชายอย่างแข็งกร้าว “หากต้องการให้ข้าปล่อยเจ้าไป ก็จงแสดงความมุ่งมั่นของเจ้าให้ข้าเห็น เราจะใช้ดาบจริง และสู้กันเหมือนอยู่ในสนามรบ ...เพราะหลังจากนี้ เจ้าจะต้องพบกับสนามรบที่ดุเดือดยิ่งกว่านี้อีกมากมายนัก”

อาเมียร์ไม่หลบสายตา ทว่ากล่าวตอบหนักแน่นที่สุด

“ข้ารับคำท้าขอรับ”


* * * * *

จากคุณ : Anithin
เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 54 22:19:48




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com