“เจ้าเลยอยากหาวิธีแก้อาการกลัวเลือดอย่างเร่งรัดงั้นเหรอ” รูอาร์คเปรย เมื่ออาเมียร์พบเขาที่ลานฝึกซ้อมของจวนในวันต่อมา “สามวันนี่ตึงมือเอาเรื่องอยู่นะ”
“ข้ารู้ แต่หากแก้ไม่ได้ภายในสามวัน ก็ต้องแก้ให้ได้ก่อนเกิดการสู้รบจริงๆ อยู่ดี” ชายหนุ่มผมดำเปรยพลางควงดาบช้าๆ เพื่ออุ่นเครื่องก่อนฝึกซ้อมจริง “ไม่อย่างนั้น ข้าจะทำอะไรไม่ได้เลย เหมือนครั้งที่ทดสอบการรบจำลอง หรือตอนพาแอชหนีในตรอกขนปลา เจ้าเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอ...ว่าถ้ามันเป็นอุปสรรคก็ต้องแก้ไข”
“แต่ใครใช้ให้มาคิดแก้เอาสามวันก่อนศึกสำคัญเล่า ข้าไม่มีเวทมนตร์เหมือนใครบางคนสักหน่อย จะได้เสกแวบเดียวทันใจ ไล่อาการกลัวเลือดออกไปจากตัวในพริบตา” ชายผมแดงหยิบดาบขึ้นมาลองน้ำหนักเช่นกัน “จะใช้วิธีหักดิบจริงๆ ก็กลัวเจ้าไข้ขึ้นไปสามวัน หมดสภาพก่อนไปเจอท่านซิอ์บุล เลยแพ้แบบไม่ทันได้เริ่มสู้พอดี”
“เห็นมาลิอาบอกว่ามีวิธีสะกดจิต” อาเมียร์ตัดสินใจบอกตามตรง “นางว่าปมความกลัวของข้าอยู่ในใจ ก็ต้องแก้ไขที่ตรงนั้น นึกไปข้าก็ว่าเหมือนปมของลีชา หากไม่เผชิญหน้ากับมัน ก็ไม่มีทางจะหายได้”
“อือม์...ก็คงใช่” กระรอกแดงกลับรับเลื่อนลอยกว่าที่คิด กระทั่งอาเมียร์อดสงสัยและถามไม่ได้
“เห็นนาสิรากับฟาร์ฮานาห์บอกว่าตอนข้าถูกขังอยู่ เจ้าไปหาลีชาที่บ้านข้าบ้างไม่ใช่หรือ แล้วทำไมหมู่นี้ถึงไม่ไปอีกล่ะ”
“หา?” รูอาร์คหันกลับมาอย่างสงสัย ก่อนจะฉีกยิ้มยียวนตามแบบฉบับทันที “ฮั่นแน่ อนุญาตให้ข้าจีบพี่สาวบุญธรรมเจ้าแล้วรึไง”
ชายหนุ่มลอบกลอกตา แม้ต้องยอมรับว่าเขาตัดสินใจปล่อยให้เรื่องของรูอาร์คกับลีชาเป็นเรื่องของพวกเขาสองคน ไม่หวงห้ามหรือสนับสนุนแต่ประการใด ส่วนหนึ่งก็เพราะเห็นว่าเจ้าตัวแสบหัวแดงมีความเป็นผู้ใหญ่ให้หญิงสาวพึ่งพาได้มากกว่าที่คิด ...แต่ส่วนที่สำคัญกว่านั้น ก็เพราะรู้ว่าการมีกระรอกแดงมาเจ้ากี้เจ้าการเรื่องของเขากับเจ้าหญิงอยู่ไม่เว้นวันน่ารำคาญอย่างไรบ้าง
“เปล่า แค่คิดว่าคนอย่างเจ้าไม่น่าจะยอมแพ้อะไรง่ายๆ”
“อือม์...คงอย่างนั้นกระมัง แต่ถ้ายายกระต่ายเกิดยอมรับกระรอกเขี้ยวหลออย่างข้าไม่ได้ ข้าก็ไม่รู้จะทำยังไง ต่อให้หลอเพราะใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อให้เจ้าหญิงเปี๊ยกกับตัวกลัวเลือดบางคนก็เถอะ”
อาเมียร์นึกอยากบีบคออีกฝ่ายขึ้นมาสักตั้ง
“หลอยังไงก็ฟันกราม ไม่ใช่เขี้ยวสักหน่อย ทำเป็นพูดเล่นไปเถอะ ดีที่ฟันหน้าเจ้าไม่หายหรือลิ้นแหว่งไปสักองคุลี ขืนเป็นแบบนั้นจริงจะยังหน้าระรื่นอยู่ได้หรือเปล่าเล่า”
“ถ้าสาวยอมรับรัก ต่อให้ข้ากลายเป็นตัวอัปลักษณ์ที่สุดในโลกก็ยอมอยู่ดี” รูอาร์คกลับตอบ “เอาเถอะ...เรื่องของข้า ข้าก็ต้องแก้เอง จะมาอ้างว่านางโกรธข้าเพราะข้าไปค้างบ้านนางโลมชั้นสูงสักคน ตอบแทนบุญคุณที่อีกฝ่ายเขาช่วยพาข้าแหกด่านไปหาตัวกลัวเลือดบางคนก็ฟังไม่ขึ้นหรอก”
“พูดเล่นน่า” เด็กหนุ่มหัวเราะน้อยๆ
“พูดจริง”
อาเมียร์พูดไม่ออกไปทันที
“โธ่ ไม่ต้องทำหน้าไว้อาลัยให้กับความไร้เดียงสาของข้าหรอก” รูอาร์คหัวเราะพลางตบบ่าเขาปั้กใหญ่ “ข้าไม่เหมือนหนุ่มใสซื่ออย่างเจ้า ย่านโคมแดงในมณฑลนี้นี่เดินมาจนปรุแล้ว ไอ้เรื่องเอาใจสาวใหญ่สักคนเชี่ยวชาญยิ่งกว่าอะไรดี...ยายกระต่ายโกรธสิแสดงว่าหึงข้า แบบนี้ข้าก็พอมีหวังอยู่บ้างแหละน่า”
“...ข้าจะไปพูดกับลีชาให้” ชายผมดำพูดจริงจังขึ้น “นางจะได้รู้ ว่าเจ้าไม่ได้คิดเที่ยวเล่นเสเพล ข้าคิดว่านางคงเข้าใจ”
“โฮ่ย ไม่ต้องเลย ถ้าจะไปบอกแม่กระต่ายน้อยของข้านะ ไปบอกเจ้าหญิงเปี๊ยกของเจ้าดีกว่า ว่าเจ้าคิดถึงนางใจจะขาด อยากแล่นไปคัดค้านพิธีอภิเษกถึงในวิหารหลวง แล้วถีบหน้าแงไอ้องครักษ์เย็นชานั่นจนฟันร่วงยกแผง ก่อนฉุดเจ้าสาวหนีกลางงาน—เฮ้ยๆ”
คนถูกหาว่าจะฉุดเจ้าสาวคนอื่นหนีกลางงานเงื้อเท้าไล่ถีบกระรอกฟันหลอ แทนที่จะได้ซ้อมดาบกันสมความตั้งใจเดิมไปโดยปริยาย
* * * * *
แอชลีนน์ไม่ค่อยคุ้นตาเท่าใดนัก กับภาพของดูลัสในชุดอื่นที่ไม่ใช่ชุดเกราะของราชองครักษ์ ตลอดไปจนถึงดอกกุหลาบสีขาวช่อโตที่เขาถือไว้ในมือ
ดูลัสกับช่อดอกไม้...ว่าไปก็ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นภาพนี้จริงๆ
“หวังว่าองค์หญิงจะโปรด”
เขาส่งช่อดอกไม้นั้นให้เธอ กุหลาบสีขาวดอกใหญ่ ลิดหนามและกิ่งก้านที่รกเกินเรียบร้อย ห่อด้วยผ้าลูกไม้ฉลุลายอย่างดี ผูกผ้าแพรสีขาวที่ปักลวดลายสีทองตรงปลาย ดูแล้วงดงามประณีตล้ำค่านัก
“ดอกไม้สวยมาก ขอบ...เอ้อ...ขอบคุณนะ” เจ้าหญิงเพิ่งนึกได้ ปรกติเธอใช้คำว่า “ขอบใจ” กับเขาจนชิน ด้วยค่าที่อีกฝ่ายอยู่ในฐานะต่ำกว่า แม้จะมีวัยมากพอกับเสด็จพี่ไอลีชก็ตาม
แต่สถานะของเขาเปลี่ยนไปแล้ว ...จากราชองครักษ์มาเป็นพระคู่หมั้น และต่อจากนั้นก็จะมีฐานะสูงกว่าเธอ เป็นราชาแห่งธีร์ดีเร และพระสวามีของเธอ
ก็ควรทำความเคยชินไว้เสียแต่เนิ่นๆ ไม่ใช่หรือ
หญิงสาววางช่อดอกกุหลาบขาวบนโต๊ะ ข้างกองหนังสือที่ตนวางไว้ก่อน พักหลังมานี้เธอพบว่าการมาอ่านหนังสือในห้องสมุดสะดวกสบายกว่านำกลับไปอ่านที่ห้องของตน จึงได้ขอให้เจ้าหน้าที่กั้นห้องเล็กๆ ห้องหนึ่งในนั้นไว้เป็นห้องทรงพระอักษรโดยเฉพาะ...เป็นห้องที่ไม่มีอะไรให้รบกวนสายตา และมีเพียงชุดโต๊ะเก้าอี้ชิดผนัง ริมหน้าต่างซึ่งเปิดออกไปเห็นผืนทะเลเท่านั้นเอง
“ไม่โปรดดอกกุหลาบขาวหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เปล่านี่” แอชลีนน์พยายามยิ้ม “ทำไมหรือ”
“ก็...ดูจะทรงไม่ดีพระทัยเท่าไร” ดูลัสยังคงขึงขังเช่นเคย “หากโปรดดอกไม้อื่นใดเป็นพิเศษ ก็ตรัสมาเถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะได้หามาถวาย”
หญิงสาวไม่รู้ว่าปรกติเวลาผู้ชายหาซื้อดอกไม้มากำนัลให้คนรักหรือคู่หมั้น จะถามไว้ล่วงหน้าหรือไม่ว่าต้องการดอกอะไร แต่ในเมื่อท่าทางเขาคาดหวังคำตอบ จึงได้นึกชื่อดอกไม้ชนิดแรกที่วาบขึ้นในใจ
“อือม์...แนร์คิแซสกระมัง”
“แนร์คิแซส...หรือพ่ะย่ะค่ะ”
แอชลีนน์พยักหน้า แม้นั่นจะไม่ใช่ดอกไม้ที่เธอชอบมาแต่เด็กเลยสักนิด
ทว่าพักหลังมานี้ เจ้าหญิงกลับคิดถึงดอกไม้ชนิดนั้นมากกว่าดอกไม้อื่นใดไปเสียแล้ว ...โดยเฉพาะช่อที่ใครบางคนเคยยื่นให้เธอ...ดอกไม้สีเหลืองทองกลิ่นหอมหวานจากหมู่บ้านดาวิมี ...ยิ่งหอมหวานขึ้นไปอีกเมื่อได้รับจากมือของเขา อย่างไร้เครื่องประดับตกแต่งอันเป็นศิลป์ หรือพิธีรีตองใดๆ
“ถ้าอย่างนั้น วันหลังกระหม่อมจะหาแนร์คิแซสมาถวาย” ชายหนุ่มตอบรับ ครั้นแล้วก็นิ่งไปอีกชั่วครู่หนึ่ง จึงได้เอ่ยปากอีกครั้ง “วันนี้อากาศดี เสด็จไปเสวยพระสุธารสชาในอุทยานชั้นในด้วยกันไหมพ่ะย่ะค่ะ”
“เหรอ...” แอชลีนน์รับอย่างไม่กระตือรือร้นนัก “เมื่อสายเราว่าจะไปซ้อมดาบ แต่แดดก็ร้อนเสียจนเหมือนเป็นฤดูร้อนแล้ว เลยไม่ค่อยอยากออกไปข้างนอกเท่าไร ดื่มชาในห้องสมุดแทนดีไหม”
“แล้วแต่จะทรงโปรดฯ พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อคู่หมั้นรับเช่นนั้น เจ้าหญิงจึงตั้งท่าจะเดินออกไปสั่งข้ารับใช้ที่เธอมักให้รออยู่นอกห้อง ...แต่เหมือนความประหม่าที่ต้องมารับรองอดีตราชองครักษ์ในฐานะพระคู่หมั้น ประกอบกับชายกระโปรงยาวและรองเท้าส้นสูงจะเป็นส่วนผสมซึ่งลงตัวเกินไป ให้ก้าวพลาดสะดุดรอยนูนบนผืนพรม จนข้อเท้าแสบแปลบไปวูบหนึ่ง
หญิงสาวเผลอร้องออกมาเบาๆ ขณะถลาไปข้างหน้า ก่อนจะรู้สึกได้ว่ามีใครบางคนรับร่างของตนไว้ทัน
“ฝ่าบาท ทรงเป็นอะไรไหมพ่ะย่ะค่ะ”
ใช้เวลาตั้งสติอีกครู่หนึ่ง แอชลีนน์จึงสั่นศีรษะ
“ไม่...ไม่เป็นไร”
...นั่นอย่างไร รองเท้าเสริมความสูงสง่าที่อยากให้เจ้าหญิงสวมกันหนักหนา เกือบทำเอาล้มหัวฟาดพื้นคอหักตายจนได้ไหมเล่า...
เจ้าหญิงนึกตำหนิอยู่ในใจ ก่อนจะเพิ่งตระหนักได้ในครู่ถัดมา...ว่าเวลานี้อ้อมแขนของชายหนุ่มโอบอยู่รอบกาย ใกล้ชิดเสียจนรู้สึกได้ถึงความอุ่นของอีกร่าง และใบหน้าที่ก้มลงมอง นัยน์ตาสีฟ้าจางฉายแววโหยหาอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
...ก่อนที่ใบหน้านั้นจะโน้มลงมา กระทั่งสัมผัสได้ถึงลมหายใจผ่าวร้อน...
“อย่านะ!”
อารามตกใจ แอชลีนน์ผลักเขาออกไป แม้ตนจะซวนเซแทบเสียหลักอีกครั้ง
เมื่อเงยมองอีกครา ก็พบดูลัสจ้องตรงมา นัยน์ตาคู่นั้นบอกทั้งความประหลาดใจ และบางสิ่งที่คล้ายกับความไม่สบอารมณ์ ...อาจถึงขั้นขุ่นเคือง
“ร...เราขอโทษ” สุดท้าย หญิงสาวก็เสหลบและกลั้นใจพูด “เราแค่ตกใจ แต่ท่านก็ไม่ควรทำ...เช่นนั้น”
“เราเป็นคู่หมั้นกัน...” ชายหนุ่มเอ่ยช้าๆ “...ไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ก็ใช่” เจ้าหญิงรับ “แต่ก็ยังเป็นแค่คู่หมั้น ยังไม่ถึงเวลา...”
“แล้วคนทรายนั่นเล่า”
ถ้อยคำของเขาหยุดวาจาของเธอทันที ขณะที่ใบหน้า ตลอดจนทั่วศีรษะของแอชลีนน์ยิ่งร้อนผ่าว
“หมายความว่าอย่างไร” กระนั้น หญิงสาวยังตั้งคำถาม
“ก็หมายความว่า...” เสียงของดูลัสยิ่งเยียบเย็น “หากไม่ใช่กระหม่อม แต่เป็นคนทรายนั่น ก็คงจะไม่ทรงทำอย่างเมื่อครู่นี้แน่”
“ดูลัส...” แอชลีนน์กำมือแน่น แม้จะรู้สึกเหมือนน้ำเสียงของตนเบาโหวง “ท่านกำลังดูถูกข้านะ”
“ใช่ กระหม่อมดูไม่เคยผิดหรอกกระมัง ต่อให้มันเป็นปีศาจ พระองค์ก็ยังกล้ากระทำสิ่งใด เราย่อมเห็นกันอยู่” เขาสืบเท้าเข้ามาใกล้หญิงสาว ซึ่งบังคับตนเองให้ยืนนิ่งอยู่ “ในฐานะคู่หมั้น กระหม่อมไม่มีสิทธิ์หึงหวงหรือ”
“มันจบไปแล้ว” เจ้าหญิงเอ่ยเสียงหนัก “ข้ากับเขาจะไม่พบกันอีก ไม่มีความเกี่ยวข้องหรือความรู้สึกใดๆ ต่อกัน เวลานี้ข้าเป็นคู่หมั้นของท่าน จะซื่อสัตย์ต่อท่านทั้งกาย วาจา ใจ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า...เวลานี้ท่านมีสิทธิ์สัมผัสข้าอย่างเมื่อครู่!”
มือของชายหนุ่มนิ่งค้างอยู่กลางอากาศ ก่อนจะทันได้สัมผัสไหล่ของเธอ
“เช่นนั้น กระหม่อมก็ขอประทานอภัย” เขาชักมือกลับ แต่ยังคงไม่ก้าวออกห่าง ทิ้งให้แอชลีนน์เบือนหน้าไปทางอื่น “แต่เมื่อใดที่เราเข้าพิธีสมรสกันแล้ว กระหม่อมย่อมมีทั้งหน้าที่และสิทธิ์ต่อพระองค์ในฐานะสามีทุกประการ ขอให้ทรงเข้าพระทัย”
หญิงสาวหลับตาลง สองมือที่ตกอยู่ข้างตัวกำแน่นขึ้นจนแข็งเกร็ง ขณะพยายามระงับความคิดต่างๆ ไว้เพียงเท่านั้น
ต้องไม่นึกถึงจุมพิตและสัมผัสจากชายอีกคน...สัมผัสที่ทำให้หวาดหวั่นในใจ แต่กระนั้นใจหนึ่งกลับนึกอยากตอบรับโดยไม่หวงห้ามใดๆ ...หากว่านั่นคือสิ่งอันเป็นธรรมชาติของความรัก
“ข้าเข้าใจดี และเมื่อนั้น...ข้าก็จะทำตามหน้าที่ของข้าเช่นกัน ทั้งต่อท่าน...และธีร์ดีเร”
ความเงียบครอบคลุมทั้งสอง...ที่แท้อาจกินเวลาเพียงครู่เดียว แม้จะเนิ่นนานเหมือนเป็นนิรันดร์ในความรู้สึก จนสุดท้าย ก็เป็นดูลัสเองที่เอ่ยขึ้น
“ขอประทานอภัย กระหม่อมเพิ่งนึกได้ว่าตนมีธุระ ดังนั้นคงอยู่ร่วมเสวยพระสุธารสชาไม่ได้ แต่จะกลับมาเข้าเฝ้าในวันหลังพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่เป็นไร” แอชลีนน์ตอบตามหน้าที่ของตน ก่อนจะทรุดร่างลงคุกเข่า ทันทีที่เสียงประตูปิดลงดังชัดเจนในห้องเล็กๆ นั้น หลังสิ้นสุดเสียงฝีเท้าหนักๆ บนผืนพรม
...ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรนะ... หญิงสาวบอกตนเอง ขณะกำสองมือแน่นบนพื้น กัดริมฝีปากที่สั่นระริก ต้านหยดน้ำตาที่พยายามจะไหลออกมา ...เพื่ออาเมียร์...และเพื่อธีร์ดีเร...ข้าต้องทำได้ จะไม่ทำให้ใครๆ ต้องลำบากเดือดร้อน หรือเป็นห่วงอีกต่อไปแล้ว...
ไม่เป็นไร... หากจะเป็นราชินี ก็ย่อมเผชิญเรื่องหนักหนากว่านี้มาก ข้าต้องสู้...สู้กับมันให้ได้ไม่ใช่หรือ...
* * * * *
ทำไมข้าถึงสู้มันไม่ได้!
ดูลัสกำหมัดฟาดผนังรถม้า ซึ่งเวลานี้มุ่งหน้าสู่วิหารหลวงแห่งเมอร์คาห์
ก็จะได้อยู่เคียงข้างและคุ้มครองพระองค์สมความตั้งใจแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดใจของเขาจึงไม่อาจสงบ เหตุใดไฟจึงไม่ยอมดับลงเสียที
หรือเพราะรู้อยู่เต็มอกว่ามันยังคงอยู่...แม้ไม่ได้อยู่ข้างพระวรกาย แต่ยังอยู่ในพระหทัย ที่ทรงผลักไสเขาก็เพราะอาลัยรักมัน ที่ยินยอมหมั้นกับเขาก็เป็นเพียง ‘หน้าที่’ ในฐานะเจ้าหญิงรัชทายาท ที่รับจะมอบพระวรกายให้ก็เพราะถูกผูกมัดด้วยหน้าที่ของภรรยา ไม่ได้มีความยินดีผูกพันใดๆ เลย
กระทั่งกับเฟลิมที่ตายไปแล้ว ยังดูจะทรงพระสรวลด้วยมากกว่านี้ โสมนัสเวลาอยู่ด้วยกันมากกว่านี้
หมายความว่าเขาเป็นตัวอะไร
ใช่ว่าดูลัสไม่อยากดีต่อพระองค์ ไม่อยากถวายความสุขให้ แต่ในสภาพเมื่อครู่ เขานึกอะไรไม่ออกอีกแล้ว นอกจากอยากให้ทรงตระหนักว่าเขาเจ็บปวด และพระองค์คือผู้สร้างรอยแผลนั้น
แต่เขารู้สึกเหมือนตนเองทำผิดไปจริงๆ ...จูบแรกของเขากับพระองค์ควรเป็นจุมพิตสาบานในพิธีอภิเษก ไม่ใช่กระทำโดยไร้พิธีรีตองอย่างคนเถื่อน แค่ตอบสนองความต้องการ โดยไร้สำนึกถึงความถูกต้องเหมาะสม
เขาจะขออภัยในครั้งหน้า จะแก้ไขสิ่งที่ตนเคยทำพลาดไป จะถวายของกำนัลที่พระองค์ทรงพอพระทัยมากกว่านี้ให้
แต่เวลานี้ ชายหนุ่มต้องการพบใครอีกคนก่อน ...คนที่เขาจะถามเกี่ยวกับมนตร์มืดและอำนาจของปีศาจร้ายได้
ด้วยหวังจะได้รู้ ว่าเขาจะช่วยให้เจ้าหญิงแอชลีนน์ทรงพ้นจากอิทธิพลของมันอย่างสมบูรณ์ยิ่งกว่านี้ได้อย่างไร
* * * * *
“มันไม่ควรจะเป็นอย่างนี้”
“ก็แล้ว ‘อะไร’ กันล่ะ ที่ไม่ควรจะเป็นอย่างนี้” มาดายกลับคลี่ยิ้ม ผิดความเคร่งเครียดของคู่สนทนา
“รูปคดี” แฟคท์นาเอ่ยเสียงหนัก “มันจะดีต่อพวกเราหรือ อย่าบอกว่าท่านไม่รู้...ลูกชายเจ้ามณฑลชอร์ซายอมรับสารภาพก็จริง แต่ไอ้คนทรายนั่นรอดไปอย่างไม่น่าเชื่อ กระทั่งคดีฆ่าราชมัล ลูเธียนยังบอกหน้าด้านๆ ว่ามันทำลงไปเพื่อป้องกันตัว และเวลานี้ขับไล่ ‘ปีศาจร้าย’ ที่สิงร่างมันออกไปได้แล้ว!”
“แต่เราก็ได้ตัวคนผิดสมใจไม่ใช่หรือ ท่านแฟคท์นา” พระเถระเอนพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายอารมณ์ “คนผิดที่มีส่วนร่วมโดยแท้จริง ไม่ได้เป็น ‘แพะ’ ใดๆ ...พิธีอภิเษกจะได้มีขึ้นตามที่ท่านและดูลัสต้องการ กระทั่งเจ้าหญิงของพวกท่านเองยังทรงเร่งให้มีการเลือกพระคู่หมั้นคนใหม่โดยเร็วด้วยซ้ำ”
“เด็กผู้หญิงนั่นว่าง่ายกว่าที่คิด” เจ้ามณฑลอุลทูร์เปรยด้วยเสียงอ่อนลง “นับว่าดี แต่ข้ายังอยากปิดปากไอ้คนทรายนั่นให้สนิทอยู่นั่นเอง มันอาจรู้อะไรมากเกินไป”
“แต่มันก็รู้ดีพอที่จะไม่ซัดทอด ว่าข้าเองที่บอกว่าท่านเป็นผู้สั่งทรมานพวกเขา เช่นเดียวกับราชมัลพวกนั้น” มาดายติง “ข้าว่าไม่ต้องห่วงอะไรหรอก อีกเดี๋ยว ทั้งมันกับครอบครัวของมันก็จะย้ายหนีไปเอง โดยที่เราไม่ต้องเปลืองแรงเลย”
“แต่ ‘คนชุดดำ’ ที่เกลี้ยกล่อมชาลัวห์ให้ไปหานางแม่มดด้วยกันเล่า” แฟคท์นาขมวดคิ้วที่หงอกหนา “ถึงพระมหาเถระลูเธียนจะให้ปิดคดีและลงโทษคนที่รับสารภาพก่อน แต่มันก็ยังอยู่หาตัวคนร้ายปริศนานั่นต่อ แล้วถ้าเกิดไอ้หน้าไหนโยงเรื่องคนชุดดำในตอนนี้ กับเหตุลอบปลงพระชนม์ครั้งนั้น”
“ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือ ท่านแฟคท์นา” พระเถระชรากลับเผยรอยยิ้มน้อยๆ
...ทั้งต่อเจ้ามณฑลผู้มักใหญ่ใฝ่สูง และ ‘ผู้ฟังอีกคนหนึ่ง’ ซึ่งซุ่มอยู่เพียงหน้าประตูนั้นเอง
“ด้วยเวทมนตร์ของข้า ข้ารับรองได้ว่าไม่มีไอ้หมาอัสลานตัวไหน ที่รอดชีวิตไปส่งเสียงเห่าหอนบอกคนภายนอกเด็ดขาด ...ว่าข้าคือชายชุดดำผู้นั้น และเราสองคนนี่เอง ที่เป็นผู้วางแผนการลอบปลงพระชนม์ และหลอกใช้พวกอัสลานทำการนั้น”
แฟคท์นาปรายมองคู่สนทนาอย่างไม่สบอารมณ์ ...ตามความคาดหมาย
“อย่าพูดจาชัดเจนอย่างนี้สิ ท่านมาดาย” เสียงของเขาแผ่วเบาเป็นกระซิบ “ที่นี่ไม่มิดชิดนัก กำแพงมีหู ประตูมีช่อง”
“ขอท่านอย่าได้กังวลเลย” นักบวชหัวเราะสั้นๆ “ข้าร่ายมนตร์ป้องกันไว้แล้ว ไม่มี ‘คนนอก’ คนใด ได้ยินสิ่งที่พวกเราพูดกันทั้งนั้น”
ใช่...ผู้ที่ได้ยินมันอีกคนหนึ่ง ไม่ใช่คนนอกเลยแม้แต่น้อย ทว่าเป็นผู้ที่ควรรู้เรื่องนี้ที่สุดต่างหาก
มาดายลอบส่งรอยยิ้มให้แก่ประตู ...ซึ่งตนใช้มนตร์เปิดให้แง้มออกเพียงเล็กน้อยโดยไร้เสียง
ดวงตาสีฟ้าจางคู่หนึ่งเบิกค้างอยู่ข้างหลังมัน
* * * * *
คนเขียนขอคุย
ตอนนี้ก็ไปกันรอบด้านเช่นเคย ตั้งแต่อาเมียร์ที่เริ่มวางแผนการกบฏ (???) กับท่านเบเรค (ซึ่งผ่านไปสักพักคงเพิ่งนึกได้...ทีแรกเสนอจะยกลูกสาวให้เขา แต่ดันโดนเขาชวนมาปฏิวัติซะเนียนๆ เลย ^^a) ก็หวังว่าเหตุที่ท่านเบเรคทำท่าจะเออออห่อหมกไปด้วยจะไม่ดูง่ายเกินไปนะครับ ผมคิดว่าท่านเบเรครู้จักอาเมียร์ดีพอจะไม่มองว่าอีกฝ่ายพูดจาไม่มีมูล และหากแฟคท์นาลอบปลงพระชนม์จริง จะให้เชิดดูลัสขึ้นเป็นราชาต่อไปก็ย่อมไม่ดีต่ออาณาจักรเด็ดขาด
ส่วนคาเฮียร์...เขาแพ้อีกแล้ว แกคงน้อยใจเหมือนกันว่าตัวเองออกมาให้ประลองครบคู่ทุกครั้งชัดๆ ...ไม่ใช่ละ ^^a
ทีแรก ผมอยากเขียนเรื่องสถานการณ์ของรูอาร์คกับลีชาในช่วงนี้เหมือนกัน แต่ยังไม่มีจังหวะเหมาะ และหากใส่เป็นฉากก็กลัวจะยืดเกินไป เลยอ้างถึงในฉากซ้อมกับอาเมียร์ไปก่อน เพื่อให้รู้ว่า ณ ตอนนี้สถานการณ์ทางกระรอกกับกระต่ายเป็นยังไงบ้างแล้ว
ด้านดูลัส...ก็คิดมาแต่ก่อนหน้านี้ว่าฉากพยายามจูบแอชนี่เป็นฉากฆ่าท่านราชองครักษ์เสียให้ตายชัดๆ แต่ก็อยากเขียนออกมาอยู่ดี (แกล้งนางเอก...แต่ในระดับนี้ก็แกล้งน้อยกว่าเรื่องอื่นๆ มากแล้วนะ ^^a) มูลเหตุค่อนข้างจะล้อฉากแนวสะดุดแล้วใกล้ชิดกันเกินควร เลยห้ามใจตัวเองไม่ได้ แต่คิดว่าถ้าไม่ใช่เพราะตรงเข้าไปประคองโดยไม่คิดอะไร ดูลัสเองก็คงไม่คิดจะแตะต้องเจ้าหญิงแต่แรกแน่ๆ ...แล้วพอเจอปฏิกิริยาตอบรับคนละแบบกับอาเมียร์ เลยลมหึงขึ้นหน้าตามระเบียบ
ส่วนแผนการของตาแก่ทั้งสอง ก็รั่วไปถึงหูที่สามที่สี่แล้ว แต่ใครกันที่แอบฟังอยู่ เชิญชมตอนต่อไปครับ (ถึงผมแน่ใจว่าหลายๆ ท่านคงจะเดาได้แล้วก็เถอะ...)
จากคุณ |
:
Anithin
|
เขียนเมื่อ |
:
11 ม.ค. 54 22:20:08
|
|
|
|