“พี่อาเมียร์ยังหลับอยู่เลย พี่รูอาร์คช่วยปลุกหน่อยสิ” เสียงแจ้วๆ ของนาสิราดังแว่วมา
“หือม์...ทำไมพี่ชายพวกเจ้าถึงได้นอนกินบ้านกินเมืองยันเย็นแบบนี้ล่ะ”
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่เห็นแม่บอกว่าพี่อาเมียร์ไปซ้อมมาทั้งคืน คงจะเหนื่อย”
ลีชาพยายามทำอาหารเย็น โดยไม่สนใจเสียงที่ดังมาจากสวนหลังบ้าน...ซึ่งกลับรบกวนจิตใจโดยไม่ควรเป็น
ข่าวลูกชายคนรองของเจ้ามณฑลยาร์ลาธแวะหานางคณิกาชั้นสูงไม่กี่วันหลังบาดเจ็บกลับมา ดังแว่วมาเข้าหูหญิงสาวจากบทสนทนาของพวกยามเฝ้าบ้านพักที่ทราธ ซึ่งเสริมต่ออย่างขำๆ ว่า “แสดงว่าเขาไม่เป็นอะไรแล้ว”
แต่นั่นยังหลังจากชายผมแดงมาที่บ้านพักในทราธด้วยสภาพปากแตกและแก้มบวมโย้ เหมือนจะอวดแผลกับฟันที่หักหายไป...ราวกับว่าทำอย่างนั้นแล้วเธอจะเห็นใจมากขึ้น
ลีชาต้องยอมรับว่าเธอเป็นห่วงอีกฝ่ายอยู่ ...ในฐานะคนรู้จัก แต่ขณะเดียวกันก็ไม่เข้าใจ ว่าหากรูอาร์คตั้งใจจะจีบเธอ ทำไมถึงได้แวะไปหานางคณิกาคนนั้น
ไม่หรอก หญิงสาวบอกตนเองว่าเธอไม่ได้หึง แต่ตำหนิ ผู้ชายที่เที่ยวผู้หญิงไม่ใช่คนดี ...ยิ่งคนที่เที่ยวผู้หญิงทั้งๆ ที่บอกรักผู้หญิงอีกคนไปแล้วและพยายามเอาชนะใจเธออยู่...ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
สรุปแล้ว รูอาร์คก็แค่คิดเล่นๆ ไม่ได้จริงจังกับเธอ บางทีเขาคงรู้แล้วว่าเธอไม่เล่นด้วย หรือหมดความสนใจในตัวเธอไปแล้ว ...แต่หันไปสนใจมาลิอา เด็กสาวตาบอดชาวทรายที่เป็นคนรู้จักของท่านซิอ์บุลกับท่านสิมา ซึ่งเวลานี้พักอยู่ที่บ้านของพวกเขา หลังจากย้ายกลับมายังอาแดร์
นั่นสินะ มาลิอาเป็นทุกสิ่งที่ตรงข้ามกับลีชา ทั้งๆ ที่ตามองไม่เห็น เด็กสาวก็ยังดูเป็นผู้ใหญ่เกินตัว ทั้งดื่มเหล้า และพูดคุยหยอกล้อกับพวกผู้ชายเสียจนท่านสิมายังต้องปรามให้ยอมแต่งตัวมิดชิดอย่างคนธีร์ดีเร และขอให้ทำตัวสำรวมเรียบร้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าเด็กๆ เสียบ้าง
ลีชาไม่อยากตัดสินใคร แต่เพราะได้ยินมาว่าพวกนางรำชาวทรายก็ถือว่าทำงานเป็นนางโลมไปด้วย ถึงได้ไม่อาจห้ามตนเองไม่ให้มองเด็กสาวที่อายุน้อยกว่าด้วยความรู้สึกไม่ดี...แม้จะบอกตนเองว่ามีเหตุผลหลายๆ อย่าง ที่ทำให้คนคนหนึ่งเลือก...หรือไม่ได้เลือกแต่ถูกบังคับ...ให้เป็นนางโลม
และเอาเข้าจริง มาลิอาก็อาจจะไม่ได้เป็นนางโลม แต่ทำไปด้วยความชอบส่วนตัวก็ได้ แม้ลีชาจะไม่ชอบนิสัยหลายๆ อย่างของอีกฝ่าย ตั้งแต่นอนตื่นสาย ไม่ช่วยงานบ้าน ไปจนถึงดื่มเหล้าและเกี้ยวพาผู้ชายทุกเมื่อที่มีโอกาส ...เธอก็ต้องยอมรับว่าเด็กสาวชาวทรายเป็นคนที่กล้าจนดูเหมือนจะไม่เกรงกลัวสิ่งใด และทำทุกสิ่งที่ตนต้องการโดยไม่เกรงสายตาใคร (เว้นเพียงท่านสิมาในบางกรณี) โดยแท้
...ผู้หญิงแบบนั้น ก็เหมาะสมกับผู้ชายเจ้าสำราญอย่างรูอาร์คดีอยู่แล้วนี่นา...
อย่างไรก็ตาม ลีชาเดาว่ารูอาร์คคงมาเพราะวันนี้อาเมียร์ไม่ได้ไปซ้อมดาบด้วยที่จวน แต่กลับนอนหลับอยู่ในห้องทั้งวันเหมือนกับไม่สบาย เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชายหนุ่มเป็นอะไร ส่วนท่านสิมากับท่านซิอ์บุลแม้จะมีท่าทางเป็นห่วง ก็บอกว่าเขาเพียงแต่ออกไปซ้อมดาบมาทั้งคืนเท่านั้นเอง
...แต่ที่หญิงสาวรู้สึกแปลกๆ ก็คือมาลิอาเองยังนอนตื่นสายกว่าปรกติ และมีท่าทางง่วงหาวสะลึมสะลืออยู่ทั้งวันอย่างประหลาด...
เสียงฝีเท้าในครัวทำให้ลีชาหันหน้าไป เห็นเด็กสาวชาวทรายหาวหวอดเข้ามาทรุดตัวนั่งที่โต๊ะอาหาร
“เย็นนี้มีอะไรกินหรือ”
“สตูว์ เนื้อกับมันฝรั่ง” แม่ครัวตอบ
“กลิ่นหอมดี” อีกฝ่ายสูดจมูกฟุดฟิด ก่อนจะนั่งซบตาปรืออยู่กับโต๊ะต่อไป “ถ้าแกล้มเหล้าองุ่นแดงด้วยคงยิ่งดีขึ้นไปอีก”
“ไม่มีเหล้านะ” ลีชาพูดเสียงแข็ง “ท่านสิมาห้ามดื่มต่อหน้าเด็กๆ ไม่ใช่หรือ”
“ก็ไปดื่ม ‘ลับหลัง’ สิ” มาลิอาไม่อินังขังขอบนัก “รูอาร์คมาพอดี เย็นนี้ขอให้เขาพาข้าไปในเมืองหน่อยดีกว่า”
“ถ้ากลับค่ำ ท่านสิมาจะลงกลอน—”
“งั้นไม่กลับคงไม่มีปัญหาสินะ” เด็กสาวชาวทรายกลับขัดอย่างยินดี “คืนนี้ข้ามีนัดสำคัญที่ข้างนอกพอดี ไม่จำเป็นต้องกลับเข้ามานอนยังได้เลย”
หญิงสาวชาวธีร์ดีเรไม่อยากยุ่งเรื่องของคนอื่นนัก แต่บางครั้ง...เธอก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าถ้ามาลิอาเป็นลูกหรือน้องสาวของตน จะปล่อยไว้อย่างนี้ได้เชียวหรือ
“มาลิอา ทำแบบนี้มันไม่ดีนะ”
“ก็แล้ว ‘ทำแบบนี้’ มันคืออะไรล่ะ ถึงได้ ‘ไม่ดี’” นัยน์ตาที่ไม่อาจมองเห็นของอีกฝ่ายกลับฉายแววยั่วเย้า
“ก...ก็...” ลีชาเริ่มไม่เข้าใจ ว่าทำไมตนเองจึงเป็นฝ่ายตะกุกตะกักแทน “ก็...ดื่มเหล้า แล้วก็...ออกไปข้างนอกตอนกลางค่ำกลางคืน ตีสนิทกับ...ผู้ชาย ผู้หญิงดีๆ เขาไม่ทำกันหรอก”
“แล้วทำไมผู้หญิงดีๆ เขาถึงไม่ทำกันล่ะ” เด็กสาวทำเสียงสงสัย แต่สายตาบอกชัดเจนว่าแกล้งถาม
ลีชานิ่งอึ้งไป
“ก...ก็เพราะมันไม่ดีน่ะสิ ถ้าทำแบบนี้ คนอื่นจะมองว่าเป็นผู้หญิงใจง่าย เป็นคนปล่อยตัว...”
“แล้วเป็นผู้หญิงใจง่าย หรือปล่อยตัวมันไม่ดีตรงไหน” มาลิอาไม่วายแย้ง “ข้ามีความสุขของข้าเอง ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนนี่”
“ก็มันอันตราย...”
“‘อันตราย’ กับ ‘ไม่ดี’ มันคนละเรื่องกันนะ” เด็กสาวชาวทรายเริ่มคลี่ยิ้ม “อันตรายนั่นข้าไม่เถียง...สำหรับผู้หญิงธรรมดาๆ ...แต่ก็นะ บางทีมันก็แค่ข้ออ้างของผู้ชายว่าผู้หญิงทำตัวเสี่ยงอันตรายเอง ทำนองว่า ‘หาเรื่องไปที่เปลี่ยวเอง แต่งตัววับแวมเอง ช่วยไม่ได้นี่’ หมาป่ามันก็พูดอย่างนี้ทั้งนั้น เวลามีลูกแกะเดินเข้ามาให้เคี้ยวถึงที่ ...ส่วนเรื่องไม่ดี มันก็แค่ตีคุณค่าผู้หญิงกันเอง เพราะเวลาเอาจริงก็อยากลงเอยกับสาวบริสุทธิ์เรียบร้อย หลังจากสนุกสนานกับพวกปล่อยตัวปล่อยใจ หรือพวก ‘มืออาชีพ’ ไปแล้วแหละนะ”
หญิงสาวธีร์ดีเรยิ่งน้ำท่วมปาก
“แต่ก็นะ” มาลิอาเอ่ยต่อไปพลางยืดกายขึ้น “ผู้ชายบางคนก็ไม่สนใจหรอก ขอแค่รักคำเดียว ผู้หญิงจะเคยเป็นอะไร เคยทำอะไรมาก่อนก็ไม่สนใจ ...ถ้าเป็นไปได้ ข้าก็อยากเจอผู้ชายที่รักข้าแบบนี้บ้างจริงๆ”
“เจ้าพูดอะไร” ลีชาถามเสียงแผ่ว...แม้แน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ควรรู้เรื่องระหว่างเขากับเธอ ตลอดไปจนถึงอดีตของตัวเธอเองเป็นอันขาด
...จะท่านสิมา ท่านซิอ์บุล หรืออาเมียร์ ย่อมไม่เปิดเผยความลับของเธอโดยไม่จำเป็นแน่...
ด้วยเหตุนี้ หญิงสาวจึงนึกออกเพียงคนเดียวที่อาจพูดออกมา
เด็กสาวกลับเอาแต่ยิ้มน้อยๆ โดยไม่ตอบ จนศีรษะของบุคคลที่สามโผล่เข้ามาในห้องครัวกึ่งห้องอาหาร
“หอมจริง วันนี้มีสตูว์เหรอ”
เป็นชายหนุ่มผมแดงนั่นเอง
ลีชาจำใจพยักหน้า
“หวังว่าคงมีพอกินเพิ่มอีกคนนะ ข้าบอกพ่อไว้แล้วว่าวันนี้จะไม่กลับไปกินข้าวที่จวนเสียด้วย”
“ท่านสิมาอนุญาตแล้วหรือคะ” หญิงสาวถามช้าๆ
“จะท่านซิอ์บุลหรือท่านสิมา ข้ามาทีไรก็ชวนกินทั้งอาหารหลักอาหารว่างด้วยเสมอนั่นล่ะ” รูอาร์คกอดอกพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ “หรือเจ้ารังเกียจถ้าข้าจะร่วมโต๊ะอาหาร”
“ข้าเป็นแค่คนอาศัย จะห้ามได้ยังไงละคะ” ลีชาตอบเสียงขุ่น แล้วก็หันกลับไปดูหน้าเตา หวังว่านั่นจะทำให้อีกฝ่ายยอมรามือ ...กระนั้นยังอดไม่ได้ “จะแวะค้างบ้านผู้หญิงคนไหน ข้าก็ห้ามไม่ได้ และจะไม่ห้ามด้วย”
“...นั่นแรงอยู่นะ” มาลิอาแทรกขึ้น
หญิงสาวนึกอยากอ้างได้เหลือเกิน ว่าการทำอาหารต้องใช้สมาธิ จะได้ขอให้ทั้งเด็กสาวชาวทรายกับชายหนุ่มผมแดงออกไปจากห้องเสียก่อน แต่ก็รู้ว่าเรื่องนั้นฟังไม่ขึ้นโดยสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม รูอาร์คลุกออกไปในไม่ช้า ตามเสียงชวนเล่นของนาสิราและฟาร์ฮานาห์ จึงเหลือหญิงเพียงสองคนอยู่ในห้องครัวตามลำพัง
เมื่อนั้นเอง เด็กสาวจึงเอ่ยขึ้นอีก
“เจ้าเป็นผู้หญิงที่แปลกดีนะ หึงเขาอยู่ก็ไม่ยอมรับออกไปตรงๆ ...มิหนำซ้ำยังหึงทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอก ว่าเขากับเจ้ายังไม่มีอะไรผูกมัดกันแท้ๆ”
“ข้าไม่ได้หึงอะไรทั้งนั้น” ลีชาเอ่ยเสียงแข็ง “และข้าก็ไม่ได้ชอบเขาด้วย”
มาลิอากลับหัวเราะ
“รู้ไหม ข้าเคยรู้จักผู้หญิงคนหนึ่ง ...นางนิสัยเหมือนกับเจ้าไม่มีผิด แอบรักผู้ชายคนหนึ่งแต่ไม่อยากยอมรับ หึงที่ข้าไปใกล้ชิดเขา แต่ก็ยังปากแข็งว่าไม่หึง นี่ถ้าข้าไม่ช่วยกระตุ้นเสียบ้าง ก็ไม่รู้ว่าจะได้ลงเอยกันไหมนะ คู่นั้น”
“ข้าไม่ได้รักเขา” หญิงสาวพูดซ้ำ “และนี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรยุ่งด้วย”
“เอาเถอะ ข้าก็ว่าข้าไม่เห็นต้องชี้โพรงให้ ‘กระรอก’ รู้มากตัวนั้นอยู่แล้วแหละนะ” มาลิอาลุกขึ้นยืน ครั้นแล้วก็ยืดเส้นสายเหมือนกับเมื่อยตัว “ขอตัวไปดู ‘เจ้าชายนิทรา’ เสียหน่อยดีกว่า ขืนไม่ตื่นลงมากินอะไรบ้าง คืนนี้ก็ไม่มีแรงรบกันต่อพอดี”
ลีชาได้แต่ขมวดคิ้ว มองส่งเด็กสาวร่างเล็กไปอย่างไม่สบอารมณ์...โดยพยายามไม่คิดถึงเรื่องที่เธอพูดทั้งหมดมากนัก
* * * * *
ไม่มีทางหรอก!
เจ้ามันตัวปลอม! เจ้าไม่มีสิทธิ์ที่จะมีชีวิตอยู่! นี่ต่างหากร่างของข้า! นี่คือตัวตนและจุดมุ่งหมายของข้า!
เสียงเล็กๆ เอ่ยกราดเกรี้ยว ขณะที่อาเมียร์พบตนเองอยู่ท่ามกลางบรรยากาศสีแดงอีกครั้ง ถูกรุมล้อมฉุดรั้งโดยซากศพในห้องสีแดง แขนขาเหมือนจะอ่อนเหลวเป็นน้ำด้วยกลิ่นคาวเลือด ในหูอื้ออึงด้วยเสียงกรีดร้อง
เหมือนทุกครั้ง...และทุกครั้ง ซึ่งจบลงด้วยการสะดุ้งตื่น พร้อมเหงื่อเย็นเฉียบที่โซมร่าง และอาการใจสั่น พร้อมคำถามว่าเหตุใดเขาจึงรอดมาเพื่อทุกทรมาน ไร้แผ่นดิน ไร้จุดมุ่งหมาย ...ขณะที่คนมากมายเหล่านั้น...กระทั่งเด็กที่อายุน้อยกว่าเขามากนัก...ถูกกระชากช่วงชิงชีวิตไปได้ง่ายดายเหลือเกิน
ทว่าครั้งนี้ยังผิดกัน ชายหนุ่มไม่ยอมตื่น ไม่อาจตื่นขึ้นมา ต่อให้พยายามสะบัดตนเองออกจากเงื้อมมือของเหล่าซากศพอย่างไร ก็ไม่อาจสลัดหลุดจากพวกนั้น ต่อให้พยายามบอกตนว่านี่เป็นความฝันที่ต้องตื่นขึ้น...
ตื่น? เจ้าจะตื่นไปทำไมกัน... เสียงของเด็กที่ได้ยินยิ่งเยาะหยัน ...เจ้ายังมีสิทธิ์ตื่นด้วยหรือ หากไม่ยอมชำระแค้นให้พวกที่ตายเพื่อให้เจ้ารอดมา แล้วเจ้าจะตื่นไปทำไม เพื่อการนั้นเจ้าต้องมีอำนาจ ต้องครอบครองเจ้าหญิงและอาณาจักรของนาง ...แต่คนขลาดเขลาอย่างเจ้ากลับปฏิเสธทุกอย่างนั่น เจ้าลืมเลือนพวกเขา...ไอ้เนรคุณ!
“ข้าไม่ได้ลืม!” อาเมียร์ตะโกนตอบ “ข้าไม่ลืม...ไม่มีวันลืมได้หรอก! เพียงแต่ข้าไม่ต้องการจมอยู่กับความแค้น! ข้าไม่อยากทำให้ใครต้องเจ็บปวดด้วยความแค้นของข้าอีก! ความแค้นไม่อาจช่วยพวกเขาได้!”
อ้อ... งั้นสิ่งใดกันล่ะที่ช่วยได้ ความสุขสบายของเจ้าหรือ ดีนี่ ใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวอย่างมีความสุข ทำไร่ไถนา แต่งงานมีลูก แก่ตายอย่างมนุษย์คนหนึ่ง ขณะที่พวกเขายังคงติดอยู่ที่นี่...กับความแค้นที่ไม่อาจชำระ นั่นคือสิ่งที่เจ้าต้องการงั้นหรือ!
ไร้คำตอบ ชายหนุ่มรู้ว่าตนต้องปลดปล่อยคนเหล่านี้...แต่ด้วยวิธีใดกันเล่า หากว่าไม่อาจชำระความแค้นให้คนเหล่านี้ ก็ต้องให้ปล่อยวางความแค้นเสียใช่ไหม
“ปล่อยวางเสียเถอะ” สุดท้าย อาเมียร์จึงเอ่ยขึ้น “ไม่มีประโยชน์ที่พวกท่านจะทรมานอยู่ที่นี่อีกแล้ว ไปยังอีกภพภูมิ ยังโลกที่ท่านควรอยู่ พวกท่านล้วนเป็นคนดี เป็นผู้บริสุทธิ์ ปล่อยวาง...แล้วไปยังสรวงสวรรค์เสียไม่ดีกว่าหรือ”
ปล่อยวางหรือ สรวงสวรรค์หรือ เสียงนั้นยิ่งเยาะหยัน ของพรรค์นี้มีอยู่จริงเสียที่ไหน!
ไร้ประโยชน์ เหล่าภูตพรายจากอดีตยังหลั่งไหลเข้ามา จับต้องเขาด้วยมือเย็นชืด กดร่างลง
และกัดกิน
กัดกิน...ใช่ ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือกกับความเจ็บแปลบที่แขนขา ราวกับถูกฝังเขี้ยวและสูบเลือดเนื้อ เขารู้สึกเหมือนตนเองกรีดร้องออกมา ทว่ากลับได้ยินเสียงของตนแผ่วเบานัก
ไม่เหลือหรอก ตัวเจ้าจะไม่เหลืออีกต่อไป ซากตะกอนไร้ประโยชน์อย่างเจ้า...มีค่าแค่เป็นอาหารหล่อเลี้ยงพวกเขาเท่านั้น ข้าต่างหากที่จะช่วยพวกเขา ปลดปล่อยพวกเขาได้
อาเมียร์แทบไม่ได้ยินถ้อยคำเหล่านั้น เขารู้แต่ในคลองจักษุของตนเต็มไปด้วยสีแดง กระทั่งหลับตาหลีกหนีภาพซากศพที่กำลังกัดกินร่างของตน ก็ยังเห็นเพียงสีแดงแทนที่สีดำ สีแดงชวนคลื่นเหียน เรียกร้องให้ดับสติ...
“เจ้าชาย!” อีกเสียงหนึ่งกลับดังขึ้นในใจ “อย่าเพิ่งยอมแพ้ง่ายๆ ได้ไหม!”
...มาลิอา?...
เขากลั้นใจลืมตาขึ้น เห็นหญิงสาวผมดำยืน...ไม่สิ...ลอยตัวอยู่เหนือเขากับเหล่าภูตพราย สองมือเท้าสะเอว สีหน้าบึ้งตึง มิได้ทำสิ่งใดเพื่อช่วยเหลือมากกว่านั้น
“ให้ตายสิ ข้าอุตส่าห์เข้ามาทั้งๆ ที่ไม่มีคนกางเกราะป้องกันให้ แถมแหล่งพลังวิญญาณที่หยิบยืมได้ยังไม่มี นึกว่าข้าจะสร้างปาฏิหาริย์ กลายเป็นเจ้าหญิงมาดึงท่านขึ้นไปได้อีกรึไง” แม่มดดำเอ่ยราวกับล่วงรู้จิตใจ “หัดตื่นนอนเองได้แล้ว ท่านโตกว่าข้าตั้งเป็นร้อยเป็นพันปี ยังต้องให้ข้ามาทำตัวเป็นพี่เลี้ยงอีกหรือ”
“แต่ว่า...” อาเมียร์เพิ่งตระหนักว่าตนเริ่มรู้สึกชามากกว่าเจ็บปวด หากไม่คำนึงหรือร้อนรนว่าตนเองกำลังถูกกัดกินอยู่
“นั่นอย่างไร พวกนี้ไม่ใช่วิญญาณที่แท้จริงหรอกนะ” มาลิอาติงขณะที่ยังยืนเฉยอยู่ “ท่านไม่ถูกพวกมันกินเข้าไปหรอก...ถ้าไม่คิดว่าจะถูกกินเข้าไป พวกนี้เป็นแค่พันธนาการในใจของท่าน เป็นเพียงความฝัน ในฝันทุกสิ่งเกิดขึ้นได้ ท่านจะสร้างดาบขึ้นมาตัดฟันทำลายพวกเขาลงเสียก็ได้ นั่นไม่รวดเร็วและได้ผลกว่าหรอกหรือ”
“แต่ข้าทำอย่างนั้นไม่ได้!” อาเมียร์ตอบทันควัน แม้ตนเองจะยิ่งถูกบีบรัดรุมล้อม
“ทำไม่ได้แล้วจะทำอย่างไร ปล่อยให้พวกมันกลืนกินท่านแทนงั้นเหรอ” แม่มดดำย้อนถามอย่างระอา “ความมุ่งมั่นของท่านมันก็แค่นี้รึไง กะแค่กับดักที่ดูเหมือนคนที่ตายไปแล้วพวกนั้น ท่านก็ยังไม่กล้าทำลายมัน”
ไม่...เขาจะไม่เลือกเส้นทางแห่งการทำลายล้าง อาเมียร์บอกกับตนเอง รบรากับความคลื่นเหียนที่อยากขับดันให้ตนเองหลับตาและดับสติลง
“นั่นไง ไม่ทำลายก็ ‘แทนที่’ สิ เพิ่งเรียนไปหมาดๆ แล้วยังลืมอีก ข้าสอนให้แล้วจำไม่ได้หรือไง”
ชายหนุ่มพยักหน้า แล้วก็พยายามนึกภาพหมู่คนเบื้องหน้าในยามมีความสุข ...แม่เล็กวาร์ดาห์ที่วิ่งเล่นไร้ความทุกข์ร้อนราวกับเด็กเล็กๆ ...ฟาราที่เป็นเหมือนพี่เลี้ยงของเขา ...แม่นม ...ท่านธาอิสที่ยิ้มให้อย่างใจดี ...เหล่าพี่หญิงของอารามฮอว์ธอร์นที่ชวนเขาร่วมทำงานฝีมือด้วย และสอนเขาร้องเพลง
ทุกคนไม่อยากสิ้นชีวิต...ทุกคนไม่อยากถูกฆ่าฟันเป็นผักปลาอย่างที่เป็นไป
ต่อให้เป็นแค่ภาพมายาในใจ เขาก็ยังอยากเห็นทุกคนมีความสุข ไม่ใช่ทิ้งร่างลงโชกเลือดอีกครั้ง กลายเป็นเศษซากอันแหลกลาญยิ่งกว่าเดิม
แต่ก็ยังไม่เป็นผล
“บางครั้งแค่นึกภาพมันก็ไม่พอหรอก ท่านต้องสัมผัส ต้องจับต้องมัน เผชิญกับความกลัวของตนเอง”
เจ้าชายแห่งความมืดกลั้นใจเอื้อมมือออกไป
...และแตะที่ใบหน้าของ ‘ซากศพ’ ที่ใกล้ที่สุดเพียงแผ่วเบา
สัมผัสนั้นเหนอะหนะ...เย็นลื่น ทว่าอาเมียร์พยายามนึกถึงเป้าหมายของเขา นึกถึงความอบอุ่นของชีวิต ตลอดจนความนุ่มนวลของผิวเนื้อ ...กระทั่งนัยน์ตาเบิกค้างไร้ชีวิตค่อยๆ แปรเปลี่ยนไป
มีแววระลึกรู้ จดจำ รอยเลือดและรอยแผลจางหาย ขณะที่สีเลือดกลับคืนสู่ใบหน้า
การคุกคามค่อยๆ ถดถอย
ชายหนุ่มทำเช่นเดียวกันกับร่างอื่นๆ ที่รุมล้อมเข้ามา เขาสัมผัสและโอบกอด นึกภาพของคนเหล่านั้นในสรวงสวรรค์เช่นที่ตนอยากให้เป็น ดุจเหล่าเทพยดาที่ปราศจากความทุกข์ร้อนใดอีกต่อไป
ใช่ ที่จริงพวกเขาเพียงต้องการความช่วยเหลือ ที่กรูเข้ามานั้นหาได้เพื่อทำร้ายให้เขาเจ็บปวด หรือกดลงสู่ห้วงแห่งความทุกข์ทนแต่ประการใด
ไม่รู้นานเท่าใด แต่สุดท้ายก็ไม่มีภูตพรายซากศพอีกต่อไปแล้ว ...เพียงร่างในชุดขาวมากมายที่ยืนนิ่งอยู่ สว่างเรืองรองและประดับด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ราวกับภาพวาดในอารามซึ่งอาเมียร์เคยเห็น
“ข้าขอโทษ” เขาตัดสินใจเอ่ยกับผู้คนเหล่านั้น “ขอโทษที่ปกป้องพวกท่านไม่ได้ แต่ก็ขอบคุณ...ขอบคุณที่พวกท่านปกป้องข้าไว้ด้วยชีวิต ...ข้าจะไม่ทำให้สิ่งที่พวกท่านสละตนเองเข้าแลกต้องเสียเปล่าแน่นอน”
ไร้คำตอบจากร่างเหล่านั้น อาเมียร์เองก็ไม่อาจรับรู้ได้ว่าวิญญาณของพวกเขา...ผู้คนซึ่งตายไปก่อนนี้นับพันๆ ปีจะสามารถรับรู้ได้หรือไม่ หรือว่าเวลานี้ไปอยู่เสียที่ใด แต่ตัวเขาเองก็หวัง และต้องการเชื่อมั่น
ว่าตนได้รับการให้อภัย ไม่สิ...สามารถให้อภัยตนเองที่อ่อนแอไร้พลังในเวลานั้นได้
เหล่าผู้วายชนม์ค้อมศีรษะช้าๆ เสมือนตอบรับ ก่อนจะค่อยๆ จางหายไป เป็นละอองแสงงดงามราวกับฝูงหิ่งห้อย หรือปุยเกสรแดนดีไลออนที่กำลังทอประกายด้วยตนเอง จนสุดท้าย ก็เหลือเพียงชายหนุ่มกับหญิงสาวอยู่ในห้องที่มีรอยเลือดบนผนัง ตลอดจนนองท่วมบนพื้น
และถังไม้เพียงใบเดียวที่มุมห้อง...ซึ่งดูสั่นไหวเหมือนกับมีการขยับเขยื้อนอยู่ภายใน
อาเมียร์รู้ดีว่าในนั้นมีอะไร...ก่อนที่มาลิอาจะเปรยขึ้นเสียอีก
“มันอยู่ในนั้น”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับ ก่อนจะก้าวเข้าไป...
ติดแต่หญิงสาวยกแขนขึ้นขวางหน้าเสียก่อน
“ถ้าข้าบอกให้พัก คราวนี้จะเชื่อกันไหม” มาลิอาเอ่ยเรียบๆ
“อ...อือม์” เขาจำใจรับ แต่ที่จริงก็ซึ้งกับตน...ว่ายิ่งกว่าควรรับฟังคำแนะนำของแม่มด
“ดังนั้น รีบตื่นขึ้นโดยข้าไม่ต้องจุมพิตเถอะ เจ้าชาย” หญิงสาวเอ่ย พลางชะโงกใบหน้าเข้ามาใกล้เสียจนอาเมียร์เผลอก้าวถอย “คืนนี้ต่างหาก...ศึกที่แท้จริง”
* * * * *
คนเขียนขอคุย
ทีแรก ตั้งใจว่าจะปราบจิตอีกด้านได้ในตอนนี้ แต่เพื่อไม่ให้อาเมียร์ดู “เมพ” เกินไป เลยต้องยกยอดไปตอนหน้าแทน แต่ ณ ตอนนี้ก็คาดหวังว่าภาคนี้จะจบลงในตอนที่ 30 หรืออีกสองตอนข้างหน้านี่เองครับ ในเมื่อเราได้เห็นทางเลือกของดูลัสแล้ว และด้านอาเมียร์ก็เหลืออีกสองศึกที่ต้องเอาชนะให้ได้ ก่อนจะกลับไปพบกับแอชอีกครั้งหนึ่งนั่นเอง
อีกด้านก็ได้จังหวะลงความเคลื่อนไหวของลีชากับรูอาร์คอีกนิดหนึ่ง บวกกับแม่มดช่างยุอีกหนึ่ง (แหะๆ) ท่าทางมาลิอาผู้เคยช้ำรัก (เช่นเดียวกับรูอาร์ค) จะหมั่นไส้พวกคู่ที่ปากไม่ตรงกับใจเหมือนกันเลยแฮะ
ขอบคุณที่ติดตามมาโดยตลอดนะครับ :)
จากคุณ |
:
Anithin
|
เขียนเมื่อ |
:
19 ม.ค. 54 22:19:37
|
|
|
|