การ ‘เข้าไปภายในใจของตน’ ตามที่แม่มดดำบอก มีวิธีไม่ต่างจากการทำสมาธิเพื่อเตรียมใจให้สงบสำหรับนักรบเท่าใดนัก
กระนั้น อาเมียร์ก็รู้สึกได้ว่านี่ไม่เหมือนการทำสมาธิก่อนฝึกซ้อม จิตของเขาดิ่งลึกลงไปกว่าครั้งเหล่านั้นมาก ที่เคยรับรู้สภาพรอบกายเฉียบคมขึ้น พวกมันกลับเลือนหายไป ราวกับกลายเป็นอีกโลกหนึ่ง ไม่ช้า ชายหนุ่มก็ไม่รู้สึกถึงมือของมาลิอาที่แตะไหล่ทั้งสองของเขา หรือแสงสว่างจากข่ายเวทมนตร์แสงที่ลูเธียนกางกั้นไว้รอบทั้งสาม จิตของเขาจดจ่ออยู่เพียงลมหายใจ รับรู้เส้นทางผ่านของมัน ตั้งแต่ปลายจมูก ลำคอ ต่อเนื่องลงไปถึงอก และหน้าท้อง
จนกระทั่งเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น มิใช่ด้วยประสาทหู แต่เป็นจิตใจ
“มองไปรอบๆ สิ”
เสียงนั้นไม่คุ้นเคย แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนเป็นของคนรู้จัก
ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนตนลืมตาขึ้น แต่ก็ไม่ได้รับรู้เลยว่าเปลือกตามีการขยับเขยื้อน ตนเองนั้นเล่าก็เบาเหมือนไร้น้ำหนัก ต่างจากความรู้สึกหน่วงของปลอกข้อมือข้อเท้าเหล็ก ซึ่งเขายังคงหามาใส่ไว้ตลอดเวลาหลังพ้นจากการจำตรวนในคุก เพื่อฝึกเพิ่มกำลังร่างกาย
รอบด้านไม่ใช่ความมืด แต่เป็น...สถานที่ที่อาเมียร์จำกัดความไม่ถูก แวบหนึ่งดูเหมือนเนินสูงต่ำของทะเลทราย และกำแพงแตกกร่อนของป้อมปราการ แต่อีกแวบก็ดูเหมือนซากปรักหักพังของอาณาจักรของเสด็จพ่อ ใต้ท้องฟ้าอาบทอสีแดงฉาน ทอดยาวไปจนสุดลูกหูลูกตา
ที่บนพื้นมีเงาคน...สีดำ ไม่ใช่ศพ แต่เป็นเงาสีดำราวกับตีตราลงไป หรือราวกับรอยเลือดที่แห้งกรังแปรสภาพ
“นี่คือ...”
“‘ฐาน’ ในใจของท่าน” เป็นคำตอบของหญิงสาวคนหนึ่ง...ซึ่งจู่ๆ ปรากฏขึ้นข้างกาย
ชายหนุ่มมองเธออย่างประหลาดใจ และสงสัย หญิงคนนั้นน่าจะอายุไล่เลี่ยกับเขา เธอมีผมสีดำยาวตรงปล่อยสยาย รับกับนัยน์ตาดำขลับเป็นประกาย ผิวขาวกระจ่างจนเหมือนจะเรืองแสงน้อยๆ ท่ามกลางบรรยากาศสีแดงแสนประหลาด
อาเมียร์รู้สึกคุ้นหน้า แต่ก็แน่ใจว่าไม่เคยพบเธอเมื่อเร็วๆ นี้ ...อย่างน้อยก็หลังจากอพยพเข้าธีร์ดีเร ทว่าเครื่องแต่งกายอย่างนางรำซึ่งรัดกระชับกับทรวดทรงกลมกลึงก็ยังชวนให้นึกไปถึงใครอีกคน
“มาลิอา?”
“จะใครเสียอีกล่ะ” ท่วงท่าการค้อนยังคงเดิมเหมือนร่างเนื้อที่ดูเด็กกว่าและมีผิวสีน้ำผึ้ง “ลืมโฉมงามอย่างข้าไปได้อย่างไรกัน ท่านนี่”
“ก็...ข้าจำไม่ได้ว่าเคยเห็นท่านในร่างนี้มาก่อน” เขาตอบเจื่อนๆ
“ท่านเคยเห็นแล้ว แต่ตอนที่ร่างนี้เป็นของมิเรียม” หญิงสาวบอก โดยไม่วายชายตามองอย่างหยอกเย้า “แต่เอาเถอะ ถ้าอยากดูให้นานๆ ก็มา ‘ร่วมใจ’ กันบ่อยๆ แล้วกัน อยู่ในนี้ก็สบายดี เพราะข้ามองเห็นท่านชัดแจ๋วแหววเลย ว่าหล่อกว่าที่คิดไว้เป็นกอง”
อาเมียร์เสไปเกาศีรษะ รีบถามเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายชักชวนเขาไปทำอะไรนอกลู่นอกทางอีก
“ว่าแต่ ‘ฐานในใจ’ นั่นคืออะไรหรือ”
“จุดเริ่มต้นของ ‘ความฝัน’ ซึ่งจิตมนุษย์ส่งให้ร่างกายเห็น” มาลิอาตอบแต่โดยดี
“แต่จิตมนุษย์ของข้า...” อาเมียร์ตั้งคำถาม
“ไม่ใช่จิตที่มีสำนึกรู้ตัวในตอนนี้ ...จะว่าอย่างไรดี กระทั่งจิตใจของมนุษย์เพียงอย่างเดียวก็ยังแบ่งเป็นส่วนย่อยๆ มากกว่าหนึ่ง ทั้งความปรารถนาที่ไร้ขีดจำกัด และจิตที่ควบคุมด้วยกฎเกณฑ์ศีลธรรม ตลอดจนจิตที่มีสำนึกรู้ตัว ซึ่งตั้งอยู่ตรงกลาง พยายามถ่วงดุลทั้งสองด้านเอาไว้” หญิงสาวในเครื่องนางรำอธิบายต่อไป “ ‘ความฝัน’ เป็นเครื่องมือในการถ่วงดุลอย่างหนึ่ง ปรารถนาใดที่ไม่อาจสนองได้ในความเป็นจริง ก็อาจจะได้รับการสนองในความฝัน และเช่นเดียวกัน...ความหวาดกลัวกดดันใดๆ ที่ไม่อาจระบายได้ในความเป็นจริง ก็จะปรากฏในความฝันเช่นกัน ...แต่เท่าที่ดู ฐานในใจของท่านไม่อยู่ในสภาพดีเท่าไรเลย”
ชายหนุ่มเองยังคิดเช่นนั้น ขณะมองดูพื้นที่รกร้าง เหลือเพียงซากของทั้งสิ่งไร้ชีวิต และสิ่งที่เคยมีชีวิตรอบอาณาบริเวณ เริ่มรู้สึกคลับคล้าย...เหมือนที่นี่คือที่ที่ฝันสีแดงของเขาเคยดำเนินอยู่ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในหลากรูปแบบ
“แล้วข้าจะแก้มันได้อย่างไร”
“แทนที่มัน”
“แทนที่?”
“นึกภาพสิ่งที่ดี สิ่งที่ท่านอยากเห็น แทนที่สถานที่แห่งนี้ ฟังดูเหมือนง่าย...แต่ที่ยากก็คือ ท่านต้องมีสติรู้ตัวว่า ‘นี่คือความฝัน’ มองทุกสิ่งเหล่านั้นให้ชัดเจน รับรู้สภาพของมันให้ถ่องแท้ จึงจะเปลี่ยนแปลงมันได้”
ครั้นอาเมียร์ยังทำหน้างุนงงอยู่ มาลิอาผู้มีใบหน้าไม่คุ้นตาก็โคลงศีรษะ ก่อนจะเท้าสะเอวอย่างไม่สบอารมณ์
“แหม...ท่านนี่ช่างไร้จินตนาการจริงๆ เดี๋ยวข้าทำให้ดูเป็นตัวอย่างก็ได้”
เสื้อผ้าของหญิงสาวเริ่มพลิ้วไหว ครั้นแล้วก็...เลือนรางลงกลายเป็นเส้นแสงสีขาว อาเมียร์หน้าร้อนผ่าว และเบือนหน้าไปเกือบไม่ทัน
“อะไรกัน จะเก็บสายตาของท่านไว้ดูเจ้าหญิงสุดที่รักคนเดียวเลยหรือ” เจ้าหล่อนพูดเสียงแข็งขึ้น แต่ยังไม่อาจกลบความขบขันในนั้นได้หมด
“ก...ก็มันไม่เหมาะสมนี่” ชายหนุ่มพูดตะกุกตะกักได้เท่านั้น
“เป็นเด็กดีจริงน้า...ถ้าเป็นพระเถระหน้าตายนั่นคงมองข้าหน้าตายตลอดเวลา แถมพูดแค่ว่า ‘แค่นี้เองเหรอ’ เท่านั้นเอง” มาลิอาเลียนเสียงเรียบเฉยของอีกฝ่ายได้ไม่ผิดเพี้ยน ก่อนจะหัวเราะน้อยๆ “ข้าแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ท่านหันมาเถอะน่า”
อาเมียร์จำใจทำตามอย่างกล้าๆ กลัวๆ ก่อนจะพบว่าเวลานี้หญิงผมดำตรงหน้าสวมชุดกระโปรงยาวสีขาว แขนยาวและคอตั้ง ทอลวดลายด้วยด้ายสีอ่อน เป็นสัญลักษณ์อันซับซ้อนตามแบบชุดนักบวชสตรีของซาเกรดา โซล
“ข้าเปลี่ยนรายละเอียดของเครื่องแต่งกายของตัวเองได้ และก็เสกสิ่งที่ต้องการขึ้นมาในนี้ได้ ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม” มาลิอาบอกอย่างจริงจังตามเดิม “ท่านก็เหมือนกัน ท่านจะเปลี่ยนชุด เปลี่ยนรูปร่างหน้าตาของตัวเองเป็นคนอื่น หรือกระทั่งเปลี่ยนร่างเป็นสัตว์ก็ยังได้ ภายในโลกจิตใจของท่านนี่ ที่จริง การนึกภาพสิ่งต่างๆ ให้ชัดเจน ก็เป็นหลักของเวทมนตร์สร้าง ‘ภาพมายา’ ด้วย”
หญิงสาวสะบัดมือ สร้างเป็นภาพตนเองซึ่งยืนยิ้มอ่อนหวานอยู่ข้างๆ
“ท่านทำอย่างนี้ได้”
ครั้นแล้ว เธอก็ประคองสองมือเข้าด้วยกัน ปรากฏหัวพืชสีน้ำตาลคล้ายหัวหอมอย่างหนึ่งงอกขึ้นมา ตามด้วยก้านสีเขียว ใบเรียวยาว และช่อดอกสีขาวอมม่วงน้ำเงิน ซึ่งส่งกลิ่นหอมเย็น และดูประหนึ่งจะเรืองแสงเองอย่างประหลาด
“จับดูสิ” มาลิอาพยักพเยิด
อาเมียร์ทำตามอย่างไม่ใคร่แน่ใจนัก ก่อนจะเบิกตาขึ้น เมื่อปลายนิ้วของเขาสัมผัสความเรียบลื่นของใบไม้ได้ชัดเจน
“จับดอกมันก็ได้นะ” หญิงสาวเสนอ “ขยี้ให้แหลกคามือเลยยังได้”
ชายหนุ่มต้องประหลาดใจอีกครั้ง เมื่อดอกไม้แตกช้ำตามรอยบีบของตน กระทั่งรู้สึกชื้นที่ปลายนิ้วจากน้ำหล่อเลี้ยงภายในกลีบของมัน
แต่ครั้นชักมือกลับ ก็รู้สึกได้ว่าความชื้นนั้นหายไปโดยเร็วเหมือนไม่เคยมีมาก่อน มิหนำซ้ำยังไม่มีกลิ่นดอกไม้ติดมือมาเลยด้วย
“ให้มีถึงขั้นนั้นน่ะได้ แต่หลอกสัมผัสของคนอื่นให้มากด้านเท่าไร ก็ใช้พลังเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัวอยู่ ข้าเลยพอแค่นี้ก่อน” มาลิอาให้เหตุผลที่เขาสงสัย “อย่าว่าเลย ถ้าใช้มนตร์มายาเก่งมากๆ ก็หลอกคนอื่นให้กอดอากาศอยู่ได้เป็นชั่วโมงเชียวล่ะ ...มีคนทำได้ถึงระดับนั้นมาแล้ว แต่เป็นใครท่านไม่ต้องรู้หรอก”
“อา...” อาเมียร์รับได้เท่านั้นก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีก
“เพราะฉะนั้น จะลองจับภาพมายาของข้าดูก็ได้นะ” หญิงสาวคลี่ยิ้มหยาดเยิ้ม พลางผายมือมาทางหญิงที่ดูเหมือนตนไม่ผิดเพี้ยน ซึ่งทำเพียงยืนนิ่ง กะพริบตาเป็นระยะๆ ขณะยังแย้มยิ้มตามเดิม “ตามสบาย ข้าไม่หวงห้ามอะไร ฝึกไว้ จะได้รู้ว่าสัมผัสเนื้อของผู้หญิงอ่อนนุ่มน่าจับยังไง เวลาไปสร้างเอง”
“เอ่อ...เวลานี้เราควรจะแก้ปัญหาในใจข้าก่อนไม่ใช่หรือ” ชายหนุ่มทำสีหน้าไม่ถูก เรียกให้แม่มดดำหัวเราะเสียยกใหญ่
“จริงของท่าน เจ้าชาย ...ท่านต้องเปลี่ยนสิ่งเลวร้ายในใจตัวเองเป็นสิ่งที่ท่านต้องการ แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ ท่านต้องเพ่งมองรายละเอียดที่ไม่ชวนมองพวกนั้นให้หมด” มาลิอากลับเคร่งขรึมอีกครั้ง “นอกจากจะใช้จินตนาการสร้างสิ่งใหม่ขึ้น...ท่านสามารถเผชิญหน้ากับความกลัวของตนเองได้ไหมล่ะ”
คำตอบของอาเมียร์คือการผงกศีรษะ...แม้ตัวเขาเองจะยังกังขาในใจ
ก็ข้าตั้งใจไว้แล้วไม่ใช่หรือ ว่าจะทำทุกสิ่งเพื่อช่วยแอชให้ได้
...แล้วจะมายอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มได้อย่างไร
* * * * *
ในห้วงความฝัน เวลาดูราวกับยาวนานเป็นชั่วนิรันดร์ หรือมิเช่นนั้นก็ไม่มีความหมายใดๆ เลย
อาเมียร์ยังคงอยู่ในโลกสีแดงแสนประหลาดนั้น พยายามสร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นมาจากความว่างเปล่า เริ่มจากสิ่งเล็กๆ เช่นเมล็ดพืช ดอกไม้ ปากกาขนนก หนังสือ (ซึ่งหากไม่ได้ตั้งใจนึกชื่อเล่มตลอดจนเนื้อในให้ถี่ถ้วน ก็จะได้เป็นหนังสือที่มีแต่หน้ากระดาษเปล่าๆ หรือข้อความจากอีกหลายเล่มผสมปนเปกันหมด) ไปจนกระทั่งถึงมีดสั้นและดาบ
หากเขาตั้งใจ ก็ใช้ดาบตัดฟันสิ่งของต่างๆ ได้ แต่หากไม่ได้เพ่งจิตว่านี่คือดาบมีคม นั่นคือวัตถุที่จับต้องได้ สิ่งสมมติทั้งสองก็จะซ้อนทับกัน ประหนึ่งต่างฝ่ายไม่มีตัวตนอยู่เลย
ทั้งง่าย...และยาก สิ่งที่เขาสร้างขึ้นมา บางครั้งก็ไม่ได้ดูเสมือนจริง ไร้รายละเอียด พร่าเลือน หรือชัดเจนแจ่มแจ้งอยู่เพียงบางส่วน กระนั้นมาลิอาก็เตือนว่านี่แค่เพียงเริ่มต้น
“ไม่จำเป็นต้องทำให้สมบูรณ์แบบในตอนนี้หรอก ขอเพียงท่านนึกภาพอะไรก็ตาม แทนที่ของที่มีอยู่เดิมได้ก็พอแล้ว” แม่มดดำชี้นิ้วขึ้นสู่ฟ้าสีแดง “แรกสุด เริ่มจากสิ่งที่มีรายละเอียดน้อยๆ ก่อน ถึงจะกินบริเวณกว้าง มันมักเป็นสิ่งที่ต่อให้เราไม่ใส่ใจจะจดจำในความเป็นจริง ก็ยังนึกออกได้ง่ายๆ”
อาเมียร์แหงนมองตามสายตาของเธอ ยังห้วงเวิ้งว้างสีเลือดในที่ที่ควรเป็นท้องฟ้า แดงยิ่งกว่าแดดยามโพล้เพล้ ไร้เมฆหมอก ไร้ดวงอาทิตย์...ราวกับใครนำผืนผ้าย้อมเลือดสดๆ มาขึงกั้นไว้
เขายังรู้สึกหวั่นใจอยู่บ้าง แต่ก็น้อยลงมากเมื่อเทียบกับครั้งดิ้นรนอยู่ในความฝัน ทั้งเพราะปราศจากกลิ่นคลื่นเหียนและเสียงกรีดร้อง เวลานี้อาเมียร์บอกได้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ของจริง แต่เป็นเพียงสิ่งที่ใจของเขาสร้างขึ้นมาเอง อาจเพื่อบรรเทา...เพื่อป้องกันตน ทว่าเวลานี้กลับกลายเป็นอุปสรรค เป็นโซ่ที่รัดพันเขา
ด้วยเหตุนี้เอง จึงต้องปลดพันธนาการ
ชายหนุ่มนึกอีกภาพหนึ่ง...ภาพของฟ้าสีคราม ครามเจิดจ้ายิ่งกว่าครามใดๆ ฟ้าที่เคยเห็นในวันเที่ยวชมอุทยานกับเสด็จแม่...ฟ้าที่เคยเห็นเหนือหมู่บ้านอาแดร์ในวันลูคนาซัธ...ฟ้าที่เคยชมกับแอชในหมู่บ้านดาวิมี ระบายปุยเมฆขาวหลากรูปร่าง
สีฟ้าค่อยๆ แผ่ขยาย แทนที่สีแดง เชื่องช้า...แต่ก็กระจายกว้างออกไปอย่างมั่นคง จนสุดท้ายก็กลืนกินพวกมันหมดสิ้น ราวกับป้ายแปรงทับบนผืนผ้าใบ
“ต่อไปก็พื้น” หญิงสาวแนะนำต่อ “เริ่มจากที่ใต้เท้าของท่าน แล้วก็ค่อยๆ ขยายออกไป”
อาเมียร์ก้มลงมองพื้นบ้าง ผืนดินปนทรายแตกระแหงยังดูเจือสีแดงอย่างประหลาด แม้ปราศจากแสงตกกระทบจากท้องฟ้า เขานึกถึงผืนดินสีดำ และหญ้าที่ปกคลุมมัน ...หญ้าในอุทยานของเสด็จแม่ หญ้าซึ่งเด็กชายที่เขาเคยเป็นรักที่จะกลิ้งเกลือก สูดกลิ่นชื้นเขียวของพวกมัน ...หญ้าที่เคยรองรับร่างเวลาฝึกซ้อม
ผืนพรมสีเขียวแผ่กระจายออกไป แต่ยังไม่อาจลบเลือนรอยเงาสีดำทั้งหลาย
“ซากตะกอนของคน...นั่นยากอยู่” มาลิอาเปรยขึ้น “ท่านแบกคนตายไว้ในใจตัวเองตั้งมากมายทีเดียวนะ”
“แบกไม่ได้ก็ต้องวางลง” อาเมียร์บอกทั้งคู่สนทนา และตนเองไปพร้อมกัน “ข้ารู้...ว่าคงยาก แต่ถึงอย่างไร แบกไว้ก็ไม่มีประโยชน์ไม่ใช่หรือ”
เขารวบรวมความกล้า ก้าวไปยังเงาบนพื้นแรกสุดที่ตนเห็น
เมื่อเข้าไปใกล้ มันก็ค่อยๆ กลับกลาย ที่เห็นเป็นเพียงเงาบนพื้นเริ่มมีรูปร่างรายละเอียดชัดเจนขึ้น ...ร่างของชายฉกรรจ์ที่นอนหงาย มีลูกดอกปักคาอก ...ศพของโจรที่ตายเพราะคิดจะทำร้ายเขา
ใจของคนคนนี้ยังไม่อาจพ้นจากความชั่วร้ายที่เคยกระทำมาจนชินเป็นวิสัย ...แต่นั่นเป็นเรื่องของวิญญาณของเขา อาเมียร์รับรู้ถึงน้ำหนักของการคร่าชีวิต แต่ก็บอกตนเองได้ ว่านี่คือสิ่งที่จบสิ้นไปแล้ว คัมภีร์อนธการสังหารโจรนี้เพื่อป้องกันตัวเขาเอง วิญญาณไปตามหนทาง ส่วนร่างกายย่อยสลาย เป็นอาหารให้แก่หนอนแมลงและพืชพรรณ
ดอกไม้... เขาเปลี่ยนร่างของโจรเป็นสิ่งนั้น ดอกแนร์คิแซสสีเหลืองทองที่ผลิบานเป็นกอใหญ่ เช่นที่เคยสร้างความงามรื่นรมย์ที่ดาวิมี จากนั้นจึงมุ่งหน้าไปยังเงาร่างต่อไป...และต่อไป
โจรอื่นๆ ที่เขาเคยฆ่า...ราชมัลเฒ่า...เฟลิม...เกล็น ...ทั้งคนที่เขาฆ่า คนที่ตายเพราะเขา และคนที่ตายไปโดยที่เขาไม่อาจช่วย อาเมียร์แปรภาพของคนเหล่านั้นเป็นต้นไม้และดอกไม้ เฉกเช่นที่เคยฟังเคยรู้ ร่างกายของมนุษย์เมื่อสิ้นชีพแล้วย่อมเสื่อมสลาย กลับคืนสู่ผืนดินที่หล่อเลี้ยงพืชพรรณให้เติบใหญ่หรือมิใช่
เจ้าชายแห่งความมืดมุ่งหน้าต่อไป เปลี่ยนฝันสีแดงของตนให้กลายเป็นสีฟ้าเย็นตา และสีเขียวขจี ดังเช่นสวนของเสด็จแม่ สวนที่มีต้นฮอว์ธอร์นและไลแลคให้ร่มเงา สวนสวรรค์ซึ่งเขาหวังว่าเสด็จพ่อ เกล็น เฟลิม และทุกๆ คนที่ตนรักใคร่ซึ่งได้สิ้นชีวิตไป จะได้ไปถึงที่แห่งนั้น
สุดท้าย อาเมียร์ก็กวาดมองโดยรอบ ยังทุ่งสีเขียวสุดลูกหูลูกตา ...ทว่ามิใช่ทุกทิศทาง
ที่ริมด้านหนึ่งของทุ่งปรากฏเป็นสีดำ ...หลุมกว้างสีดำ ส่งไอควันสีเดียวกัน พร่ามัวราวกับไอร้อนที่ก่อภาพลวงตาในทะเลทราย
“ที่ตรงนั้น...” ชายหนุ่มทัก
“ปัญหา” มาลิอาตอบสั้นๆ ด้วยความรู้สึกที่เคร่งเครียดขึ้น “จิตอีกด้านหนึ่งของท่านยังฝังตัวเองอยู่ที่นั่น”
“งั้นข้าก็ต้องสู้กับมัน...ใช่ไหม” เขาตั้งคำถาม
“ใช่” แม่มดดำรับ “แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นเวลานี้หรอก คืนนี้พอก่อนเถอะ”
“ทำไมล่ะ” อาเมียร์ออกจะตกใจ
“ตอนนี้ เราชิงพื้นที่คืนมาได้มากแล้ว ท่านเองเพิ่งใช้พลังขนาดนี้ ถึงอย่างไรก็ย่อมเหนื่อยอ่อนมากแล้วอยู่ดี” หญิงสาวให้เหตุผล “กลับไปพักผ่อนให้เต็มที่เสียก่อน ทิ้งไว้คืนเดียว มันคงจะยังไม่ยึดพื้นที่ในใจท่านเพิ่มขึ้นได้อีกกี่มากน้อย...นอกเสียจากจู่ๆ ท่านจะจิตตกกะทันหันขึ้นมา”
“หมายความว่าอย่างไร” อาเมียร์ไม่ใคร่เข้าใจ
“สภาพจิตน่ะ เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับอะไรหลายๆ อย่าง เช่นในเวลานี้ท่านสามารถเปลี่ยนฐานในใจของตัวเองได้ค่อนข้างง่าย เพราะสภาพจิตของท่านสงบแน่วแน่ มีเป้าหมายให้พยายามทำเช่นนั้น แต่หากเป็นในฝันร้ายจริงๆ หรือในสภาวะจิตใจที่กำลังหดหู่ถดถอย มันก็อาจจะเปลี่ยนที่นี่ให้กลับเป็นเหมือนเดิม หรือเลวร้ายกว่าเดิมได้เช่นกัน ...เรียกได้ว่าไม่ใช่การต่อสู้ที่มีวันจบสิ้น จนกว่าจะถึงวันตายนั่นล่ะ” มาลิอาอธิบายอย่างละเอียด “ดังนั้นอย่าห่วงเลย เรายังมีเวลาอีกมาก”
“ถึงอย่างนั้น ข้าก็อยากรีบทำเวลาสักหน่อย” อาเมียร์ค้าน
ยังเหลืออีกแค่สองคืน ซึ่งเขาอยากเก็บไว้พักผ่อนให้เต็มที่ ก่อนการประลองที่ตนไม่อาจพ่ายแพ้ ...หากเวลานั้นยังคงกลัวเลือดอยู่ จะเอาชนะได้อย่างไร
“มาถึงนี่แล้ว ข้าต้องทำได้สิ” เขาบอกตนเองเช่นนั้น ก่อนจะก้าวเดินต่อไปโดยไม่รอคำค้านของเพื่อนร่วมทาง สู่หลุมสีดำซึ่งเห็นชัดเจนเบื้องหน้า ราวกับหุบเหวหรือบ่อของเหลวร้อนเดือดสีดำ
ยิ่งใกล้เข้าไป บรรยากาศก็ยิ่งหนาหนักกดดัน ราวกับเบื้องหน้าคือปากปล่องภูเขาไฟ ซึ่งจะปะทุขึ้นมาเมื่อใดก็ได้...
พื้นเบื้องล่างพลันอันตรธาน
อาเมียร์ก้าวลงไปสู่ความว่างเปล่าสีดำ ดิ่งละลิ่วลงพร้อมกับใจที่ร่วงวูบ...ก่อนรู้สึกได้ว่ามีมือหนึ่งฉุดแขนของตนไว้
เป็นมาลิอานั่นเอง เธอดึงเขาขึ้นมาได้ง่ายๆ ราวกับทรงพลังเกินร่างเล็กบอบบางนัก ...แต่ที่จริง คงเพราะเวลานี้ทั้งสองอยู่ในโลกของจิตใจมากกว่า
“ระวังหน่อย” หญิงสาวบอก “ข้าว่ามันคงจะวางหลุมพรางไว้ทั่วแน่ๆ ”
“ข...ขอบคุณ” ชายหนุ่มบอก
“เรื่องนั้นน่ะไม่ต้องหรอก แต่เพราะอย่างนี้ ข้ายิ่งอยากยืนยันความคิดเดิม” เธอเอ่ย “พักเสียก่อน นักรบที่เหนื่อยล้า ความระวังตัวย่อมลดลงเป็นธรรมดาไม่ใช่หรือ”
“ข้ายังไม่เหนื่อย” อาเมียร์ยังคงสั่นศีรษะ และมุ่งหน้าต่อไปอย่างระแวดระวังขึ้น
แม้จะได้ยินเสียงถอนใจน้อยๆ จากคู่สนทนา
* * * * *
มีหลุมพรางอย่างที่ว่าไว้มากมายจริงๆ ...พื้นดินซึ่งเป็นเพียงภาพลวงตา แต่ที่แท้คือปากหลุมมืด พบเจอหลายครั้งเข้า อาเมียร์ก็อดถามเพื่อนร่วมทางไม่ได้ว่าหากตกลงไปจะเป็นอย่างไร แล้วก็ได้รับคำตอบว่าดิ่งลงสู่ภาพที่จิตอีกด้านของเขาต้องการให้เห็นโดยไม่ทันตั้งตัว ทำลายจิตมนุษย์ของเขา เพื่อที่มันจะได้ครอบงำร่างกายแทนอย่างสมบูรณ์
“ทำอย่างนั้นได้ด้วยหรือ” อาเมียร์อดถามไม่ได้
“ได้สิ แต่ข้าไม่เคยทำหรอก” มาลิอาตอบ “ที่จริง แม่ของท่านก็เกือบถูกจิตอีกด้านของตนเองกลืนกินไปครั้งหนึ่งก่อนท่านเกิด แต่นางก็สู้จนรอดมาได้ มิหนำซ้ำนิสัยเสียของพวกเราจิตอีกด้านก็คือ ‘ชอบการท้าทาย’ และ ‘เห็นทุกสิ่งเป็นการละเล่น’ จนเกินไป เลยมักจะปล่อยสิ่งที่มองว่าเป็นเสี้ยนหนามเล็กๆ น้อยๆ เอาไว้ให้แผนการไม่จืดชืดจนเกินไปด้วย ...ถึงอย่างนั้น ลองสร้างหลุมพรางพวกนี้ไว้ทั่ว ก็แสดงว่าจิตอีกด้านที่อยู่ในตัวท่านหวาดกลัวมากแล้ว ถึงได้พยายามที่จะกลืนกินท่านให้ได้อย่างจนตรอกเช่นนี้”
ชายหนุ่มบอกตนเองทันที ว่าจะปล่อยให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้ จนค่อยๆ เข้าไปใกล้หลุมนั้นเอง จึงค่อยๆ เห็นรายละเอียดที่แท้จริงของมันชัดเจนขึ้น
อาคารหลังหนึ่ง
อาคารซึ่งเขาเคยเข้าไปเพียงครั้งเดียวในชีวิต ทว่ากลับจดจำได้ดีเกินพอ ตรึงติดฝังแน่นในความทรงจำ
...เพราะที่นี่เอง คือจุดกำเนิดของฝันสีแดง
เหมือนจะได้กลิ่นคาวเลือดโชยมา...เช่นเดียวกับแว่วเสียงร้องโหยหวนแผ่วเบา
“มันเริ่มแล้ว” แม่มดดำยิ่งเคร่งขรึม “ท่านไหวแน่หรือ”
อาเมียร์บอกตนเอง ย้ำซ้ำไปมาว่านี่เป็นเพียงความทรงจำ...เพียงสิ่งที่เกิดขึ้นและจบลงไปแล้ว ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างตึงเครียด
มาลิอาก้าวนำออกไปข้างหน้า ยังประตูของอาคารที่เห็นนั้น มือเล็กๆ ของเธอเอื้อมออกไป แต่ชายหนุ่มขัดขึ้นเสียก่อน
“ให้ข้าเปิดเองเถอะ”
เด็กสาวจึงก้าวเลี่ยงไปด้านข้าง ขณะที่เขาก้าวขึ้นไปยืนคู่กับเธอ มือยกขึ้นสัมผัสมือจับของประตูไม้...ซึ่งแทบจะจินตนาการได้ว่ามีรอยมือสีแดงมากมายประทับอยู่บนพื้นผิวอีกฟากหนึ่งของมัน
อาเมียร์ตั้งสมาธิ พยายามนึกว่าที่อยู่เบื้องหลังมันและภายในอาคารหลังนี้ไม่ใช่สถานที่สังหารโหดแห่งนั้น ทว่าเป็นบ้านของเขา...บ้านที่อาแดร์ซึ่งแม้จะได้กลับไปเพียงนานๆ ครั้ง และเพิ่งอาศัยอยู่ต่อเนื่องกันหลังจากได้รับการปล่อยตัวไม่นาน ก็ยังเป็นสถานที่ที่อบอุ่นและปลอดภัย
ที่ที่มีร่างสูงใหญ่ของท่านอา...รอยยิ้มของแม่...เสียงหัวเราะวิ่งเล่นของนาสิรากับฟาร์ฮานาห์...และเสียงอ้อแอ้ของอาซิซ
เขานึกให้ถ้วนถี่ แล้วจึงผลักประตูเข้าไป
...ไม่เป็นผล...
กลิ่นคาวยิ่งโชยแรงขึ้น จากกองร่างทับซ้อนมากมายที่ในห้องสลัวนั้น เลือดที่เจิ่งพื้นจนเฉอะแฉะค่อยๆ ไหลนองออกมาสู่พื้นภายนอก สัมผัสปลายเท้าซึ่งทีแรกชักถอยออกด้วยความหวาดหวั่น
กระนั้น เมื่อตั้งสติได้ อาเมียร์ก็ก้าวลุยพวกมันเข้าไปอีกเล็กน้อย...โดยไม่สนเสียงและความลื่นเหนอะหนะที่ใต้เท้า ชายหนุ่มตั้งสติมองหมู่ร่างระเกะระกะซึ่งผสมปนเปจนไม่อาจรู้ได้ว่าใครเป็นใคร เพ่งมองและใช้ความคิดต้านผัสสะที่อีกฝ่ายต้องการให้เขารับรู้
แม่เล็กวาร์ดาห์... ฟารา นางกำนัลคนสนิทของเสด็จแม่... ท่านธาอิส หัวหน้าภิกษุณีของอารามฮอว์ธอร์น...
ชายหนุ่มไม่คิดว่าเขาเคยเห็นสภาพศพของทั้งสามเต็มตาจริงๆ ...เช่นเดียวกับเด็กและผู้หญิงอีกมากมายที่ซ่อนตัวอยู่ที่นั่น กับเขาในตอนนั้น ทว่าเป็นจิตใจต่างหากที่เติมเต็มภาพกองศพนั้นให้ด้วยจินตนาการอันบิดเบี้ยว
มันคือสิ่งที่ผ่านไปแล้ว สิ่งที่เขาสร้างขึ้นเอง และเปลี่ยนแปลงได้...
อย่างน้อย อาเมียร์ก็เชื่อเช่นนั้น...จนกระทั่งแขนซีดขาวตัดกับคราบเลือดท่อนหนึ่งคว้าหมับเข้าที่ข้อเท้าของตน
เขาก้มลง เห็นใบหน้าของหญิงคนหนึ่ง เหมือนจะจำได้...แต่ก็จำไม่ได้ ใบหน้านั้นชุ่มเลือด นัยน์ตาถลน ปากอ้ากว้าง...ถูกฟันด้วยคมดาบจนฉีกถึงใบหู
และไม่ทันตั้งตัว เหล่าร่างที่มีรอยฟันแทงมากมาย ตลอดจนแขนขาด หัวขาด หรือไม่สมประกอบอีกมากมาย ก็ค่อยๆ ลุกขึ้นกรูเข้ามาหาเขา ดุจซากศพที่ถูกสิงสู่ด้วยมารร้าย
...แม้จะมีอยู่เพียงในจิตใจ
* * * * *
คนเขียนขอคุย
ตอนนี้ช่วงหลังๆ มีการแก้ไขเร่งด่วนพอสมควรก่อนลง เลยยาวกว่าที่เคยคิดไว้อีกสองหน้าครับ มูลเหตุที่แก้คือ ช่วงแรกที่อาเมียร์เข้าไปในโลกในใจของตัวเอง ดูพี่แกสร้างของในใจได้เก่งเกินจะเป็นครั้งแรกไปหน่อย เลยต้องให้มาลิอาสอนมากขึ้น ^^a
ตอนแรกก็ไม่คิดเหมือนกัน ว่าดูลัสจะมารู้ความจริงเร็วขนาดนี้ แต่ก็คิดว่าเป็นอย่างที่เขียนออกมาน่าจะลงตัวดี เพราะเรื่องนี้ก็คงส่งผลต่อการตัดสินใจของดูลัสมากกว่ามารู้กันทีหลังด้วย
แล้วก็แก้ความรู้สึกของตัวเองที่ว่ามาดายช่าง “อ่อน” หรือ “ไม่มีบท” ไปในตัว เพราะพอแกปล่อยของจริงๆ ...คนเขียนเองก็ผวาไปเลยเหมือนกัน นี่ขนาดแหล่งพลังอยู่กับอาเมียร์ ถ้ามันยึดคัมภีร์แบตอนันต์ (???) ในตัวอาเมียร์ไปได้จริงๆ ก็คงจะยึดครองโลกได้ไม่ช้าชัวร์ๆ
มาลิอาแพ้ทางสิมา ก็รู้สึกสนุกดีที่ได้เขียนครับ ไม่รู้สินะ แต่คิดว่าแสบๆ อย่างมาลิก็น่าจะแพ้ผู้หญิงแนวคุณแม่แฮะ มิหนำซ้ำคุณลูกชายแอบหนีออกจากบ้านยามวิกาลก็แพ้ทางคุณแม่ไปด้วยอีกคน ^^a
เรื่องจิตสามส่วนของคน ไม่ต้องแปลกใจถ้านึกถึงฟรอยด์ครับ เพราะผมก็เอามาจากเรื่อง id – ego – superego ของฟรอยด์ รวมทั้งเรื่องที่ว่าความฝันเป็นการระบายความปรารถนาหรือความกดดันที่ไม่อาจทำได้ในโลกแห่งความจริงด้วย
ขอบคุณที่ติดตามมาโดยตลอดครับ m[_ _]m
จากคุณ |
:
Anithin
|
เขียนเมื่อ |
:
15 ม.ค. 54 01:47:30
|
|
|
|